บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

'กล่าวอ้าง-พาดพิง พูดปกป้อง สถาบัน' ...?

ที่มา Voice TV



สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันหลักที่มีความสำคัญยิ่ง ต่อความรู้ของคนไทย สถาบันกษัตริยของไทย ได้ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานัปการเพื่อให้พสกนิกรอยู่เย็นเป็นสุข โดยทรงเป็นพระประมุขของชาติ ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน และทรงไว้ซึ่งคุณธรรมอันประเสริฐ

แต่ในปัจจุบัน มีการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์เฉพาะตัว และความขัดแย้งทางการเมือง จนกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง ต้องออกข้อกำหนดที่เกี่ยวกับ เรื่องการนำสถาบันพระมหากษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับการเมือง โดยมีหลักการคล้ายข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่ห้ามไม่ให้กล่าวพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ว่ากรณีใดๆ โดยระเบียบดังกล่าวจะเริ่มใช้ภายหลังยุบสภา หากผู้สมัคร ส.ส.รายใดฝ่าฝืน โดยกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องหรือกรณีอื่นๆ หากทำให้เข้าใจผิดในคะแนนเสียงหรือทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต นอกจากมีโทษถึงขั้นให้จัดการเลือกตั้งใหม่ (ใบเหลือง) หรือตัดสิทธิทางการเมือง (ใบแดง) แล้วยังอาจมีโทษถึงขั้นถูกดำเนินคดีอาญา และหากผู้ที่ทำผิดระเบียบดังกล่าวเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใด ก็จะนำไปสู่การยุบพรรคเช่นเดียวกับการซื้อเสียง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 237วรรคสอง

นิตยสารเเพรวกับความ 'รวย' 'ไฮโซ'

ที่มา Voice TV



ทำไมต้องคลั่งไคล้เเละเชิดชูคนฐานะดี นิตยสารเเพรวเป็นอะไรกับความ 'รวย' หรือความ 'ไฮโซ' สัมภาษณ์เเต่ละคนต้องเน้นเฉพาะเจาะจง กลุ่มคนที่มีฐานะศักดินาพิเศษ เชิดชูความร่ำรวย ขนาดหลังปฏิวัติยังต้องไปสัมภาษณ์บิ้กบัง

Reuters วิเคราะห์การเมืองไทยไร้หนทาง

ที่มา Voice TV



รอยเตอร์ ยังมองว่าการเลือกตั้งที่คาดว่าจะมีขึ้นในปลายเดือนมิ.ย.หรือต้นเดือนก.ค. จะไม่ทำให้ นปช.สงบลงได้ กลุ่ม นปช.ยังได้เรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ประท้วงที่ถูกจับไปและเรียกร้องให้มีการสอบสวนเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในการประท้วงของเสื้อแดงเมื่อปีที่ผ่านมา หากการสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไม่มีผลสรุปที่แน่ชัด และมองด้วยว่า การเลือกตั้งไม่ช่วยให้แก้ปัญหาในไทยในขณะนี้และอาจนำไปสู่ความรุนแรงแทน เพราะหากกลุ่มที่ให้การสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ชนะการเลือกตั้ง เสื้อเหลืองจะออกมาประท้วงไม่ให้รัฐบาลทำงานได้ หากอภิสิทธิ์ชนะการเลือกตั้งและการเลือกตั้งมีมลทิน นปช.จะออกมาประท้วงรุนแรงและนำไปสู่การใช้กำลังทหารแก้ปัญหา นักวิเคราะห์หลายคนและนักการเมืองเชื่อว่าจะมีทหารเข้ามาแทรกแซงโดยให้การ สนับสนุนฝ่ายตรงข้ามหรือจับมือกับพรรคการเมืองเพื่อให้แน่ใจว่าพรรคที่ทหาร ให้การสนับสนุนจะได้จัดตั้งรัฐบาล

เลือกตั้ง99%

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน
มันฯ มือเสือ



ผ่านพ้นวันนี้ไปจะก้าวเข้าสู่สัปดาห์สุดท้ายของสภาชุดนี้

ตามที่นายกฯ อภิสิทธิ์ ประกาศล่วงหน้าว่าจะ "ยุบสภา" ในสัปดาห์แรกเดือนพ.ค.

ส่วนยุบสภาแล้วจะมีเลือกตั้งหรือไม่คือช็อตต่อไป ที่ต้องลุ้นกัน

ฝ่ายที่คิดว่าไม่น่าจะมีเลือกตั้งอ้างว่า มีสัญญาณหลายอย่างบ่งชี้ไปทางนั้น

เช่น การที่ทหารออกมารวมพล "ตบเท้า" ถี่ยิบ

การไล่จับวิทยุชุมชนของฝ่ายต่อต้านรัฐบาล ซึ่งถูก นำไปขยายว่าเป็นความต้องการปิดหูปิดตาประชาชน เพื่อเตรียมทำอะไรบางอย่างไม่ดีไม่งาม

หรือกรณีโพลหลายแห่งฟันธงตรงกันว่าพรรค การเมืองที่กุมอำนาจขณะนี้อาจเป็นฝ่ายแพ้เลือกตั้ง เปิดโอกาสให้พรรคตรงข้ามเข้ามาเถลิงอำนาจแทน ซึ่ง "มือที่มองไม่เห็น" ยากจะยอมรับได้

รวมถึงกรณีศึกชายแดนไทย-กัมพูชา

ด้วยปัจจัยภายนอกภายในต่างๆ เหล่านี้อาจทำให้การเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด จนกว่ากระแสความนิยมของรัฐบาลจะดีขึ้นกว่านี้

หรือสามารถขุดรากถอนโคนฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซากเสียก่อน

อย่างไรก็ตามฝ่ายที่มีความเห็นไปในทางที่ว่าน่าจะมีการเลือกตั้งตามกำหนด

เพราะดูจากความเคลื่อนไหวของบรรดาพรรคการเมืองไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เก่าหรือใหม่ ที่ทยอย จับขั้ว จัดทัพผู้สมัคร แถลงเปิดนโยบายหาเสียงกันคึกคัก

ร่างกฎหมายลูก 3 ฉบับก็ผ่านวุฒิสภาเรียบร้อย เหลือแค่กระบวนการศาลรัฐธรรมนูญที่ไม่น่ามีปัญหา ทันก่อนยุบสภาแน่นอน

เหนือสิ่งอื่นใดที่ทำให้เชื่อว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นจริง

ก็คือข้อมูลจากศูนย์อำนวยการสืบสวนสอบสวนการเลือกตั้งของกกต.ที่พบว่า

ขณะนี้บางจังหวัดภาคอีสานและภาคตะวันออกเริ่มขนเงินลงพื้นที่ มีพฤติการณ์จ่ายเงิน เรียกประชุม ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ

แสดงเจตจำนงว่าจะมีการซื้อขายเสียงกันแล้ว

ตรงนี้เองคือข้อยืนยันอย่างดีเรื่องเลือกตั้ง

เพราะการเมืองแบบไทยๆ การ "เลือกตั้ง" กับการ "ซื้อเสียง" เป็นของคู่กันมาแต่ดึกดำบรรพ์

ดังนั้น เมื่อนักการเมืองเริ่มขยับซื้อเสียงเมื่อไหร่ แสดงว่ามั่นใจแล้วกว่า 99 เปอร์เซ็นต์ จะต้องมีเลือกตั้งแน่นอน

แต่ถ้าหวยดันไปออกใน 1 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือ

ก็ตัวใครตัวมันแล้วกัน

พบกองกำลังติดอาวุธคล้ายทหารย่านบางบัวทอง

ที่มา ประชาไท

มีรายงานว่าได้พบรถกระบะตอนเดียวจำนวนสองคันโดยไม่สามารถระบุสี รุ่นหรือเลขทะเบียนได้เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน โดยคันหนึ่งได้ติดตั้งสัญญานไฟฉุกเฉินบนหลังคา บนกระบะของรถทั้งสองคันได้ติดตั้งเก้าอี้โดยสารโดยหันหน้าออกด้านนอกรถ บนรถทั้งสองคันได้มีชายในชุดเครื่องแบบคล้ายทหารพร้อมอาวุธปืนเอ็ม 16 นั่งอยู่คันละ 8 คน

เวลา 23.00น.ของวันที่ 29 เมษายน 2554 ได้มีรายงานว่าได้พบรถกระบะตอนเดียวจำนวนสองคันโดยไม่สามารถระบุสี รุ่นหรือเลขทะเบียนได้เนื่องจากเป็นเวลากลางคืน โดยคันหนึ่งได้ติดตั้งสัญญานไฟฉุกเฉินบนหลังคา บนกระบะของรถทั้งสองคันได้ติดตั้งเก้าอี้โดยสารโดยหันหน้าออกด้านนอกรถ บนรถทั้งสองคันได้มีชายในชุดเครื่องแบบคล้ายทหารพร้อมอาวุธปืนเอ็ม 16 นั่งอยู่คันละ 8 คนโดยแล่นวนเข้าออกในบริเวณหมู่บ้าน หงษ์ประยูร ถนนบางบัวทอง-ไทรน้อย อ.บางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และเมื่อพบมอเตอร์ไซค์ขับผ่านก็ได้เข้าปิดกั้นและทำการตรวจค้น

รายงานเพิ่มเติมว่าในหมู่บ้านหงษ์ประยูร เป็นที่พักอาศัยของหัวคะแนนของนายโกวิทย์ เจริญนนทสิทธิ์ นายกเทศมนตรีเมืองบางบัวทอง และนายโกวิทย์ ได้ถูกคนร้ายขับรถตามประกบยิง ขณะกำลังขับรถเข้าบ้านกระสุนเข้าที่ศีรษะ 1 นัด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 2 มี.ค.54 นั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการตายได้อย่างชัดเจน แต่มีข้อสังเกตุว่านายโกวิท มีความสัมพันธ์กับพรรคเพื่อไทยและเคยให้การสนับสนุนการต่อสู้ของกลุ่ม นปช.

ทักษิณโฟน ‘แดงเชียงดาว’ ขอให้จับตาการซื้อเสียง

ที่มา ประชาไท

ทักษิณโฟนอินถึงแดงเชียงดาว อ้อนอยากปิ๊กไปช่วยพี่น้องแก้ไขปัญหาสินค้าแพง รายได้ไม่พอจ่าย พร้อมกับย้ำว่า หากได้กลับเมืองไทย พวกที่เคยเป็นเสือทั้งหลายจะลอกคราบกลายเป็นแมว

เมื่อค่ำของวันที่ 29 เมษายนนี้ ที่บริเวณสนามโรงเรียนบ้านวังจ๊อม อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ กลุ่ม นปช.เชียงดาว-แม่แตงนับพันคน ได้ร่วมกันชุมนุมต้อนรับกลุ่ม นปช.ที่นำโดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบสัดส่วน พรรคเพื่อไทย และนายวิเชียร ขาวขำ ส.ส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย โดยในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น. ทาง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการโฟนอินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่ม นปช.เชียงดาว

“ปี้น้องจาวเจียงดาวสบายดีก่อ ปี้น้องกึ๊ดเติงหาผมก่อ ผมใค่ปิ๊กบ้านขนาด อยากปิ๊กไปจ้วยพี่น้องแก้ไขเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะสินค้าราคาแพง รายได้ไม่พอจ่าย หื้อผมปิ๊กไปแก้บ๋อ” พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวทักทายเป็นภาษากำเมือง โดยมี กลุ่ม นปช.เชียงดาว ปรบมือให้กำลังใจกันเป็นระยะ

ในตอนหนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า ยังอยากกลับไปพัฒนาเชียงใหม่ อยากกลับไปพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นเลือกตั้งครั้งหน้าจะต้องช่วยกันเลือกพรรคเพื่อไทย เพราะว่าถ้าเลือก ส.ส.ทั้งหมดของเพื่อไทย ก็เหมือนเลือกทักษิณ

“แล้วผมจะกลับไปช่วยพี่น้องหื้อร่ำรวยกันทุกคน ถ้าพี่น้องจะซื้อบ้านซื้อรถก็บ่ต้องเสียภาษี เป็นหนี้ก็หยุดพัก โดยเฉพาะปัญหายาเสพติด เชื่อว่าถ้าผมลงจากเครื่องบินวันใด หมู่พวกค้ายามันจะต้องมุดหนีหมด รวมไปถึงพวกเจ้าหน้าที่ที่มันบ่ดี มันจะต้องหยุด ถ้าผมปิ๊กไป พวกที่เคยเป็นเสือทั้งหลายจะต้องลอกคราบกลายเป็นแมว”

ในช่วงท้าย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เรื่องการเลือกตั้งครั้งหน้านี้ ขอให้พี่น้องจับตาดูให้ดีเพราะเชื่อว่าจะมีการซื้อเสียงอย่างหนัก

ทั้งนี้ ในวันเสาร์ที่ 30 เมษายนนี้ จะมีการชุมนุม นปช.ภาคเหนือ โดยจะจัดขึ้นที่สนามกีฬาสมโภชณ์ 700 ปี จ.เชียงใหม่ และพ.ต.ท.ทักษิณ จะมีการโฟนอินเข้ามาพูดคุยกับ นปช.เหนือ กันอีกครั้งหนึ่ง.

ศพฟัดศพ!เฮียลิ้มกัดเฮียล้านรับงานทำลายพันธมิตร ส่งสาวกยึดพรรคการเมืองหมดคืนโดนสมศักดิ์สั่งสมุนผลักอก

ที่มา Thai E-News


เวบไซต์ASTVผู้จัดการ กระบอกเสียงของพันธมิตรฯรายงานว่า วานนี้ (29 เม.ย.) เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวปราศรัย ถึงหนังสือการลาออกจากพันธมิตรของนายสมศักดิ์ โกศัยสุข และนายสาวิทย์ แก้วหวาน ว่า พล.ต.จำลองก็พูดไปแล้ว นายพิภพ อ.สมเกียรติ ก็พูดไปแล้ว ทำไมต้องฆ่าศพ ทุกอย่างคนที่ถูกพูดก็เป็นศพไปเรียบร้อยแล้ว ทำไมต้องไปเหยียบย่ำศพ แต่ตนจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้เพื่อทวนความจำคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข

"คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข มาขอแกนนำพันธมิตรฯ ว่าขอเป็นหัวหน้าพรรค เราก็ตัดสินใจส่งคุณสมศักดิ์ไปเป็นตัวแทนพันธมิตรฯ เพื่อไปเป็นหัวหน้าพรรค และก่อนส่งไปผมมีหน้าที่ต้องพูดกับผู้สมัครหลายคนให้ถอนตัว เพื่อไม่ให้มีความขัดแย้ง คุณสมศักดิ์ถึงได้รับเลือกโดยไม่มีใครแข่ง แล้วผมนั่งคุยกับคุณสมศักดิ์ตัว-ตัว ผมบอกว่า พี่อยากเป็นหัวหน้าพรรคเหรอ - ใช่น้อง พี่อยากเป็น ผมก็ถามว่า แล้วพี่จะเป็นนานมั้ย - พี่เป็นชั่วคราวเอง - ถ้างั้นพี่รับปากผมได้มั้ยว่า ก่อนถึงวันเลือกตั้งพี่น่าจะลาออก ควรจะลาออก - พี่รับปาก" นายสนธิ กล่าวชี้แจง

นายสนธิ กล่าวต่อว่า ตนไม่เคยพูดเรื่องนี้ แต่จำเป็นต้องพูด เพราะว่าการที่ส่งจดหมายมาแบบนี้ โดยนายสาวิทย์ แก้วหวาน เขียนมา สาวิทย์ แก้วหวาน จะคิดเขียนจดหมายแบบนี้มาไม่ได้ถ้าไม่ใช่คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข อยู่เบื้องหลังสาวิทย์ แก้วหวาน

