บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

"เทพไท"ตอกกลับพท.ปากพาจน ปชป.ห่วง"เสื้อแดง"ชุมนุมใหญ่ อุปสรรคแก้ศก. ปธ.วุฒิเตือนสติยึดคำ"ในหลวง"

ที่มา มติชนออนไลน์

"เทพไท"โต้"เพื่อไทย" ยัดเยียด"นายกฯปากพาจน"ให้มาร์ค"สวนกลับคนพุดปากพารวยหาเงินใช้ได้ตลอด โฆษกปชป.วิตกกังวลเสื้อแดง-เพื่อไทยเคลื่อนไหวชุมนุมใหญ่ 27 มิ.ย. ชี้เป็นอุปสรรคแก้ปัญหาศก.ของประเทศ ทำสู่ทางตัน จุดชนวนความไม่สงบปะทุ "ประสพสุข" ขอยึดนำพระราชดำรัส"ในหลวง"มาใช้

พท.อัดมาร์ค"เทพไท"ซัดกลับปากพารวยหาเงินใช้


นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 31 พ.ค. ว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้แสดงความห่วงใยต่อบ้านเมืองที่อาจจะมีกลุ่มที่จะก่อความวุ่นวายให้เกิดในประเทศ ซึ่งนายกฯได้รับข้อมูลจากสำนักข่าวกรองและหน่วยงานต่างๆที่เชื่อถือได้ แต่สมาชิกพรรคเพื่อไทยกลับพูดว่า นายกฯปากพาจน ตนอยากเรียนว่า นายกฯไม่เคยพูดด้วยถ้อยคำหยาบคายแต่พูดด้วยความสุภาพ ซึ่งไม่ได้มีความถ่อยเหมือนนักการเมืองบางคนที่ยัดเยียดคำพูดว่า นายกฯปากพาจน ซึ่งเป็นไปได้ว่า คนที่พูดว่านายกฯปากพาจน คงเป็นคนปากพารวยหาเงินได้ตลอด

โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวต่อว่า การที่แกนนำกลุ่มนปช.บอกว่า ผู้ชุมนุมที่เผาบ้านเมืองเมื่อช่วงสงกรานต์นั้นเป็นเสื้อแดงเทียม ตนอยากรู้ว่า แกนนำจะหัวกลมเทียมด้วยหรือไม่

ปชป.ห่วง"เสื้อแดง"ชุมนุมเป็นอุปสรรคแก้ปัญหาศก.


นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงเมื่อวันที่ 31 พ.ค. กรณีที่พรรคเพื่อไทยวิจารณ์รัฐบาลว่าล้มเหลวการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และมีการเคลื่อนไหวรอบใหม่ที่ชัดเจน ขณะที่สถานการณ์บ้านเมืองกำลังดีขึ้นตามลำดับ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีก็ได้เดินทางไปร่วมประชุมสุดยอดอาเซียน – สาธารณรัฐเกาลีใต้ก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี และการออกพ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านบาทก็เป็นเรื่องเร่งด่วนที่จำเป็นต้องแก้ปัญหาการว่างงานเพื่อให้เกิดการจ้างงาน ซึ่งพรรคห่วงใยพอๆ กับเหตุการณ์ความไม่สงบ เพราะขณะนี้กำลังมีกลุ่มที่ปฏิเสธกระบวนการสมานฉันท์


นพ.บุรณัชย์ ยังกล่าวอีกว่า พรรคฯมีความวิตกกังวลต่อความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดง และสมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ที่จะนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 27 มิ.ย.นี้ ที่สนามหลวง เพราะจะเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยเงื่อนไขนำไปสู่การปฏิเสธกระบวนการสมานฉันท์ มีดังนี้ 1.ปฏิเสธกระบวนการทำงานสอบข้อเท็จจริงเหตุการณ์ชุมนุมการเมืองช่วงสงกรานต์ 2.ปฏิเสธกระบวนการทางกฎหมายโดยแกนนำเสื้อแดงได้ปฏิเสธความรับผิดชอบที่ยั่วยุให้เกิดการจลาจล ซึ่งรัฐบาลกำลังเดินหน้ากระบวนการสอบสวนให้เป็นมาตรฐานเดียวกันทุกสี 3.มีการใช้สื่อเทียมปลุกระดม อีกทั้งนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทยก็บอกว่าสื่อหลักเสนอข่าวบิดเบือนความจริง ทำให้ต้องผลิตสื่อเอง ทั้งนี้ อยากเรียกร้องทุกฝ่าย โดยเฉพาะกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้โอกาสรัฐบาล เหมือนที่นานาชาติให้โอกาส หากยังคงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง และการปฏิเสธทางออก จะทำให้เหตุการณ์บานปลาย บ้านเมืองสู่ทางตัน

“พรรควิตกต่อสถานการณ์ที่บ้านเมืองกำลังคลี่คลายไปด้วยดี จะกลับไปสู่ทางตันอีกครั้งจากการเคลื่อนไหวที่จะเกิดขึ้น พรรคอยากเรียกร้องไปยังพรรคการเมืองที่จะใช้กระบวนการนอกสภาที่ กลุ่มนปช.บอกว่าจะชุมนุมใหญ่ 4 ครั้งนั้นพรรคหวังว่าจะเป็นไปโดยไม่เผาบ้านเมืองอีก ซึ่งพรรคกังวลวิธีการปลุกระดมและปฏิเสธการหาทางออกที่อาจจะเกิดความไม่สงบอีกได้” นพ.บุรณัชย์ กล่าว

"ประสพสุข"ไม่ห่วงแดงใหญ่27มิ.ย.เตือนยึดคำ"ในหลวง"


ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 พ.ค. นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวถึง กรณีที่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ในวันที่ 27 มิถุนายน ว่า ถ้าไม่เป็นการชุมนุมแบบยืดเยื้อ ก็ไม่น่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ดี ตนคิดว่า คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน จะเป็นจุดที่ทุกฝ่ายสามารถระบายเรื่องต่างได้ เพื่อไม่เกิดความรุนแรง และตนยังเชื่อว่า การชุมนุมจะไม่รุนแรงเหมือนตอนเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพราะถือว่า ตอนนั้นเป็นความรุนแรงสูงสุดแล้ว และตอนนี้สถานการณ์กำลังลดความรุนแรงลงมาเรื่อยๆ ทั้งนี้ ขอให้ทุกคนยึดถือพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่อง การรู้รักสามัคคี ความคิดเห็นแตกต่างกันได้แต่อย่างไปแตกแยกกัน


"มาร์ค"ย้ำมีแกนนำม็อบจ้องรุนแรง

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่กล่าวปาฐกถาพิเศษให้สมาคมนักธุรกิจ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ว่าในเดือนมิถุนายนจะมีความเคลื่อนไหวจากบางกลุ่มเพื่อทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ว่าเรื่องดังกล่าวเป็นการประกาศจากฝ่ายผู้ชุมนุมเอง จากการติดตามความเคลื่อนไหว ก็มีแนวโน้มเช่นนั้น การที่ตนออกมาพูดเพราะต้องการย้ำว่าการเคลื่อนไหวต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ อย่าให้เกินเลยขอบเขต


ผู้สื่อข่าวถามว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่อเค้าว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงเหมือนที่ผ่านมาหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ตนหวังและเชื่อว่าคนที่มาชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่ต้องการทำผิดกฎหมาย จึงขึ้นอยู่กับแกนนำ ซึ่งหลายคนก็ยอมรับกติกาของบ้านเมือง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกนนำบางคนแสดงท่าทีชัดเจนว่าหลังเหตุการณ์เดือนเมษายน นอกจากจะไม่หยุดแล้ว จะทำให้รุนแรงขึ้นอีก ก็หวังว่าแกนนำที่ยึดมั่นในกฎหมายจะไม่ยอมคนที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย

เมื่อถามว่า เป้าหมายในการปลุกระดมรอบใหม่คืออะไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ต้องถามเขา แต่ก่อนหน้านี้มีความพยายามจะนำเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์มาเป็นประเด็น ซึ่งมันไม่เป็นข้อเท็จจริง และพยายามนำเอาทุกปมที่เป็นข้อสงสัยมาคลี่คลายแล้ว ก็หวังว่าจะช่วยทำให้เงื่อนไขเหล่านั้นหมดไป


รับมีรายงานกลุ่มธุรกิจหนุนม็อบ


เมื่อถามถึงกรณีที่นายกฯระบุว่าจะเป็นการเผาบ้านเผาเมือง ในทางการข่าวมีรายงานว่าจะเกิดเหตุรุนแรงถึงขนาดนั้นจริงหรือไม่ นายกฯกล่าวว่า ไม่ใช่ เพียงแต่บอกว่าเวลาที่ทำผิดกฎหมายในอดีต ถึงขั้นจะนำไปสู่ความรุนแรงเช่นนั้น ก็อยากบอกว่าอย่าทำ จนถึงวันนี้ในทางการข่าวยังไม่มีสัญญาณที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น แต่ก็ต้องไม่ประมาท ตราบใดที่ยังมีคนบางกลุ่มที่คิดจะทำอะไรก็ได้ มันก็ต้องระมัดระวัง และไม่อยากให้ฝ่ายไหนตกเป็นเหยื่อ แม้แต่ฝ่ายผู้ชุมนุมเองก็มักจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับเหตุการณ์ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา และไม่แน่ใจว่าเป็นคนกลุ่มตนจริงหรือไม่ ก็ต้องช่วยกันลดเงื่อนไข


เมื่อถามว่า มีกลุ่มธุรกิจใดให้การสนับสนุนความเคลื่อนไหวของกลุ่มเหล่านี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวยอมรับว่า ตามรายงานก็มีบ้าง ฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้องตรวจสอบให้ชัดเจน ทั้งนี้ จะไม่มีการคาดโทษก่อน แต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินการ


นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงต้องประเมินสถานการณ์อีกระยะหนึ่งว่าความเคลื่อนไหวจะเป็นไปในลักษณะใด แต่อยากย้ำกับประชาชนโดยรวมว่าข้อห่วงใยของทุกคน กำลังได้รับการดูแลจากทางสภาและผู้เกี่ยวข้อง หากมีประเด็นใดสามารถนำเสนอและแสดงออกได้ รัฐบาลจะให้ความสำคัญ


ปชป.ดักคอม็อบปิดสภาอีกรอบ


นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก และรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวว่า ได้ยินมาแบบปากต่อปาก ว่าจะมีนักการเมืองจัดตั้งกลุ่มบุคคลไม่ว่าจะใส่สีเสื้ออะไรก็ตาม มาปิดล้อมสภาระหว่างการเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญ ระหว่างวันที่ 15-17 มิถุนายน เพื่อพิจารณากฎหมายการเงิน 3 ฉบับ ทั้ง พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านบาท รวมถึงร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ซึ่งก่อนหน้านี้คนเหล่านี้เคยมีประวัติว่าต้องการทำร้ายคนในรัฐบาล ถึงขั้นเอาชีวิตมาแล้ว


เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีโอกาสซ้ำรอยเหตุการณ์ช่วงสงกรานต์หรือไม่ นพ.วรงค์กล่าวว่า ก็คงต้องดูอารมณ์สังคมด้วย เพราะก่อนหน้านี้ บ้านเมืองสงบอยู่พักใหญ่ ประชาชนยิ้มแย้มแจ่มใสเลิกอมทุกข์ ดังนั้น คนที่จะมาชุมนุมพึงคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชนด้วย


"พท."ซัด"อภิสิทธิ์"ปากพาจน


ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึงกรณีที่นายอภิสิทธิ์กล่าวปาฐกถาพิเศษให้สมาคมนักธุรกิจฟังว่าในเดือนมิถุนายนจะมีความเคลื่อนไหวจากบางกลุ่มที่เคยเผาเมือง ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ว่านายอภิสิทธิ์ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ การออกมาพูดครั้งนี้สร้างความตื่นตระหนกแก่นักลงทุน และทำให้ประชาชนวิตกกังวลจนไม่กล้าไปจับจ่ายใช้สอย ถือว่านายกฯเป็นพวกปากพาจน


ผู้สื่อข่าวถามว่า ยืนยันว่า พท.จะไม่เคลื่อนไหวสร้างความวุ่นวายในเดือนมิถุนายนใช่หรือไม่ นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เป็นการกล่าวหาให้ร้ายประชาชน เพราะ พท.ดำเนินการทุกอย่างในระบบรัฐสภา ส่วนความเคลื่อนไหวในนามภาคประชาชนก็มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ และเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาปากท้อง ดังนั้น นายกฯต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนแสดงสิทธิของตน ไม่ใช่มาพูดดักคอเช่นนี้ เมื่อถามว่า หากกลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ในเดือนมิถุนายน ส.ส.พรรค พท.จะไม่เข้าร่วมใช่หรือไม่ นายพร้อมพงศ์กล่าวว่า เราเน้นระบบรัฐสภา แต่ ส.ส.มีสิทธิไปร่วมชุมนุมในนามส่วนตัว ถ้าไปชุมนุมแล้วไปสร้างความเสียหาย ผิดกฎหมาย ก็ต้องรับผิดชอบเอง


"เสื้อแดง"เล็งขอเปลี่ยนคนคุมคดี


วันเดียวกัน ที่ห้างอิมพีเรียลลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำคนเสื้อแดง แถลงว่า คนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีทั้งหมดจะไปที่สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อร้องขอความเป็นธรรม ให้สอบสวนพยานเพิ่มเติม ซึ่งการดำเนินคดีคนเสื้อแดง คนเสื้อเหลือง รวมทั้งคนเสื้อน้ำเงินใช้คนละมาตรฐาน เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาคดีที่คนเสื้อเหลืองบุกยึดทำเนียบรัฐบาล ยังเลื่อนสั่งคดีให้สอบสวนเพิ่มเติม ทั้งที่ เหตุการณ์ล่วงเลยมาหลายเดือน แต่กรณีคนเสื้อแดงกลับไม่ได้รับโอกาส เราต้องการให้ดำเนินคดีกับคนเสื้อแดงมาตรฐานเดียวกับคนเสื้อเหลืองหรือเสื้อน้ำเงิน แต่เวลานี้เป็นการเลือกปฏิบัติ


นายจตุพรกล่าวว่า ปัญหาคือพวกเราจะงอมือ งอเท้าให้ทำฝ่ายเดียวหรือไม่ ขอบอกเลยว่าชั้นพนักงานสอบสวนบางคนเฮงซวย เป็นทาสรับใช้ รับคำสั่งมาปฏิบัติ ถ้าอัยการสูงสุดให้ความเป็นธรรม เราจะยื่นขอเปลี่ยนตัวผู้รับผิดชอบคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร. ที่เป็นผู้รับผิดชอบคดี และพล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รอง ผบช.น. ที่เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน เพราะการสอบสวนเป็นไปโดยอยุติธรรม


"ทุกคดีของคนเสื้อแดง ดำเนินไปอย่างรีบเร่ง เป็นการสอบพยานผู้กล่าวหาฝ่ายเดียว แต่พยานของฝ่ายจำเลยไม่มีการตรวจสอบ ขณะที่ 240 คดีของกลุ่มพันธมิตรไม่ขยับเขยื้อน เสื้อสีน้ำเงินยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งกว่าเป็นเทวดาในประเทศนี้เสียอีก ดังนั้น ถ้าเราไม่ได้รับความเป็นธรรมในขั้นตอนนี้ก็ต้องต่อสู้อย่างถึงที่สุด"นายจตุพรกล่าว


"โวย"มาร์ค"ใส่ร้าย"เผาบ้านเมือง"


นายจตุพรกล่าวว่า เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคมที่นายอภิสิทธิ์ ไปบรรยายให้นักธุรกิจฟัง และระบุว่าในเดือนหน้าจะมีการก่อความวุ่นวาย สร้างความรุนแรง จะมีการเผาบ้าน เผาเมืองกันอีก ขอเรียนไปยังนายอภิสิทธิ์ ว่ากำลังกล่าวเท็จและใส่ร้ายคนเสื้อแดง ทุกคดีเวลานี้ยังไม่ได้พิจารณาจนถึงที่สุด และเราก็เรียกร้องให้ดำเนินการจนถึงที่สุดเช่นเดียวกัน อยากให้นายอภิสิทธิ์ เร่งสอบสวนกรณีการยิงคน 2 คนที่ตลาดนางเลิ้ง ซึ่งข้อมูลเบื้องต้นนั้นเป็นพฤติกรรมของพวกเดียวกัน


"ทำไมพนักงานสอบสวนไม่มีการดำเนินคดี เรื่องการยึดรถก๊าซ ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแดงหรือที่บริษัท คิงพาวเวอร์ ตำรวจดำเนินคดีไปถึงไหน เพราะมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยไปแจ้งความ รวมทั้งกรณีเอารถเมลล์มาเผา และท้ายที่สุดคดีที่กระทรวงมหาดไทย แม้นายกฯอภิสิทธิ์ข่มขู่ว่าถ้าไม่หยุดพูดจะฟ้องคดีหมิ่นประมาท แต่ในวันที่บ้านเมืองมีกระบวนการยุติธรรมแบบยุติธรรม คุณต้องถูกดำเนินคดีข้อหาให้การอันเป็นเท็จ"นายจตุพรกล่าว


ลั่นระดมแดงทั้งแผ่นดินต่อเนื่อง


นายจตุพรกล่าวว่า วันที่ 27 มิถุนายน เวลา 16.00 น. คนเสื้อแดงจะชุมนุมใหญ่ที่สนามหลวง โดยระดมแดงทั้งแผ่นดินครั้งใหญ่อีกรอบ ขอเชิญชวนคนเสื้อแดงให้มาร่วมเต็มสนามหลวง จุดยืนหลักคือ เรื่องการต่อต้านระบอบอำมาตยาธิปไตย และขับไล่รัฐบาลชุดนี้ และถ้าเป็นไปได้ครั้งต่อไปก็จะนัดหมายกันใหม่ ให้เต็มไปถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ครั้งต่อไปครั้งที่ 3 ให้ไปถึงกองทัพบก และครั้งที่ 4 จะไปถึงทำเนียบรัฐบาลอีกรอบ และอยากให้รัฐบาลตัดสินใจก่อนวันที่ 27 มิถุนายน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน การเช่าที่สาธารณะ เรื่องข้าวโพด เรื่องข้าว เพราะจะมีรายละเอียดอธิบายเป็นมหาภารตะ ซึ่งมีข้อมูลพร้อม รอให้ความผิดสมบูรณ์เท่านั้น


ด้านนายณัฐวุฒิกล่าวว่า อยากฝากไปถึงนายอภิสิทธิ์และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่แสดงบทบาทเรียกร้องประชาธิปไตยในประเทศพม่า รวมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลทหารพม่าปล่อยตัวนางอ่อง ซาน ซูจี แต่นายอภิสิทธิ์ต้องตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสียก่อน ว่าที่ได้เป็นนายกฯเพราะอำนาจเผด็จการหรือไม่ จึงเป็นเรื่องน่าอาย

"ออนแอร์" เพื่อนพ้องน้องพี่"1มิ.ย."


นายณัฐวุฒิกล่าวว่า เวลา 18.30 น. วันที่ 1 มิถุนายน จะเริ่มออกอากาศรายการเพื่อนพ้องน้องพี่ ทางโทรทัศน์ดาวเทียม เอ็มวี 5 โดยจะมีตน นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร นายกอบแก้ว พิกุลทอง ที่จะเป็นผู้ดำเนินรายการหลัก นอกจากนั้น จะเริ่มจัดรายการความจริงวันนี้ เข้าจอพีเพิลชาแนลในสัปดาห์หน้าเช่นเดียวกัน และมีเอสเอ็มเอสความจริงวันนี้ ที่จะเป็นช่องทางกระจายข่าวระหว่างคนเสื้อแดง ส่วนการเรียกร้องวันที่ 27 มิถุนายน จุดยืนหลักคือ เรื่องการต่อต้านระบอบอำมาตยาธิปไตย และขับไล่รัฐบาลชุดนี้


จากนั้นเวลา 17.00 น. กลุ่มคนเสื้อแดงนัดรวมพลสังสรรค์พร้อมเปิดตัวหนังสือพิมพ์ เดอะเรดนิวส์ ที่ชั้น 6 อิมพีเรียล ลาดพร้าว โดยหน้าปกฉบับปฐมกฤกษ์เป็นภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมข้อความ "จตุพร เคลื่อนทัพ บันได 3 ขั้น 24 แดงเดือดเต็มสนามหลวงยันผ่านฟ้าถึงทำเนียบ รวมพลไล่รัฐบาลรอบใหม่"โดยบรรยากาศภายในงานจัดโต๊ะจีนพร้อมการแสดงดนตรี


เอกชนวอนม็อบอย่างรุนแรง


นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีที่นายกฯต้องการให้ภาคเอกชนต่อต้านการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงว่า หากเป็นการชุมนุมโดยสงบไม่ใช้ความรุนแรงที่สร้างความเสียหายให้ประเทศอีก ภาคเอกชนคงทำอะไรไม่ได้ เพราะไม่ค่อยอยากยุ่ง คิดว่าโครงการหยุดทำร้ายประเทศไทยที่มีอยู่น่าจะเพียงพอ อย่างไรก็ตาม คงต้องติดตามดูสถานการณ์การชุมนุมว่าจะเป็นอย่างไร หากเอกชนจะดำเนินการอะไร คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คงต้องมาหารือกันก่อนว่า จะดำเนินการอะไรได้ ตอนนี้คงไม่ทำอะไร
เรื่องการชุมนุมคงแล้วแต่คนว่าคิดเห็นอย่างไร แต่สิ่งที่ทุกคนเห็นเหมือนกันคือ ไม่อยากให้มีการใช้ความรุนแรง จะเป็นการทำร้ายและสร้างความเสียหายให้ประเทศ โดยเฉพาะในด้านการท่องเที่ยว และเศรษฐกิจ นายสันติกล่าว

รัฐบาลระวัง รถเมล์มรณะ

ที่มา ข่าวสด



การเมืองเรื่องปรับครม.

เป็นอันว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้จัดการรัฐบาล

สามารถสยบคลื่นใต้น้ำภายในพรรคประชาธิปัตย์ลงได้

โดยจำกัดขอบเขตไว้ที่รมช. เกษตรฯ ของพรรคภูมิใจไทยเพียงตำแหน่งเดียว

ซึ่งได้มีการผลักดัน นายศุภชัย โพธิ์สุ เข้ามาเสียบแทน นายชาติชาย พุคยาภรณ์ เป็นผลสำเร็จเรียบร้อยโรงเรียนเนวินไปแล้ว

อย่างไรก็ตามถึง"อภิสิทธิ์-สุเทพ" จะคลี่คลายปัญหาในพรรคตัวเองได้

แต่ที่กำลังเป็นปมปัญหาใหญ่และไม่รู้ว่าจะมีบทลงเอยอย่างไร คือปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างพรรคแกนนำประชาธิปัตย์ กับพรรคร่วมรัฐบาลภูมิใจไทย

อันมีเชื้อไฟมาจากโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน 7.8 หมื่นล้านบาทของกระทรวงคมนาคม กับการเปิดประมูล สต๊อกข้าว ข้าวโพด และสินค้าเกษตรหลายพันล้านของกระทรวงพาณิชย์

เฉพาะมูลค่าโครงการก็เพียงพอจะ เป็นประเด็นให้สังคมต้องสนใจจับ ตาถึงความสุจริตโปร่งใส ว่าจะมีมากน้อยขนาดไหน

ขณะเดียวกันในทางการเมือง บทสรุปต่อทั้ง 2 โครงการ

ยังจะส่งผลเชื่อมโยงถึงเสถียร ภาพของรัฐบาลโดยตรงอีกด้วย

จากผลสำรวจสำนักวิจัยเอแบคโพล

เกี่ยวกับการจัด 10 รัฐมนตรีที่โลกลืม และ 10 รัฐมนตรีที่ประชาชนพอใจในผลงานช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา แม้ส่วนใหญ่ไม่ผิดจากความรู้สึกของประชาชนทั่วไป

แต่ตัวเลขที่รัฐบาลไม่ควรมองข้าม

คือมากกว่าร้อยละ 80 เชื่อว่ามีบุคคล ในรัฐบาล เรียกรับผลประโยชน์จากกลุ่มนายทุนและทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก

ทั้งยังสะท้อนว่า ถึงแม้ประชาชนจะยอมรับ ในความเป็น"คุณชายมือสะอาด"ของนายอภิสิทธิ์

แต่กับภาพรวมของรัฐบาลแล้วถือเป็นคนละเรื่อง



ที่ มีการตั้งข้อสังเกตกันก็คือโพลดังกล่าว 5 สำรวจในช่วงที่ประชาชนในสังคมกำลังเพ่งมอง ไปที่โครงการเช่ารถเมล์เอ็น จีวี 4 พันคันของกระทรวงคมนาคม และการประมูลสต๊อกสินค้าเกษตรของกระทรวงพาณิชย์

ซึ่งทั้ง 2 กระทรวงอยู่ในความดูแลของพรรคภูมิใจไทย

ความสำคัญของพรรคภูมิใจไทย ที่แม้แต่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ยังยอมรับก็คือการมีฐานะเป็นเสาหลักค้ำยันรัฐบาล ดังนั้น ถ้ามีอะไรมากระทบเสาหลักนี้

นั่นหมายถึงเสถียรภาพรัฐบาลต้องโงนเงนตามไปด้วย

จุดอ่อนของรัฐบาลชุดนี้คือการมีรูปแบบเป็นรัฐบาลผสม

เคล็ดลับการอยู่รอดของรัฐบาลประเภทนี้ คือแต่ ละพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลจำเป็นต้องถนอมน้ำใจ พึ่งพาอาศัยกันและกัน หนักนิดเบาหน่อยก็ควรยอมๆ กันไป

นอกจากนั้นแล้วรัฐบาลชุดนี้ยังถือเป็นรัฐบาลรวมการเฉพาะกิจ กำเนิดขึ้นมาท่ามกลางการแก้ไขวิกฤตการเมืองเฉพาะหน้า

เป้าหมายคือเข้ามาปูทางสะสมเสบียงกรัง

กระทั่งพร้อมเมื่อไหร่หัวหน้าพรรคแกนนำรัฐบาลที่เป็นนายกรัฐมนตรี ก็จะอาศัยอำนาจช่วงชิงความได้เปรียบประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่

กะเวลากันไว้ว่าอาจจะเป็นปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า

หลังการแบ่งเค้กงบประมาณ อัดฉีดเม็ดเงินลงไปในโครงการต่างๆ ตลอดจนการกระชับกลไกความได้เปรียบผ่านการโยกย้ายข้าราชการเป็นที่เรียบร้อย

สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้กันดีในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ปฏิบัติการขวางคอหอยดึงอ้อยจากปากช้าง กรณีการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี และกรณีการประมูลระบาย สต๊อกสินค้าเกษตร

ถูกมองแยกออกเป็นหลายด้าน



ด้านดีสุดคือมองว่า นายอภิสิทธิ์ต้องการจะรักษาภาพลักษณ์นายกฯมือสะอาด ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

โดยไม่แคร์อาการหัวฟัดหัวเหวี่ยงของพรรคร่วมเจ้าของโปรเจ็กต์

สำหรับมุมมองอย่างเป็นกลางๆ คือนายอภิสิทธิ์ ยังยึดมั่นในกฎเหล็ก 9 ข้อในการเป็นรัฐบาลผสม ที่รัฐมนตรีทุกพรรคต้องรับผิดชอบการทำงานร่วมกัน

ส่วนด้านที่ถูกมองอย่างเลวร้ายที่สุด

เป็นด้านที่คนในพรรคภูมิใจไทยสะท้อนว่าสาเหตุที่พรรคประชาธิ ปัตย์ขัดขวางทั้ง 2 โครงการ เพราะต้องการเข้าไปมีชื่อร่วมผลักดันโครง การเพื่อใช้เป็นผลงานหาเสียง

วิธีการคือสร้างกระแสทุจริต ขึ้นมา และพรรคประชาธิปัตย์ก็เข้ามา อ้างว่าทำให้เกิดความโปร่ง ใส แล้วฉกฉวยผลงานไปเป็นของตัวเอง

บรรยากาศคุกรุ่นมากขึ้นไปอีก เมื่อ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมมือกับ ส.ส.พรรคเพื่อไทย เดินเกมตรวจสอบ 2 โครงการดังกล่าว ผ่านกลไกของสภา ในนามคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

ขณะที่พรรคภูมิใจไทยส่งนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ ประธานคณะทำงานรมว.มหาดไทย ออกมาขัดขวางนโยบายจัดสรรที่ดินให้คน จนเช่า ไร่ละ 10 บาท

ในความรับผิดชอบของนายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทย จากพรรคประชาธิปัตย์

ระบุว่าอาจเป็นโครงการที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนสวนยางและสวนปาล์มภาคใต้ ซ้ำรอยการแจก ส.ป.ก. 4-01 ที่เป็นตราบาปติดตัวพรรคประชาธิ ปัตย์มาจนถึงทุกวันนี้

จังหวะเดียวกัน นายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ยังประกาศให้รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับการตรวจสอบในทุกโครง การเพื่อความแฟร์

การที่นายศักดิ์สยาม น้องชายนายเนวิน ชิดชอบ ออกมาดับเครื่องชนพรรรคประชาธิปัตย์ด้วยตัวเอง อาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าศึกครั้งนี้ไม่ธรรมดา

ยกเว้นเสียแต่ว่าทั้ง 2 พรรค จะเล่นเกมลับ ลวง พราง

หลอกตบตาประชาชนได้แบบเนียนๆ

โดยไม่ใส่ใจต่อคำเตือนของใครต่อใครที่เป็นห่วง

ว่ารถเมล์ทั้ง 4 พันคัน อาจเป็นยานพาหนะนำพารัฐบาลพุ่งลงเหวโดยไม่รู้ตัว

ตัดวงจรอุบาทว์ หรือ จมปลักน้ำเน่า

ที่มา ไทยรัฐ
Pic_9575

ฉายภาพการเมืองเก่าถึงจังหวะ "พันธมิตร" กำเนิดพรรค

ปัญหาวิกฤติทางการเมือง

ที่ลุกลามขยายตัวกลายเป็นความขัดแย้ง แตกแยก ในสังคมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ

ผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมอยากเห็นการคลี่คลาย อยากให้ บ้านเมืองกลับสู่ความสงบ อยากเห็นความสมานฉันท์ของคนในชาติ

ด้วยเหตุนี้จึงนำมาสู่การตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐสภา ที่มีนายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน

มีภารกิจสำคัญในการหาแนวทางคลี่คลายปัญหาวิกฤติความขัดแย้งทางการเมือง รวบรวมประเด็นในการแก้ไขรัฐ-ธรรมนูญและปฏิรูปการเมือง เพื่อเสนอต่อรัฐสภา

แน่นอน แนวทางในการดำเนินการของรัฐสภาในเรื่องนี้ ย่อมหนีไม่พ้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆที่มองว่า

เป็นปัญหาทำให้เกิดวิกฤติความขัดแย้ง

มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่ไม่เป็นธรรมกับบรรดานักการเมือง และกระทบต่อพรรคการเมือง

ส่งผลให้การทำงานของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ ในการนำร่องศึกษาประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้

มีทั้งเสียงขานรับและเสียงคัดค้าน คละเคล้ากันไป

จากกรณีที่เกิดปัญหาวิกฤติความขัดแย้งทางการเมืองจนถึงขั้นต้องมีการหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระแห่งชาติ เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤติในครั้งนี้


สะท้อนให้เห็นว่า ในห้วงที่ผ่านๆมา การเมืองซึ่งถือเป็นองค์ประกอบหลักในการแก้ไขปัญหาของประเทศ

ที่มีกระบวนการเริ่มตั้งแต่การเลือกตั้ง ผ่านเข้ามาทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติในสภาฯ และฝ่ายบริหาร จัดตั้งรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน

ตั้งแต่เริ่มมีระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาในประเทศไทย จนมาถึงวันนี้ การเมืองยังอยู่ในสภาพล้มลุกคลุกคลานมาตลอด

ที่สำคัญ ต้องยอมรับว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น มีต้นตอมาจากพรรคการเมือง แก่งแย่งช่วงชิงอำนาจและผลประโยชน์

ขยายลุกลามลงไปถึงประชาชนที่ถือหางพรรคการเมืองแต่ละฝ่าย ถูกปลุกเร้าเพิ่มดีกรีจนกลายเป็นความแตกแยก เกลียดชังฝ่ายตรงข้าม

แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย แบ่งสี เข้าห้ำหั่นฟาดฟันกัน

กลายเป็นวิกฤติการเมือง วิกฤติประเทศ จนถึงขั้นเป็นวิกฤติที่สุดในโลก

แน่นอน สังคมส่วนใหญ่อยากเห็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการเลือกตั้ง สามารถแก้ไขวิกฤติของประเทศ

นำพาชาติบ้านเมืองไปสู่การพัฒนา เจริญก้าวหน้าเหมือนอย่างอารยประเทศ

แต่การเดินไปสู่เป้าหมายดังกล่าวยังมองไม่เห็นฝั่ง


เหนืออื่นใด สถานการณ์มาถึงวันนี้ การเมืองไทยกำลังเดินไปสู่จุดที่จะมีการเปลี่ยนแปลงกติกา แก้ไขรัฐธรรมนูญ เขียนรัฐธรรมนูญกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ทั้งๆที่เขียนกันมาแล้ว ใช้กันมาแล้วหลายฉบับ แก้กันแล้วแก้กันอีก ปฏิรูปการเมืองกันไม่รู้กี่ครั้ง

ยุบพรรค ย้ายพรรค เปลี่ยนพรรค ก็ยังเดินมาสู่ปัญหาที่หนักขึ้น รุนแรงมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อทุกฝ่ายในสังคมเห็นตรงกันว่า การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

เป็นแนวทางหลักที่จะนำพาประเทศให้ก้าวเดินไปได้

ก็ต้องยอมรับว่า พรรคการเมือง คือ องค์ประกอบสำคัญในการขับเคลื่อนการเมืองในระบอบประชาธิปไตย

โดยเฉพาะเมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดให้ผู้สมัคร ส.ส.ต้องสังกัดพรรคการเมือง ก็เท่ากับพรรคการเมือง เป็นหัวใจสำคัญในการเลือกตั้ง


ทั้งนี้ เมื่อหันมาสำรวจพรรคการเมืองที่มีอยู่ในขณะนี้ว่าจะนำไปสู่เป้าหมายที่จะทำให้การเมืองเป็นการแก้ปัญหาของชาติอย่างที่สังคมต้องการได้หรือไม่

เริ่มจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคการเมืองเก่าแก่อายุ 63 ปี ถือเป็นสถาบันการเมือง ที่ผ่านร้อนผ่านหนาว เคยเป็นมาแล้วทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้าน

มาวันนี้สามารถพลิกขั้วเข้ามาเป็นแกนนำรัฐบาล รับภาระกู้วิกฤติปัญหาของประเทศ

โดยสภาพของพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นพรรคที่มีวินัยสูง แต่อาจเป็นเพราะเป็นฝ่ายค้านมานาน


พอมีโอกาสเข้ามาเป็นฝ่ายบริหาร ได้เป็นรัฐบาล แค่ประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีวันแรกก็มีเรื่องทันที

พวกอกหักไม่ได้ตำแหน่งออกมาโวยวาย กระเพื่อมไปรอบหนึ่งแล้ว


พอมีการปรับ ครม.ก็มีการเคลื่อนไหวทวงเก้าอี้กันอีก ทั้งกลุ่ม 40 ส.ส. กลุ่มยังเติร์ก ยันกลุ่มผู้อาวุโส ออกอาการกันหมด

แม้ที่สุดแล้วแกนนำในพรรคช่วยกันเคลียร์ปัญหา หยุดอาการกระฉอกลงไปได้ พร้อมทั้งประกาศยืนยันประชาธิปัตย์ไม่มีกลุ่มก๊วน

แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีได้ว่าจะเกิดปัญหาคลื่นใต้น้ำปั่นป่วนขึ้นอีกหรือไม่

แน่นอน ความเป็นสถาบันการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ น่าจะเป็นพรรคที่เป็นความหวังของสังคมในการแก้ปัญหาวิกฤติประเทศ

แต่จากร่องรอยความเคลื่อนไหวที่ปรากฏ สะท้อนว่า ยังหนีไม่พ้นวงจรการแก่งแย่งอำนาจ ช่วงชิงตำแหน่งกันภายใน

หันมาทางพรรคเพื่อไทย พรรคนี้แม้จะก่อตัวขึ้นมาไม่นาน แต่ก็ถือว่าผ่านเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย

เพราะเป็นพรรคที่มีต้นขั้วมาจากพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน

ก็อย่างที่เห็นๆกัน ตอนก่อตั้งพรรคไทยรักไทย เริ่มต้นจาก "นายใหญ่" ใช้ทุนเป็นพลังดูด

ใช้สารเร่งโต เพื่อให้พรรคได้ครองอำนาจเบ็ดเสร็จ

ผนวกกับส่งคนลงพื้นที่ทำวิจัย ประชาชนโดยเฉพาะรากหญ้าต้องการอะไร แล้วจัดป้อนให้ จนประชานิยมยุคนั้นเฟื่องฟู ได้ใจได้เสียงสนับสนุนอื้ออึง

แต่เมื่อมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนแอบแฝง ทำให้พรรคต้องสะดุด และโดนยุบในที่สุด


จากนั้นก็แปลงโฉมมาเป็นพรรคพลังประชาชน มีหัวหน้าพรรค 2 คน ได้เป็นนายกฯ แต่เจ้าของพรรคตัวจริงก็ยังคงเป็น "นายใหญ่" เหมือนเดิม และในที่สุดก็โดนยุบพรรคอีก

ต้องแปลงโฉมอีกรอบมาเป็นพรรคเพื่อไทย ซึ่งโดนพลิกขั้วมาเป็นฝ่ายค้าน และการเคลื่อนไหวช่วงหลังกลายเป็นพรรคเสื้อแดง

โดยก่อนหน้านี้ มีความเคลื่อนไหวที่จะปรับโครงสร้างเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจากนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ซึ่งไม่ได้เป็น ส.ส.

เพื่อให้บุคคลที่เป็น ส.ส.เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรค และรับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน

แต่ในที่สุดก็ยังไม่ลงตัว ต้องยกเลิกการประชุมใหญ่วิสามัญเลือกหัวหน้าพรรคคนใหม่

จนกว่าจะมีใบสั่งจาก "นายใหญ่"

สำหรับพรรคการเมืองอื่นๆที่เหลือ ส่วนใหญ่ก็ยังมีสภาพเป็นที่รวมของกลุ่มการเมืองที่ส่วนใหญ่มีนักการเมืองในบ้านเลขที่ 111 ยืนเป็นเงาทะมึนอยู่เบื้องหลัง

อย่างพรรคภูมิใจไทยที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล ก็เป็นการรวมตัวของกลุ่มก๊วนต่างๆที่ยึดโยงกันด้วยผลประโยชน์

ซึ่งขณะนี้กำลังโดดเด่นในเรื่องพลังดูด โดยใช้รูปแบบเก่าๆ เป้าหมายก็เพื่อเข้าไปใช้อำนาจ หาผลประโยชน์ร่วมกัน เป็นพรรคของนักเลือกตั้ง ทำการเมืองแบบธุรกิจการเมือง

ไม่ใช่พรรคของประชาชน

จากปรากฏการณ์ต่างๆที่ทำให้เห็นพฤติกรรมของนักการเมือง ที่ไม่ได้เน้นทำการเมืองเพื่อสร้างชาติ

ทำให้สังคมอยากเห็นการเมืองรูปแบบใหม่ ที่เป็นการเมืองที่ทำงานเพื่อประชาชนและประเทศชาติอย่างแท้จริง

ส่งผลให้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่มีความโดดเด่นในการเมืองภาคประชาชนและการเคลื่อนไหวนอกสภา

เคยแสดงบทอารยะแข็งขืนยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดสนามบิน จนประเทศแทบพัง

ขื่อแปบ้านเมืองรวนไปหมด

ล่าสุด แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯได้จัดชุมนุมใหญ่กลางสนาม กีฬา ขอฉันทานุมัติในการจัดตั้งพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ

เสียงขานรับจากแนวร่วมกระหึ่ม

แน่นอน จุดก่อกำเนิดพรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ในครั้งนี้ ทำให้มองได้ว่าเป็นพรรคการเมืองที่เกิดขึ้นในรูปแบบใหม่

มีฐานรากจากประชาชนส่วนหนึ่งให้การสนับสนุน

ไม่ใช่พรรคการเมืองที่จัดตั้งขึ้นจากคนไม่กี่คนเป็นผู้กำหนด แบบเก่าๆ

ดังนั้น ต้องยอมรับว่า พรรคการเมืองของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่จะจัดตั้งขึ้น เริ่มต้นออกสตาร์ตด้วยความสวยงาม

รวมทั้งแนวทางการเมืองใหม่ที่เคยประกาศ เน้นต่อต้านการทุจริตทุกรูปแบบ ยึดผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง

ถือเป็นเรื่องดีและเป็นที่ต้องการของสังคมไทย

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าสู่กระบวนการภาคปฏิบัติจริง ในสภาวะแวดล้อมของการเมืองในปัจจุบัน

ที่เป็นการเมืองที่มีต้นทุนสูง

การจัดโครงสร้างพรรค กรรมการบริหารพรรค การจัดหาทุน ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง รวมไปถึงการสรรหาตัวผู้สมัคร ส.ส.

จะทำให้พรรคการเมืองนี้ ถูกสภาพแวดล้อมการเมืองแบบเก่าๆ กลืนไปหรือไม่

จะตัดวงจรอุบาทว์ทางการเมืองได้รึเปล่า หรือจะถลำลงไปจมปลักการเมืองน้ำเน่ากับเขาด้วย

เป็นเรื่องที่สังคมต้องรอพิสูจน์.

"ทีมการเมือง" รายงาน

โพลล์ชายแดนใต้พบปัญหาเศรษฐกิจรุกหนัก หวั่นรัฐบาลมาร์คแก้โจทย์การเมือง-ไฟใต้เหลว

ที่มา ประชาไท


ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี
ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้
สถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ ม.สงขลานครินทร์ (CSCC)


การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของอาจารย์ในสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จากโครงการวิเคราะห์ความเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์เฉพาะหน้าทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสำนักงานสภาวิจัยแห่งชาติ (วช.) โดยทีมวิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูลในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคม 2552 เป็นการเก็บข้อมูลสอบถามความคิดเห็นของประชาชนในจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา จำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด 1,878 คน

การศึกษาครั้งนี้ต้องการจะสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพเศรษฐกิจสังคมการเมืองและความมั่นคง เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลความเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ด้านความมั่นคง ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างต่อเนื่อง อันจะเป็นตัววัดความเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นและจิตวิทยาสังคมของของประชาชนในสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้


ผลการสำรวจได้ข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบันคือ กลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเป็นหญิง 956 คน ชาย 916 คน คิดเป็นร้อยละ 50.9 และ 48.8 ตามลำดับ ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือศาสนาอิสลามจำนวน 1,657 คน (ร้อยละ 88.2) ศาสนาพุทธ 199 คน (ร้อยละ 10.7) ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลประชากรจริงในพื้นที่ เมื่อถามความเห็นต่อสภาพปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันว่าประชาชนมีรายได้เพียงพอหรือไม่ ? ผู้ตอบจำนวน 1,143 คน (ร้อยละ 60.9) บอกว่ามีรายได้เพียงพอ ส่วนอีกประมาณ 699 คน (ร้อยละ 37.4) บอกว่ารายได้ไม่เพียงพอ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนส่วนใหญ่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้แม้ประสบกับปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจระดับชาติและความไม่สงบในพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังรู้สึกว่าตนเองมีสภาพเศรษฐกิจเพียงพอเลี้ยงตนเองได้ หรือมีความอยู่รอดได้ทางเศรษฐกิจ

แต่เมื่อถามว่าปัญหาอะไรเป็นปัญหาที่สำคัญที่สุดในชุมชน ผู้ตอบร้อยละ 91 บอกว่าปัญหาสำคัญอันดับแรกก็คือการว่างงาน อันดับที่สองคือปัญหายาเสพติด ค่าน้ำหนักคะแนนร้อยละ 85 ปัญหาที่ถูกระบุมากเป็นอันดับที่สามก็คือปัญหาเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งผู้ตอบให้น้ำหนักร้อยละ 50

สภาพทัศนคติดังกล่าวสะท้อนว่าปัญหาใหญ่ที่สุดในชุมชนภาคใต้ในปัจจุบันก็คือปัญหาเศรษฐกิจสังคมที่ว่าด้วยการว่างงาน ปัญหารองลงมาก็คือปัญหาการแพร่ระบาดอย่างหนักของยาเสพติดในพื้นที่ในระยะนี้ ส่วนปัญหาที่คุกคามชุมชนจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นลำดับที่สามก็คือการเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่

ข้อสังเกตก็คือ แม้ว่าปัญหาความไม่สงบจะหนัก แต่ก็ไม่ถูกเน้นหนักมากเท่ากับปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการว่างงานและปัญหาสังคมคือการแพร่ระบาดของยาเสพติด

ต่อคำถามที่ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่สำคัญที่สุดที่ทำให้เกิดความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ? ปัจจัยสาเหตุหลักที่ถูกระบุมากที่สุดจากประชาชนคือปัญหาที่เกิดจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ การก่อเหตุการณ์ร้ายในพื้นที่ ร้อยละ 23.0 ส่วนสาเหตุของเหตุการณ์ความไม่สงบที่ถูกระบุเป็นลำดับที่สองคือปัญหาความไม่เป็นธรรม ประมาณร้อยละ 16.1

ที่น่าสนใจก็คือกลุ่มประชาชนผู้ตอบร้อยละ 13.5 ยังมองว่าสาเหตุก็คือความรุนแรงที่เจ้าหน้าที่รัฐกระทำต่อประชาชน อันดับที่สี่ร้อยละ 12.9 มองว่าสาเหตุมาจากการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐต่อคนมุสลิม ส่วนลำดับที่ห้า ร้อยละ 10.8 มองว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากความอยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการก่อเหตุการณ์ความไม่สงบเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดในพื้นที่ แต่ในขณะเดียวกันปัญหาที่ต้องให้ความสนใจด้วยก็คือปัญหาความไม่เป็นธรรมหรือความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมในด้านต่างๆซึ่งจะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนเช่นเดียวกัน

ส่วนคำถามที่น่าสนใจก็คือในสถานการณ์ปัจจุบัน ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีความรู้สึกเชื่อมั่นไว้วางใจอย่างไรต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ข้อมูลแสดงว่าประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ร้อยละ 41.5 บอกว่ามีความไว้วางใจรัฐบาลมากพอสมควร อีกร้อยละ 19.3 บอกว่าไว้วางใจมาก ส่วนอีกกลุ่มประมาณร้อยละ 35 บอกว่ารู้สึกกลางๆ ภาพสะท้อนความคิดเห็นชุดนี้อาจจะแสดงให้เห็นว่าแม้ในท่ามกลางวิกฤตปัจจุบันทั้งทางการเมืองเศรษฐกิจและปัญหาความมั่นคงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่ยังมีแนวโน้มความรู้สึกเชื่อมั่นไว้วางใจต่อรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งถ้าหากจะนับรวมกลุ่มที่มีความไว้วางใจทั้งหมดแล้วก็จะสูงถึงร้อยละ 60.8

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องสนใจก็คือการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในปัจจุบัน เมื่อถูกถามว่าท่านเชื่อว่ารัฐบาลปัจจุบันจะแก้ปัญหาความขัดแย้งแตกแยกในทางการเมืองได้หรือไม่ ? ผู้ตอบส่วนมาก ร้อยละ 50.8 ยังบอกว่าไม่แน่ใจนักว่าจะรัฐบาลจะแก้ปัญหาได้ ส่วนอีกร้อยละ 25.8 มองว่าแก้ไม่ได้ มีเพียงร้อยละ 21.1 บอกว่าสามารถจะแก้ได้

นอกจากนี้ ในประเด็นที่เกี่ยวกับนโยบายที่รัฐบาลตั้งใจว่าจะยกฐานะศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) ให้เป็นองค์กรใหม่ที่มีฐานะทางกฎหมาย และเป็นหน่วยงานพิเศษของรัฐ (สบ. ชต,) นโยบายอันนี้จะช่วยแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้จริงหรือไม่? ประชาชนผู้ตอบแบบสอบถามส่วนมาก ร้อยละ 42.1 ยังรู้สึกกลางๆหรือ ไม่แน่ใจว่าจะแก้ปัญหาได้หรือไม่ แต่จำนวนไม่น้อย ประมาณร้อยละ 27.2 ก็สะท้อนความเห็นว่าเห็นด้วยว่านโยบายนี้จะแก้ปัญหาได้ แต่อีกร้อยละ 17.8 บอกว่าไม่เห็นด้วย

คำถามที่เกี่ยวกับความมั่นคงภาคใต้อีกข้อหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ ควรจะคงกองกำลังทหารและตำรวจจำนวนมากในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างที่กำลังทำอยู่ตอนนี้หรือไม่ ? ต่อคำถามดังกล่าว ปรากฏว่าผู้ตอบร้อยละ 23.6 บอกว่าไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง อีกร้อยละ 21.8 บอกว่าไม่เห็นด้วย ส่วนกลุ่มที่บอกว่าเห็นด้วย และเห็นด้วยอย่างยิ่ง มีจำนวนเพียงร้อยละ 15.7 1 และร้อยละ 4.8 คนอีกกลุ่มหนึ่งประมาณร้อยละ 24 บอกว่ารู้สึกเฉยๆหรือกลางๆ

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือว่าถ้ารวมกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งที่จะคงรักษากำลังทหารและตำรวจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทั้งหมดจะมีประมาณร้อยละ 45.5 ซึ่งเป็นจำนวนเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด

กล่าวโดยสรุป เมื่อประเมินทัศนะทางการเมืองของประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อมั่นไว้วางใจรัฐบาลอภิสิทธิ์ในระดับสูง แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่ารัฐบาลนี้จะแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศที่ประสบอยู่ในปัจจุบัน และก็ยังไม่แน่ใจว่าแก้ปัญหาความมั่นคงจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ ทั้งนี้อาจจะสะท้อนให้เห็นว่า เป็นเพราะสถานการณ์ทางการเมืองในระดับชาติยังมีความไม่แน่นอน ทำให้ประชาชนในพื้นที่ภาคใต้ยังต้องการดูการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและท่าทีทางนโยบายที่มีความชัดเจนมากกว่านี้


หมายเหตุ : ผลการสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้เปิดเผยเป็นครั้งแรกในงานแถลงข่าวเปิดตัวสถานวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2552

เพื่อนยันพลฯ อภินพลื่นล้มดับ ทหารพระธรรมนูญตามติดฟังชี้แจงด้วย

ที่มา ประชาไท

เมื่อวันที่ 29 พ.ค.52 มีการประชุมคณะอนุกรรมการรวบรวมเหตุการณ์ที่บริเวณดินแดง มี พล.ต.ต.สุเทพ สุขสงวน ส.ว.สรรหา เป็นประธาน ได้เชิญเจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นางศิริมนต์ มาเพชร มารดา พลฯอภินพ เครือสุข พลฯธงชัย สิมมา ทหารรับใช้บ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 เข้าชี้แจงถึงสาเหตุการเสียชีวิตของพลฯอภินพ ภายในบ้านพักแม่ทัพภาคที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ โดยอนุกรรมการฯ จากพรรคเพื่อไทย อาทิ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล ส.ส.แพร่ พยายามซักถามนางศิริมนต์ถึงข้อมูลส่วนตัวของพลฯอภินพ ว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ มีการเร่งรัดให้รีบเผาศพหรือไม่ ระหว่างการเคลื่อนย้ายศพได้อยู่ด้วยตลอดเวลาหรือไม่ พร้อมกับฝากให้ดีเอสไอรับไว้พิจารณา โดยนางศิริมนต์ยืนยันว่า พลฯอภินพไม่มีโรคประจำตัว ก่อนมาเป็นทหารรับใช้ได้ตรวจร่างกายแล้วแข็งแรงดี ส่วนการเร่งรัดเพื่อเผาศพนั้นมีทหารจากจ.ปราจีนบุรี ไม่รู้จักชื่อและยศโทร.มาหาตนว่าได้เผาศพหรือยัง แต่เรื่องการเคลื่อนย้ายศพ ยอมรับว่าตนไม่ได้อยู่กับศพตลอดเวลา

จากนั้นได้เรียกพลฯธงชัย เข้าชี้แจงต่อ โดยมีนายทหารพระธรรมนูญจำนวน 3 นายนำโดย พ.อ.วีระพันธ์ ปูรณะโชติ ขอรับฟังการประชุมด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล กรรมการจากพรรคเพื่อไทย ประท้วงไม่ให้เข้า แต่ฝ่ายทหารพระธรรมนูญไม่ยอม ระบุว่าเป็นหน้าที่ นายวรวัจน์จึงตัดบทว่าประเด็นการตายมีเงื่อนงำมาก เสนอให้ประชุมลับ ที่ประชุมเห็นชอบ ซึ่งหลังการประชุมลับกว่า 20 นาที พล.ต.ต.สุเทพ เผยว่า ข้อมูลที่ได้ไม่เป็นประโยชน์ต่อข้อสงสัยของคณะอนุกรรมการมากนัก โดยยืนยันแต่เพียงว่าพลฯอภินพลื่นล้มในห้องน้ำจริง ซึ่งตัวเขาเองเป็นผู้ไปซื้อยาแก้ปวดมาให้ และช่วงดังกล่าวบ้านแม่ทัพภาคที่ 1 กำลังปรับปรุงห้องน้ำอยู่ จึงมีคนงานมาร่วมใช้ด้วยจำนวนมาก จนเกิดคราบสบู่ทำให้ลื่นล้มได้ ยืนยันว่าไม่มีเหตุทะเลาะอะไรกัน ทั้งนี้ การประชุมครั้งต่อไปเชิญพลทหารแสงเพชร สารีพันธุ์ พลทหารรับใช้ที่ปลดประจำการไป มาให้ข้อมูล

วันเดียวกัน นายเอกภพ ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการบริษัท แสงอรุณ ทรานซ์สปอร์ต เจ้าของรถแก๊ส และนายสมภพ โมลิศพีรีย์ พนักงานขับรถ บริษัทแสงอรุณฯ เข้าชี้แจง โดยนายสมภพ กล่าวยอมรับว่า เป็นผู้ขับรถแก๊สทั้ง 2 คัน แต่เป็นการขับต่างเวลากัน โดยได้นำรถทั้ง 2 คันมาเติมแก๊สที่คลังสยามแก๊ส ถนนพระราม 3 ก่อนนำมาจอดไว้ที่ปั๊มแก๊สบริเวณถนนอโศก แต่ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวนหนึ่งใช้อาวุธข่มขู่เพื่อจะขอรถแก๊สไปยังบริเวณจุดที่ชุมนุม มาทราบทีหลังว่าคันหนึ่งไปอยู่บริษัท คิงส์พาวเวอร์ และอีกคันอยู่ที่สามเหลี่ยมดินแดง

ขณะที่นายเอกภพ กล่าวยืนยันว่า ทางบริษัทฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทสยามแก๊ส เพราะเราเป็นเพียงลูกค้าที่รับส่งแก๊สจากบริษัทสยามแก๊สนำไปส่งลูกค้า เท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมือง ส่วนที่มีความเข้าใจก่อนหน้านี้ว่ารถคันหนึ่งไม่มีแก๊ส เพราะตามคิวแล้วรถคันหนึ่งยังไม่ถึงคิวเติมแก๊ส จึงได้ประสานกับทาง จส.100 ไปว่ารถอีกคันไม่มีแก๊ส แต่เพิ่งมาทราบทีหลังว่านายสมภพได้เติมแก๊สทั้ง 2 คัน ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ เพราะทางบริษัทได้ให้สิทธิพนักงานเป็นคนจัดคิวรถอยู่แล้ว

นายเอกภพ กล่าวด้วยว่า ส่วนที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมรถแก๊สจึงสามารถเข้าไปจอดที่หน้า บริษัทคิงส์พาวเวอร์ได้นั้น มาทราบภายหลังว่าผู้ชุมนุมที่ขับรถคันดังกล่าว ได้นำรีโมทขึ้นมาขู่ว่าจะกดปุ่มระเบิด ทำให้รปภ.ของ บ.คิงส์พาวเวอร์ ต้องยอมปล่อยให้รถผ่านเข้าไป ส่วนอีกคันที่ถูกนำไปจอดสามเหลี่ยมดินแดง ตรวจสอบพบว่ามีการปล่อยแก๊สไปประมาณ 1,000 กิโลกรัม หรือ 1,800 ลิตร ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่มาก สามารถเติมรถยนต์ได้ร้อยกว่าคัน ทั้งหมดนี้ทางบริษัทได้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานหมดแล้ว

ที่มา : เว็บไซต์ไทยรัฐ และเว็บไซต์ข่าวสด

ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 31 พฤษภาคม 2552

ที่มา ประชาไท

การเมือง ความมั่นคง

นายกฯสั่งตรวจตู้คอนเทนเนอร์ต่อ

เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ - พ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ เผย นายกรัฐมนตรี สั่งลุยตรวจตู้คอนเทนเนอร์ใต้ทะเลแสมสารต่อ โดยรัฐเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้อำนวยการสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้อนุมัติสั่งการให้เดินหน้าตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ที่ตกอยู่ใต้ทะเลช่องแสมสาร จังหวัดชลบุรีต่อ โดยให้กองทัพเรือเป็นเจ้าภาพในการดำเนินการ รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ทั้งนี้ จะมีการประชุมคณะทำงานในวันอังคารหน้า เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม

พญ.คุณหญิงพรทิพย์ ระบุว่า การตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ครั้งที่ 2 จะใช้ทีมนักประดาน้ำ 3 ชุด ชุดที่ 1 ทำหน้าที่ตรวจสอบปะการังและสิ่งแวดล้อมโดยรอบตู้ รวมทั้งสารพิษอื่นๆ แม้จะชัดเจนในการตรวจพิสูจน์ครั้งแรกแล้วว่า ไม่มีสารกัมมันตรังสีอยู่ในตู้ ชุดที่ 2 ทำหน้าที่ตรวจหาชื่อบริษัทเจ้าของตู้ รวมทั้งวัน เดือน ปี ที่ปรากฏอยู่กับตัวตู้ และชุดที่ 3 จะลงไปหารอยผุ หรือรอยแตก เพื่อสอดกล้องส่องเข้าไปดูภายใน ก่อนส่งภาพขึ้นมายังจอด้านบน

นอกจากนี้ กองทัพเรือจะจัดเรือลาดตระเวนหาทุ่นระเบิด ออกตรวจสอบท้องทะเลในละแวกว่ามีตู้คอนเทนเนอร์ตกอยู่เพิ่มเติมอีกหรือไม่ ตามเสียงร่ำลือที่ว่ายังมีตู้คอนเทนเนอร์ที่ภายในมีกระดูกมนุษย์ตกอยู่ในทะเลอีก 7-8 ตู้ ซึ่งการดำเนินการในส่วนนี้ จะใช้งบประมาณ 800,000 บาท อย่างไรก็ตาม การพิสูจน์หาความจริงในตู้คอนแทนเนอร์ดังกล่าว ไม่ได้ล่าช้าหรือถ่วงเวลา แต่การดำเนินการทุกอย่างมีขั้นตอน และต้องรอการสั่งการจากผู้มีอำนาจ เช่น การลงไปตรวจพิสูจน์ในครั้งแรกที่กองทัพเรือ และตนได้รับคำสั่งจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง โดยเมื่อได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรีในครั้งนี้ คณะทำงานก็คงเดินหน้าต่อไปได้ โดยจะพยายามทำความจริงให้กระจ่างชัดโดยเร็วที่สุด

"อภิสิทธิ์"รับจับตานักธุรกิจหนุนเสื้อแดง

เว็บไซต์คมชัดลึก - "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ยอมรับจับตานักธุรกิจสนับสนุนเสื้อแดง ขู่ทำผิดกฎหมายจับทันที พร้อมสั่งประเมินสถานการณ์การชุมนุมอย่างใกล้ชิดไม่ให้กระทบการทำงานของรัฐบาล

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีกลุ่มเสื้อแดงออกมาเคลื่อนไหวในเดือนมิ.ย.นี้ ว่า ฝ่ายผู้ชุมนุมเองได้ประกาศไว้ชัดเจน นอกจากนี้ในการติดตามความเคลื่อนไหวก็พบว่ามีแนวโน้มเช่นนั้น การที่ตนออกมาพูดก็เพื่อต้องการย้ำว่าขอให้การเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นการเคลื่อนไหวที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอย่าให้เกินเลยขอบเขต

เมื่อถามว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าวจะส่อเค้ารุนแรงเหมือนครั้งที่ผ่านมาหรือมีความเคลื่อนไหวอื่นอีกหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนหวังและเชื่อว่าคนที่มาชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ใช่คนที่ต้องการทำผิดกฎหมายอยู่แล้วและนั่นเป็นพื้นฐาน ดังนั้นก็อยู่ในส่วนของแกนนำ ซึ่งตนก็หวังว่าแกนนำหลายคนคงจะยอมรับกติกาของบ้านเมือง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแกนนำในอดีตบางคนก็แสดงท่าทีชัดเจนแม้หลังเหตุการณ์เดือน เม.ย.ว่านอกจากจะไม่หยุดแล้วก็จะทำให้รุนแรงขึ้นอีก ตนก็หวังว่าคนเหล่านั้นจะไม่เข้ามาเกี่ยวข้องและแกนนำที่ยึดมั่นในกฎหมายจะไม่ยอมโอนอ่อนผ่อนตามคนที่ต้องการให้เกิดความวุ่นวาย

เมื่อถามว่ารัฐบาลประเมินหรือไม่ว่าความเคลื่อนไหวของกลุ่มเสื้อแดงจะกระทบต่อการทำงานของรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า คงต้องประเมินสถานการณ์ไปอีกระยะหนึ่งว่าในที่สุดความเคลื่อนไหวจะเป็นไปในลักษณะใด ทั้งนี้ตนอยากจะย้ำกับประชาชนโดยรวมว่าข้อห่วงใยของทุกท่านกำลังได้รับการดูแลจากทางสภา และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง

และหากมีประเด็นอะไรก็สามารถนำเสนอและมาแสดงออกได้ รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับทุกสิ่ง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้มีความพยายามที่จะไปนำเอาเรื่องเหตุการณ์ในช่วงสงกรานต์มาเป็นประเด็น ซึ่งมันไม่เป็นข้อเท็จจริง ตนก็มีการเปิดโอกาสให้มีการอภิปราย ชี้แจงและขณะนี้คณะกรรมการฯของสภาฯก็พยายามที่จะนำเอาทุกปมที่เป็นข้อสงสัยมาคลี่คลาย ตนก็หวังว่าจะช่วยทำให้เงื่อนไขเหล่านั้นหมดไป

เมื่อถามว่า ในการพูดกับนักธุรกิจนายกรัฐมนตรีระบุถึงขนาดว่าจะเป็นการเผาบ้านเผาเมือง ในทางการข่าวประเมินว่าการชุมนุมจะรุนแรงถึงขนาดนั้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ตนเพียงแต่บอกว่าเวลาที่มาทำผิดกฎหมายในอดีตนั้นถึงขั้นที่จะนำไปสู่ความรุนแรงอย่างนั้น ก็อยากบอกว่าอย่าทำ แต่จนถึงวันนี้ในทางการข่าวยังไม่มีสัญญาณที่จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น แต่เราก็ต้องไม่ประมาท แต่เราก็ต้องยอมรับว่าตราบใดที่ยังมีคนบางกลุ่มที่คิดว่าทำอะไรก็ได้ มันก็ต้องระมัดระวัง ทั้งนี้ก็ไม่อยากให้ฝ่ายใดทั้งนั้นที่ตกเป็นเหยื่อ

แม้แต่ฝ่ายกลุ่มผู้ชุมนุมเองก็มักจะบอกว่าไม่เห็นด้วยกับหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมาและก็ไม่แน่ใจว่าตกลงว่าเป็นคนในกลุ่มของเขาจริงหรือไม่ อย่างไร ก็ต้องช่วยกันอย่าให้เกิดเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใดก็ตาม" นายอภิสิทธิ์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมีกลุ่มนักธุรกิจใดที่ยังให้การสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆอีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวยอมรับว่า ตามรายงานก็มีบ้าง ซึ่งฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ต้องมีหน้าที่ที่ต้องตรวจสอบต่อไปให้ชัดเจน ทั้งนี้จะไม่มีการคาดโทษก่อนแต่ถ้าทำผิดกฎหมายก็จะดำเนินการไปตามกฎหมายอย่างที่บอกไป

เมื่อถามว่าความเคลื่อนไหวนอกสภาจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2535 และร่าง พ.ร.ก.กู้เงินหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรามีหน้าที่ไม่ให้เกิดผลกระทบ ก็ต้องทำให้งานต่างๆเดินหน้าต่อไปได้ อย่างที่ตนได้ย้ำไปว่าในช่วงเดือนมิ.ย.นี้ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วทุกอย่างเรียบร้อย รัฐบาลก็ต้องเร่งขอสภาเพื่อจะได้เดินหน้า ซึ่งสิ่งที่เราต้องการทำคือการสร้างงานให้ประชาชน 1.5-2 ล้านคน ให้เร็วที่สุด และทำให้บ้านเมืองเข้มแข็งขึ้นโครงสร้างพื้นฐานพร้อมมากขึ้น

"ณัฐวุฒิ"ลั่นฟ้องนายกฯ สั่งทหารยิง ปชช.

เว็บไซต์แนวหน้า - นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.กล่าวว่า ในวันที่ 1 มิ.ย.รายความความจริงวันนี้จะกลับมาออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม "พีเพิลชาแนล" ซึ่งรับสัญญาณผ่านดาวเทียม NSS 6 ระบบ KU-BAND ที่ความถี่ 11635 H 27500 pid531 และจะมีนำรายการ เพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งมีนายวีระ มุสิกพงษ์ นายจุตพร พรหมพันธุ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง และตน เป็นผู้ดำเนินรายการ กลับมาจัดรายการสดใหม่อีกครั้งทาง สถานีโทรทัศน์ เอ็มวี5 ในเวลา 18.00 น. นอกเหนือจากการแจ้งข่าวสารความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงผ่านทางระบบเอสเอ็มเอส

นอกจากนี้ ในสัปดาห์หน้า ตนพร้อมด้วยนายจตุพรจะนำคนเสื้อแดงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากการสลายการชุมนุมในวันที่ 13 เม.ย.ทั้งหมด ไปแจ้งความดำเนินคดีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในข้อหาเป็นผู้สั่งการให้ทหารใช้ปืนเอ็ม 16ทำร้ายประชาชน ที่ บช.น.

พล.อ.สนธิยังไม่พร้อม ลุยการเมือง ร่วมพรรคทหาร

เว็บไซต์ไทยรัฐ - อดีตประธาน คมช. แปลกใจข่าวนั่งรองหัวหน้าพรรคใหม่ ที่มี พล.อ.ชลืต พุกผาสุข อดีต ผบ.ทอ.เป็นหัวหน้า เผยจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับทาบทามจากพรรคใด ยันยังไม่พร้อมลุยการเมืองช่วงนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ต้นตระกูลพระยาบวรราชนายก หรือ เฉกอะหมัด จุฬาราชมนตรีคนแรกของประเทศไทย ประกอบพิธีวางพวงมาลาในงานเยี่ยมสถานฝังศพและทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่พระยาบวร ราชนายก ครั้งที่ 33 ภายในมหาวิทยาลัยราชภัฎพระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีบุคคลสำคัญ อาทิ นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) นายมาจิต บิสมาร์ค เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน ประจำประเทศไทย พล.อ.บรรจบ บุนนาค ประธานมูลนิธิเจ้าพระยาบวรราชนายก(เฉกอะหมัด) และ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีต รองอธิบดีกรมตำรวจ นอกจากนี้ยังมีคนในตระกูลบุนนาค และชาวไทย มุสลิม ร่วมงานเป็นจำนวนมาก โดยมีนางสมทรง พันธ์เจริญวรกุล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ. ) พระนครศรีอยุธยาร่วมวางพวงหรีด และ นายวิทยา ผิวผ่อง ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาร่วมวางพวงหรีด

พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบกและอดีตประธาน คมช. กล่าวภายหลังร่วมงานว่า แปลกใจกับข่าวที่ตนเองจะเข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรคการเมืองที่จะตั้ง ขึ้นใหม่ โดยมี พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข อดีต ผู้บัญชาการทหารอากาศ เป็นหัวหน้าพรรค ข่าวที่ออกมาตนเองไม่รู้ว่ามาจากที่ใด และใครเป็นผู้ให้ข้อมูล ตนยังไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสาน หรือทาบทามจากบุคคลหรือพรรคการเมืองใด ให้เข้ามาร่วมเล่นการเมือง เช่นที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต ตนยังไม่พร้อมที่จะเล่นการเมืองในช่วงนี้

ด้าน พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค อดีต รองอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวว่า ยังไม่ขอแสดงความคิดเห็นหากทหารจะตั้งพรรคการเมือง ใครจะทำอะไร จะต้องนึกถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

สุเมธรับ ทักษิณโฟนหาฝากให้ดูแล พท. ลั่นพร้อมรับทุกตำแหน่งในพรรค หนุน บิ๊กจิ๋วมีบารมีนั่งหัวหน้า

เว็บไซต์แนวหน้า - พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ ลับ ลวง พราง ทางสถานีวิทยุเอฟ เอ็ม 100.5 เมกะเฮิร์ต ถึงกระแสข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมผลักดันให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ว่า คิดว่า ตนยังอ่อนในเรื่องการเมือง ตนอยากให้ผู้มีความอาวุโสทางการเมือง มีทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิ และเป็นที่ยอมรับและเชื่อถือไม่ใช่ว่าใครก็ได้จะเข้าไปดำรงตำแหน่ง ต้องเป็นคนที่มีบารมีเข้าไปเป็นหัวหน้าพรรคเพราะคนในพรรคจะได้เชื่อถือ ทั้งนี้ตนยินดีที่จะช่วยทุกอย่าง จะทำหน้าที่อะไรก็ไม่เกี่ยง และคิดว่าหลังเกษียณแล้วก็อยากจะทำให้บ้านเมืองบ้าง จะทำความดีให้กับประเทศชาติ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นตำแหน่งอะไร ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ก็เป็นตัวเต็งที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคนั้น ตนคิดว่ามีความเหมาะสม เพราะท่านเป็นคนที่มีความอาวุโสทางการเมือง และเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือ และคนในพรรคก็ยอมรับได้ในสายตาตน

ได้มีการพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นระยะ ๆ ซึ่งผมก็บอกกับ พ.ต.ท.ทักษิณว่า ผมเป็นอะไรก็ได้ ขอให้ไปช่วยในพรรค ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ทำความดีให้กับประเทศชาติบ้านเมืองไว้เยอะ เมื่อตอนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ในตำแหน่งประชาชนคนไทยก็มีความสุข เมื่อก่อนประเทศไทยเป็นนัมเบอร์วัน พอเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติทุกคนก็รู้ว่าประเทศชาติเกิดอะไรขึ้น ทั้งนี้สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นห่วงมากที่สุดคือความเป็นอยู่ของคนไทย และความสามัคคี พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกล่าวหาไม่มีความจงรักภักดี พ.ต.ท.ทักษิณ บอกว่า เคยโรงเรียนเตรียมทหารมาทุกเช้า-เย็น จะต้องปฏิญาณตนในเรื่องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่จงรักภักดี ทั้งนี้ได้ติดตามสถานการณ์การเมืองตลอด และหากมีโอกาสที่จะเข้าไปช่วยงานทางการเมืองก็จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นพล.อ.อ.สุเมธกล่าว

เมื่อถามว่า ในฐานะที่เป็นเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้สึกอย่างไรที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกมองไม่ดีพล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ตนเคยสัมผัสมาหลายเรื่อง ไม่เชื่อว่าท่านจะไม่จงรักภักดี แต่บางครั้งอาจจะทำไวไป เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องอ่อนไหวมาก ในฐานะเพื่อนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือว่า เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง และดูแลเพื่อนมาตลอดไม่เคยเกี่ยง แต่จะให้ดูแลเพื่อนทุกคนให้เหมือนกันคงเป็นไปไม่ได้ ทั้งนี้เมื่อเราอยู่ด้วยกันจะไปไหนก็ไปกันอะไรจะเกิดขึ้นก็จะต้องยอมรับ จะให้เราเปลี่ยนแปลงคงทำไม่ได้เพราะอายุมากแล้ว และเป็นทหารถือว่าจะต้องมีศักดิ์ศรี อะไรจะเกิดขึ้นเราก็จะต้องยอมรับ ขอให้ความหนักแน่ และมีความจริงใจ หลังจากเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติรัฐประหาร ตำแหน่งก็ขึ้น ๆ ลง ๆ แต่ก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยว่า

เมื่อถามว่า ตอนนี้เพื่อน ตท.10 ในรุ่นมีความรู้สึกต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไร พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ความคิดในรุ่นมีความหลากหลาย และเท่าที่พูดคุยกันทั้งเพื่อนที่เกษียณและยังไม่ได้เกษียณก็ยินดีที่จะช่วยทำงาน แต่การทำงานครั้งนี้จะต้องทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งนี้การที่เพื่อน ตท.10 ถูกย้ายล้างบางถือเป็นเรื่องธรรมดาของผู้บังคับบัญชาที่จะต้องเอาบุคคลที่ไว้ใจ ตนไม่เคยน้อยใจ เพราะเป็นไปตามกติกา เมื่อถามว่า มองหรือไม่ว่าตอนนี้ ตท.10 เป็นจำเลยของสังคม เพียงแค่เป็นเพื่อน ตท.10ของพ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า มีบางส่วนที่มองแบบนั้น แต่ถ้ามีความยุติธรรมพอไม่ว่ารุ่นไหนก็ต้องมีเพื่อนที่จะต้องช่วยกันดูแล และคิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่คนแบบนั้น ทั้งนี้ก่อนที่จะเกิดการปฏิวัติประเทศชาติก็ร่มเย็นเป็นสุขมาตลอด พ.ต.ท.ทักษิณ ฝากข้อความมาถึงขอให้เพื่อน ๆ ทุกคนช่วยดูแลกัน รักกัน อย่าทิ้งกัน ถ้ามีอะไรช่วยเหลือประเทศชาติก็จะต้องช่วยกันแต่ตนก็คงไม่ได้บอกทุกคน เพียงแต่บอกคนที่ใกล้ชิดสนิทกัน

เมื่อถามว่า ความสัมพันธ์ของเพื่อน ตท.10 ระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ กับ พล.อ.อนุพงษ์ ต่างไปจากเดิมหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ตอนนี้ต่างคนต่างมีหน้าที่ และทำไปตามหน้าที่ แต่ความคิดจะต้องระลึกถึงกันตลอดเวลา และสามารถทำงานร่วมกันได้เพื่อประเทศชาติ ส่วนบทบาทของ พล.อ.อนุพงษ์ ต่อสถานการณ์ปัจจุบันตนก็เข้าใจท่าน เพราะเคยใกล้ชิดกันมาก และตนไม่เคยไปพูดว่าท่าน เพราะท่านต้องทำตามหน้าที่

เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะให้ท่านดำเนินการอย่างไร พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยกันเพียงแต่จะให้ดูแลพรรค และหาทางทำให้พรรคปรองดองกัน และให้ช่วยกันคิดหาทางดูแลประเทศชาติ เมื่อถามว่า หัวหน้าพรรคคนใหม่จำเป็นต้องเป็นคนชินวัตรหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ไม่จำเป็น แต่เป็นใครก็ได้ที่มาช่วยกันทำงาน ใครก็ได้เป็นผู้นำไม่มีปัญหา แต่ทุกคนจะต้องพร้อมช่วยกัน อย่างตนบอกท่านว่า ยินดีช่วยท่านทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตาม จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไรก็ไม่มีปัญหา

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า การเมืองทุกยุคผลัดกันขึ้นและลง เพราะคนทำงานย่อมมีข้อผิดพลาด แต่หากรัฐบาลทำดีตลอดไปประชาชนอยู่ดีมีสุข เราคงอยู่กันอย่างนี้ แต่ถ้าต่อไปมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาก็ค่อยว่ากันไป เมื่อถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูดว่าคิดถึงบ้านหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า เรื่องนี้ไม่เคยคุยกัน แต่ว่าท่านคิดถึงแน่

เมื่อถามว่า มองบรรยากาศในกองทัพขณะนี้อย่างไร พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ขณะนี้ดีไม่มีอะไร เพราะพี่ ๆ น้อง ๆ เริ่มปรองดองกันดี และเข้าใจว่า ทุกคนมีหน้าที่อะไร เมื่อถามว่า ที่ผ่านมากองทัพอากาศมีการล้างบาง ตท.10 พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ไม่มีการล้างบาง เพราะขึ้นมาตามลำดับ เมื่อถามว่า ในฐานะอดีตหัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำตัว รมว.กลาโหม อยากฝากอะไรไปถึงตัว รมว.กลาโหมคนปัจจุบัน พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า ท่านเป็นพี่ใหญ่ ตนคงไม่อาจไปแนะนะอะไรท่านได้ เพราะ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เป็นผู้อาวุโส และปกครองคนในกองทัพมากมาย ทั้งนี้อยากฝากว่า ทหารควรดูแลความมั่นคงไม่ควรไปยุ่งด้านการเมืองมากนัก เพราะจะทำให้พัวพัน และต่างชาติจะมองไม่ดี

เมื่อถามว่า หากให้พูดแทน พ.ต.ท.ทักษิณ อยากฝากอะไรถึงเพื่อน ตท.10 พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า อยากให้ทุกคนรักกัน ขอให้คิดว่า ควรจะทำอะไรให้กับประเทศชาติกันบ้าง อยากให้เพื่อนทุกคนได้อุทิศเวลาที่เหลือในชีวิตทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ เมื่อถามว่า ต้องรอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาหรือไม่ พล.อ.อ.สุเมธ กล่าวว่า แล้วแต่จังหวะ ถึงแม้ว่าท่านจะไม่กลับมาพรรคเราก็จะดำเนินการไป แต่ขอให้มีอุดมคติเพื่อช่วยประเทศชาติ

ใต้ป่วน ยิงM-79ใส่โรงพักโชคดีไม่โดน จากนั้นวางระเบิดอีก10กก.

เว็บไซต์สยามรัฐ - เจ้าหน้าที่ตำรวจหน่วยปฎิบัติการพิเศษ จ.นราธิวาส ชุดเก็บกู้วัตถุระบเบิด เหยี่ยวดงได้รับแจ้งประสานจากเจ้าหน้าที่ สภ.ศรีสาครว่า พบวัตถุต้องสงสัย สันนิษฐานเป็นวัตถุระเบิดอยู่บริเวณเสาไฟฟ้า ห่างจากสภ.ศรีสาครประมาณ 100 เมตร เจ้าหน้าที่จึงได้เดินทางรุด เข้าไปตรวจสอบ โดยได้ตัดสัญญานมือถือ ทุกระบบ และเปิดระบบกวนสัญญานรีโมทคอลโทรน พร้อมเข้าเคลียร์ ใช้เครืองจีที 200 ตรวจสอบรอบบริเวณ เพื่อป้องกันและตรวจหาวัตถุระเบิดที่คนร้ายอาจซุกจุดชนวนระเบิดซ้อน

จากนั้นจึงได้เก็บกู้ ตรวจสอบเป็นระเบิดแสวงเครื่อง บรรจุในกล่องเหล็ก น้ำหนักประมาณ 10 กก.จุดชนวนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า คนร้ายระเบิดเพื่อสังหารเจ้าหน้าที่ โดยคนร้ายได้นำมาฝังไว้ใกล้กับเสาไฟฟ้าริมถนนสายรือเสาะ ศรีสาคร หวังดักสังหารเจ้าหน้าที่ที่มาตรวจจุดเกิดเหตุ และอีก 2 จุด คนร้ายได้ลอบวางระเบิดไว้ที่บริเวณหลังจุดตรวจเฉลิมไชย ซึ่งห่างจาก สภ.ศรีสาคร ประมาณ 1 กม.เพื่อสกัดกั้นกำลังที่จะเข้ามาสนับสนุน และจุดที่ 2 คนร้ายได้วางระเบิดที่บริเวณข้างปั้มน้ำมัน ป.ต.ท.ห่างจาก สภ.ศรีสาคร ประมาณ 500 เมตร เพื่อป้องกันการส่งกำลังจากพื้ นที่ อ.รือเสาะ ทั้ง 2 จุด ไม่มีใครได้รับบาดเจ๊บ

โดยก่อนหน้านี้ เมื่อเวลา 21.20 น.วันที่ 29 ที่ผ่านมา คนร้ายไม่ทราบกลุ่มจำนวน ซึ่งใช้บริเวณป่าสวนยางพารา ตรงข้าม สภ.ศรีสาคร เป็นพื้นที่ซุ่ม โดยคนร้ายใช้อาวุธปืนสงคราม และเครื่องยิงลูกระเบิด เอ็ม 79 จำนวน 2 ลูก และใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงถล่มใส่ อาคารโรงพัก ศรีสาคร จนเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจนเกิดการยิงปะทะกันขึ้นนานกว่า 20 นาที ซึ่งโชดดีที่ลูกระเบิดเอ็ม 79 ตกที่บริเวณพื้นสนามหน้า สภ.มีหลุมกว้าง 1 ฟุต ลึก 3 นิ้ว ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต

โดยเจ้าหน้าที่ได้ต้องยิงตอบโต้ คนร้ายนานกว่า 20 นาทีเพื่อไม่ให้คนร้ายลอบเข้ามายิงในระยะใกล้ ก่อนที่คนร้ายจะอาศัยความมืดและความชำนาญพื้นที่หลบถอยหนีไป ซึ่งลูกระเบิดโดยเจ้าหน้าได้แต่รักษาการณ์ เนื่องจากหวั่นคนร้าย วางแผนลวง เพื่อดักสังหารเจ้าหน้าที่ขณะไล่ล่า และเมื่อช่วงเช้าของวันใหม่ เจ้าหน้าที่จึงกระจายกำลังตรวจสอบพื้นที่ จึงได้พบวัตถุระเบิดดังกล่าว และเก็บกู้ไว้ได้ท่วงที

เทือกฟุ้งทุ่มงบ 63,000 ล้าน แก้ปัญหาไฟใต้

เว็บไซต์ไทยรัฐ - "สุเทพ เทือกสุบรรณ"ประชุมหน่วยงานในพื้นที่ภาคใต้ ย้ำรัฐบาลเตรียมทุ่มงบประมาณกว่า 63,000 ล้าน พัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เน้นการสร้างอาชีพเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชน ตั้งเป้าเสร็จสิ้นทั้งหมด 2,900 หมู่บ้านในปี 2555

ที่ห้องประชุมกองอำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ค่ายสิรินธร อ.ยะรัง จ.ปัตตานี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังประชุมร่วมกับ หน่วยงานด้านความมั่นคงเพื่อพัฒนา และแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า ที่ประชุมได้พูดคุยและซักซ้อมการทำงาน เพื่อวางแผนในการพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้กำหนดแผนจัดงบประมาณเอาไว้ให้ มีตารางเวลาที่จะต้องทำงานให้สำเร็จชัดเจน คือ เริ่มพัฒนาตั้งแต่ ปี2552 เสร็จสิ้นปี 2555 ตั้งงบประมาณกว่า 63,000 ล้านบาท เร่งส่งเสริมอาชีพให้กับคนในพื้นที่ โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายชัดเจนว่าในปี 2552 นี้ จะดำเนินโครงการดังกล่าว ทั้งสิ้น 696 หมู่บ้าน ในหมู่บ้านที่ยากจน และตั้งเป้าดำเนินการทั้งหมด 2,900 กว่าหมู่บ้าน

รองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า การดำเนินงานครั้งนี้ มีการวางแผนงานที่ค่อนข้างจะละเอียดชัดเจนกว่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ลงมาซักซ้อมกับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ ทั้งฝ่าย ศอ.บต.,กอ.รมน. และส่วนราชการต่าง ๆ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะถึงวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่ในวันที่ 1 ตุลาคม 2552 ทุกส่วนราชการจะต้องมีบัญชีรายชื่อเกษตรกร ประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน และนอกจากจะเพิ่มระดับรายได้ให้กับประชาชนแล้ว รัฐบาลยังต้องการให้ประชาชนได้รับการบริการในส่วนที่เป็นความจำเป็นอย่างทั่วถึง เช่น การใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค น้ำทำนา ถนนไร้ฝุ่น การปรับปรุงสถานีอนามัย การปรับปรุงโรงพยาบาล สถานศึกษาโครงการทางด้านศิลปวัฒนธรรมทั้งหลาย ส่วนงบประมาณที่จะนำมาพัฒนาพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ งบประมาณปกติที่ผ่านมา และงบเงินกู้ตามพรก. และพรบ. ที่รัฐบาลกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งจากนี้ไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเร่งดำเนินการตามที่ตกลงกัน ตนก็จะลงพื้นที่ทุกสัปดาห์ เพื่อติดตามความก้าวหน้าของผลการดำเนินงานด้วย

เศรษฐกิจ สังคม

สภาพัฒน์เบรค โครงการลงทุนกฟน.และรฟท. 2.1 หมื่นล้าน

เว็บไซต์ไทยรัฐ - หลังนำสมมติฐานเก่าตั้งแต่ปี 2544 มาเสนอในแผนลงทุนใหม่ ชี้แม้อยู่ในแผนลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 แต่รัฐวิสาหกิจต้องทำให้ถูกฏระเบียบ

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.) กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการสศช. (บอร์ด สศช.) ว่า บอร์ด สศช.ได้ให้เวลา 6 เดือนเพื่อให้การไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)กลับไปทบทวนสมมติฐานประมาณการรายรับของ โครงการ โดยเฉพาะมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากไฟฟ้าดับในเขตจำหน่ายไฟฟ้า ของกฟน. โดยพิจารณาถึงการขยายตัวของธุรกิจและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น มาประกอบการพิจารณาแผนงานเปลี่ยนระบบสายอากาศเป็นสายใต้ดิน ใช้เวลาดำเนินการ 8 ปี ระหว่างปี 2552-2559 ของการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.) วงเงินลงทุน 6,057.15 ล้านบาท

ทั้งนี้ กฟน.ได้เสนอใช้เงินกู้ 3,900 ล้านบาท และเงินรายได้ของ กฟน. 2,157.15 ล้านบาท เพื่อปรับเปลี่ยนระบบสายไฟฟ้าจากสายอากาศเป็นใต้ดิน ใน 2 โครงการ คือ โครงการรัชดาภิเษก-อโศก เริ่มจากถนนรัชดาภิเษก จากแยกถนนพระราม 9 -ถนนพระราม 4 ระยะทาง 10.1 กม. และโครงการรัชดาภิเษก-พระราม 9 ระยะทาง 15.3 กม. ซึ่งบอร์ด สศช.เห็นว่า ดำเนินการดังกล่าวจะมีประโยชน์ในการรองรับความมั่นคงของระบบไฟฟ้าในย่าน ธุรกิจได้ แต่การจัดทำข้อสมมติฐานต่าง ๆ ของโครงการของ กฟน.เป็นผลการศึกษาที่ทำไว้ตั้งแต่ปี 2544 จึงต้องมีการคำนวณเพื่อหาผลตอบแทนของแผนงานใหม่ พร้อมกันนี้ให้ กฟน.ประสานกับกรุงเทพมหานคร และหน่วยงานด้านสาธารณูปโภค เช่น บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันลงทุนนำสายไฟและ สายโทรศัพท์ลงใต้ดิน เนื่องจากบนถนนสีลมสายไฟฟ้าลงใต้ดินแล้วแต่ไม่ได้นำสายโทรศัพท์ลงใต้ดิน จึงทำให้ทัศนียภาพยังไม่สวยงาม รวมทั้งให้ร่วมกับกรุงเทพมหานครพิจารณาพื้นที่ท่องเที่ยว เช่น ถนนหน้าพระลาน และถนนข้าวสาร เพื่อนำสายไฟลงใต้ดินด้วย

อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินของ กฟน.ครั้งนี้เป็นระยะทาง 25.4 กม. จากแผนภาพรวมทั้งหมดที่จะทำ 180 กม. แบ่งเป็นโครงการระยะที่ 1 ปี 2551-2564 ระยะ 119 กม. โดยที่อยู่ระหว่างดำเนินโครงการคือ โครงการปทุมวัน-จิตรลดา-พญาไท โครงการพระราม 3 และโครงการนนทรี ส่วนระยะที่ 2 อีก 61 กม. ตั้งแต่ปี 2555-2565

รองเลขาธิการ สศช. กล่าวต่อว่า บอร์ด สศช.ยังให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ไปทบทวนข้อเสนอปรับปรุงทางระยะที่ 5-6 รวม 586 กม. วงเงิน 15,287 ล้านบาท ซึ่งเป็นเส้นทางสายภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในระยะที่ 5 จากสถานีชุมทางแก่งคอย-แก่งเสือเต้น สถานีสุรนารายณ์-ชุมทางบัวใหญ่ และสถานีถนนจิระ-ชุมทางบัวใหญ่ รวม 308 กม. วงเงิน 8,508 ล้านบาท ส่วนระยะที่ 6 ช่วงชุมทางบัวใหญ่-หนองคาย 278 กม. วงเงิน 6,779 ล้านบาท เป็นการลงทุน 4 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2552 เนื่องจากรางเก่ามีอายุใช้งานนานถึง 30 ปี ประกอบดับมีปัญหาดินทรุด โคลนถล่ม

บอร์ด สศช.พิจารณาได้หารือเรื่องนี้แต่ยังไม่อนุมัติ พร้อมกับให้ รฟท.กลับไปจัดทำแผนธุรกิจมาเสนอภายใน 6 เดือน เนื่องจากแผนที่เสนอมาจัดทำไว้ตั้งแต่ปี 2544 อีกทั้งขอให้ รฟท.ดูภาพรวมว่าเมื่อได้ลงทุนปรับปรุงรางแล้วจะมีแผนเพิ่มปริมาณผู้โดยสาร และการใช้บริการบรรทุกสินค้าได้เท่าใด เนื่องจากแนวโน้มในปัจจุบันคนใช้บริการรถไฟลดลง และหันไปใช้บริการเครื่องบินราคาประหยัดและการเดินทางรถยนต์มากขึ้น นอกจากนั้น ให้พิจารณาแผนการปรับปรุงโครงสร้างของ รฟท.ก่อนว่าจะจัดการองค์กรอย่างไรนายอาคม กล่าว

รองเลขาธิการ สศช. กล่าวด้วยว่า แม้ว่าแผนการลงทุนที่ รฟท.เสนอมาจะบรรจุอยู่ในโครงการลงทุนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ของรัฐบาล แต่รัฐวิสาหกิจก็ต้องทำให้ถูกฏระเบียบ เพื่อให้เมื่อเริ่มต้นปีงบประมาณ 2553 จะได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการได้

ผู้ค้าปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด 80 สต.พรุ่งนี้

เว็บไซต์ไทยรัฐ - ผู้ค้าน้ำมัน ปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิด ลิตรละ 80 สตางค์ วันพรุ่งนี้ ส่งผลให้เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 32.34 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 28.54 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 27.74 บาท และดีเซลลิตรละ 25.39 บาท...

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ค้าน้ำมันทุกรายประกาศปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศทุกชนิดลิตร ละ 80 สตางค์ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 05.00 น.วันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.52) เนื่องจากค่าการตลาดอยู่ในระดับต่ำ หลังสถานการณ์ราคาในตลาดโลกปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันขายปลีกในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล วันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 32.34 บาท, แก๊สโซฮอล์ 95 ลิตรละ 28.54 บาท, แก๊สโซฮอล์ 91 ลิตรละ 27.74 บาท และดีเซลลิตรละ 25.39 บาท

หมอระบุชิคุนกุนยาเป็นครั้งเดียวในชีวิต-ไม่ถึงตาย

เว็บไซต์ไทยรัฐ - ย้ำไม่ทำให้ถึงตาย ไม่มีวัคซีนป้องกัน เตือนปชช.นอนกลางวันอย่าให้ยุงกัน เผยอีสานใต้มีผู้ป่วยแล้ว 13 ราย ส่วนใหญ่มีอาชีพทำงานภาคใต้...

นายแพทย์ศรายุทธ อุตตมางคพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดอุบลราชธานี กล่าวถึงสถานการณ์โรคชิคุนกุนยา หรือโรคไข้ปวดข้อ ล่าสุดว่า มีผู้ป่วยในเขตพื้นที่รับผิดชอบ 7 จังหวัดภาคอีสานตอนล่าง รวม 13 ราย คือ ผู้ป่วย ที่จังหวัดศรีสะเกษ 2 ราย เป็นทหารที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ส่วนผู้ป่วยที่จังหวัดอุบลราชธานี มีจำนวน 1 ราย และผู้ป่วยในพื้นที่จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 10 ราย โดยผู้ป่วยดังกล่าวมีประวัติการไปทำงานสวนยางที่ ต.ตาเนาะแมเลาะ อ.เบตง จ.ยะลา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคชิคุนกุนยา โดยมีข้อมูลพื้นฐานของราษฎรในพื้นที่ พบว่า กว่าร้อยละ 20 จะมีอาชีพรับจ้างทำสวนยางพาราในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ โดยราษฎร จะเดินทางไปกลับภูมิลำเนาเป็นระยะๆ สำหรับการป้องกันและควบคุมโรคให้อยู่ในวงจำกัด นั้น ได้เน้นการเฝ้าระวังผู้ป่วยรายใหม่ หากพบรายใดมีไข้ มีผื่นแดงขึ้น และปวดข้อ ขอให้นึกถึงโรคไข้ปวดข้อ และแจ้งสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ทันที เพื่อควบคุมโรคไม่ให้แพร่ระบาดอย่างทันท่วงที

ผู้อำนวยการสำนักงานควบคุมโรคที่ 7 อุบลราชธานี กล่าวต่อว่า โรคไข้ปวดข้อ ไม่ใช่โรคใหม่ เคยพบในประเทศไทยมานานแล้ว เกิดจากยุงลายสวนกัด เมื่อป่วยแล้วจะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต ไม่ป่วยซ้ำอีก ไม่ทำให้เสียชีวิต ไม่มีวัคซีนป้องกัน ไม่มียารักษาโดยเฉพาะ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง โดยอาการไข้จะหายภายใน 3-7 วัน แต่อาการปวดข้อ จะยังอยู่เป็นสัปดาห์หรืออาจถึงเดือน แต่อาการจะหายได้เอง ไม่ต้องกังวลใจ สำหรับการป้องกันโรค ประชาชนต้องป้องกันไม่ให้ยุงกัด โดยนอนในมุ้งขณะนอนกลางวัน ช่วยกันกำจัดลูกน้ำยุงลายทั้งในบ้าน และนอกบริเวณบ้านในรัศมีประมาณ 10 เมตร เพื่อลดปริมาณยุงลาย

อุตุฯเตือน4จ.เหนือเสี่ยงฝนถล่ม-น้ำป่าทะลัก

เว็บไซต์คมชัดลึก - อุตุฯภาคเหนือ เตือน 30-31 พ.ค.รับมือฝนตกหนักกระจาย 60% ของพื้นที่ สั่งจับตา 4 จังหวัดเสี่ยงภัย ขณะที่ปภ.น่าน เตรียมพร้อมดึงอปท.อบรมรับมืออุทกภัย วางแผนเฝ้าระวัง 2 ส่วนหวั่นซ้ำรอยปี 51 "บ้านห้วยธนู" ถูกน้ำพัดหายกว่า 8 หลังคาเรือน

นายวรพจน์ คุณาวิวัฒนางกูร เวรพยากรณ์อากาศ ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ เปิดเผยว่า ช่วง 1-2 วันนี้ (30-31 พ.ค.) ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่านภาคเหนือตอนบนและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประกอบกับลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย

โดยส่งผลให้ภาคเหนือมีฝนฟ้าคะนองกระจายร้อยละ 60 ของพื้นที่ และมีลมกรรโชกแรง โดยจะเติ่มตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงเย็นของวันนี้ (30 พ.ค.)และพื้นที่ในภาคเหนือที่ต้องเฝ้าระวังและจับตาน้ำท่วม น้ำป่าไหลหลาก และโคลนถล่ม มี 4 จังหวัด คือ จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน โดยเฉพาะในพื้นที่เชิงเขา พื้นที่ลุ่มน้ำ

ขณะที่นายธวัช เพชรวีระ ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดน่าน กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการวางแผนปฏิบัติการรับมือน้ำท่วมล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากพื้นที่จ.น่านแต่ละอำเภออยู่ห่างไกล เมื่อเหตุอุทกภัย ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก การจะเข้าช่วยเหลือให้ทันท่วงทีเป็นเรื่องที่ยากลำบาก

โดยได้ประสานความร่วมมือไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 15 อำเภอ ให้ส่งตัวแทนเข้ารับการอบรมวิธีการเฝ้าระวังอุทกภัย รวมถึงวิธีการอพยพชาวบ้านออกนอกพื้นที่เสี่ยงภัยเบื้องต้นกรณีฉุกเฉินและเจ้าหน้าที่ปภ.ไม่สามารถไปถึงสถานที่เกิดเหตุได้ทัน

ทั้งนี้ ยังมอบหมายให้มีการแต่งตั้งมิสเตอร์เตือนภัยหมู่บ้านละ 2 คนทำหน้าที่ประสานงานและจับตา รายงานความเคลื่อนไหวของสถานการณ์น้ำในพื้นที่ ร่วมกับชุดอปพร.หมู่บ้าน และชุดเฝ้าระวัง เพื่อรายงานข้อมูลมายังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และแจ้งต่อปภ.น่าน ต่อไป

นายธวัช กล่าวต่ออกีว่า สำหรับพื้นที่เสี่ยงของจังหวัดน่านจะมีทั้งหมด 302 หมู่บ้าน กระจายอยู่ใน 15 อำเภอ โดยแผนรับมือในปีนี้จะเฝ้าระวัง 2 ส่วน คือ ส่วนแรกบริเวณลำน้ำน่าน ที่ทุกปีจะเกิดน้ำเอ่อล้นเข้าท่วมหมู่บ้าน และส่วนที่ 2 คือบริเวณร่องน้ำ ไหล่เข่า ที่ชาวบ้านไปรุกล้ำที่แนวลำน้ำสาขาต่างๆ

ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับปี 2551 ที่บ้านห้วยธนู อ.ท่าวังผา ที่โดนน้ำป่าไหลหลากและโคลนถล่มส่งผลให้บ้านเรือนกว่า 8 หลังคาเรือนถูกน้ำพัดหายไป อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ในปีที่ผ่านมาทางจังหวัดน่านจึงได้สั่งอพยพชาวบ้านที่บ้านห้วยธนู และจัดหาพื้นที่ให้อยู่ใหม่จำนวน 29 หลังคาเรือน

ชาวนาพิจิตรเตรียมประท้วงราคาข้าวเหลือ 7-8 พันบาท

เว็บไซต์สยามรัฐ - นางมิ่งขวัญ พุกเปี่ยม หรือ เจ๊หนิงประธานชมรมโรงสีข้าว จ.พิจิตร เปิดเผยว่าขณะนี้สมาชิกชมรมโรงสีข้าวพิจิตรกว่า 20 โรงสี ที่เคยเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าว โดยประกาศหยุดรับจำนำข้าวแล้ว โดยจังหวัดพิจิตรมีข้าวเปลื อกเข้าโครงการรับจำนำประมาณ 6 หมื่นตันเศษ ซึ่งการหยุดรับจำนำแบบกะทันหันทำให้ชาวนาพิจิตรที่ทำนาปรังกัน 2 ปี 7 ครั้ง ปรับตัวไม่ทัน และยังมีปริมาณข้าวเหลือรอเก็บเกี่ยวในช่วงนี้อีกไม่ใช่น้อย

โดยช่วงนี้โรงสีประกาศรับซื้อด้วยเงินสดเพียงตันละ 7,800 – 8,200 บาท วันนี้ชาวนาบางคนที่เก็บเกี่ยวข้าวแล้วจะนำมาจำนำในราคาตันละ 1,2000 บาท แต่พอรู้ว่ารัฐบาลไม่รับจำนำก็ทำให้ขาดทุน เพราะคำนวณต้นทุนไว้ตามราคาที่จำนำ ถึงกับร้องไห้โฮ เพราะต้องขาดทุนย่อยยับ เพราะการระงับโครงการก่อนกำหนด 2 เดือน ทำให้ชาวนาที่ก่อนหน้านี้ตั้งความหวังว่าจะรวยด้วยการทำนา กลับต้องมาขาดทุน เพราะการไม่ประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า เช่นนี้

ในส่วนของนายสมเกียรติ โสภณพงศ์พิพัฒน์ ประธานชมรมสหกรณ์จังหวัดพิจิตรเปิดเผยว่า จากกรณีความไม่แน่นอนของการระบายข้าวของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในขณะนี้ส่งผลกระทบให้กับชาวนาจังหวัดพิจิตรโดยตรงอย่างใหญ่หลวง ต้นเหตุเกิดจาก อคส.และ อตก. ได้สั่งให้หยุดรับจำนำข้าวนาปรังของเกษตรกรไปเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 52ที่ผ่านมา ทั้งๆที่โครงการจะต้องไปสิ้นสุดวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 ทำให้ผลผลิตข้าวนาปรังของชาวนาพิจิตร ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวได้

ในหลายหมื่นไร่ ที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงกลางเดือนมิถุนายน จนถึง กรกฏาคม 2552 ที่จะถึงนี้ และจากการที่รัฐบาลไม่มีการประชาสัมพันธ์ล่วงหน้า ส่งผลให้ราคาข้าวในตลาดลดลง ซึ่งชาวนาสามารถจำนำข้าวและจะได้ราคาจริงหลังหักทั้งสิ่งเจือปนและความชื้นราคาจะอยู่ที่ตันละ 9,300 – 10,000 บาท แต่เมื่อต้องขายสดจะได้ราคา ตันละ 7,000 บาทเท่านั้น เรียกว่าขาดทุนย่อยยับ

นายสมเกียรติ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า จากการที่รัฐบาลต้องการแก้ไขปัญหาของโครงการรับจำนำข้าวนั้น หากรัฐบาลมีความจริงใจในการแก้ปัญหาโดยเห็นผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลักแล้วนั้นการประกันราคาข้าวจะส่งผลดีกั บรัฐบาลและชาวนาในระยะยาวมากกว่า เพราะประโยชน์จะเกิดขึ้นกับชาวนาทั้งสองกรณีคือราคาข้าวตกต่ำ หรือราคาข้าวที่แพงกว่าราคาประกัน และในส่วนที่รัฐบาลจะได้ผลดีกรณีที่ไม่ต้องขาดทุนทุกครั้งที่มีการประมูลข้าวเพื่อระบายข้าวสู่ตลาด ซึ่งที่ผ่านมาจะขาดทุนถึงปีละ 13,000 ถึง 20,000 ล้านบาท ส่วนกรณีของโรงสีอาจจะไม่ชอบใจนักที่หยุดโครงการรับจำนำ เพราะจะเสียประโยชน์ที่เคยได้รับ เป็นผู้รับจ้างดำเนินโครงการรับจำนำได้ค่าตอบแทนทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นค่าแปรรูป ค่าชั่งนำหนัก ค่าสีข้าว ค่าเก็บรักษา ค่าส่วนต่างเปอร์เซ็นต์ความชื้น เรียกว่าได้ทุกประตูทั้งประโยชน์โดยตรงและทางอ้อมจากการเข้าร่วมโครงการ

โดยสรุปการทำงานของรัฐบาลที่ไม่มีรูปแบบ จึงส่งผลความเดือดร้อนของชาวนาที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งถ้าเดือดร้อนกันแบบนี้ อีกไม่เกิน 7 – 10 วัน ชาวนารวมตัวกันติดเมื่อไหร่คงมีการโต้ตอบด้วยการปิดถนนประท้วง เช่นเคย คราวนี้แหละคงเดือดร้อนกันทั้งประเทศ เพราะการประท้วงปิดถนนอย่างที่เคยทำแล้วได้ผลมาแล้ว นั่นเอง

6 ปีไม่ได้พบ "ป๋า" ทรมานใจ รักเหมือนพ่อ

ไทยโพสต์ - "ถ้ากล้าถาม ก็กล้าตอบและยืนยันว่าไม่มีแน่นอนเอ้า...พูดกันตรงๆ เลยว่า แค่หอมแก้ม เพราะมีเคารพรักท่าน ท่านก็เหมือนพ่อผมรักท่านเหมือนพ่อ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ"

ความในใจของ "หนุ่มเสก" หรือ "เสกสรร ชัยเจริญ" อดีตนักร้องชื่อดังคนแรกของคีตา เรดคอร์ดสซึ่งเข้าได้เปิดเผยให้ "เรา" ทราบถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ "ป๋า" พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

เป็นครั้งแรกที่เขาได้ระบายความในใจต่อสาธารณะชน หลังหลายปีที่ผ่านมา "หนุ่มเสก" กลายเป็นตัวละครสำคัญ ที่ถูกหยิบใช้เป็นเครื่องมือ โจมตีและทำลายความน่าเชื่อถือของ "ป๋า" โดยเฉพาะห้วงเวลาของความขัดแย้งทางสังคม-การเมือง หลังรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 ที่ พล.อ.เปรม ถูกระบุว่าอยู่เบื้องหลังการยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

ความเคารพรักเหมือนพ่อ-ลูก ที่ "หนุ่มเสก" มีให้กับ "ป๋า" ได้ถูกกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่มแปลงนิยามคำว่า "เคารพรักเหมือนพ่อ" ใหม่ เป็นความรักระหว่าง "ฉันและเธอ" หรือ "เด็กป๋า" อันเป็น "ศาสตราวุธ" ทรงแสนยานุภาพ ของกลุ่มที่ผลิต-คิดค้นขึ้นบนฐานของความเกลียดชัง และไม่สนใจข้อเท็จจริงเป็นเช่นใด หวังเพียงแค่ "ล้มป๋า-ทำลายป๋า" เพราะพวกเขาเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ของ "อำมาตย์"

เรามีโอกาสได้ยืนคุยอย่างเป็นกันเองกับ "หนุ่มเสก" ในฐานะเป็นผู้อำนวยการโรงละครอักษรา ระหว่างที่เขานำคณะหุ่นละครเล็ก อักษรา ภายใต้การดูแลของ บริษัทคิงเพาเวอร์ ไปแสดงในพิธีเปิดโครงการกู้วิกฤติเศรษฐกิจตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

แม้มีโอกาสคุยกันไม่กี่สิบนาที แต่ทุกประโยคทมุกคำพูดที่ "หนุ่มเสก" เปิดใจให้เราฟังนั้น น่าจะทำให้เกิดความกระจ่างชัด ต่อข้อกล่าวหาความสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบ "ฉันรักเธอ" หรือแบบ "เด็กป๋า" ระหว่างเขากับ พล.อ.เปรม ในรอบปลายปีที่ผ่านมา ซึ่ง "หนุ่มเสก" บอกว่า "ยินดีให้เราเผยแพร่ความรู้สึกของเขาต่อสาธารณะได้"

หนุ่มเสกเล่าว่า "ในช่วงที่มีการชุมนุมและมีการโจมตีป๋าอย่างรุนแรง รุมสงสารท่าน ในขณะนั้น รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมกับท่าน อยากจะออกมาตอบโต้หรือขึ้นเวทีปกป้องอ เพราะสิ่งที่พูดนั้นไม่เป็นความจริงท่านเป็นปูชนียบุคคลที่ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองมาตลอด แต่ไปพูดถึงท่านเสียๆ หายๆแถมไปก้าวล่วงถึงเรื่องส่วนตัว ทั้งที่ไม่เป็นความจริงแม้แต่น้อย"

"แถมยังมีพาดพิงถึงผมด้วย ว่าทำนองว่าไปมีอะไรกับท่าน เป็นเรื่องที่ไม่จริงและน่าเกลียดที่สุด แต่ว่าผู้ใหญ่ที่ผมนับถือห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะกระทบต่อป๋า หากออกไปก็จะยิ่งทำให้กลุ่มที่ชุมนุมนำไปเป็นประเด็นโฟกัส โจมตีถึงท่านอีก ซึ่งมันไม่แฟร์"

เราถามไปว่า ไม่ได้มีอะไรอย่างที่กล่าวหาหรือ "หนุ่มเสก" ตอบตรงไปตรงมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า "ถ้ากล้าถาม ก็กล้าตอบ และยืนยันว่าไม่มีแน่นอน เอ้า...พูดกันตรงๆ เลยว่า แค่หอมแก้ม เพราะผมเคารพรักท่าน ท่านก็เหมือนพ่อ ผมรักท่านเหมือนพ่อ ท่านเป็นผู้มีพระคุณ ส่วนท่านก็คิดว่าผมเป็นลูก ท่านน่ารักมาก ท่านรักผมเหมือนลูกนี่ผมพูดได้เลยนะ ผมไม่เคยพูดที่ไหน เพราะผมอยากให้เลิกพูดกันเสียๆ หายๆ สักที"

"ผมดูได้เต็มปากเลยว่าผมเองก้เป็น "ลูกป๋า" คนหนึ่ง เพราะทำงานใกล้ชิดรับใช้ท่าน ท่านมีความเมตตาสูงให้โอกาสทุกอย่าง เคยกราบเท้าท่านคือผู้มีพระคุณ เปรียบเหมือนพ่อ"

"ผมยืนยัน ไม่เคยขอเงินท่านแต่ท่านเคยให้ เพราะเมตตา แต่เมื่อสิ่งที่ท่านให้โอกาสและเราไม่สามารถทำมันให้ประสบความสำเร็จได้ เราก็รู้สึกละอาย แต่ก็จำคำที่ท่านสั่งสอนตลอดว่า คนเราเมื่อล้มแล้วต้องลุกขึ้นให้ได้ ทุกวันนี้ผมยืนอยู่ได้เพราะกำลังใจและคำสอนของท่าน จึงยืนอยู่ด้วยขาตัวเอง"

อย่างไรก็ตาม กว่า 6 ปีแล้วที่ "หนุ่มเสก" ไม่เคยได้เข้าพบกับ พล.อ.เปรม โดยเจ้าตัวเข้าใจว่ามีบางคนกีดกันไม่ให้เข้าพบเพียงแต่ไม่ได้บอกว่าคนที่กีดกันคือใคร?

"เป็นเวลา 6 ปีแล้วที่ไม่ได้พบ พล.อ.เปรม บุคคลที่มีบุญคุณและเคารพรักที่สุดในชีวิต เพราะถูกคนใกล้ชิดของ พล.อ.เปรมกีดกันโดยไม่ทราบสาเหตุ การพบกันครั้งสุดท้ายก็เมื่อตอนที่ผมดำรงสมณเพศเป็นพระบวชอยู่ที่วัดทุ่งเศรษฐี ย่านบางนา ซึ่งพล.อ.เปรมได้แจ้งให้ไปรับบาตรที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ ซึ่งผมก็ถ่ายภาพในควงามทรงจำครั้งนั้นเก็บไว้ จากนั้นผมก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบท่านอีกเลย"

"ณ วันนี้ยังคิดถึงตลอดเวลา และรักท่านเสมอ ก็รู้สึกทรมานใจ แต่ไม่มีโอกาสไปพบท่าน เพราะถูกกีดกัน แม้ทุกวันนี้จะไม่ได้พบ แต่ก็ระลึกถึงท่านเสมอ และถ้าชีวิตนี้ยังไม่สิ้น ต้องกลับไปหาท่านให้ได้ กลับไปให้ป๋าได้ภูมิใจ ไม่ได้คิดจะไปรบกวนท่านเลยทุกวันนี้เป็นตนและมาถึงขนาดนี้ได้เพราะกำลังใจจากป๋า"

ปัจจุบัน เขามีความสุขและทุ่มเทกับงานในฐานะเป็นผู้อำนวยการโรงละครอักษรา "จะดูแลคณะหุ่นละครเล็ก ที่สืบทอดศิลปะจากครูสาคร ยังเขียวสด โดย คณะลูกศิษย์ ให้ประสบความสำเร็จให้ได้ถ้ายังล้มเหลว ผมก็คงไม่กล้าไปหาท่าน แต่ถ้าเมื่อวันนั้นมาถึงผมจะไปหาท่านและกราบเท้าท่านอย่างเต็มภาคภูมิ"

ส่วนข่าวลือที่ระบุว่ากำลังมีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะผู้ทรงอิทธิพลในแวดวงสถานบันเทิงกลางคืนนั้น เขาบอกว่า "เป็นธรรมดาของคนที่เคยประกอบธูรกิจด้านนี้ เขาต้องพบปะคนมาก และประสานงานในการนำเสนอการแสดง อย่าไปมอง่าเป็นมาเฟียหรือผู้ทรงอิทธิพล"

เมื่อพูดคุยกันจบแล้ว "หนุ่มเสก" ได้ เดินไปส่ง "เจเจ" จุลจิตต์ บุณยเกตุ ในฐานะที่ดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการบริหารสถานทีโทรทัศน์กองทัพบก และรองประธานบริหารกลุ่มบริษัทคิงเพาเวอร์ ที่เขาบอกว่า "เป็นนายที่มีพระคุณ"

นี่อาจจะเป็นเพราะอัธยาศัย มนุษยสัมพันธ์ที่ดี ช่างพูด ประกอบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มสดใส ของ "หนุ่มเสก" แม้จะอายุเลยวัย "ทีนเอจ" มาแล้ว แต่ด้วยเอกลักษณ์เก่าผสมลุคส์ใหม่ จนกลายเป็น "หนุ่มเสก สกินเฮด" ล้วนแต่เป็นลักษณะที่ทำให้ "ผู้ใหญ่" ไม่ว่าอาชีพใด วัยใด ต่างก็เอ็นดูเป็นธรรมดา

ต่างประเทศ

อิหร่านแขวนคอ 3มือระเบิด ถล่มมัสยิดดับ25ศพ

เว็บไซต์ไทยรัฐ - สำนักข่าวอิหร่าน อ้างกระทรวงยุติธรรม เผย 3 ผู้ต้องหาจัดหาระเบิดให้คนร้ายก่อเหตุโจมตีมัสยิด เมื่อวันศุกร์ จนมีผู้เสียชีวิต 25 ศพ ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอแล้วเมื่อวันเสาร์หลังศาลมีคำพิพากษา...

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ สำนักข่าวไออาร์เอ็นเอ (IRNA) ของอิหร่าน รายงานวันเดียวกันนี้ ว่ากระทรวงยุติธรรมท้องถิ่นจังหวัดซิสถาน-บาลูเชสถานของประเทศอิหร่าน อยู่ติดพรมแดนกับประเทศปากีสถานและอัฟกานิสถาน เผยว่าผู้ต้องหา3คน ผู้จัดหาวัตถุระเบิดให้ชายคนหนึ่งก่อเหตุระเบิดโจมตีมัสยิดในจังหวัดข้างต้น เมื่อวันศุกร์ จนมีผู้เสียชีวิต 25 คน ถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอแล้วในวันเสาร หลังศาลตัดสินว่าทั้งสามคนกระทำความผิดจริง ทั้งหมดถูกแขวนคอก่อนพิธีศพของเหยื่อจะมีขึ้น

ด้าน "จุนดัลเลาะห์" กองกำลังอิสลามนิกายสุหนี่ ออกมาอ้างรับผิดชอบเหตุระเบิด แต่ก่อนหน้านี้ผู้ว่าราชการจังหวัดซิสถาน-บาลูเชสถาน ออกมากล่าวหาว่าสหรัฐอเมริกา เป็นผู้ว่าจ้างคนร้ายมาก่อเหตุ

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker