
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
การ ชุมนุม "ฟ้องฟ้า" ของคุณสมบัติ บุญงามอนงค์ ที่สี่แยกราชประสงค์ เป็นเรื่องที่น่าสำเหนียกแก่กลุ่มชนชั้นนำที่ร่วมกันชักใยการเมืองไทยอยู่ใน เวลานี้
จำนวนของผู้เข้าร่วมกิจกรรมมากเกินคาดของทุกฝ่าย   แม้แต่ของผู้จัดการชุมนุมเอง การจราจรถูกปิดไป "โดยปริยาย"   โดยไม่มีใครเจตนา แต่เกิดขึ้นจากจำนวนคนที่เข้าร่วมมากเกินคาด
คุณ ฌอน บุญระคง ซึ่งทำหน้าที่เหมือนเป็นโฆษกยืนยันว่า   คนจำนวนมากเข้าร่วมการชุมนุมโดยสมัครใจและเกิดขึ้นอย่างไม่ได้วางแผนมาก่อน   ทั้งไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ ทั้งทางลับหรือเปิดเผยจากคุณทักษิณ ชินวัตร   โดยสิ้นเชิง คุณฌอนประเมินว่า   เกือบทั้งหมดของผู้ชุมนุมคือคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ   ภาพข่าวในทีวีและหน้าหนังสือพิมพ์ดูจะส่อไปในทางเดียวกับการประเมินของคุณ  ฌอน คำให้การของผู้เข้าร่วมชุมนุมคนอื่นก็ตรงกัน
ทั้งหมดนี้เกิด ขึ้นท่ามกลางการใช้  พ.ร.บ.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน  แต่รัฐบาลได้ตัดสินใจมาแต่ต้นแล้วว่า   จะปล่อยให้มีการทำกิจกรรมทางการเมืองที่ "ไม่นำไปสู่การจลาจล   หรือการละเมิดกฎหมาย" แปลว่า จะใช้อำนาจตามตัวอักษรใน พ.ร.บ.หรือไม่   ขึ้นอยู่กับว่ากิจกรรมทางการเมืองนั้นอยู่ในวิสัยที่ผู้มีอำนาจ "คุม"   อยู่หรือไม่ หรือพูดให้ชัดกว่านั้นคือสะเทือนอำนาจของตนเองมากน้อยเพียงไร
ท่า ทีอย่างนี้ สะท้อนให้เห็นว่า   ในบรรดาผู้ถืออำนาจของบ้านเมืองทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังในเวลานี้   (อันมิได้เป็นเนื้อเดียวกัน แต่แยกออกเป็นหลายกลุ่มมาก) ยอมรับว่า   จะต้องประคองตัวอยู่ท่ามกลางพลังสองชนิด คือพลังของอำนาจดิบอันมี   พ.ร.บ.ฉุกเฉินและกองทัพเป็นฐาน กับพลังการเคลื่อนไหวทางการเมืองของประชาชน   (ซึ่งมักเรียกกันว่า "ประชาธิปไตย") ระหว่างพลังทั้งสองนี้   ยังไม่มีฝ่ายใดล้มอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างราบคาบ   จะประคองโครงสร้างอำนาจทางการเมืองในปัจจุบันให้อยู่รอดต่อไปได้   ก็ต้องสร้างสมดุลให้ดีระหว่างอำนาจทั้งสอง
แต่เรื่องนี้พูดง่าย ทำยาก เพราะสังคมไทยไม่ได้หยุดนิ่งกับที่  หากเปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา  และเปลี่ยนเร็วในบางมิติด้วย   จนบางครั้งอำนาจที่อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลังเวลานี้คาดไปไม่ถึง
เช่นการชุมนุมของชาวเสื้อแดงในวันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน ดังที่กล่าวมาเป็นต้น
การ ตัดสินใจใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมอย่างเหี้ยมโหดในเดือน พฤษภาคม  ตามมาด้วยการไล่ล่าและปิดปากกลุ่มเสื้อแดง   คือการใช้พลังของอำนาจดิบเพื่อลดทอนกำลังของพลัง "ประชาธิปไตย" ลง   ด้วยความหวังว่าอำนาจที่ไม่ถูกตรวจสอบในช่วงนี้   จะสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ถืออำนาจพอที่จะเผชิญกับการเลือกตั้ง   และการกลับมาของบรรยากาศประชาธิปไตยได้ใหม่ สมดุลก็จะกลับมาเอง
แต่ ผู้คนจำนวนมากที่เข้าร่วมชุมนุม  โดยไม่มีการจัดตั้งกันอย่างรัดกุมนัก   บวกกับท่าทีที่ไม่เป็นมิตรของผู้คนในภาคเหนือ-อีสาน ทำให้ไม่อาจแน่ใจได้ว่า   การเลือกตั้งจะส่งนักการเมืองกลุ่มเก่ากลับคืนสู่ตำแหน่งได้อีก   ไม่ว่าการเลือกตั้งจะมาเมื่อไร จากนี้ไปจนถึงปลายปีหน้า
อันที่ จริง   พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่ขาดไม่ได้ของชนชั้นนำ  ไทย  ว่ากันไปแล้วโครงสร้างอำนาจเคยดำรงรักษาตนเองไว้ได้อย่างราบรื่นภายใต้  รัฐบาลหลายแบบ และพรรคการเมืองที่เป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาลได้หลายพรรค   พรรคการเมืองต่างๆ นั้นก็หาใช่ใครที่ไหน   แต่เป็นสมาชิกในกลุ่มชนชั้นนำด้วยกันเอง พรรค   ทรท.เองก็เป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นนำ   เพียงแต่เป็นกลุ่มของชนชั้นนำที่กำลังจะใช้ความสำเร็จทางการเมืองไปรวบอำนาจ  ทั้งหมดไว้ภายใต้การนำของตนแต่ผู้เดียว   ผิดกติกาของการต่อรองอำนาจในหมู่ชนชั้นนำไทย ซึ่งมีความยืดหยุ่นสูง   และไม่มีกลุ่มใดได้อำนาจนำไปอย่างเด็ดขาด   แม้แต่กลุ่มที่มีโอกาสสร้างเครือข่ายได้กว้างขวาง   ก็ยังต้องยืดหยุ่นให้แก่กลุ่มอื่นบ้างเป็นครั้งคราว
พรรคทายาท ของ ทรท.ต่างหากที่เป็นปัญหามากกว่า   ไม่ใช่เพราะกลุ่มนี้เป็นคนหน้าใหม่จากที่อื่นและปราศจากโครงข่ายโยงใยกับชน  ชั้นนำกลุ่มอื่นเสียเลย (คุณสมัคร, คุณสมชาย, คุณยงยุทธ, คุณปลอดประสบ,   พลเอกชวลิต ฯลฯ เป็นใคร? ก็คนหน้าเก่าในแวดวงทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?)   แต่เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมต่างหาก   ที่ทำให้พรรคทายาทต้องไปเกาะเกี่ยวกับฐานมวลชน 
ทั้งๆ ที่พรรคเหล่านี้หาได้มีความพร้อมจะเล่นการเมืองที่มีฐานมวลชนแม้แต่น้อย
และ เพราะไปเกาะเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวที่มีฐานมวลชน  ทำให้พรรคทายาททั้งหลาย  โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย  ไม่อาจยืดหยุ่นในการต่อรองกับชนชั้นนำกลุ่มอื่นได้   ดังเช่นที่พรรคการเมืองไทยมักทำได้เสมอมา   ยิ่งพรรคเพื่อไทยขาดการนำที่ชัดเจน   ก็ยิ่งทำให้ยากที่จะผนวกพรรคเพื่อไทยเข้ามาในโครงสร้างอำนาจของชนชั้นนำ   และด้วยเหตุดังนั้น หากพรรคเพื่อไทยสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้   ก็อาจกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างอำนาจได้มาก
ทุกกลุ่มชนชั้นนำ เวลานี้ ดูเหมือนได้ตัดสินใจไปแล้วว่า   อย่างไรเสียพรรคเพื่อไทยก็จะเป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้   อย่างน้อยก็ในช่วงเวลาอันใกล้นี้
ผบ.ทบ.คนใหม่ซึ่งสามารถอยู่ใน ตำแหน่งได้ต่อเนื่องถึง 4 ปี  คงจะหวั่นไหวต่อการมี  รมว.กลาโหมที่ไม่ได้เป็นมิตรต่อตน   อย่าลืมว่าการปราบปรามประชาชนในเดือนพฤษภาคมจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก  นั้น ยังไม่มีการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจังและเที่ยงธรรมใดๆ   แม้นายทหารผู้สั่งการอาจไม่ต้องรับผิดชอบตามกฎหมาย เพราะกระทำอยู่ภายใต้   พ.ร.บ.ฉุกเฉิน แต่ยังมีความรับผิดชอบทางการเมืองและสังคมซึ่งไม่มีกฎหมายใดๆ   คุ้มครอง ด้วยการยกเหตุเพียงเท่านี้ก็สามารถ "แขวน"   ผบ.ทบ.เสียได้ไม่ยากนัก
สายที่วางกันเอาไว้ตลอดเส้นในกองทัพจะ ขาดรุ่งริ่งอย่างไร   กองทัพทั้งกองทัพนั่นแหละที่ไม่อาจรับพรรคเพื่อไทยเป็นแกนกลางจัดตั้งรัฐบาล  ได้
นักการเมืองในพรรคเพื่อไทยรู้จักการเมืองไทยดีพอที่ทำให้ ไม่อยากไป ยุ่งกับกองทัพ แต่พรรคเพื่อไทยจะมีทางเลือกอื่นหรือ   มวลชนจำนวนมากที่เผชิญการปราบปรามอย่างเหี้ยมโหดจะยอมให้พรรคเพื่อไทยขาย  ทิ้งกระนั้นหรือ 
ฉะนั้นถึงอย่างไรพรรคเพื่อไทยก็ต้องเข้ามาจัดการกับกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปีกว่า ในตำแหน่ง  ไม่ได้ทำให้โอกาสทางการเมืองของประชาธิปัตย์ดีขึ้นมากนัก   แม้เศรษฐกิจของทุนระดับใหญ่ (ซึ่งที่จริงแล้วก็เป็นของต่างชาติเสียมากมาย)   ส่งสัญญาณเงยหัวเพราะการส่งออกที่ดีขึ้น   แต่เงินไม่ได้กระจายไปถึงผู้คนมากนักนอกจากข้าราชการซึ่งจะได้ปรับเงินเดือน   ยิ่งกว่านี้ความแตกร้าวในสังคมยิ่งหนักมากขึ้น   โดยไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาเบาบางลงแต่อย่างใด คาถาล้มเจ้านั้นปลุกไม่ขึ้น   ทำให้ต้องใช้มาตรการปิดหูปิดปากประชาชนอย่างหนาแน่นเหมือนเดิม   (ทั้งโดยเปิดเผยและโดยลับ) ทำให้ประชาชนที่เชิดชูเจ้าพลอยเดือดร้อนไปด้วย   และเริ่มวิตกว่าการนำเอาสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้ประโยชน์ทางการเมืองเช่น  นี้ ผลเสียย่อมตกอยู่แก่ตัวสถาบันเองมากกว่า
นายทุนเดือดร้อนกับ การชะลอตัวของการลงทุน เพราะนโยบายที่ไม่ชัดเจน   และบรรยากาศทางการเมืองที่ไม่สงบ   นับวันก็เห็นได้ชัดขึ้นว่าไม่สามารถฝากผลประโยชน์และอนาคตของตนไว้กับพรรค  ประชาธิปัตย์ได้
ฝ่ายนิยมเจ้าอย่างสุดขั้วมองเห็นแต่ความอ่อนแอ ของประชาธิปัตย์  เพราะไม่อาจปิดกั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างได้ผล   ไม่ว่าในทางเทคโนโลยีหรือในทางกฎหมาย (หรือนอกกฎหมาย)
ท่ามกลาง สภาวการณ์เช่นนี้   นักการเมืองประชาธิปัตย์ก็รู้ดีว่าไม่ว่าพรรคจะถูกยุบหรือไม่   หากหลุดจากรัฐบาลในครั้งนี้   โอกาสที่จะกลับมาเป็นรัฐบาลผ่านการเลือกตั้งอีกคงริบหรี่ไปอีกนาน
ควร กล่าวด้วยว่า ในท่ามกลางอนาคตที่ดูไม่ราบเรียบของชนชั้นนำนี้   ชนชั้นนำก็แตกแยกกันเองอย่างหนักด้วย   ตามปกติชนชั้นนำก็ประกอบขึ้นจากหลายกลุ่มอยู่แล้ว   แต่เวลานี้แม้ในกลุ่มเดียวกันก็แตกแยกกันอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพ,   ฝ่ายนิยมเจ้า, ตำรวจ, นักการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาล, นักวิชาการ,   คนในวงการตุลาการ ฯลฯ   จึงยิ่งทำให้ชนชั้นนำไทยในขณะนี้ไม่พร้อมจะผนึกกำลังกันเข้ามาต่อรองความ  เปลี่ยนแปลงของสังคมได้ดีนัก
และนี่คือที่มาของข่าวการรัฐประหาร 
เพราะ ดูเหมือนเป็นคำตอบเดียวที่ชนชั้นนำบางกลุ่มมีอยู่ในกระเป๋า เพราะไปคิดว่ารัฐประหารจะนำมาซึ่งการแก้ปัญหาทุกอย่าง นับตั้งแต่ความแตกร้าวภายในของชนชั้นนำเอง, การดำเนินนโยบายที่ทันท่วงทีต่อความเปลี่ยนแปลงภายในและภายนอก, ฟื้นฟูสมดุลทางการเมืองระหว่างพลังดิบและพลัง "ประชาธิปไตย" กลับคืนมาได้อย่างมั่นคง, ให้อำนาจที่ค่อนข้างเด็ดขาดมากขึ้นแก่ชนชั้นนำที่จะประคับประคองการเปลี่ยน ผ่านของสถาบันทางการเมืองและวัฒนธรรมทุกสถาบัน ฯลฯ
รัฐประหารอาจ เคยทำอย่างนั้นได้สำเร็จ  แต่รัฐประหารครั้งสุดท้ายทำไม่สำเร็จ   ไม่ใช่เพราะตัวบุคคลที่เข้ามาเป็นรัฐบาล   เท่ากับว่าสังคมไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว   รัฐประหารไม่สามารถผนวกพลังใหม่ของประชาชนระดับล่างให้เข้ามาร่วมอยู่บนเวที  การเมืองอย่างเสมอภาคได้ รัฐประหารทำให้เกิดความแตกร้าวในสังคมหนักขึ้น   รัฐประหารทำให้ชนชั้นนำที่เคยอยู่แต่เบื้องหลังถูกดึงมาร่วมในการปะทะขัด  แย้งกันเบื้องหน้า รัฐประหารไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจำเริญมากขึ้น   หรือการแบ่งปันทรัพย์สินดีขึ้น ฯลฯ
รัฐประหารครั้งใหม่ก็จะให้ผล อย่างเดียวกัน และอาจเลวร้ายกว่า   เช่นความแตกร้าวในกองทัพซึ่งแสดงออกให้เห็นได้แต่เพียงระเบิดไม่กี่ลูก   ก็จะกลายเป็นระเบิดกันทุกวัน และวันละหลายครั้ง   อำนาจรัฐอาจไม่ถูกท้าทายที่ราชประสงค์   แต่อาจถูกท้าทายไปทั่วทุกตารางนิ้วของประเทศ   ฉะนั้นแม้ไม่มีศาลากลางใดถูกเผา แต่ศาลากลางอาจกลายเป็นศาลาวัด   คือไม่มีอำนาจเหลือให้ทำอะไรได้สักอย่างเดียว พลังใดจะแพ้หรือชนะเดาไม่ถูก   แต่จะไม่เหลือระเบียบทางการเมืองและสังคมใดๆ   ไว้ให้ใครนำมาปะติดปะต่อกลับขึ้นมาใหม่ได้อีกเลย
ฉะนั้น ถ้าคิดผิด ก็คิดใหม่ได้ เพราะรถถังยังไม่ได้เติมน้ำมัน





