พวกเราสู้กันมาทุกเรื่อง มีเรื่องไหนบ้างที่พวกเราลุกขึ้นสู้แล้วไม่มีประโยชน์ต่อสังคม แล้วทำไมคุณสมศักดิ์ไปให้สัมภาษณ์ว่ายังอยู่กับพันธมิตรฯ แต่ว่าจะเข้าร่วมชุมนุมก็ต่อเมื่อเรื่องนั้นมีประโยชน์ต่อประเทศชาติ จริงๆ แล้วดังที่แถลงการณ์พันธมิตรฯ ออกมาชัดเจน ถ้าอยากจะลาออก ก็ลาออกไปเลยเงียบๆ ไม่มีใครเขาว่าอะไร แต่จงใจทำเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อทำลายกระบวนการพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย หรือว่ารับงานพรรคการเมืองไหนเพื่อทำลายความสามัคคีของพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ความลับอันนี้จะไม่มีวันปิดได้ตลอดเวลา วันหนึ่งต้องเปิดมาว่าไปพบกับใครมาบ้าง

นายสนธิ กล่าวว่า หวังว่าการร่อนตะแกรงครั้งนี้จะเป็นการร่อนตะแกรงครั้งสุดท้าย เหมือนอย่างอาจารย์สมเกียรติ และทุกคนพูด ขอให้เหลือแต่ทองคำแท้เท่านั้น ตนรับไม่ได้ กับคำพูดที่บอกว่า จะเข้าร่วมชุมนุมต่อเมื่อการชุมนุมครั้งนั้นจะมีประโยชน์ต่อสังคม แสดงว่าที่เราชุมนุมมาตลอดนั้น มีประโยชน์ต่อสังคมมาตลอด จนกระทั่งเขาไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ พอเราโหวตโน เขาก็เลยบอกว่าไม่มีประโยชน์ต่อสังคม อาจารย์สมเกียรติบอกว่า อย่าลาออก เราต้องปฏิวัติพรรคการเมืองใหม่ ยึดพรรคการเมืองใหม่คืนมา และไล่หัวหน้าพรรคออกไป

เขาบอกว่า 10% ของจำนวนสมาชิกแค่ 1,000 กว่าคน หรือ 2,000 คน เชื่อว่าสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ ที่ฟังพูดอยู่ทุกวันนี้ เราล่าชื่อได้ 2,000 คนแน่นอน ด้านหนึ่งต้องเดินหน้า เพื่อไล่กรรมการบริหารและหัวหน้าพรรคชุดนี้ ให้หลุดพ้นจากพรรคการเมืองใหม่ อีกด้านหนึ่ง ไม่ต้องสนใจมติเขา อาทิตย์หน้าอย่าไปใส่ใจ เดินหน้าโหวตโนลูกเดียว และก็โหวตโนทุกพรรค ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคการเมืองใหม่ พันธมิตรที่ดูโทรทัศน์อยู่ทั่วประเทศไทย พันธมิตรฯที่ยังคิดว่า เป็นพันธมิตรอยู่ คนที่เห็นด้วยกับโหวตโน อย่าเลือกพรรคการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น รวมทั้งพรรคการเมืองใหม่ด้วย เขาอยากเป็นปาร์ตี้ลิสต์นัก ก็ให้เขาลงไปเป็นปาร์ตี้ลิสต์ โดยไม่มีใครโหวตให้เขา

วิธีเดียวที่จะแสดงให้เห็นว่าพรรคการเมืองใหม่ คือพรรคของพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ถ้าใครมาทรยศต่อจิตวิญญาณของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราต้องโหวตโนไม่ให้เขาได้เลยแม้แต่คนเดียว พลังที่แท้จริงอยู่ที่นี่ อยู่ที่หน้าจอทีวี ไม่ใช่พลังที่เอาคนของสหภาพการรถไฟ แล้วไปนั่งทำตัวเป็นการ์ดอยู่ที่พรรคการเมืองใหม่

วันนี้พี่น้องคนใต้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย อย่าไปโหวตให้ใครเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพรรคการเมืองใหม่ก็ต้องไม่โหวตให้ ตนขอประกาศเป็นสัจจวาจา พร้อมกับแกนนำพันธมิตรฯ อีก 3 คนว่า เราจะเดินหน้าโหวตโนลูกเดียวพี่น้อง ไม่เว้นแม้แต่พรรคการเมืองใหม่

นายสนธิ ยังกล่าวอีกว่า คิดได้อย่างไร ระหว่างอยากเป็น ส.ส. กับมาใช้ชีวิตร่วมกับพ่อแม่พี่น้องพันธมิตรฯ คิดได้อย่างไร วันนี้จะมีคนหลายคน แม้กระทั่งคนที่ อ.สมเกียรติ พูดถึง นายประเสริฐ เลิศยโส ที่คอยด่าพล.ต.จำลอง และตน ในพรรคการเมืองใหม่ และอีกหลายคน มาห้อยมาโหนเหมือนกันไม่มีผิดเลย คนพวกนี้ต้องสั่งสอนหรือเปล่า

" ไม่มีวิธีใดที่จะสั่งสอนเขาได้ดีกว่าการเผยแพร่กระจายโหวตโน พี่น้องที่ดูทีวีอยู่ทั่วประเทศไทยเป็นล้านๆ คน ถ้าเห็นด้วยกับแนวทางของพันธมิตรฯ หรือถ้าไม่เป็นพันธมิตรฯ แต่คิดว่าการโหวตโนนั้นคือการประท้วงนักการเมือง เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองแล้ว กรุณาแจ้งญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงทุกคน เจอคนก็พูดสั้นๆ เลือกมันไปทำไมไอ้พวกนักการเมืองชั่วๆ เขาถาม จะให้ทำอย่างไร จะไม่ให้ไปลงคะแนนเสียง ไม่ต้องไป แล้วไปกาไม่เลือกพรรคใด เขาถามว่า จะมีประโยชน์อะไร มีสิ เพราะว่าถ้าคะแนนเสียงไม่เลือกพรรคใดนั้นสูง ก็เท่ากับว่าพรรคโหวตโนชนะทุกพรรค" นายสนธิ กล่าว

นายสนธิ กล่าวอีกว่า นายพิภพสารภาพกับตนว่า เมื่อกี๊ตอนขึ้นเวทีน้ำตาแทบไหลเพราะว่าเสียใจ ในใจตนบอกว่าไปเสียน้ำตากับเรื่องเชี้ยๆ นี้ได้อย่างไร ในใจยังบอกทำไมพี่พิภพไม่นึกถึงเมียอาลีบาบา ซึ่งขอให้เปิดถ้ำ

วันนี้คนที่ไปพรรคการเมืองใหม่แล้วถูกกีดกัน ถูกริบโทรศัพท์ ถูกผลักดันออกมา ไม่ต้องเสียใจ ทางหนึ่งเราเดินหน้าโหวตโน แน่นอน อีกทางหนึ่งอย่าลาออก สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ที่เข้าใจและต้องการโหวตโน อย่าลาออก ไม่มีอะไรในการกำชัยชนะ ดีกว่าการสู้กับเขาในพรรคและยึดพรรคคืนมาให้เรา ถ้าเขาต้องการพรรคแรงงาน ให้เขาไปตั้งพรรคแรงงานของเขาเอง ตนเข้าใจมานานแล้ว แต่เป็นตัวอย่างของคำโบราณพูดว่า เสียคนตอนแก่

แฉ“โจร”ยึด ก.ม.ม.-ส่งแก๊งเถื่อนขวางสมาชิกเข้าฟังประชุม



นางชญาดา ศริญญามาศ (ซ้าย)และนางชญาบุญ เพชรพรหม (ขวา) เล่าถึงเหตุการณ์พยายามยึดพรรคการเมืองใหม่คืนตามบัญชาของสนธิลิ้ม แต่ถูกลูกน้องสมศักดิ์หัวล้านเคราแพะผลักไสไล่ออกมาจากพรรค

ASTVผู้จัดการ รายงานเพิ่มเติม แฉพฤติกรรมเถื่อนแก๊งนักเลือกตั้ง ส่งชายฉกรรจ์ขวางทางเข้าห้องประชุม ก.ม.ม. ห้ามสมาชิกพรรคเข้าฟังมติกรรมการบริหาร “เจ๊กอบ เกาะสมุย”โดนผลักอกจนเซถลาพร้อมพันธมิตรฯ หญิงจากโคราช ทั้งที่เป็นสมาชิกพรรค หลังพยายามเข้าพบ “สมศักดิ์”เพื่อถามเหตุผลห้ามสมาชิกเข้าห้องประชุม เผยรู้สึกเหมือนโจรเข้ายึดบ้าน เป็นกรรมการก่อตั้งพรรคแท้ๆ ยังถูกกระทำแบบนี้ แล้วชาวบ้านจะมาพึ่งได้อย่างไร

นางชญาดา ศริญญามาศ อายุ 53 ปี พันธมิตรฯ นครราชสีมา และกรรมการศูนย์ของพรรคการเมืองใหม่ จ.นครราชสีมา ได้เล่าเหตุการณ์ที่มีกลุ่มชายฉกรรจ์มาผลักอกขณะที่ขอขึ้นไปฟังมติที่ประชุมบริหารพรรคการเมืองใหม่ เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 29 เม.ย. ว่า เมื่อเวลา 14.00 น. วันเดียวกัน ตนได้เดินทางไปยังที่ทำการพรรคการเมืองใหม่ เพื่อรอฟังมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคว่าจะส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งเลือกตั้งเป็น ส.ส.ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้หรือไม่ เมื่อไปถึงที่บริเวณชั้น2 พบว่า มีกลุ่มคนซึ่งตนไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน นั่งขวางบันไดทางขึ้นไปยังห้องประชุมชั้น 4 โดยหนึ่งในกลุ่มคนดังกล่าวได้ห้ามไม่ให้ตนขึ้นไปยังห้องประชุม อ้างว่าวันนี้เป็นการประชุมของกรรมการบริหารพรรค และกรรมการสาขาของพรรคเท่านั้น สมาชิกพรรคไม่เกี่ยว เขาไม่ได้เชิญมาจึงขึ้นไปไม่ได้ ตนจึงขอถ่ายรูปกลุ่มคนที่มาขัดขวาง แต่ถูกปฏิเสธ โดยอ้างว่าเป็นการละเมิดสิทธิ

นางชญาดา กล่าวต่อว่า ระหว่างนั้นได้มีผู้หญิงคนหนึ่งกล่าวต่อว่านายสนธิ ลิ้มทองกุล และ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ตนไม่เห็นด้วยจึงได้เกิดการโต้เถียงกันขึ้น กระทั่งต่อมานางชญาบุญ เพชรพรหม อายุ 50 ปี พันธมิตรฯ เกาะสมุย และเป็นกรรมการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ ที่ทราบข่าวได้เดินทางมาสมทบ พร้อมกับบอกให้ตนสงบสติอารมณ์ พร้อมไปพูดคุยกับกลุ่มคนดังกล่าว จากนั้นนางชญาบุญได้ขอขึ้นไปยังชั้น 4 เพื่อรอฟังมติพรรค เมื่อเดินขึ้นบันได้ขั้นที่สองได้ถูกผู้หญิงคนหนึ่งผลักออกจนเซถลา ตนจึงพยายามเข้าช่วย แต่ถูกชายฉกรรจ์อีกคนผลักเช่นเดียวกัน จากนั้นได้มีการ์ดมาช่วยแยกทั้งสองฝ่ายออกจากกัน

“โดยส่วนตัวที่ถูกผลักพี่ไม่รู้สึกเจ็บ แม้แต่น้อย แต่มันเจ็บใจ เพราะพรรคการเมืองใหม่ก็เหมือนบ้านของเรา แต่กลับให้ใครก็ไม่รู้มาทำกับพวกพี่ซึ่งเป็นกรรมการก่อตั้งพรรค และปัจจุบันก็ยังเป็นสมาชิกพรรคอยู่ ถึงขณะนี้”นางชญาดา กล่าว

ด้านนางชญาบุญ กล่าวว่า ตนได้เดินทางมาถึงที่ทำการพรรคการเมืองใหม่เมื่อเวลา 17.30 น.เพื่อมารอฟังมติกรรมการบริหารพรรค เมื่อมาถึงบริเวณชั้น 2 ก็พบสมาชิกพรรคที่เป็นพันธมิตรฯ กว่า 40 คนที่มารอฟังมติพรรคเช่นเดียวกัน และเห็นนางชญาดานั่งร้องไห้เพราะทนไม่ได้ที่มีคนในพรรคมากล่าวโจมตีนายสนธิ และ พล.ต.จำลอง กระทั่งเวลา18.00 น.ทางกลุ่มพันธมิตรฯ ที่รออยู่ ได้ให้ตนเป็นตัวแทนขึ้นไปถามผลการลงมติ เพราะแต่ละคนมารอตั้งแต่ช่วงบ่ายยังไม่ได้รับประทานอาหาร หากยังไม่ลงมติจะรับประทานอาหารก่อน ซึ่งตอนนั้นตนก็ไม่รู้มาก่อนว่ามีการห้ามไม่ให้เข้าฟังมติพรรค จึงได้เดินขึ้นบันได และพบว่ามีคนนั่งขวางทางขึ้นอยู่ 3 แถว โดยแถวแรกเป็นชายฉกรรจ์ 4 คน แถวที่สองเป็นผู้หญิง 4 คน และแถวสุดท้ายเป็นผู้หญิง 3 คน ตนจึงขอทางกลุ่มคนดังกล่าว ซึ่งในตอนแรกคิดว่า เป็นกลุ่มพันธมิตรฯ เช่นเดียวกับตนที่มานั่งรอฟังมติพรรค แต่มานั่งรอที่บันได

นางชญาบุญ กล่าวต่อไปว่า กลุ่มคนดังกล่าวได้สอบถามว่าตนเป็นใครจะไปไหน ตนจึงบอกว่าตนเป็นกรรมการก่อตั้งพรรค จะไปพบนายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าเพรรคการเมืองใหม่ เพื่อสอบถามมติพรรค กลุ่มคนดังกล่าวจึงได้ขอดูบัตร ตนบอกว่าขณะนี้ตนพกมาเพียงบัตรสมาชิกพรรค บัตรกรรมการพรรคอยู่ที่บ้าน จึงถูกปฏิเสธไม่ให้ขึ้น ตนจึงถามกลับว่าคนพวกนี้เป็นใครซึ่งได้รับคำตอบว่าเป็นกรรมพรรคจากต่างจังหวัด มาคอยป้องกันไม่ให้มีใครไปรบกวนการประชุมของกรรมการบริหารพรรค ตนจึงได้ถามกลับไปว่า เดี๋ยวนี้เขาเอาคนมากั้นคนกันแล้วหรือ นี่ตนเองเป็นสมาชิกพรรค เป็นกรรมการก่อตั้งพรรคยังถูกห้าม แล้วประชาชนที่ไม่ใช่สมาชิกพรรค ไม่ใช่พันธมิตรฯ จะหวังเข้ามาพึ่งพาพรรค จะยากลำบากแค่ไหน นายสมศักดิ์ เป็นนายกฯ หรืออย่างไรจึงเข้าพบไม่ได้ เมื่อได้ยินดังนั้นผู้หญิงซึ่งยืนขวางอยู่ได้ผลักอกตนจนเซถลา ก่อนจะมีการโต้เถียง เมื่อเห็นดังนั้น นางชญาดา และคนอื่นๆ จึงพยายามเข้ามาช่วยจึงถูกกลุ่มชายฉกรรจ์ผลักอกเช่นเดียวกัน แต่โชคดีที่นายจาตุรันต์ บุญเบญจรัตน์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรค มาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจนเหตุการณ์สงบลง

“เสียใจตรงที่ เดินเข้าไปความรู้สึกเหมือนบ้านโดนยึด เหมือนมีคนแปลกหน้าอยู่ในบ้าน มีโจรมาขึ้นบ้านแล้วปล้นบ้านไปต่อหน้าต่อตา ดิฉันเป็นกรรมการรุ่นแรก รุ่นก่อตั้งพรรคซึ่งที่ผ่านมาทุกคนในพรรคต่างรู้จักเป็นอย่างดี ยังถูกกระทำถึงขนาดนี้ หากเป็นประชาชนทั่วไปที่หวังพึ่งพรรคจะถูกกระทำขนาดไหน แล้วจะสามารถหวังพึ่งพาพรรคการเมืองใหม่ได้อย่างไร ”นางชญาบุญ กล่าว

นางชญาบุญ กล่าวอีกว่า แม้จะรู้สึกผิดหวังกับ พรรคการเมืองใหม่ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ตนจะไม่ลาออก จะยังคงเป็นสมาชิกพรรคต่อไป เพื่อนำพาพรรคไปในแนวทางที่ถูกต้องและจะเดินหน้าโหวตโนในการเลือกตั้งครั้งที่จะถึงนี้


********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:อนิจจังวัฏสังขารา พันธมารพะงาบๆเจียนตาย เห็บสหภาพรัฐวิสาหกิจโดดหนีล้อฟรีพร้อมเคราแพะ

"กำลังใจ"จากพระองค์ภาฯ

ที่มา Thai E-News





ที่มา เวบไซต์whoweeklymagazine

รอยยิ้มที่เบ่งบานไปด้วย ความหวัง และแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขคือภาพที่ปรากฏบนใบหน้าของผู้ต้อง ขังหญิงทั่วทุกขอบเขตของประเทศไทยในยามที่ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา เสด็จไปทรงเยี่ยมและประทานกำลังใจแก่เธอผู้พลาดพลั้งเหล่านั้น

แม้จะมีพระกรณียกิจมากเพียง ใด ทว่าก็ยังทรงห่วงใยชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้ต้องขังหญิง โดยเมื่อไม่นานนี้ “พระองค์ภาฯ” เสด็จไปทรงเป็นประธานในโครงการกำลังใจฯ ภายใต้กิจกรรม “สร้างกำลังใจ สร้างชีวิตใหม่ แดนหญิงระยอง” ณ เรือนจำกลางระยอง อ.บ้านค่าย จ.ระยอง

จากนั้นสัปดาห์ถัดมาพระองค์ภาฯ ได้เสด็จไปทรงเป็นประธานในโครงการกำลังใจ ภายใต้กิจกรรม “จากเวทีตรัง สู่เวทีโลก” ณ เรือนจำจังหวัดตรัง

ทั้งสองกิจกรรมล้วนเป็น ส่วนหนึ่งของโครงการกำลังใจในพระดำริฯ เพื่อช่วยเหลือเด็กติดผู้ต้องขังและผู้ต้องขังสตรีตั้งครรภ์ รวมถึงการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ต้องขังหญิงในเรือนจำ โดยเหล่าสตรีผู้ก้าวพลาดทั้ง 2 เรือนจำ 2 ภูมิภาค นอกจากจะได้รับประทานถุงของขวัญอุปกรณ์เด็กอ่อน พระองค์ภาฯ ยังมีรับสั่งถามไถ่ทุกข์สุขทั้งของแม่และเด็กด้วยความใส่พระทัย ทั้งยังทรงพระกรุณาประทานการฝึกอาชีพเพื่อเป็นความรู้ติดตัวก่อนออกไปผจญโลก กว้างเมื่อถึงวันที่เธอเหล่านั้นหลุดพ้นจากพันธนาการ

สำหรับกิจกรรม “สร้างกำลังใจ สร้างชีวิตใหม่ แดนหญิงระยอง” นั้น พระองค์ภาฯ ได้ทอดพระเนตรผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลงานของผู้ต้องขังหญิงจากเรือนจำ 9 แห่ง ได้แก่ ทัณฑสถานหญิงกลาง ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ ทัณฑสถานหญิงพิษณุโลก ทัณฑสถานหญิงธนบุรี ทัณฑสถานหญิงชลบุรี เรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยา เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช และเรือนจำกลางระยองโดย ทรงเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่น พร้อมทั้งประทานคำแนะนำและมีพระวินิจฉัยในการที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ ราชทัณฑ์ไปสู่ตลาดภายใต้แบรนด์ Princess Pa เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับผู้ต้องขังอีกทางหนึ่ง

วันศุกร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2554

เรยา... ธิปไตย ! ทวงสิทธิคนปกครอง

ที่มา Voice TV



Wake up Thailand ประจำศุกร์ ที่ 29 เมษายน 2554

นำเสนอประเด็น

- โค้งสุดท้ายพิธีเสกสมรส วิลเลี่ยม-เคท
- บีบีซีเปิดโปงประมงไทย ค้าทาส-กดขี่พม่า
- สมศักดิ์ ถอนตัวแกนนำ พธม. พิเชฐ ไขก๊อก ลงสมัครพรรคอื่น
- ไทย-กัมพูชา ตกลงหยุดยิง พร้อมเปิดเขตผ่านแดน
- กรุงเทพโพลล์วันแรงงาน
- ดอกส้มสีทอง แรง!! วัฒนธรรมกุมขมับหวั่นเด็กเลียนแบบ

′เปิด′ หรือ ′ปิด′ ?

ที่มา มติชน



โดย ปราปต์ บุนปาน

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 28 เมษายน 2554)

ไปๆ มาๆ สิ่งที่คาดว่าน่าจะเกิดขึ้นแน่ๆ อย่าง "การเลือกตั้ง"

ก็ยังคงเป็นเรื่องไม่แน่นอน ในความคิดของคนไทยจำนวนมาก

เมื่อทหารตบเท้า หลายคนก็หวั่นว่าจะเกิดรัฐประหาร

เมื่อโทรทัศน์จอดำ คนจำนวนมากก็ลือกันว่าจะมีรัฐประหาร

เมื่อกองทัพไทยปะทะกองทัพเขมร บางคนก็เชื่อว่าเป็นการก่อสงครามภายนอกเพื่อกลบเกลื่อนความขัดแย้งภายใน และอาจนำไปสู่รัฐประหาร

เมื่อเจ้าหน้าที่บุกจับยึดสถานีวิทยุชุมชนของคนเสื้อแดงอีกกว่า 10 แห่ง ก็มีคนกลัวรัฐประหาร

ฉะนั้น การเลือกตั้งจึงมิใช่สิ่งที่ดำรงอยู่ได้อย่างโดดๆ ทว่าต้องดำรงอยู่เคียงคู่กับคุณค่าอื่นๆ ของสังคมประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่า "พื้นที่" จำนวนมากกำลังถูก "ปิด"

หรืออย่างน้อยก็มีคนเชื่อว่า "พื้นที่" เหล่านั้นกำลังจะถูก "ปิด"

ทั้งพื้นที่ของคนที่อาจมีความเห็นไม่สอดคล้องต้องกันเสียทีเดียวกับกองทัพ

พื้นที่ในการสื่อสารหรือรับข้อมูลข่าวสาร "ทางเลือก"

พื้นที่การเจรจาต่อรอง (ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน)

รวมทั้งพื้นที่ในการแสดงความเห็นทางวิชาการหรือความเห็นของประชาชนทั่วไป

ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่รัฐ และกลุ่มการเมืองที่ไม่เชื่อในระบอบประชาธิปไตย เท่านั้น ซึ่งมีท่าทีอยาก "ปิด" พื้นที่ต่างๆ ในสังคมไทย และ "ปิดประเทศ"

เพราะแม้แต่คนผู้มีความผูกพันกับการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเคยเป็นตัวแทนของประชาชน ก็ยังเสนอแนวคิด "ปิด" พื้นที่บางส่วนในสังคมเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ถึงจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ความขัดแย้งทางการเมืองไทยก็คงไม่คลี่คลาย ถ้าการเลือกตั้งดังกล่าวยังถูกผูกติดอยู่กับความคิดเรื่องการ "ปิดพื้นที่" หรือการไม่ยอมรับฟังความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย

แต่การเลือกตั้งจะมีคุณประโยชน์ต่อสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ก็ต่อเมื่อการเลือกตั้งดังกล่าวถูกนำไปยึดโยงกับคุณค่าเรื่องการ "เปิดพื้นที่" ให้แก่ความหลากหลายทางความคิดของผู้คนที่มีความเชื่อแตกต่างกัน

ดังนั้น ถ้าผู้มีอำนาจทั้งหลายตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า ต้องการจะ "ปิดพื้นที่" ไม่ให้ความแตกต่างจำนวนมากในสังคมได้ปรากฏกายหรือส่งเสียงออกมา

การเลือกตั้งก็คงไม่มีความจำเป็นสำหรับบ้านนี้เมืองนี้

แต่ถ้าพวกท่านยังหวังจะแสวงหาจุดเริ่มต้นของการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างสันติผ่านการเลือกตั้ง

พวกท่านก็จำเป็นต้อง "เปิดพื้นที่" สำหรับความเห็นต่างให้มากขึ้น หรืออย่างน้อย ก็ควรธำรงรักษา "พื้นที่" เหล่านั้นเอาไว้ ไม่ให้น้อยลงกว่าที่เป็นอยู่

ที่ไม่ควรลืมก็คือ มิใช่มีพวกท่านเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจว่าควรจะ "เปิด" หรือ "ปิด" พื้นที่ต่างๆ ในสังคมการเมืองไทย

แต่อำนาจดังกล่าวยังอยู่ในมือของ "ประชาชน" ด้วย

"สาวตรี สุขศรี"วิพากษ์ ปิดเว็บ ปิดปากวิทยุชุมชนเงียบแค่เพียงชั่วคราว..เงียบเฉพาะในที่แจ้งเท่านั้น

ที่มา มติชน



สาวตรี สุขศรี อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในกลุ่มนิติราษฎร์ ให้สัมภาษณ์ "มติชนออนไลน์" ต่อกรณีการสั่งปิดเว็บไซต์ การคุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในสื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกรณีการปิดวิทยุชุมชนสิบสามแห่ง และการแกะรอยรายชื่อสมาชิกผู้แสดงความคิดเห็นในเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกันด้วยข้อหาหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์

สาวตรี สุขศรี กล่าวว่า จากกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกรณีทหารตบเท้าปกป้องสถาบันฯ รายวัน คำสั่งห้ามนักการเมืองใช้เรื่องสถาบันฯ หาเสียง การปิดวิทยุชุมชน รวมทั้งการกระพือข่าวของตำรวจว่าจะเช็คบิลสมาชิกฟ้าเดียวกัน หลายคนคงเห็นพ้องต้องกันว่า วันนี้เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนถูกรัฐคุกคามอย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม

ด้วยประเด็นที่เกี่ยวกับการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ บรรยากาศแห่งความกลัวปกคลุมไปทั่ว ผลสะเทือนเฉพาะหน้าที่อาจเกิดขึ้นได้จริง ๆ ตามความประสงค์ของรัฐ ก็คือ ประชาชนจำนวนหนึ่งเงียบเสียงลง แต่การเงียบแบบนี้ไม่มีวันยั่งยืน มันอาจเป็นแค่เพียงการเงียบลงชั่วขณะ และเป็นการเงียบเฉพาะในที่แจ้งเท่านั้น อันที่จริงแล้ว บรรยากาศอึมครึมแบบนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นได้เลยหากรัฐใช้บังคับกฎหมายในเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมาตามหลักการ และสอดคล้องกับอุดมการณ์ประชาธิปไตย


ในกรณีปิดวิทยุชุมชนนั้น ตามข่าวที่ออกในครั้งแรก รัฐอ้างว่าสถานีที่ถูกปิดไม่มีใบอนุญาต หรือใบอนุญาตหมดอายุ บางสถานีถูกยึดอุปกรณ์เครื่องส่งในฐานะเป็นของกลางผิดกฎหมาย แต่คำถามก็คือ ถ้ารัฐใช้เหตุผลแบบนี้ เหตุใดจึงมีสถานีถูกปิดแค่สิบสามสถานี และส่วนใหญ่เป็นสถานีวิทยุของคนเสื้อแดง

รัฐควรต้องทราบว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีสถานีวิทยุชุมชนที่ไม่มีใบอนุญาต หรือใบอนุญาตชั่วคราวหมดอายุแล้วกระจายอยู่ทั่วประเทศ เนื่องจากการจัดสรรคลื่นยังไม่ชัดเจน ยังอยู่ในช่วงรอยต่อระหว่างรอให้ กสทช. เข้ามาจัดการ ที่กล่าวแบบนี้ไม่ได้ต้องการยุว่า ถ้างั้นรัฐก็ควรตามไปปิดมันเสียให้หมด แต่อยากจะชี้ให้เห็นลักษณะการบังคับใช้กฎหมายของรัฐที่ขาดความเสมอภาคหลายมาตรฐาน การบังคับใช้กฎหมายแบบนี้ย่อมก่อให้เกิดความสงสัยและไม่พอใจในหมู่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

สุดท้ายรัฐเองนั่นแหละที่จะถูกมองว่าใช้อำนาจโดยมิชอบ ทั้งที่เอาเข้าจริงแล้ว หากเราพิจารณาตามบทบัญญัติที่รัฐอ้าง (พ.ร.บ. วิทยุคมนาคม 2498) รัฐก็มีอำนาจอย่างนั้นจริง ๆ แต่พอมันเริ่มต้นด้วยความไม่ตรงไปตรงมา ประชาชนก็ย่อมต้องต่อต้าน


และสำหรับกรณีนี้ ในท้ายที่สุดแล้วก็มีเจ้าหน้าที่ออกมายอมรับทำนองว่า เหตุผลเบื้องหลังที่แท้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องใบอนุญาตหรอก แต่เป็นเรื่องความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ที่สำคัญก็คือเรื่องหมิ่นสถาบันฯ คำถามก็คือ ถ้าเช่นนั้นทำไมรัฐไม่ใช้เหตุผลนี้เสียตั้งแต่แรก หรือว่ารัฐก็เริ่มกระดากใจแล้วที่จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพราะมันชักจะบ่อยจนเฝือเกินไปแล้ว หรือเป็นเพราะรัฐเองก็กำลังใช้การพูดถึงสถาบันฯ เป็นเครื่องมือทางการเมืองให้กับฝ่ายตนอยู่ด้วยเหมือนกัน

การปิดเว็บไซต์ในช่วงนี้ หรือความพยายามของกระทรวงไอซีทีที่เตรียมงุบงิบเสนอร่างพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ฉบับใหม่เข้าครม. ให้ทันก่อนยุบสภา ก็น่าจะมีเหตุผลไม่แตกต่างกัน คือ ปัญหาเรื่องการพูดถึงสถาบันฯ นัยว่ากระทรวงไอซีที หรือใครก็ตามที่เกี่ยวข้องต้องการอำนาจ และเครื่องมือในการจัดการกับเว็บไซต์ต่าง ๆ มากยิ่งขึ้นไปอีก หากใครได้เห็นเนื้อหาของร่างกฎหมายใหม่ จะพบว่าปัญหาเดิม ๆ ที่กฎหมายฉบับนี้เคยมีอยู่ มันก็ยังคงดำรงอยู่เช่นเดิมไม่ถูกแก้ไข อย่างเช่น ความไม่ชัดเจนของถ้อยคำ การให้ดุลพินิจกับเจ้าหน้าที่รัฐมากเกินไป หรือบทลงโทษตัวกลางหรือผูัให้บริการที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น


แต่เรื่องใหม่ ๆ ที่น่าจะสร้างปัญหาต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นให้หนักหนายิ่งไปอีกกลับได้รับการบัญญัติเพิ่มเติม เช่น ตั้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ที่มีอำนาจเกินตัวกฎหมายฉบับนี้โดยผู้ดำรงตำแหน่งมาจากรัฐบาล ทหาร ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง, การกำหนดว่า แค่เพียงทำสำเนาข้อมูลผิดกฎหมายในเครื่องตนเองไม่ต้องเผยแพร่ก็เป็นความผิดได้ รวมทั้งการขยายความรับผิดไปสู่ “ผู้ดูแลระบบ” ซึ่งมีขอบเขตกว้างขวางเสียยิ่งกว่าคำว่า “ผู้ให้บริการ” ซึ่งก็มีปัญหาอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งประเด็นหลังนี้สำคัญมาก


หากใครติดตามข่าว จะพบว่า คดีพ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ ในระยะหลังที่ผ่านมา จำนวนไม่น้อยมีจุดร่วมกันอย่างน้อยสองประการ หนึ่งคือ จำเลยคือผู้ให้บริการ แทนที่จะเป็นผู้โพสต์ข้อความ และสอง สาเหตุที่ถูกฟ้องก็คือ ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ประกอบมาตรา 112 หรือเรื่องหมิ่นสถาบันฯ

ข้อเท็จจริงนี้ นอกจากประเด็นปัญหาเรื่องการใช้มาตรา 112 อย่างพร่ำเพรื่อแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นวิธีการทำงานของรัฐด้วยว่า มักง่าย และอาจหวังผลบางอย่าง คือ ต้องการให้สื่อกลัวจนต้องเซ็นเซอร์ตัวเองมากขึ้น เพราะแทนที่เจ้าหน้าที่รัฐจะพยายามแสวงหา หรือนำตัวผู้กระทำความผิดที่แท้จริงมาลงโทษก่อน (ถ้าเห็นว่าข้อความเหล่านั้นเข้าข่ายเป็นความผิดจริง) รัฐกลับมุ่งเน้นไปที่การดำเนินคดีกับผู้ให้บริการทันที เพราะไม่ต้องเสียเวลาแกะรอยตามหาตัว ทั้งไม่ต้องยุ่งยากหาข้อมูลจำนวนมากมายืนยัน ฯลฯ


แต่การทำอย่างนี้นอกจากผลกระทบที่จะมีต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนแล้ว ย่อมมีผลกระทบต่อพัฒนาการ และการขยายตัวของการให้บริการอินเทอร์เน็ตและโทรคมนาคมของประเทศโดยรวมด้วย เพราะเมื่อผู้ให้บริการกลายเป็นคนกลุ่มแรก ๆ ที่ต้องมารับผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ก่อ หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อคอยจัดการดูแลเนื้อหาในอินเทอร์เน็ตอย่างมากเกินสมควร ก็ย่อมไม่มีใครอยากให้บริการ ซึ่งกรณีแบบนี้ต่างประเทศเค้าไม่ทำกัน (อาจยกเว้นบางประเทศเผด็จการอย่าง จีน พม่า หรือสิงคโปร์)


นอกจากนี้อาจารย์สาวตรี ยังกล่าวด้วยว่า แม้ในครั้งแรกที่ประเทศไทยมีดำริจะมีกฎหมายคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเองนั้น ฝ่ายผู้ร่าง ฯ จะพยายามนำกฎหมายระหว่างประเทศอย่างสนธิสัญญาอาชญากรรมไซเบอร์ของคณะมนตรียุโรป และของต่างประเทศอย่างของอังกฤษ อิตาลี มาเลเซีย มาเป็นต้นแบบในการร่างก็จริง แต่พอปรับไปเปลี่ยนมาหลายร่างมากเข้า มาตราแปลก ๆ ที่ของต่างประเทศไม่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมายเฉพาะแบบนี้ (เนื่องจากมีบัญญัติอยู่แล้วในกฎหมายหลัก ๆ อย่างประมวลกฎหมายแพ่ง และอาญา) ก็ถูกจับยัดเข้ามาด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถูกเพิ่มเข้ามาในร่าง ฯ สุดท้ายโดยคณะกรรมการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน เช่น ความผิดเกี่ยวกับเนื้อหาที่โพสต์ (มาตรา 14) ความรับผิดผู้ให้บริการ (มาตรา 15) รวมทั้งมาตรา20 ที่ว่าด้วยเรื่องอำนาจในการสั่งปิดกั้นเว็บไซต์ และสุดท้ายมาตราเหล่านี้ก็กลับกลายเป็นบทหลักที่ถูกนำมาใช้ดำเนินคดี


ถามว่าปัญหาเรื่องคุกคามเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นนี้ เราหวังอะไรได้ไหมกับรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา โดยส่วนตัวคิดว่ายังเร็วไปที่จะประเมินสถานการณ์ เพราะเรายังไม่รู้ว่าฝ่ายใดจะได้เป็นรัฐบาล คนที่เข้ามานั่งในตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้จะมีแนวคิด ทัศนะคติแบบไหน กสทช.เอง เราก็ไม่รู้ว่าจะพึ่งได้แค่ไหน ที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทย ก็คือ เราไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ประเด็นการอ้างใช้มาตรา 112 อย่างพร่ำเพรื่อเพื่อปิดปากประชาชนมันจะจบ ๆ กันได้เสียที


สำหรับหนทางแก้ไขนั้น อาจารย์สาวตรี ให้ความเห็นว่า คงต้องอาศัยพลังทางฝ่ายประชาชนเป็นหลัก คอยติดตามตรวจสอบการปิดกั้นสื่อต่าง ๆ ไม่เฉพาะเว็บไซต์ วิทยุชุมชน แต่รวมถึงสื่อประเภทอื่น ๆ ด้วยอย่างโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ หากเห็นว่ามีประเด็นไม่ชอบมาพากลก็ทำให้เป็นประเด็นสาธารณะ ให้ประชาชนได้รับรู้ว่ารัฐคุกคาม หรือใช้อำนาจหน้าที่เกินสมควร หรือเกินกรอบแห่งกฎหมายอย่างไร เรื่องคณะกรรมการที่จะตั้งขึ้นมามีอำนาจพิเศษ หรือวางนโยบายด้านนี้ก็ควรเรียกร้องให้มีที่มา หรือมีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนฝ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องหรือได้รับผลกระทบโดยตรงด้วย ทำนองเดียวกับการเสนอแก้ไขกฎหมายเกี่ยวกับสื่อ การระดมความคิดเห็นจากประชาชนทุกภาคส่วน หรือการเสนอร่างกฎหมายคู่ขนานกับร่างของรัฐล้วนมีประโยชน์ในแง่ที่จะทำให้รัฐบาลใด ๆ ก็ตามต้องหันมาให้ความสำคัญ และหยิบจับเรื่องนี้ไปขับเคลื่อนต่อทั้งสิ้น

แต่สิ่งสำคัญที่สุด ที่ไม่อาจมองข้าม หรือตัดออกไปจากประเด็นการเรียกร้องเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นในประเทศไทยได้เลยก็คือ การเรียกร้องให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเปิดหูเปิดตา ทบทวนแก้ไขสาระแห่งบทบัญญัติมาตรา 112 ให้ถูกต้องเหมาะสม รวมทั้งทำให้การใช้การตีความมาตรานี้ (ทั้งใช้เดี่ยว ๆ หรือใช้ร่วมกับกฎหมายฉบับอื่น) อยู่ในกรอบแห่งกฎหมาย และอยู่กับร่องกับรอยมากกว่าที่เป็นอยู่นี้.

(ภาพ : ประชาไท )

ไม่มีเลือกตั้ง!?

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด



เริ่มเชื่อเข้าไปทุกทีว่าอาจไม่มีการเลือกตั้ง วัดกระแสเรื่องนี้ได้จากหลายๆ "ความเคลื่อนไหว" และ "ความคิดเห็น"

เมื่อนำมาประมวล ทำให้รู้สึกหลังยุบสภาช่วงต้นเดือนพ.ค.นี้แล้ว

คงไม่มีการเลือกตั้ง!?

ความเคลื่อนไหวก็เห็นๆ กันอยู่ แอ๊กชั่นต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากกองทัพที่ตบเท้ากันพรึ่บ

ไล่มาตั้งแต่กองพล 1 กองพล 2 และล่าสุดก็เป็นพล.ม.2

สร้างความหวาดหวั่นขึ้นในสังคมมาก

ถึงแม้ว่ากองทัพจะยืนยันว่าเป็นการตบเท้าปกป้องสถาบันก็ตาม

ส่วนความคิดเห็นทางการเมืองก็เริ่มชัดเจนขึ้น

จากเดิมทีที่พรรคฝ่ายค้านจะแสดงความเห็นว่าไม่น่าจะมีการเลือกตั้ง

แต่ในการประชุมใหญ่ของพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อ 2-3 วันก่อน

ส.ส.สอบถามเรื่องงบประมาณที่จะใช้ในการหาเสียง

ปรากฏว่าแกนนำคนสำคัญหลุดคำพูดว่า

"จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นจริงหรือ"

เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจอย่างยิ่ง

ขนาดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังไม่เชื่อว่าจะมีการเลือกตั้ง!?

ขณะที่บรรดาแกนนำนปช.ทั้ง นางธิดา โตจิราการ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ร่วมแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำประเทศไทย

ตอบข้อซักถามจากสื่อต่างชาติ และตัวแทนสถานทูต ถึงสถานการณ์การเมืองของไทย

แกนนำนปช.ทั้งหมดเชื่อว่าจะมีการยุบสภาจริงๆ ในต้นเดือนพ.ค.นี้

เพราะพรรคประชาธิปัตย์ประเมินแล้วว่าอยู่ต่อไปลำบาก

แต่ก็เชื่อว่าคงไม่มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเช่นกัน

เพราะกลุ่มผู้กุมอำนาจไม่ประสงค์จะยอมรับผลการเลือกตั้งหากพรรคเพื่อไทยเป็นผู้ชนะ

หลังผลสำรวจของหน่วยงานความมั่นคงระบุว่าเพื่อไทยจะกวาดส.ส.ไม่ต่ำกว่า 250 คน

จึงต้องทำทุกวิถีทางที่จะไม่ให้เกิดการเข้าคูหากาบัตรเลือกตั้ง

แกนนำเสื้อแดงยังวิเคราะห์ถึงการปะทะกันระหว่างไทย-เขมรที่ชายแดนสุรินทร์ครั้งล่าสุด

อาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง!?

อาจเป็นวิธีคิดของพวกขวาจัดสุดโต่ง

ใช้สงครามภายนอก เพื่อกลบเกลื่อนปัญหาภายใน

ยิ่งมาเจอเหตุการณ์กอ.รมน.บุกปิดสถานีวิทยุเสื้อแดงวันเดียว 13 แห่งรวด

ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล

ยิ่งทำให้คนเสื้อแดงมั่นใจว่าข่าวลือที่กำลังแพร่สะพัดคงไม่ใช่แค่เรื่องโคมลอย

เงารางๆ การล้มเลือกตั้ง ก่อตัวชัดเจนขึ้นทุกขณะ

ทีมข่าวต่างประเทศ

ที่มา ประชาไท

สื่อมวลชนทั่วโลกต่างพร้อมใจกันรายงานข่าว ‘พิธีเสกสมรส’ ระหว่างเจ้าชายวิลเลียม รัชทายาทลำดับที่ 2 แห่งราชวงศ์อังกฤษ และ น.ส.เคท มิดเดิลตัน ในวันที่ 29 เม.ย. โดยกล่าวขานว่านี่เป็น ‘พิธีวิวาห์แห่งศตวรรษ’ ในฐานะที่เป็นข่าวมงคลครั้งแรกในรอบหลายสิบปีของราชวงศ์อังกฤษซึ่งเคยรุ่งเรืองในอดีต ทั้งยังเป็นดังฉากชวนฝันในเทพนิยายที่กลายเป็นจริง ซึ่งก็คือเรื่องราวความรักของเจ้าชายผู้สูงศักดิ์กับหญิงสาวผู้เป็นเพียงสามัญชน และทั้งคู่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่สนใจเรื่องสถานะที่แตกต่างทางสังคม

ด้วยเหตุนี้ สื่อต่างประเทศหลายสำนักจึงเกาะติดการรายงานข่าวแบบถ่ายทอดสดนาทีต่อนาที โดยบรรดาแขกเหรื่อผู้มีเกียรติทั้ง 1,900 คนเข้าไปรอในมหาวิหารเวสต์มินสเตอร์ แอ๊บบี้ ในกรุงลอนดอน ตั้งแต่เวลา 08.15 น. และพิธีอย่างเป็นทางการเริ่มต้นขึ้นในเวลา 11.00 น.ตามเวลาท้องถิ่นอังกฤษ โดยแขกเหรื่อที่มีทั้งสามัญชน คนดังในแวดวงต่างๆ รวมถึงเชื้อพระวงศ์ต่างชาติ จะเป็นสีสันอีกประการหนึ่งที่สื่อจะรายงานให้ผู้สนใจข่าวพิธีเสกสมรสได้รับทราบกันถ้วนหน้า

การจัดพิธีเสกสมรสครั้งนี้ยังได้รับการประเมินจากบริษัทไพรซ์ วอเตอร์ เฮาส์ ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชื่อดังว่าเป็นการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่ที่จะกระตุ้นให้เศรษฐกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวของอังกฤษมีเงินสะพัดราว 107 ล้านปอนด์ (ราว 2,400 ล้านบาท) จากนักท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและทั่วโลกที่จะแห่แหนกันมาเที่ยว ‘ตามรอย’ เส้นทางรักของเจ้าชายวิลเลียมและเคท [1]

ขณะที่เสียงสนับสนุนราชวงศ์อังกฤษของประชาชนในประเทศเครือจักรภพอย่าง ‘ออสเตรเลีย’ ก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อ้างอิงจากผลสรุปการสำรวจความคิดเห็นประชาชนของสำนักนิวส์โพลในออสเตรเลีย [2] พบว่าเสียงสนับสนุนให้เปลี่ยนแปลงการปกครองออสเตรเลียไปสู่ระบอบสาธารณรัฐและยกเลิกสถานะการเป็นประเทศเครือจักรภพอังกฤษ ‘ลดลง’ จาก 41 เปอร์เซ็นต์เมื่อปี ค.ศ.1994 เหลือเพียง 25 เปอร์เซ็นต์จากการสำรวจครั้งล่าสุดก่อนพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและเคท โดยผู้ตอบแบบสอบถามของนิวส์โพลล์เห็นว่าราชวงศ์อังกฤษกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าเจ้าชายวิลเลียมจะทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีกว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ผู้เป็นพระบิดา เพราะทรงมีความ ‘ติดดิน’ และทรงปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ประชาชนในหลายประเทศตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์



ภาพจากหน้าปกนิตยสาร Newsweek ฉบับ May 2, 2011

ทว่าปฏิกิริยาของสื่อมวลชนในโลกตะวันตกอีกจำนวนหนึ่งได้เปิดเผยให้เห็นแง่มุมที่หลากหลาย และเปิดพื้นที่ให้กับผู้ที่เห็นแตกต่างจากกลุ่มผู้สนับสนุนราชวงศ์อังกฤษ ดังจะเห็นได้จากที่นิตยสาร ‘นิวส์วีค’ ฉบับ 2 พ.ค.2011 ขึ้นภาพหน้าปกเปรียบเทียบกันระหว่าง ‘อังกฤษในจินตนาการ’ ซึ่งเป็นภาพขณะที่เจ้าชายวิลเลียมทรงสวมกอดพระคู่หมั้น และถูกยกย่องว่าเป็นตำนานรักในโลกยุคใหม่ ส่วนอีกภาพเป็นภาพของ ‘อังกฤษที่แท้จริง’ แสดงให้เห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ประท้วงที่ออกมาชุมนุมต่อต้านนโยบายตัดงบประมาณการศึกษาของอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งแม้จะเริ่มด้วยความสงบ แต่ก็ถูกกลุ่มอนาธิปไตยทำลายความชอบธรรมด้วยการก่อเหตุทำลายข้าวของสาธารณะจนนำไปสู่การปะทะและความรุนแรง

นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอข่าวคราวความเคลื่อนไหวของกลุ่มรีพับลิก ซึ่งเป็นองค์กรระหว่างประเทศด้านการรณรงค์ยกเลิกระบอบกษัตริย์และการยกเลิกสถานะอภิสิทธิ์ของเหล่าสมาชิกราชวงศ์ต่างๆ ในประเทศแถบยุโรป ซึ่งออกมารณรงค์ช่วงเดียวกับที่มีการจัดพิธีเสกสมรส โดยให้เหตุผลว่านี่คือช่วงเวลาที่จำเป็นอย่างยิ่งในการเผยแพร่ข้อมูลอีกด้านของราชวงศ์ เพราะสิ่งที่ควรเฉลิมฉลองอย่างแท้จริงคือการดำรงอยู่ของประชาธิปไตยและพลังของเหล่าประชาชน แทนที่จะเป็นการเฉลิมฉลองให้แก่กลุ่มคนที่ได้รับสถานะอภิสิทธิ์ชนจากการสืบเชื้อสายหรือได้รับมรดกตกทอด

‘ทอม ฟรีดา’ ผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มรีพับลิกในแคนาดา หนึ่งในประเทศเครือจักรภพอังกฤษ ซึ่งมีสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 แห่งอังกฤษดำรงตำแหน่งประมุขของรัฐ ระบุว่าสมาชิกกลุ่มรีพับลิกล้วนมีความยินดีต่อพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน แต่ขณะเดียวกันก็ต้องถกเถียงเรื่องสถานะของราชวงศ์ที่มีผลต่อการแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการในแคนาดา ซึ่งกลุ่มรีพับลิกเห็นว่าควรจะเป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกของประชาชน ‘ในพื้นที่’ แทนการ ‘แต่งตั้ง’ จากที่อื่น [3]

ส่วนสถานีโทรทัศน์ช่อง ‘สกายนิวส์’ ของอังกฤษตัดสินใจถ่ายทอดสดการจัดเวทีอภิปรายเรื่องการยกเลิกระบอบกษัตริย์ ซึ่งนายจอห์น ไรลีย์ ประธานบริหารของสกายนิวส์ กล่าวว่าในขณะที่ประเทศถูกถาโถมด้วยกระแสคลั่งไคล้ในพิธีเสกสมรส จำเป็นจะต้องมองเรื่องความสัมพันธ์ของราชวงศ์กับประเทศชาติว่ายังเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องมีต่อไปในอนาคตหรือไม่ โดยเวทีอภิปรายดังกล่าวถูกจัดขึ้นในคืนวันที่ 28 เม.ย. ซึ่งถือว่าเป็นการอุ่นเครื่องก่อนถึงพิธีเสกสมรสในวันที่ 29 เม.ย.อย่างแตกต่างหลากหลายมุมมอง [4]

ขณะที่เว็บไซต์นิตยสารฟอร์จูนรายงานข้อมูล ‘อีกด้านหนึ่ง’ ของพิธีเสกสมรส โดยโต้แย้งว่าการประเมินมูลค่ารายได้จากการท่องเที่ยวหลายล้านปอนด์ซึ่งได้รับการกระตุ้นจากพิธีเสกสมรสมิได้รวม ‘ค่าใช้จ่าย’ ในพิธีที่รัฐบาลอังกฤษต้องนำภาษีประชาชนไปใช้จ่าย ได้แก่ เบี้ยเลี้ยงของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยข่าวกรองของรัฐบาล ซึ่งต้องประจำการในพิธีเพื่ออารักขาดูแลความปลอดภัยในพิธี รวมถึงค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดหลังเสร็จพิธี รวมเป็นเงินประมาณ 8 ล้านดอลลาร์ (ราว 240 ล้านบาท)

นอกจากนี้ยังมีความเสียหายในภาคธุรกิจการเงินกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 150,000 ล้านบาท) ซึ่งเป็นผลจากที่รัฐบาลอังกฤษประกาศให้วันเสกสมรสเป็นวันหยุดราชการ ทำให้สถาบันการเงินการธนาคารปิดให้บริการ ถือเป็นการกระทำที่สวนทางกับนโยบายตัดงบประมาณด้านต่างๆ ของรัฐบาลอังกฤษ ซึ่งสั่งตัดงบประมาณสนับสนุนด้านการศึกษา สวัสดิการสังคมและรัฐวิสาหกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมาโดยให้เหตุผลว่าต้องทำเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ [5]

อย่างไรก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความจำเป็นในการดำรงอยู่ของราชวงศ์อังกฤษซึ่งหนาหูขึ้นนับตั้งแต่การหย่าร้างเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ และอดีตเจ้าหญิงไดอานา พระมารดาผู้ล่วงลับของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮรี ตามมาด้วยข่าวอื้อฉาวของสมาชิกราชวงศ์อื่นๆ ถูกกลบด้วยกระแสความนิยมในตัวเจ้าชายวิลเลียมและเคท มิดเดิลตัน ซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก นับตั้งแต่สำนักพระราชวังประกาศข่าวพิธีหมั้นและเสกสมรสเมื่อเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว [6]

การตัดสินพระทัยจัดพิธีเสกสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและเคทยังได้รับการยกย่องว่าเรียบง่าย แม้จะมีสถาบันการเงินต่างชาติประเมินค่าใช้จ่ายคร่าวๆ ว่าอยู่ที่ประมาณ 34 ล้านดอลลาร์ (ราว 1,800 ล้านบาท) แต่ก็ถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าการจัดพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และเลดี้ ไดอาน่า พระบิดาและมารดาของเจ้าชายวิลเลียม ซึ่งมีการนำเงินภาษีประชาชนอังกฤษไปจ่ายเป็นค่ารักษาความปลอดภัย รวมถึงเบี้ยเลี้ยงเจ้าหน้าที่ประจำเรือหลวงและรถไฟหลวงที่ใช้ในการเสด็จไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์

นอกจากนี้ การปรับตัวของสมเด็จพระราชินีอังกฤษในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งทรงตัดสินพระทัยยกเลิกการจัดงานประเพณีแบบฟุ่มเฟือย รวมถึงการที่ทรงเปิดโอกาสให้สื่อมวลชนเข้าถึงได้มากขึ้นก็ช่วยให้พระองค์ทรงได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มมากขึ้นจากช่วงที่เจ้าหญิงไดอานาสิ้นพระชนม์ใหม่ๆ แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากประเมินว่าสถานะของราชวงศ์อังกฤษจะได้รับการตีความใหม่ในไม่ช้า ซึ่งปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อทัศนคติของประชาชนอังกฤษต่อราชวงศ์จะขึ้นอยู่กับชีวิตสมรสของเจ้าชายวิลเลียมและพระชายาด้วยว่ามีความยั่งยืนและเข้าถึงจิตใจของประชาชนได้มากน้อยเพียงใด ในช่วงเวลาที่สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศยังไม่นิ่งเช่นทุกวันนี้ [7]

ข้อมูลอ้างอิง

  1. How Much Is a Princess Worth?
  2. Support for republic in Australia slumps: poll
  3. Love it or loathe it, royal wedding buzz a catalyst for monarchy debate in Canada
  4. Sky News to host monarchy debate
  5. Royal wedding? A royal pain
  6. Royal wedding: William and Kate set for Abbey service
  7. Monarchy Inc. Faces Raft of Challenges

รายงาน: สำรวจสถานการณ์หลังปิดวิทยุชุมชนเสื้อแดง (ระลอกแรก)

ที่มา ประชาไท

ภายหลังมีการสนธิกำลังระหว่างตำรวจกองปราบ เจ้าหน้าที่จาก กสทช. เจ้าหน้าที่จาก กอ.รมน. และตำรวจในท้องที่ เข้าบุกค้นสถานีวิทยุชุมชน 13 แห่งในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเมื่อวันที่ 26 เม.ย. และเพิ่มเติมอีก 2 แห่ง ก็ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และความหวาดระแวงขึ้นโดยทั่วไป
อย่างที่ทราบกันว่านอกเหนือจากเคเบิ้ลทีวีไม่กี่ช่อง คนเสื้อแดงก็มี “วิทยุชุมชน” นี่เองที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสาร บอกข่าว จัดกิจกรรม กระทั่งระดมคนในสถานการณ์ฉุกเฉิน
โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหตุผลว่าเหตุที่ดำเนินคดีกับวิทยุชุมชนดังกล่าวเพราะมีการนำเทปการปราศรัยเข้าข่ายผิดกฎหมายของนายจุตพร พรหมพันธุ์ ไปเผยแพร่ ส่วนกอ.รมน.ชี้แจงเหตุผลว่า เป็นการดำเนินการตามที่ประชาชนแจ้งมาว่า คลื่นวิทยุชุมชนดังกล่าวได้นำเสนอเนื้อหาที่หมิ่นเหม่ และจาบจ้วงสถาบัน เปิดโอกาสให้แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงโฟนอินเข้ามาพูดยั่วยุปลุกระดมในรายการ มีแนวโน้มทำให้เกิดความรุนแรง
แต่ในการดำเนินการนั้นเจ้าหน้าที่ไม่ได้ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาดังที่ได้กล่าวมานี้ แต่ใช้วิธีตรวจสอบใบอนุญาตที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทช.) ออกให้
เชือดไก่ให้ลิงดู...ปลุกกระแสเซ็นเซอร์ตัวเอง
การเข้าค้นครั้งนี้บางแห่งพบว่าไม่มีใบอนุญาต บางแห่งมีใบอนุญาตชั่วคราวเท่านั้น จึงทำการยึดของกลาง จับกุมผู้ดำเนินสถานีบางส่วนในข้อหามีเครื่องส่งสัญญาณวิทยุโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดได้รับการประกันตัวแล้ว ขณะที่อีกหลายต่อหลายแห่งก็ปิดสถานีเสียก่อนที่เจ้าหน้าที่จะมาถึง จนบัดนี้ก็ไม่ยังไม่ทราบกำหนดเปิด
จากการสอบถามสถานีคนไทยหัวใจเดียวกัน 92.25 MHz ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานีที่ปิดตัวลงก่อนที่จะถูกค้นในวันที่ค้น 13 จุด ดีเจสมาน เมืองขอนแก่น ดีเจคนหนึ่งของสถานีให้ข้อมูลว่า สถานีของเขามีใบอนุญาตชั่วคราว และดำเนินการมาประมาณ 11 เดือนแล้วภายหลังปิดไปหลายเดือนหลังเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์เมื่อปีที่แล้ว โดยสถานีนี้เน้นให้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ด้านการเมืองแก่ประชาชน และส่วนใหญ่จะเชื่อมสัญญาณกับเคเบิ้ลทีวีช่องเอเชียอัพเดท เพื่อถ่ายทอดสดการชุมนุมครั้งต่างๆ นอกจากนี้สถานีนี้ยังเป็นจุดส่งต่อสัญญาณให้กับสถานีวิทยุชุมชนอีกหลายแห่ง เช่น วิทยุชุมชนในจังหวัดอุดรฯ พัทยา ปทุมธานี อ่างทอง
เช่นเดียวกับเมื่อวันที่ 10 เมษยนที่ผ่านมา เขาก็ลิงก์สัญญาณถ่ายทอดเสียงปราศรัยของแกนนำ นปช. ซึ่งแน่นอนว่ารวมถึงส่วนของนายจตุพร พรหมพันธ์ ด้วย แต่ไม่ได้มีการเปิดซ้ำซากอย่างที่ถูกกล่าวหา และเนื้อหาโดยรวมของสถานีก็ไม่มีอะไรที่หมิ่นเหม่
“เรายังไม่มีกำหนดว่าจะเปิดทำการเมื่อไร เพราะกลัวว่าเขาจะบุกมายึดข้าวของอีก ก็อย่างที่รู้ว่าเขาดำเนินการแบบเลือกปฏิบัติ เฉพาะฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับเขา ตอนนี้กำลังหารือกันว่าจะไปยื่นศาลปกครองให้มีการคุ้มครองให้ออกอากาศได้ชั่วคราว” ดีเจสมาน เมืองขอนแก่น กล่าว
ต่างจังหวัดตื่นตัว ลุ้นปิดโดมิโน่?
ด้านตัวแทนคลื่นวิทยุสร้างสรรค์สังคมเชียงใหม่ 99.15 MHz ให้ข้อมูลว่าในส่วนของเชียงใหม่นั้นเมื่อมีข่าวการบุกจับที่ส่วนกลาง คลื่นวิทยุชุมชนบางคลื่นก็มีการงดออกอากาศเพื่อประเมินสถานการณ์ และยังไม่ออกอากาศจนถึงวันนี้ (28 เม.ย. 54) แต่ส่วนใหญ่แล้ววิทยุชุมชนที่มีใบอนุญาตทดลองออกอากาศ รวมถึงวิทยุชุมชนที่เสนอข่าวคนเสื้อแดงก็ยังออกอากาศปกติ แต่ก็มีการเคลื่อนไหวของฝ่ายความมั่นคง คือสารวัตทหาร ตระเวนไปยังสถานีวิทยุต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลที่ตั้งสถานี ซึ่งอาจจะมองในด้านหนึ่งว่าเป็นการคุกคามก็ได้ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์โดยรวมถือว่ายังเป็นปกติ แม้จะมีความกังวลถึงมาตรฐานข้ออ้างในการที่จะปิดสถานีวิทยุชุมชนต่างๆ ในอนาคตว่าใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์วัด
ขณะที่ในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร สถานีคนรักมุกดาหาร 106.75 MHz มีการประชุมชาวบ้าน หรือผู้ฟังในพื้นที่ 200-300 คนเกี่ยวกับสถานการณ์ในอนาคต
“ชาวบ้านเขาก็มากันสองสามร้อยคน เพิ่งประชุมเสร็จเมื่อกี๊นี้เอง (21.00 น. 28 เม.ย.53) เราก็ถามว่าจะเอาอย่างไรดี ปิด หรือไม่ปิด เขาก็ว่าให้เปิดต่อไปเลย เราก็ถามว่าถ้าเปิด เขามายึดเครื่องส่งไปจะทำยังไง ชาวบ้านก็บอกไม่เป็นไร ให้ยึดไป เดี๋ยวระดมเงินกันซื้อใหม่” อำไพ ศิริลาภ ดีเจ คนสำคัญของสถานีเล่าไปหัวเราะไป พร้อมทั้งระบุว่าชาวบ้านมีมติจัดเวรยามเฝ้าสถานีเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าหน้าที่บุกมายึดเครื่องส่งสัญญาณ แม้ว่าเขาจะมีใบอนุญาตชั่วคราวแล้วแต่ก็ยังไม่มั่นใจกับอนาคตที่จะเกิดขึ้น
สำหรับพื้นที่ต่างจังหวัด สถานีวิทยุชุมชนเป็นสิ่งที่ชาวบ้านหวงแหน เพราะเป็นสื่อที่เข้าถึงผู้คนได้มากที่สุด โดยเฉพาะสถานีที่มีเนื้อหาทางการเมืองโดยตรงอย่างสถานีนี้
“เมื่อก่อนก็มีโฆษณาบ้าง เดี๋ยวนี้พอเลือกข้างชัดเจน โฆษณาก็ไม่กล้าลง ใช้เงินที่ได้จากการบริจาค”
“กำลังส่งเรามีประมาณ 1,000 วัตต์ แต่หลังสลายการชุมนุม ทหารเขาไล่ปิดหมด เราก็เอาเครื่องส่งไปเก็บ แล้วแมลงสาบมันฉี่ใส่มั่งอะไรมั่ง ตอนนี้เลยส่งได้แค่ 600 วัตต์ (หัวเราะ) ก็คงกระจายเสียงได้รัศมีซัก 40 กิโล เวลามีชุมนุมก็ต่อเสียงจากสถานีเอเชียอัพเดทกระจายให้ชาวบ้านเขาได้รู้เรื่องด้วย เพราะเขาอยากไปแต่ไม่ได้ไป” อำไพว่า
“เราไม่ได้แค่ทำวิทยุ แต่เรายังลงพบปะพูดคุยกับชาวบ้าน ประชุมหารือสถานการณ์บ้านเมืองกันตลอด เราทำความเข้าใจร่วมกันว่า เราคือคนเสื้อแดง ส่วนของหัวคะแนนพรรคการเมืองก็ส่วนหนึ่ง ในสถานการณ์การเลือกตั้งเราก็แปลพลังเป็นคะแนนเสียง แต่ถ้าไม่มีเลือกตั้ง หัวคะแนนไม่ออก เราคนเสื้อแดงก็ยังต้องสู้ต่อ มันคนละส่วนกับพรรคเพื่อไทย เราต้องตื่นตัวของเราต่อไป” อำไพกล่าว
ย้อนรอยสลายชุมนุมปี53 วิทยุชุมชนเหี้ยน
ในรายงานเรื่อง “การแทรกแซงวิทยุชุมชนภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ประเทศไทย ความเห็นต่าง คื อาชญากรรม” ของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ที่เผยแพร่เมื่อปลายปีที่แล้ว ระบุว่า ภายหลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินของรัฐบาลทั้งในกรุงเทพฯ และอีกหลายจังหวัด สถานีวิทยุชุมชนทั้งในและนอกพื้นที่การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินต้องปิดตัวลงมากกว่า 47 สถานี และมีผู้เกี่ยวข้องกับวิทยุชุมชนถูกออกหมายจับและดำเนินคดีรวม 49 รายมีสถานีที่ถูกขึ้นบัญชีดำอีก 84 แห่ง
สถานีวิทยุชุมชนทุกแห่งที่ถูกปิดปรากฏรายชื่อ ในกระบวนการตรวจสอบเนื้อหาของหน่วยงานรัฐ ก่อนจะมีการบุกเข้าตรวจค้น จับกุม ยึด อุปกรณ์การกระจายเสียง และดำเนินคดีในข้อหาว่ากระทำการฝ่าฝืน พ.ร.บ.วิทยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องส่งวิทยุคมนาคมและการตั้งสถานี และถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะอยู่ภายใต้กระบวนการออกใบอนุญาตวิทยุชุมชนและได้รับการคุ้มครองสิทธิการกระจายเสียงจาก กทช. แต่มาตรการดังกล่าวกลับไม่สามารถยกมาอ้างเพื่อคุ้มครองสิทธิให้รอดพ้นจากการจับกุมและการเข้าปิดสถานีได้

รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุด้วยว่า ก่อนการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างเดือนมกราคม-มีนาคม 2553 รัฐบาลส่งสัญญาณให้องค์กรอิสระเข้ามาจัดการกับความเห็นต่างที่กระจายอยู่ตามวิทยุชุมชน ดังเช่นกรณีที่คณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ ภายใต้ กทช. ซึ่งมีหน้าที่ออกใบอนุญาตและกำกับดูแลวิทยุชุมชนเป็นการชั่วคราว ได้เตือนไปยังสถานีวิทยุชุมชนทั่วประเทศกว่า 6,000 แห่ง เพื่อไม่ให้นำเสนอเนื้อหาอันเป็นการฝ่าฝืนต่อเงื่อนไขการได้รับสิทธิทดลองออกอากาศ คือ ไม่ดำเนินการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาสาระที่ก่อให้เกิดการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โดยออกเป็นหนังสือถึงผู้รับผิดชอบในแต่ละสถานีสามครั้งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน ขณะที่อีกด้านหนึ่งรัฐบาลกลับขอความร่วมมือไปยังสถานีวิทยุชุมชนในบางจังหวัดให้รับสัญญาณถ่ายทอดรายการและข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นของหน่วยงานรัฐ โดยระบุว่าเป็นการสนองนโยบายรัฐบาลที่ต้องการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่ความวุ่นวายและส่งผลกระทบต่อความมั่นคง โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดออกหนังสือขอความร่วมมือโดยตรงถึงผู้รับผิดชอบสถานี
ภาพจากรายงานฯ ของ คปส.
หากย้อนไปดูสถานภาพทางกฎหมายของสถานีวิทยุชุมชนที่ถูกปิดจากจำนวน 47 สถานีที่ถูกปิดไปเมื่อปีที่แล้วมี 29 ราย ที่ได้แจ้งความประสงค์จะประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงชุมชนไว้กับ กทช. ตามกระบวนการออกใบอนุญาต และได้รับสิทธิการทดลองออกอากาศแล้ว

ดังนั้น ประเด็นของใบอนุญาตคงเป็นเพียงข้ออ้างชั้นดีที่ในการปิดการสื่อสารแบบรวดเร็ว ไม่มีปิดได้ทันที แต่ถึงมีก็ยังปิดได้

ใช้ช่องว่างทางกฎหมาย เล่นงานเป้าหมายทางการเมือง
สุเทพ วิไลเลิศ เลขาธิการ คปส. ให้ความเห็นว่า เรื่องใบอนุญาตของวิทยุชุมชนนั้นเป็นปัญหามาอย่างยาวนาน โดยวิทยุชุมชนทั้งหมดที่มาลงทะเบียน 6,000 กว่าแห่งจะได้ใบอนุญาตทดลองออกอากาศ 300 วัน แต่ไม่มีใครได้ใบอนุญาตจริงๆ เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ กทช. /กสทช. ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ข่าวล่าสุดแว่วว่าเพิ่งให้ใบอนุญาตออกมา 16 ราย แต่ยังไม่ทราบรายละเอียด
ที่ผ่านมา มีเพียงการตั้งคณะอนุกรรมการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ เพื่อดำเนินกระบวนการพิจารณา ซึ่งอนุฯ ก็ให้ความสำคัญแต่มิติทางการเมืองเป็นหลัก ต้องการควบคุมเนื้อหาทางการเมืองมากกว่าที่จะตอบรับเงื่อนไขการอนุญาตจริงๆ เป้าหมายที่ผ่านมาดูเหมือนจะเป็นการลากให้วิทยุขนาดเล็กประเภทต่างๆ มาลงทะเบียนให้หมด เพื่อจะทราบที่ตั้ง ผู้ดูแลที่จะติดตามตรวจสอบได้
“ภาวะแบบนี้กลายเป็นว่ารัฐใช้ช่องว่างทางกฎหมายที่ถูกสร้างขึ้นมา เอาไปควบคุมความเห็น อุดมการณ์ที่แตกต่าง” สุเทพกล่าวและว่า หากจะเล่นงานเรื่องใบอนุญาตนั้นก็สามารถเล่นงานได้ทุกสถานี เพราะมีปัญหาคล้ายๆ กันหมด ไม่เฉพาะสถานีวิทยุชุมชนของกลุ่มคนเสื้อแดง
สุเทพ เสนอว่า ในเมื่อหน่วยงานที่ทำหน้าที่ออกใบอนุญาตไม่สามารถดำเนินการได้ และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย ในระหว่างสุญญากาศนี้ก็ควรให้สิทธิสถานีเล็กที่ยังไม่ลงทะเบียนได้มีโอกาสออกอากาศด้วย เพราะเป็นสิ่งไม่อาจปฏิเสธได้แล้วในสภาพความเป็นจริง ในเมื่อกระบวนการล้มเหลวแทนที่จะปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน กลับไปปกป้องตัวรัฐเองมากกว่า
นอกจากนี้เขายังเห็นว่า รัฐไม่ควรเข้ามาควบคุมอีกแล้วไม่ว่าประการใดๆ แต่ควรมุ่งผลักดันให้เกิดกลไกอิสระให้เกิดขึ้น ส่วนเนื้อหาหากจะมีความผิดประการใด ก็ขอให้ใช้ข้อหานั้นๆ ในการดำเนินคดีกันไปให้ชัดเจนจะดีกว่า
“จะได้เกิดความชัดเจนกับสาธารณะด้วย ไม่อย่างนั้น วิทยุชุมชนจะถูกเหมารวมไปหมดว่าประชาชนทำสื่อไม่ได้ ทำแล้วไม่มีวุฒิภาวะ และท้ายที่สุดก็ถูกลิดรอนสิทธิเสรีภาพกันหมด” สุเทพกล่าวและว่า คนใช้สื่อการเมืองเองก็ควรต้องรวมตัวกัน ตั้งกติกา ตรวจสอบกันเองด้วยในอีกทางหนึ่ง หากไม่ต้องการให้รัฐเข้ามาจัดการ

กิจกรรมวันแรงงานสากลกับกลุ่มประกายไฟและสหพันธ์สิ่งทอฯ

ที่มา Thai E-News



โดย กลุ่มประกายไฟ
29 เมษายน 2554

เชิญร่วมเสวนาแรงงานสากล : "ความสำคัญของแรงงานกับขบวนการประชาธิปไตย"

May Day 2011 : กิจกรรมวันแรงงานสากล 2011 แรงงานกับประชาธิปไตย

เนื่องในวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี ถือเป็นวันแรงงานสากล ซึ่งมีการเริ่มมากว่า 100 ปีแล้ว คือตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2433 ที่หลายประเทศได้เริ่มฉลองวันแรงงานเป็นครั้งแรก และในวันดังกล่าวทั่วโลกคนงานก็จะออกมาเฉลิมเฉลองเพื่อให้สังคมตระหนักถึง ความสำคัญของผู้ใช้แรงงาน รวมถึงเป็นวันที่มีการรณรงค์เรียกร้องในสิทธิและความเป็นธรรมต่างๆ

สำหรับ ในสังคมไทยในปัจจุบันประเด็นที่มีการพูดถึงหรือเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องคือ เรื่อง "ประชาธิปไตย" แน่นอนประเด็นนี้บทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนทั้งในสังคมโลกและสังคมไทยที่ ผ่านมาเราคงปฏิเสธบทบาทของขบวนการแรงงานไม่ได้ โดยเฉพาะในสังคมโลก เช่น กรณีการเรียกร้องประชาธิปไตยในอิยิปต์เมื่อเร็วๆนี้และยังดำเนินอยู่ ขบวนการแรงงานได้รับการยกย่องเป็นกระดูกสันหลังของการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะเครื่องมือของคนงาน อย่างการนัดหยุดงาน

ดังนั้น ในกระแสสังคมไทยที่มีการเคลื่อนไหวเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยอย่าง มากในปัจจุบัน ทางกลุ่มประกายไฟและองค์กรเลี้ยวซ้ายจึงใช้โอกาสวันแรงงานสากลนี้ จัดเสวนาในหัวข้อ "ความสำคัญของแรงงานกับขบวนการประชาธิปไตย" เพื่อทบทวนบทบาทความสำคัญของขบวรการแรงงานที่มีต่อการเรียกร้องประชาธิปไตย ของไทยในปัจจุบัน


เช้า เดินรณรงค์

เวลา 9.00 น.
เริ่มเดินรณรงค์ สิทธิแรงงานและประชาธิปไตย จากลานพระบรมรูปทรงม้าเดินไปอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย


บ่าย เสวนา

หัวข้อ "ความสำคัญของแรงงานกับขบวนการประชาธิปไตย"

วันอาทิตย์ ที่ 1 พฤษภาคม 2554 เวลา 13.00-16.00 น.
ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา(ตึกหน้าชั้นใต้ดิน) ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ

กำหนดการ

12.30 ลงทะเบียน
13.00 - 16.00 น. เสวนา หัวข้อ "ความสำคัญของแรงงานกับขบวนการประชาธิปไตย"

วิทยากร

อ.วิภา ดาวมณี องค์กรเลี้ยวซ้าย
อ.ตะวัน วรรณรัตน์ ภาควิชาสังคมศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
จิตรา คชเดช กลุ่มกรรมกรแดงเพื่อประชาธิปไตย
รัชพงษ์ โอชาพงษ์ กลุ่มเยาวชนคนงาน(YCW)


ดำเนินรายการโดย กลุ่มประกายไฟ

จัดโดย กลุ่มประกายไฟ และองค์กรเลี้ยวซ้าย


แสดงความประสงค์เข้าร่วมและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/event.php?eid=211270105563795
----------------------
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
089-2583641 บัส ประกายไฟ (เบอร์คนที่ส่งต่อนะฮ๊าฟฟฟ)

ช็อตต่อช็อตโจกลิ้มหลบอะไรบนเวทีพันธมาร

ที่มา Thai E-News

มีคนตาดีสังเกตจากคลิปในYoutubeว่า เหตุการณ์ที่สนธิลิ้มมีอาการหลอน โดดหลบบนเวทีพันธมิตรนั้น อาจเป็นเพราะมีลำแสงคล้ายเลเซอร์ไปปรากฎที่กบาลขณะกำลังปราศรัยด่ารัฐบาลว่า"ขี้ขลาด"ในกรณีขัดแย้งไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ดีคนตาดีอีกฝ่ายมองว่า ไม่น่าใช่แสงเลเซอร์ แต่เป็นรูปฉากหลังเวที ที่โจกลิ้มโดดหลบเป็นพัลวันเพราะประสาทหลอนไปเอง

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 เมษายน 2554



สนธิ ลิ้มทองกุล บนเวทีพันธมิตร คืนวันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา คลิป จาก youtube ขณะที่กำลังปราศรัยโจมตีเรื่องไทย-กัมพูชาว่ารัฐบาล"ขี้ขลาด"นั้น นายสนธิได้โดดหลบไปทางซ้ืายทีพร้อมนำมือป้องหัว ทำสีหน้าตกใจ แล้วโดดหลบไปทางขวาอีกที ท่ามกลางความตื่นตลึงของผู้ชุมนุมพันธมิตรที่ส่งเสียงฮือฮา นายสนธิถามว่า"อะไรพี่น้อง"พอผู้ชุมนุมตอบมาเขาพูดว่า "ไม่ได้ยืิน"แล้วนายสนธิก็ปราศรัยต่อไป

สนธิ หลบอะไร แสงเลเซอร์สีแดงล็อกเป้าที่กบาล? หรือว่า ประสาทหลอน ????

ดูชัดๆคลิปลิ้มโดดหลบ"กูจะยิงมึงๆ"เป็นแสงเลเซอร์ หรือรูปในฉากหลัง

อนิจจังวัฏสังขารา พันธมารพะงาบๆเจียนตาย เห็บสหภาพรัฐวิสาหกิจโดดหนีล้อฟรีพร้อมเคราแพะ

ดูอัลบั้มภาพสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจเมื่อครั้งยังหวานชื่นกับพันธมิตร(ลิ้งค์)ล่าสุดเตียงหักซะแล้ว แต่กว่าจะเตียงหักก็รอจนกระทั่งสนธิลิ้มหักดิบไม่ให้สมศักดิ์เคราแพะนำพรรคการเมืองใหม่ลงเลือกตั้ง อนิจจัง วัฏสังขารา อกุสลา ธรรมา..


ที่ประชุมกรรมการบริหารสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) พิจารณาและมีมติเป็นเอกฉันท์ให้แกนนำสรส. ถอยออกมาเพื่อทบทวนท่าทีการเข้าร่วมชุมนุมพันธมิตรฯ โดยเฉพาะการขึ้นเวที ซึ่งจะไม่ให้กรรมการบริหารสรส. ขึ้นเวทีปราศรัย หรือทำกิจกรรมอื่นบนเวทีการชุมนุมพันธมิตร รวมทั้งให้นายสมศักดิ์ โกศัยสุข ที่ปรึกษาสรส. ถอนตัวจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) รุ่นที่ 1 และนายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการ สรส. ถอนตัวจากแกนนำพธม.รุ่นที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 26 เมษายน 2554

นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และที่ปรึกษาสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือ สรส. กล่าวถึงกรณีถอนตัวจากแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตามมติที่ประชุม สรส.ว่า ยืนยันจิตวิญญาณตนคือพันธมิตรฯ โดยจะไปเข้าร่วมกิจกรรมที่มีประโยชน์เท่านั้น พร้อมปฏิเสธแตกคอกับแกนนำพันธมิตรฯ คนอื่น

ขณะเดียวกันยอมรับด้วยว่า นายพิเชฐ พัฒนโชติ รองหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ลาออกจากสมาชิกพรรคแล้ว เพื่อลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรคอื่น

นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยืนยันว่า นายสมศักดิ์ โกศัยสุข หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ และแกนนำพันธมิตร ในฐานะที่ปรึกษาสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ หรือ สรส.ได้ลาออกจากการเป็นแกนนำพันธมิตรฯ แล้วแต่ยังไม่ทราบเหตุผลอย่างเป็นทางการ

เป็นที่น่าสังเกตว่าการประกาศถอนตัวดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่พันธมิตตรฯกดดันให้พรรคการเมืองใหม่ที่นำโดยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข ประกาศไม่ส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้ง ทำให้นายสมศักดิ์ไม่พอใจ และมีกระแสข่าวว่านายสุริยะใส กตะศิลา และนายสำราญ รอดเพชร ก็อาจจะถอนตัวออกจากพันธมิตรด้วย แต่ยังไม่เป็นที่ยืนยัน

ทำไมต้องแต่งเครื่องแบบมารบกัน

ที่มา Thai E-News


โดย ปาแด งา มูกอ
29 เมษายน 2554


เมื่อวานนี้ทั้งวันผมไม่กล้าออกจากบ้าน ไม่ว่าจะมีธุระสำคัญอะไรก็ตาม

เพราะผมต้องทำตามคำแจ้งเตือนของหน่วยงานรัฐที่สุดยอดที่สุดในโลกของด้านการข่าวว่า วานนี้ซึ่งเป็นวันครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จะมีการรำลึกด้วยคาร์บอมย์เอย มอเตอร์ไซด์บอมบ์เอย

แล้วอย่างนี้คนที่อยู่จังหวัดชายแดนภาคใต้แบบผม ใครมันจะกล้าเสี่ยงออกไปนอกบ้านล่ะครับ ก็หลวงท่านบอกมา อ่ะ..

ผมขอกราบเรียนถามท่านที่นั่งกินเงินเดือนในรัฐบาลชุดนี้ คนไหนก็ได้ว่ะ ว่าพวกคุณมึงรู้ได้ยังไงว่า ไอ้บ้าคนไหน ไอ้บ้ากลุ่มใด ที่มันจะฉลองครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์กรือเซะด้วยการวางระเบิด

ก็มีแต่พวกคุณมึงทั้งน๊าน..ที่ออกมาโพนทะนาให้ชาวบ้านอย่างผมต้องตกอกตกใจ อกสั่นขวัญแขวน โอ้ขวัญเอยขวัญมา มาอยู่กะเนื้อกะตัวน่ะ

ยังไม่ทันเรียกขวัญให้มาอยู่กับเนื้อกับตัวครบ 100% ก็เหลือบไปเห็นข่าว ข่าวนี้แหล่ะครับ


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงวันครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์กรือเซะว่า อยากให้ไปทบทวนดูว่ากระบวนการยุติธรรมอยู่ตรงจุดไหนแล้ว จบไปหรือยัง แต่ตนคิดว่าน่าจะจบไปแล้ว หากจะรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาก็ต้องรื้อกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาใหม่

ทั้งนี้มีวาระสำคัญเกิดขึ้นทุกปี ซึ่งเราเตรียมการเฝ้าระวังตลอดทั้งปี 24 ชั่วโมง 365 วัน แต่อยู่ที่ว่าใครจะแพ้ใครจะเผลอ หากใครเผลอก็ต้องถูกยิงหรือถูกลอบวางระเบิด ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเราอยู่ในที่แจ้งแต่งเครื่องแบบทำงาน โจรไม่ได้แต่งเครื่องแบบทำงานเหมือนเรา หากโจรแต่งเครื่องแบบทำงานเหมือนทหาร ภายใน 2 วันก็น่าจะปราบปรามได้ แต่ทุกวันนี้เขาไม่ได้แต่งเครื่องแบบ และทำร้ายประชาชน จะประณามว่าเจ้าหน้าที่ดูแลไม่ได้ ต้องไปประณามผู้ก่อความไม่สงบด้วยว่าเขาทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้อย่างไร ในอดีตไม่มีใครมายิงชาวบ้าน แต่ปัจจุบันยิงทั้งพลเรือนที่นับถือศาสนาไทยพุทธและอิสลาม

โธ่.....เวรกรรมจริงๆ ท่าน ผบ.ทบ.นี่ท่านกินยาผิดอะไรหรือเปล่า ถึงได้ไปให้สัมภาษณ์แบบนี้ เอาเป็นข้อๆเลย

ข้อที่หนึ่ง “หากจะรื้อเรื่องนี้ขึ้นมาก็ต้องรื้อกระบวนการยุติธรรมขึ้นมาใหม่”

พูดผิดพูดใหม่ได้น่ะครับไอ้ที่จะไปรื้อ กระบวนการยุติธรรม

ข้อที่สอง “แต่อยู่ที่ว่าใครจะแพ้ใครจะเผลอ หากใครเผลอก็ต้องถูกยิงหรือถูกลอบวางระเบิด ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา”

ประเด็นนี้พูดผิดพูดใหม่ไม่ได้ครับ ใคร..?แพ้ ใคร..?เผลอ ใคร..?ถูกยิง ใคร..?ถูกลอบวางระเบิด ก็มันลูกน้องท่านทั้งน้าน รวมทั้งตำรวจ และสารพัดอาสาสมัคร ส่วนครู ,ประชาชน ที่เสียชีวิตและพิการ พวกเขาเหล่านั้นแพ้และเผลออะไรกับคุณด้วย ข้อสำคัญมันไม่ใช่ เป็นเรื่องธรรมดา อย่างที่ท่าน ผบ.ทบ.พูด พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้โดนโรคระบาด หรือน้ำท่วมตายน่ะครับ โธ่...เวรกรรมจริงๆ

ข้อที่สาม “โจรไม่ได้แต่งเครื่องแบบทำงานเหมือนเรา หากโจรแต่งเครื่องแบบทำงานเหมือนทหาร ภายใน 2 วันก็น่าจะปราบปรามได้”

ฮั่นแน่ ข้อนี้ยอมรับสภาพแล้วสิ... ว่าสู้พวกผีไม่ได้ ถึงได้ไปท้าให้พวกผีมันแต่งเครื่องแบบมาเป้าหยิงฉบกัน ความคิดช่างเบบี้จริงๆ

ข้อสุดท้าย “จะประณามว่าเจ้าหน้าที่ดูแลไม่ได้ ต้องไปประณามผู้ก่อความไม่สงบด้วย ว่าเขาทำร้ายคนบริสุทธิ์ได้อย่างไร”

ฉิบหายล่ะวาข้อนี้ แล้วนี่ประชาชนเขาจะไปพึ่งใครล่ะทีนี้ ประชาชนทุกวันนี้ในจังหวัดชายแดนใต้ เขาไม่เคยประณามเจ้าหน้าที่เล้ย สาบานก็ได้ มีแต่ขอร้องขอวิงวอนอย่าให้ทหารถอนกำลังไปจากพื้นที่เลย รัฐบาลและพวกท่านมาถูกทางแล้ว สถานการณ์กำลังดีวันดีคืน ประชาชนทุกหย่อมหญ้าให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แล้วจู่ๆท่าน ผบ.ทบ.กลับให้ประชาชนไปประณามผู้ก่อความไม่สงบเสียอีก พวกผมก็เจอลูกปืนซิครับท่าน โธ่...เวรกรรมครั้งที่สาม

มา....ผมจะเล่าเรื่องแต่งเครื่องแบบ หรือไม่แต่งเครื่องแบบให้ฟัง เป็นเรื่องจริง เกิดขึ้นจริง ในจังหวัดชายแดนใต้ คิดว่าเรื่องนี้ ท่าน ผบ.ทบ.คงจะมีอายุราวๆไม่เกิน 20 ยังคงไม่ได้เข้าโรงเรียนเตรียมทหารมั้ง

อดีตนักรบในเครื่องแบบ โจรจีนคอมมิวนิสต์มลายา (จคม.) ไงละครับ นี่แหล่ะแต่งเครื่องแบบทหารเต็มที่เลย ต่อสู้กับทหารตำรวจของเราอยู่เกือบ 40 ปี โดยที่ไม่สามารถเอาชนะหรือปราบปรามให้ราบคาบได้


พูดถึงเรื่องนี้ อดคิดถึงพ่อใหญ่จิ๋วผู้ลาจากพรรคเพื่อไทยไปอยู่บ้านไม่ได้ ท่านนี้และครับคือหัวหอกตัวจริงที่นำเอากำลังพลหน่วยนักรบในเครื่องแบบโจรจีนเข้ามา เป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย (ผรท.) ไอ้ คำสั่ง 66/23 มันแค่น้ำจิ้มหรือผักชีโรยหน้าเท่านั้น หากพี่ใหญ่ทางจีนแผ่นดินใหญ่ไม่เปิดทางให้ อย่าหวังที่จะปราบกลุ่ม จคม.เหล่านี้ได้สำเร็จ

เข้าใจหรือยังจ๊ะ ท่าน ผบ.ทบ.

ดังนั้นการที่จะชนะข้าศึกที่มองไม่เห็น โหดเหี้ยม อำมหิต ไร้ร่องรอย (ซึ่งไม่เหมือนกับข้าศึกใน กทม.ที่ใส่เสื้อสีแดง ที่เที่ยวเลือกยิงได้ตามใจชอบ น่ะครับ ) มันจึงไม่ใช่อยู่ที่การแต่งเครื่องแบบหรือไม่แต่งเครื่องแบบมาสู้รบกัน แต่มันขึ้นอยูกับ FACULTIES ของผู้มีหน้าที่รับผิดชอบว่า จะ PERSPICACIOUS หรือ FOOLISH เท่านั้น โปรดจำไว้ด้วยคร้าบ

วันนี้ขออนุญาตดัดจริตใช้ภาษาอังกฤษ 3 คำน่ะครับ แล้ววันหน้าผมจะนำเรื่องราวของอดีต จคม.(นักรบอุโมงค์) มาเล่าสู่กันฟังน่ะครับ.

วันพฤหัสบดีที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2554

บนบานให้ดีๆ

ที่มา ข่าวสด

ทิ้งหมัดเข้ามุม
มันฯ มือเสือ



ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาหลังประชาชนชาวภาคใต้เคว้งคว้างท่ามกลางอุทกภัยครั้งใหญ่อยู่หลายวัน

นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ได้ฤกษ์เดินทางด้วยเที่ยวบินพิเศษกองทัพบก ไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านผู้ประสบภัยนครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี พื้นที่ศูนย์กลางน้ำท่วมใหญ่

ระหว่างเจ้าหน้าที่ห้อมล้อมประคองแขนนายกฯ เข้าไปในพื้นที่ ม.10 ต.เทพราช อ.สิชล จ.นครศรีธรรม ราช

ปรากฏคุณป้าคนหนึ่ง อายุ 53 ปี ฝ่าวงล้อมเข้ามา

"ป้า ขออนุญาตมอบแหวนไอ้ไข่ให้นายกฯ ป้าบนบานเอาไว้ตอนน้ำท่วมใหม่ๆ ว่าขอให้ไอ้ไข่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนสิชลนับถือ ดลบันดาลให้นายกฯ ลงมาช่วยเหลือ"

"วันนี้คำบนบานเป็นจริง นายกฯ ลงมาช่วยเหลือแล้ว จึงขอมอบแหวนไอ้ไข่ให้นายกฯ"

พูดจบคุณป้าก็สวมแหวนที่นิ้วนายกฯ แล้วร่ำไห้ด้วยความดีใจ

ตามข่าว เข้าใจว่าคุณป้าเจ้าของแหวนคงแสดงออกจากใจจริง ที่ได้เห็นนายกฯ ตัวเป็นๆ ลงมาเดินย่ำน้ำ

แต่ภาพสะท้อนอีกมุมหนึ่งก็น่าสนใจ

การลงพื้นที่เยี่ยมเยียนช่วยเหลือประชาชนผู้ได้รับเดือดร้อนไม่ว่าจากปัญหาใดก็ตาม แทนที่จะเป็นหน้าที่ปกติของผู้นำประเทศ

กลับกลายเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องบนบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์

แต่ก็อีกนั่นแหละ บางคนบอกว่ากรณีคุณป้ามอบแหวนไอ้ไข่ ถ้ากับนายกฯ คนอื่นคงเป็นเรื่องแปลก แต่กับนายกฯอภิสิทธิ์ ถือเป็นเรื่องธรรมดา

อย่าง ล่าสุดกรณีทหารไทย-กัมพูชาปะทะกันบริเวณชายแดนสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ จนต้องอพยพชาวบ้านนับหมื่นออกจากรัศมีปืนใหญ่ มากินนอนกันในศูนย์อพยพ

คราวนี้นายกฯ ก็ฉับไวเหมือนเดิม

ทหาร 2 ฝ่ายยิงถล่มกันเช้าวันศุกร์ พอบ่ายวันอาทิตย์ นายกฯ ก็ปักหลักอยู่ทำเนียบรัฐบาล เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ทันที

จบจากแก้ปัญหาผ่านจอ รุ่งขึ้นหลังอยู่เป็นรัฐบาลมา 2 ปีกว่า

นายกฯ ก็ขึ้นเครื่องไปยัง จ.แม่ฮ่องสอน ร่วมกิจกรรมอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้านว่าด้วยปัญหายาเสพติด นำมาซึ่งความปลาบปลื้มให้แก่ข้าราชการและชาวแม่ฮ่อง สอนอย่างยิ่ง

แต่อีกอารมณ์หนึ่งชาวบ้านจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา จะปลาบปลื้มด้วยหรือไม่

เอาเป็นว่าเลือกตั้งครั้งหน้า นายกฯอภิสิทธิ์ หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนบานไว้ให้ดีๆ ก็แล้วกัน

'ดีเอสไอ' ลั่นพร้อมรับคดีวิทยุชุมชน 13 สถานีหากเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน

ที่มา ประชาไท

27 เม.ย.54 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอกล่าวถึงกรณีตำรวจกองปราบปรามเข้าจับกุมวิทยุชุมชน 13 สถานีในกรุงเทพฯและปริมณฑล ว่า ดีเอสไอยังไม่ได้รับการประสานข้อมูลการจับกุมดังกล่าว เบื้องต้นทราบเพียงว่ามีการแจ้งข้อหาตั้งวิทยุชุมชนโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนจะมีการแจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ ตามมาตรา 112 และ 116 เพราะมีการนำคำปราศรัยหมิ่นสถาบันไปเผยแพร่ซ้ำหรือไม่นั้น เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะพิจารณาพยานหลักฐานอย่างละเอียด หากพบว่าเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดดีเอสไอก็พร้อมรับไปดำเนินการต่อ
ส่วนความคืบหน้ากรณียื่นคำร้องขอถอนประกันตัวแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่ขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมานั้น ได้มอบหมายให้พ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง พนักงานสอบสวนคดีก่อการร้าย ประชุมร่วมกับพนักงานอัยการเพื่อชี้แจงข้อมูลและหลักฐานเพิ่มเติมตามที่ อัยการร้องขอ โดยคาดว่าอัยการจะยื่นคำร้องขอถอนประกันได้ภายในวันที่ 29 เม.ย. ตามที่ออกมาระบุไว้ก่อนหน้านี้
ส่วน กรณีที่ น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล บุตรสาวพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง ทำหนังสือสอบถามความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของเสธ.แดง ไปยังรัฐบาลนั้น นายธาริต กล่าวว่า น.ส.ขัตติยาไม่ได้ติดต่อสอบถามเรื่องดังกล่าวกับดีเอสไอ ส่วนกรณีที่ใกล้จะครบรอบ 1 ปี เหตุการณ์กระชับพื้นที่ 19 พ.ค. 2553 ดีเอสไอจะแถลงข่าวความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จำนวน 89 ศพหรือไม่ นั้น ตนขอตรวจสอบก่อนหากเนื้อหาคดีมีความคืบหน้าก็พร้อมแถลงข่าวให้ประชาชนรับ ทราบ
ด้านพ.ต.ท.ถวัล มั่งคั่ง หัวหน้าชุดปฏิบัติการคดีก่อการร้าย กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ตนได้ตรวจสอบข้อความถอดเทปคำปราศรัย ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มนปช.ร่วมกับพนักงานอัยการแล้ว ซึ่งพนักงานอัยการ เห็นว่ามีข้อความบางช่วง บางตอนที่เป็นสาระสำคัญ ขาดหายไป จึงได้ให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอหาเทปคำปราศรัยที่มีเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ มากกว่านี้ มาทำการถอดเทปเพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ ยังได้ส่งเอกสารหลักฐาน เป็นคำให้การของพนักงานสืบสวนดีเอสไอ ที่ได้ไปทำหน้าที่บันทึกเทปคำปราศรัยของนายจตุพร ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 10 เม.ย. ที่ผ่านมาด้วย โดยเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมดังกล่าว ตนจะนำไปยื่นให้พนักงานอัยการก่อนเที่ยงวันที่ 29 เม.ย.
ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ, เว็บไซต์แนวหน้า

"อัยการศึก-รัฐประหาร-กวาดล้างน้ำ"

ที่มา thaifreenews

โดย สุรชัย..namome




นิยายสารขัณฑ์ประเทศ

ท่ามกลางสายฝนโปรยปรายกลางพายุฤดูร้อนอย่างผิดฤดู ท่ามกลางกระแสข่าวลือ จอดับ และสงครามชายแดน

ทหาร ระดับหัวแถวไม่ต่ำกว่า 3 คน ได้นัดเข้าปรึกษากัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง เจ้าของสถานที่ผู้ยิ่งใหญ่ได้รับงานมาให้รีบจัดการ ทำอย่างไรให้สกัดพรรคเพื่อไทยให้ได้

งานที่โดนเร่งรัดให้ปิดจ็อป

ท่ามกลางสารพัดวิธีที่ขุดออกมา ที่สุด ขุนทหารแก่-หนุ่ม ทั้งหลายได้ทุบโต๊ะวางแผนไว้กับแผน

"ศึกนอก-ศึกใน"

ศึกนอก- ก่อสงครามชายแดนให้แรงขึ้นถึงขนาดเข้ายึดพื้นที่พิพาทเพื่อจุดกระแสฮึกเหิมความรักชาติ
ศึกใน- ยึดสื่อทุกชนิดของเสื้อแดง ให้เสื้้อแดงออกมาต่อต้านรุนแรง

ภาพทหารที่รับใช้ชาติ ต่อสู้ศัตรู แต่โดนทหารต่อต้านในเมือง จะถูกตีพิมพ์ลงหน้าหนึ่ง พร้อมประกาศกฏอัยการศึก!!!!! เป็นขั้นแรก

การ ใช้จังหวะ 19 พ.ค.นี้ จุดกระแสกวนเมือง จุดข่าวหลอกเสื้อแดงไปตามจุดต่างๆ เพื่อสร้างสถาการณ์ ให้แรงพอ ซึ่งดูสองวันที่ผ่านมา "เสื้อแดงรับมือไม่ได้เลย" เมื่อเสื้อแดงหลงกลโดนหลอกจุดไฟเผาอีกครั้ง ทหารก็ทำตามขั้้นสอง "รัฐประหาร" โดยมีเหตุผลว่า เสื้อแดงก่อความวุ่นวายขัดขวางการปฏิบัติงานของทหาร จนอาจทำให้รัฐไทยเสียดินแดนได้ เป็นขั้นสอง

เขากำลังใช้เสื้อแดงเป็น "เหยื่อ" และก็ "เชือดเหยื่อ" ด้วยความโง่ของคนเสื้อแดงเอง

ประเด็น การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นเหตุผลหลักเช่นกัน แต่หลังการท้าทายของเหล่าคณาจารย์เมื่อวันก่อน ทำให้เขาเริ่มคิดหนักว่า ควรใช้กระแสนี้โหมกันให้สุดขั้ว หรืออย่าแตะให้แรงกว่านี้ ที่สุด ประเด็นนี้กลายเป็น "เชื้อไฟ" ที่ตระเตรียมไว้สำหรับกวาดล้างรอบ 2 ในโอกาสครบรอบปี การไล่ล่าจับกุมทุกคนที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จะเริ่มทั้ง "เก็บดัง-เก็บเงียบ" เหมือนที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต

"อัยการศึก-รัฐประหาร-กวาดล้างน้ำ" ได้กลายเป็นผลึกไอเดียที่เริ่มดำเนินงานแล้ว ส่วนประชาชนชายแดนก็แค่เบี้ยในกระดาน

"ดาวเทียมดับ กับ สงครามไทย-กัมพูชา" ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ สื่อฯระดับพระกาฬ แอบกระซิบ!!

http://www.go6tv.com/2011/04/blog-post_27.html

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย วันที่ 28/04/54

ที่มา thaifreenews

โดย blablabla




อันว่า..การเมือง เรื่องเลือกได้
อยู่ที่ใคร จะคิด ตามสิทธิ์ท่าน
เลือกสิ่งดี ได้สิ่งดี ศรีสำราญ
เลือกพวกมาร ได้ความทุกข์ สุขไม่มี....

เพื่อชีวิต ดีกว่า ไม่มัวหม่น
เราเป็นคน ขีดเส้นทาง สว่างนี้
อยากมีความ สุขสม อารมณ์ดี
หรืออยากมี ทุกข์ยาก ลำบากใจ....

ประชานิยม ต้นตำรับ ฉบับแรก
ถูกจ่ายแจก เลอเลิศ บรรเจิดไว้
ความอยู่ดี กินดี มีทั่วไทย
สว่างไสว ทั้งแผ่นดิน ดังถิ่นทอง....


ประชานิยม สับปลับ ฉบับลอก
พวกกระจอก ปากหมา พาสยอง
คิดไม่เป็น แต่ลอกเขา เอาไปลอง
เสียงโห่ร้อง ก่นด่า หน้าไม่อาย....

ประชานิยม ของดี ก๊อบปี้แหลก
หวังจ่ายแจก เร่งรุด เป็นจุดขาย
พวกรอเสียบ กลับมองเห็น เป็นของตาย
ด้วยมักง่าย ประชานิยม ผสมโรง....


เพราะการเมือง เลือกได้ ตามใจฝัน
ดีเลวนั้น ประชาชน คนประสงค์
เลือกแบบไหน ได้แบบนั้น ตามบรรจง
ผลจบลง ช่วยกำหนด อนาคตไทย....

๓ บลา / ๒๘ เม.ย.๕๔
http://3blabla.blogspot.com

‘ตู่’แฉรัฐประหารแน่30เม.ย. ปิดวิทยุแดงเพื่อตัดการสื่อสาร

ที่มา ข่าวสด

เมื่อ เวลา 13.30 น. ที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด้จการแห่งชาติ(นปช.)แดงทั้งแผ่นดิน แถลงถึงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจและกอ.รมน. เข้าตรวจค้นสถานีวิทยุชุมนุมเสื้อแดง 13 แห่ง โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า ภายใต้สถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ พร้อมทั้งมีความพยายามหลายรูปแบบจากฝ่ายรัฐที่จะทำลายการต่อสู้ของประชาชน โดยล่าสุดมีการออกหมายจับและหมายค้นสถานีวิทยุเสื้อแดง รวมทั้งพยายามจะยึดอุปกรณ์ออกอากาศ ทำให้สถานีวิทยุหลายแห่งต้องหยุดการออกอากาศ ซึ่งถือว่าเป็นการใช้อำนาจข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชน ซึ่งไม่เคยมีในยุคที่บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย แต่จะเกิดขึ้นในยุคเผด็จการ

นาย ณัฐวุฒิ กล่าวว่า การกระทำที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยของรัฐบาลในสถานการณ์ที่ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติ คนเสื้อแดงไม่มีการนัดหมายชุมนุมใหญ่ และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ และยังประกาศพร้อมเดินหน้าสู่การเลือกตั้งอย่างนี้ ทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่ามีความพยายามที่จะปิดหูปิดตา และปิดช่องทางการสื่อสารกับประชาชนเพื่อเตรียมการปล้นประเทศครั้งใหญ่ใช่ หรือไม่ และคิดเป็นอย่างอื่นไมได้นอกจากเป็นการวางแผนเพื่อทำรัฐประหารและกลัวว่า สถานีวิทยุชุมชนจะกลายเป็นกองบัญชาการต่อต้านการรัฐประหาร ทำให้คิดไปได้อีกว่าการหลุดวงโคจรของดาวเทียมไทยคมเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก็ เกี่ยวพันกับการเข้าไปกดดันสถานีวิทยุชุมชน ทั้งนี้แกนนำนปช.ได้ประชุมหารือมีมติเรียกร้องให้ผู้ประกอบการสถานีวิทยุ ชุมชนที่ถูกคุกคาม ให้ไปแจ้งความดำเนินคดีกับชุดปฏิบัติการที่เข้าตรวจค้นในข้อหาปฏิบัติ หน้าที่โดยมิชอบ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ส่วนการกระทำของเจ้าหน้าที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือมีบุคคล ได้รับบาดเจ็บก็ให้แจ้งความไปตามกรณี

นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า นอกจากนี้ขอให้ผู้บริหารสถานีวิทยุชุมชนทั่วประเทศได้ประชุมเพื่อกำหนดแนว ทางในการป้องกันการบุกยึดตรวจค้นของเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะตามกำหมายแล้ววิทยุชุมชนทุกแห่งยังคงเปิดทำการได้ เพราะยังไม่มีกสทช.เข้ามาทำหน้าที่ออกใบอนุญาตเรื่องนี้ และขอให้ระมัดระวังอุปกรณ์ส่งสัญญาณ เพื่อให้การออกอากาศเป็นไปได้อย่างต่อเนื่อง เพราะหากมีการรัฐประหาร สถานีวิทยุชุมชนจะเป็นจุดที่จำเป็นต้องใช้หากมีการยึดอำนาจ ขอยืนยันว่าที่ระบุออกมานี้ไม่ใช่แค่การวิตกจริต แต่บ้านเมืองอยู่ภาวะสุ่มเสี่ยงจริงๆ เพราะแม้แต่คนบ้านเลขที่ 111 และ 109 ที่ไปร่วมกับรัฐบาลก็ยังกังวลว่าจะไม่มีการเลือกตั้ง

ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวว่า น่าสังเกตว่าการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจค้นสถานีวิทยุชุชน 13 แห่ง นอกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และจากกสทช. ยังมีเจ้าหน้าที่กอ.รมน.เข้าร่วมด้วย โดยมีพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุบรรณ เสธ.ทบ. รู้เห็นการดำเนินการ ซึ่งการปฏิบัติการสอดคล้องกับที่ครม.อนุมัติงบประมาณให้กอ.รมน.จำนวน 8,792 ล้านบาท รวมทั้งการตบเท้าให้กำลังใจผบ.ทบ.จากทหารหลายหน่วย การจัดชุดมวลชนใส่เสื้อสีชมพูจำนวน 7 แสนคน มีการเคลื่อนไหวปลุกกระแสชาตินิยมอย่างเต็มที่ มีการปะทะกับเพื่อนบ้านจนน่าสงสัยว่าเหตุใดภรรยาของจ.ส.อ.คนหนึ่งให้ สัมภาษณ์ว่าสามีโทรศัพท์มาหาตอนเวลา 01.00 น. เพื่อบอกว่าเวลา 06.00 น.จะมีการปะทะ ซึ่งอยากรู้ว่าจ.ส.อ.คนนั้นรู้ล่วงหน้าได้อย่างไร นอกจากนี้ยังมีการใส่ความปฏิปักษ์ทางการเมืองมาตลอด จนตนได้ทราบข้อมูลจากวงในว่ามีการเตรียมที่จะก่อการในวันที่ 30 เม.ย. นี้ซึ่งอยากท้าว่าขอให้ทำเลย ประชาชนที่เขาต่อต้านจะได้ออกมาครั้งเดียว

“ขอให้คนเสื้อแดงทุกคน สถานีวิทยุชุมนุมตั้งมั่นไว้ให้ดี อย่าหวั่นไหวกับการสร้างสถานการณ์ เพราะเขาเริ่มตั้งแต่ปลุกเรื่องล้มสถาบัน มาตอนนี้ก็เป็นเรื่องของการสร้างกระแสชาตินิยม จากนั้นจึงพยายามปิดกั้นการสื่อสารของประชาชน ด้วยการเข้าไปบุกค้นตรวจยึด แล้วก็หวังว่าจะเช็คกำลังฝ่ายตรงข้ามว่าจะมีใครออกมาต่อต้านมากน้อยขนาดไหน หากต่อต้านมากก็จะใช้เป็นการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวายเพื่อรัฐประหารทันที ดังนั้นขอให้ทุกคนอยู่ในที่ตั้ง หากมีการบุกค้นตรวจยึดก็ขอให้ถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐานแจ้งความดำเนินคดี แต่อย่าออกมาให้เกิดความวุ่นวายไม่งั้นจะเข้าทางเขา ตอนนี้เขากำลังจะเข้าฮอสแล้ว อย่าไปเปิดโอกาสให้เขา เอาไว้ยึดอำนาจแล้วเราไปเจอกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเลยทันที"นายจตุพร กล่าว

ด้านนางธิดา โตจิราการ รักษาการประธานนปช.กล่าวว่า หากมีการรัฐประหาร ขอเรียกร้องให้แกนนำระดับต่างๆที่อยู่ในกลุ่มนั้นๆปฏิบัติการแทนแกนนำเดิม ที่ถูกคุกคามจนไม่สามารถปฏิบัติงานได้ และขอให้ใช้แนวทางสันติวิธีและสามัคคีคนให้มากที่สุดเพื่อต่อต้านรัฐประหาร โดยขอให้ปฏิบัติการต่อต้านรัฐประหารในฐานะบุคคล หรือกลุ่มองค์กร ตามคู่มือของยีนส์ชาร์ป จากสถาบันอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ 10 ข้อ ประกอบด้วย 1.ออกมายืนตามถนน ถ้ามีการปราบให้สลายตัวแล้วออกมาใหม่ ไม่เป็นเป้านิ่ง เคลื่อนไหวเร็วไม่ต้องมีเวที 2.จอดรถ นำสิ่งของมาทิ้งไว้กลางถนนเพื่อขัดขวางการเคลื่อนกำลัง 3.ปฏิเสธคำสั่ง หรือประกาศใดๆ ไม่ให้ความร่วมมือกับคณะรัฐประหาร

นางธิดา กล่าวว่า 4.ชวนทหารที่เป็นมิตรออกมาร่วม 5.ยึดมั่นสันติวิธี 6.สร้างสัญลักษณการต่อต้านที่เสื้อ หรือผูกผ้าสีดำที่แขนเสื้อหรือสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐประหารเป็นสติ๊กเกอร์หรือ ธง ติดในทุกที่ หากถูกเอาออกให้นำไปติดใหม่ 7.บันทึกภาพการปราบปรามประชาชนหรือการเคลื่อนกำลัง ใช้เครือข่ายออนไลน์เผยแพร่ 8.ต่อต้านการสนับสนุนรัฐประหารทุกกรณี ทำจดหมายจกาประชาชน เรียกร้องไม่ให้ศาลรับรองคณะรัฐประหารว่าได้รัฐาธิปัตย์ 9.ต่อต้านพวกสนับสนุนการทำรัฐประหารทางเศรษฐกิจ ประจานและประท้วงกลุ่มทุนที่สนับสนุน และ 10.หยุดงานและมีการชุมนุมประท้วง อธิบายเหตุผลต่อประชาชนให้มาร่วมชุมนุมมากที่สุด


นางธิดา กล่าวว่า สำหรับการเข้าคุกคามสถานีวิทยุชุมชนนั้น ทางนปช.กำลังพิจารณาเพื่อจะยื่นหนังสือถึงองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล เพราะถือว่าเป็นการคุกคามตามสิทธิมนุษยชนสากลด้วย รวมทั้งยื่นเรื่องให้องค์กรฮิวแมนไรต์วอชต์เข้ามาตรวจสอบอีกทางหนึ่งด้วย

นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำนปช.และผู้จัดรายการสถานีวิทยุคนแท็กซี่ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าคลื่นวิทยุคนแท็กซี่ได้แจ้งความจำนงต่อกทช.ในขณะนั้นว่าจะประกอบ กิจการวิทยุชุมชน โดยต่อมาทางกสทช.ได้อนุญาตให้สถานีวิทยุชุมชนทดลองออกอากาศไปก่อน เพราะยังไม่มีองค์กรที่จะเข้ามาดูแล แต่กลับมีการเข้ามาตรวจค้นและอ้างว่าประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งที่คลื่นวิทยุชุมชนทั้งหมดของประเทศนี้ก็ไม่มีใครได้รับอนุญาต เพราะยังไม่มีองค์กรและกฎหมายออกมาดูแล และสถานีวิทยุของพรรคภูมิใจไทย และกลุ่มพันธมิตร ก็ไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นขอยืนยันว่าจะแจ้งความดำเนินคดีให้ถึงที่สุดต่อไป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 13.00 น. ที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว มีการนัดประชุมผู้ประกอบการสถานีวิทยุชุมชนของเครือข่ายคนเสื้อแดง เพื่อกำหนดแนวทางการปฏิบัติตัวหากถูกเข้าบุกค้นตรวจยึดอีก โดยได้กำชับให้รักษาอุปกรณ์ส่งสัญญาณไว้ให้ดีที่สุด

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker