บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เปิดปฏิทิน"ปู1" เดินหน้ารัฐบาล

ที่มา ข่าวสด



เมฆหมอกการเมืองเริ่มสลาย

เมื่อกกต.ประกาศรับรองผลเลือกตั้งส.ส.รอบ 4 จำนวน 94 คน รวมกับของเดิม 402 คน เท่ากับมีส.ส. ผ่านการรับรองทั้งสิ้น 496 คน

มากกว่าเกณฑ์ร้อยละ 95 หรือ 475 คน สามารถเปิดประชุมสภาได้ภายใน 30 วันหลังเลือกตั้ง

โดยทางสำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ตราพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา วันที่ 1 สิงหาคม นี้

ในจังหวะการเมืองขยับเดินหน้าตามระบบ

ทำให้ กกต.ลดแรงเสียดทานที่พุ่งเข้าใส่ตลอดหลังเลือกตั้ง 3 ก.ค.เป็น ต้นมา

ไม่ เพียงจากกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ยื่นร้องทุกทิศทุกทาง อ้างว่าการปฏิบัติหน้าที่จัดการเลือกตั้งของกกต. มีข้อผิดพลาดบกพร่องมากมาย พยายามให้การเลือกตั้งโมฆะให้ได้

นอกจากนี้ตามกระแสข่าวยังมี "มือที่มองไม่เห็น"ที่พยายามแทรกแซงกกต.

เป้า หมายสกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทยได้เข้ามาเป็นรัฐบาลเพราะกลัวถูกเช็ก บิล วิธีหนึ่งที่ลือกันมากคือให้กกต.ยื้อ ไม่รับรองผลเลือกตั้งส.ส.ครบร้อยละ 95 ซึ่งจะทำให้เปิดประชุมสภาไม่ได้

แต่ความจริงก็คือเมื่อการเมืองเดินหน้ามาไกลขนาดนี้

จาก ผลเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. พรรคเพื่อไทยได้รับชัยชนะท่วมท้น คือเครื่องบ่งชี้เจตนารมณ์ประชาชนว่าต้องการให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี และพรรคใดเป็นแกนนำรัฐบาล

สิ่งที่เรียกว่า"อำนาจนอกระบบ"จึงไม่สามารถสวนกระแสความต้องการของประชาชนได้

กกต.ยอมรับว่าส.ส.ที่ประกาศรับรองรอบ 4 จำนวน 94 คน ไม่มีใครไม่มีเรื่องร้องคัดค้าน

แต่เพราะกฎหมายให้ประกาศรับรองไปก่อนร้อยละ 95 เพื่อให้เปิดประชุมสภาได้ กกต.จึงต้องปล่อยไปก่อน เพราะเก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์

อีก อย่างคือนับแต่หลังเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันมีการร้องคัดค้านเข้ามารวม 500 เรื่อง ไม่มีทางที่ กกต.จะพิจารณาเสร็จทันวันที่ 1 ส.ค.ได้

ที่เหลือเป็น"ติ่ง"ไว้ก็เฉพาะในรายของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช. ที่ยังไม่รู้ว่าจะกระตุ้นอารมณ์คนเสื้อแเดงมากน้อยขนาดไหน

ส่วน 94 คนล็อตหลังสุดได้ชื่อเป็นรุ่น"ปล่อยผี" ใครจะโดน "สอย" ภายหลังหรือไม่ ต้องติดตามต่อไป

อย่างไรตามในจังหวะการเมืองได้ฤกษ์เริ่มต้น นับหนึ่ง

ดูเหมือนจะมีแต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เท่านั้นที่มั่นใจได้เกินร้อยกับตำแหน่งนายกฯ หญิงคนแรกของประเทศไทย

ส่วนตำแหน่งอื่นไล่มาตั้งแต่ประธานสภาผู้แทนฯ รองประธานสภา รองนายกฯ รัฐมนตรี ที่มีชื่อโผล่กระจัดกระจายตามหน้าหนังสือพิมพ์

เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงแค่โผรายชื่อ ที่ยังมีเปอร์เซ็นต์ความไม่แน่ไม่นอนอยู่สูง

กว่า จะไปถึงจุดที่ชัดเจนหรือ"นิ่ง"จริงๆ ต้องรอให้กระบวนการเลือกประธานสภาผู้แทนฯ และที่สำคัญคือต้องให้ผ่านขั้นตอนการโหวตนายกฯ เรียบร้อยเสียก่อน

จากปฏิทินที่กำหนดไว้แล้วคร่าวๆ คือ หลัง รัฐพิธีเปิดประชุมรัฐสภา 1 ส.ค. วันที่ 2 ส.ค. จะประชุมสภาเพื่อเลือกประธานสภาผู้แทนฯ

จากนั้นวันที่ 4 ส.ค. จะเป็นคิวโหวตเลือกนายกฯ

ถัด จากนั้นอีก 2 วัน คือวันที่ 6 ส.ค. คาดว่าจะนำรายชื่อคณะรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าฯ ได้ทั้งหมดเพื่อต้องการให้มีรัฐบาลอำนาจเต็ม ก่อนถึงวันสำคัญ 12 ส.ค.

กล่าว ถึงตำแหน่งประธานสภานั้น ที่มีชื่อผลัด กันเป็นตัวเก็ง คือ นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ กับ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ซึ่งมีข้อเด่น-ข้อด้อยกันคนละอย่าง

แต่การที่พ.อ.อภิวันท์ มีภาพของคนเสื้อแดงติดแน่นอยู่มากเกินไป ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์การเมืองปัจจุบันที่เบาลง

อาจ เป็นเงื่อนไขอย่างหนึ่งทำให้คนที่อยู่ต่างประเทศ ชั่งน้ำหนักตัดสินใจเลือก ว่าใครคือคน ที่เหมาะสมกับตำแหน่ง"ท่านประธาน" ง่ายขึ้น

สําหรับ ตำแหน่งอื่นๆ ที่เริ่มปล่อย กันออกมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะเก้าอี้ตัวใหญ่ เช่น รมว. กลาโหม ที่มาลงตรงชื่อของ"บิ๊กอ๊อด"พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา

ส่วน นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ที่จะมานั่งรองนายกฯ คุมเศรษฐกิจควบเก้าอี้"ขุนคลัง"นั้น หลังสุดข่าววงในแจ้งว่า เริ่มไม่แน่นอน เพราะเป็นตำแหน่งสำคัญ ต้องพิจารณาให้รอบคอบจนนาทีสุดท้าย

ขณะที่ นายวิกรม คุ้มไพโรจน์ อดีตทูตไทยประจำกรุงลอนดอน ซึ่งมีความสนิทสนมกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นทุนเดิม อาจควบ"ม้ามืด" เข้ามานั่งเป็นรมว.การต่างประเทศ

ล่าสุดยังมีข่าวโยก นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ ไปเป็นรองนายกฯ เปิดทางให้ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก นั่งเก้าอี้ มท.1 ส่ง นายโอฬาร ไชยประวัติ ไปเป็นรมว.ศึกษาธิการ

ที่นิ่งมาแต่โผแรกเลย คือ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.แรงงาน นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.ทรัพยากร ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กลับไปเป็นรมว.ยุติธรรม พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี รมว.คมนาคม นายวิรุฬ เตชะ ไพบูลย์ รมว.พาณิชย์

นาย วิชาญ มีนชัยนันท์ รมว.สา ธารณสุข น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.การพัฒนาสังคมฯ นายคณวัฒน์ วศินสังวร รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ที่เซอร์ไพรส์เล็กๆ คือชื่อ นายธงทอง จัน ทรางศุ เป็นรมต.ประจำสำนักนายกฯ ส่วนรมว. พลังงาน มีข่าวทาบทามนายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ผู้บริหาร ปตท. เข้ามารับตำแหน่ง

จาก ราย ชื่อที่เปิดกันออกมา ถึงแม้น.ส. ยิ่งลักษณ์ จะยืนยันว่า ครม.ชุดใหม่จะจบลงบนโต๊ะคณะกรรมการบริหารพรรค ไม่เกี่ยวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

แต่ในความจริงเป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่

อย่างไรก็ตามไม่ว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จะมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะคน "เคาะ" โผขั้นสุดท้ายหรือไม่

แต่ เบื้องต้นต้องยอมรับว่าบรรดาชื่อที่โยนกันออกมา ยังไม่มีเสียง"ยี้"ให้ได้ยิน อย่างมากมีแต่"มือใหม่หัดขับ" ที่ยังต้องให้โอกาสพิสูจน์ฝีมือ

ยกเว้นมีการพลิกโผครั้งใหญ่ ต้องไปว่ากันอีกที

เกี่ยวกับ TABLET ราคาถูก สำหรับผู้ที่สนใจครับ

ที่มา thaifreenews

โดย GN

ตอนนี้อะไรก็คงหยุดกระแสแทบเบล็ตไม่อยู่แล้วครับ ไม่นึกไม่ฝันว่ามันจะระบาดได้เร็วมาก
ส่วนราคา ไม่น่าเชื่อมีให้เลือกแบบกว้างๆมาก ตั้งแต่ สองพันกว่าๆ ยัน สองสามหมื่น

เรียกได้ว่าเลือกได้ตามงบประมาณ และกิเลสที่เกิด กำหนดได้เลยครับ
เอาแบบเปิดเน็ต อ่านเว็บ จดโน๊ต ดูหนัง ฟังเพลงพื้นๆ ไม่เน้นแรง ก็แค่สองพันกว่าๆ ของใหม่นะครับ

อัพขึ้นมาหน่อย ก็ดูหนัง youtube HD 720p ลื่นๆ ก็แค่ห้าหกพัน ยังถูกกว่าโน๊ตบุ๊ค ใช้ง่ายเหมือนใช้โทรมือถือ
แบบเทพๆก็เจ็ดแปดพันขึ้นยันหลายหมื่น ต่อจอ TV lcd HD1080p ดูหนังได้สบาย

ลองหาดูในกูเกิ้น ipad จีน tablet จีน tablet android 2.2 android 3.1
ไม่ได้โฆษณาครับ แค่ชี้โพรง เผื่อไม่อยากซื้อคอมหรือโน๊ตบุ๊ค บางทีมันก็ดีเกินงาน

หญิงเสื้อแดงถูกฟ้องข้อหายิงเฮลิคอปเตอร์ในช่วงชุมนุม ขึ้นศาลตัดสิน 10 ส.ค. นี้

ที่มา ประชาไท

นาง นฤมล อรุณรุ่งโรจน์ ถูกคุมขังมากว่า 1 ปี ข้อหายิงเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์พร้อมมีอาวุธสงครามในช่วงระหว่างการชุมนุม ของคนเสื้อแดง ตัดสินคดี 10 ส.ค. 54 นี้ที่ศาลแขวงพระโขนง

30 ก.ค. 54 - นางธิดา ถาวรเศรษฐ แจ้งข่าวผ่านเฟซบุ๊คว่า ได้มีคนเสื้อแดงแจ้งเรื่องและติดตามกรณีผู้หญิง 3 คนที่ถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง คลองเปรม และตนเองได้ให้ทีมเลขาไปตรวจดู ซึ่งในตอนนี้ได้เข้าเยี่ยมเพียงหนึ่งคน คือนางนฤมล อรุณรุ่งโรจน์ ซึ่งถูกตั้งข้อหายิงเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์พร้อมมีอาวุธสงคราม โดยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำมาหนึ่งปีกว่าแล้ว และศาลจะตัดสินคดีในวันที่ 10 ส.ค. 54 ที่ศาลแขวงพระโขนง

ทั้งนี้ทางทีมงานยังไม่ได้เข้าเยี่ยมอีก 2 คนคือ นางเจียน ทองมาก และนางพยอม บุญสูงเนิน ซึ่งทาง นปช. จะทยอยเข้าเยี่ยมและให้ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ต่อไป

เสียงร้องจากเรือนจำมหาสารคาม:คุก5ปี8เดือนกับภาพอยุติธรรมที่ตำตา เบื้องหลังแพ้คดีที่ตำใจ

ที่มา Thai E-News



โดย สุระวิทย์ กลุ่มเรดแคมฟร๊อก
ที่มา Internet Freedom

ผมได้เข้าไปเยี่ยมนักโทษคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 54 ที่เรือนจำจังหวัดมหาสารคาม ตามคำร้องขอของน้องนกแดง เรดแคมฟร๊อก

น้อง นกแดงเป็นคนที่ให้ความช่วยเหลือ เยี่ยมเยียนผู้ต้องขังคนเสื้อแดงที่กรุงเทพอย่างสม่ำเสมอในนามบ้านกบแดง ช่วยเหลือผู้ต้องขังคนเสื้อแดงแม้จะพ้นข้อกล่าวหาหรือได้ประกันตัวแล้วก็ตาม ให้ที่พักก่อนกลับบ้าน ให้อาหาร ประสานงานกับองค์กรช่วยเหลือต่างๆ

น้อง นกแดงได้เล่าให้ผมฟังว่า หลักฐานในคำฟ้องผู้ต้องหาเผาศาลากลางมหาสารคามอ่อนมาก แต่ทำไมผลการตัดสินของศาลจึงออกมาให้จำคุกถึง 5 ปี 8 เดือนได้ ทั้งๆที่หลักฐานมีเพียงภาพที่พวกเขาเข้าร่วมชุมนุม และพยานบุคคลที่เป็นตำรวจ ก็ให้การว่าเห็นจำเลยอยู่ในที่ชุมนุมเท่านั้น

จาก ที่ผมได้เยี่ยมและพูดคุยกับผู้ต้องขังคนเสื้อแดงในเรือนจำจังหวัด มหาสารคามทั้ง 9 คนก็พบว่าพวกเขารู้สึกเจ็บปวดมากกับคำตัดสินเช่นนี้ พวกเขาจำผมได้ครั้งที่เป็นตัวแทนกลุ่มเรดแคมฟร๊อก นำเงินที่ทำกิจกรรมหารายได้จากการโยนโบลิ่งช่วยเหลือผู้ต้องขังคนเสื้อแดง และนำเงินมาแบ่งปันให้คนเสื้อแดงมหาสารคามคนละ 2,000 บาทรวมเป็นเงินที่ช่วยเหลือผู้ต้องขังเรือนจำมหาสารคามครั้งนั้น 20,000 บาท และเขายังจำผมได้

ในครั้งที่ทำกิจกรรมกลุ่มสองขาเพื่อประชาธิปไตย เมื่อผมและสมาชิกกลุ่มนำโดย คุณแป๊ะ บางสนานได้ไปปั่นจักรยานให้กำลังใจเยี่ยมเยียนคนเสื้อแดงทั่วภาคอีสาน โดยกิจกรรมในครั้งนั้น ทางกลุ่มสองขาเพื่อประชาธิปไตยจะเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังเสื้อแดงทุกจังหวัดที่ มีการคุมขังคนเสื้อแดง

แต่ในการเยี่ยมของผมครั้งนี้ต่างจากครั้ง ก่อนอย่างสิ้นเชิง สีหน้าพวกเขาเหมือนหมดหวัง พวกเขาเล่าให้ผมฟังว่า พอรู้ว่าจะได้ขึ้นศาลพิจารณาคดีของพวกเขา พวกเขารู้สึกตื่นเต้น ดีใจ มีความหวัง พวกเขามั่นใจมาก มั่นใจเพราะเขารู้ว่าเขาไม่ได้ทำอย่างที่โดนกล่าวหา ศาลากลางจังหวัดก็ไม่ได้ถูกเผา และหลักฐานพยานต่างๆที่ฝ่ายกล่าวหาพยายามให้พวกเขาเป็นคนเผาศาลากลางนั้น ไม่มีอะไรเลยที่เชื่อมโยงได้ว่าพวกเขาเป็นคนเผาหรือพยายามเผาเลย ศาลน่าจะยกฟ้อง

แต่เมื่อคำพิพากษาออกมาส่วนใหญ่ศาลสั่งจำคุก 5 ปี 8 เดือน อารมณ์ของคนที่มีความหวังมันแตกสลายไปในทันที และความผิดที่พวกเขาเข้ามาร่วมชุมนุม เพียงเพราะเขาไม่เห็นด้วยกับการที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ฆ่าพี่น้องคนเสื้อแดงนั้น มันต้องจำคุกตั้ง 5 ปี 8 เดือนเชียวหรือ

อย่างกรณีนายภานุพงษ์ พลเสน เล่า ให้ฟังว่า ผมเห็นมีคนชุมนุมและตำรวจทหารปิดถนน ก็เลยเข้าไปร่วมการชุมนุมเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553เวลาจวนจะค่ำ ที่บริเวณศาลากลางเก่าจังหวัดมหาสารคาม มีชายแต่งกายคล้ายทหารใส่กางเกงลายพลาง ใส่เสื้อยืดมีเป็นจำนวนมาก เข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุม นายภานุพงษ์ไม่หนี เพราะเขาคิดว่าแค่มาร่วมการชุมนุมเท่านั้น ก็โดนชายที่แต่งกายคล้ายทหารเข้าจับเขาให้ล้มลง แล้วก็เตะเขา เตะแล้วเตะอีก จนเขาต้องยอมให้จับกุม

ภานุพงษ์มารู้ทีหลังว่าชายที่แต่งกายคล้าย ทหารเหล่านั้นได้นำเอาขวดใส่ น้ำมันมาวางข้างๆเขาเพื่อถ่ายรูป และรูปดังกล่าวก็ถูกใช้เป็นหลักฐานว่าเขาเป็นคนเตรียมการเผาสถานที่ราชการ ทุกคนที่ผมไปเยี่ยมพยายามที่จะอธิบายเล่าความอีดอัดให้ผมฟัง จนผมต้องบอกให้เขาเล่าทีละคน

นายสมโภชน์ สีกากูล เล่าว่า ทำไมผมไม่ได้ประกันตัว ผมอยากเข้ารับปริญญา ตอนนั้นผมก็พึ่งเรียนจบ อีกสามเดือนผมจะได้เข้าพิธีรับปริญญา เขาเป็นคนเสื้อแดงเพราะเขาเห็นความไม่ยุติธรรม แต่ตอนนี้เขาได้สัมผัสความไม่ยุติธรรมเข้าอย่างเต็มๆ กฎหมายเขามีไว้เพื่อเหยียบคนชั้นล่างเท่านั้นหรือ ทำไมไม่ให้โอกาสทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน

หลักฐานที่จับ กุมผมก็คือ ภาพที่เห็นผมในที่ชุมนุมเท่านั้นไม่ได้มีหลักฐานใดๆที่แสดงให้เห็นว่าผมมี ส่วนในการเผาเลย ถึงผมไม่ได้เรียนกฎหมายแต่ผมก็รู้ในใจผมอย่างที่สุดคือผมไม่ได้ทำอะไรผิด กฎหมาย คนเสื้อแดงมาเป็นพันคนวิ่งหนี ผมไม่วิ่งหนีเพราะผมไม่ได้ทำอะไรผิดกฎหมาย ผมจึงโดนจับ ที่ผมทำในตอนนั้นก็คือผมต่อสู้เพื่อให้ประเทศนี้มีความยุติธรรมและเป็น ประชาธิปไตยเท่านั้น สิ่งที่ผมอยากได้คือได้โอกาสประกันตัว อย่ามัดมือชกกันแบบนี้ ทุกวันนี้ผมเจ็บปวดมากครับ

นายสุชน จันปัญญา ผมอยากออกไปดูแลแม่และพ่อ พ่อผมป่วยหนักและก็พิการด้วยตอนนี้พ่อก็ต้องนอนอยู่ที่โรงพยาบาล แม่ผมต้องทำงานทุกอย่างเพื่อหารายได้

นายมนัส วรรณวงษ์ ผมเป็นคนขายไอศกรีมวอล เขาว่าผมเป็นคนเสื้อแดง ตำรวจว่าผมเข้าไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงทำไม ผมบอกว่าผมไม่ได้ไปชุมนุม ผมไปขายไอศครีม มีคนเยอะที่ไหนผมก็จะไปขายที่นั่นแต่ในส่วนตัวผมแล้วถ้าหากผมชอบเสื้อแดงมัน ก็ไม่น่าจะผิด ผมใส่เสื้อแดงเพราะมันเป็นฟอร์มของไอศกรีมวอลซึ่งมันเป็นสีแดง หลักฐานที่เอาผิดผมก็เป็นแค่คลิปผมวิ่งไปวิ่งมาเท่านั้น หลักฐานที่บอกว่าผมเผาก็ไม่มี และพยานบุคคลที่เป็นตำรวจอ้างในศาลก็บอกว่าเห็นผมวิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้บอกว่าผมเผาเลย แล้วตัดสินออกมาได้ยังไงว่าผมผิดแต่หลักฐานที่บอกว่าผมกระทำผิดมันไม่มี ผมสงสัยว่าทำไมทนายของเรา ไม่ให้ผมเอาพยานมายืนยันเพื่อแก้ข้อกล่าวหา ผมมีพยานทั้งเป็นสิ่งของและพยานบุคคล ทำไมทนายจึงเอาแค่คำซักค้านของทนายเป็นพยานเท่านั้น

นายไพรัช จอมพรรษา ผม มีอาชีพปั่นสามล้อ มีคนขอให้ผมไปขนยางรถยนต์ใส่สามล้อผม ผมก็ไปขนยางให้เขา เอายางไว้ที่กลางถนนหน้าโรงเรียนผดุงนารีเท่านั้นห่างจากศาลากลางเป็นร้อย เมตร แต่ทำไมผมต้องโทษคดีเผาสถานที่ราชการ ศาลากลางเองก็ไม่ได้ถูกเผา ผมขอขอบคุณท่านที่ได้ให้ความช่วยเหลือพวกผม ผมอยากออกจากคุกครับ

เขา น่าจะพอแล้วเขาจองจำพวกผมมาก็นานมากแล้ว น่าจะพอได้แล้ว หากจะพิจารณากันตามหลักฐานอย่างเป็นธรรม พวกเขาไม่มีทางที่จะจำคุกพวกผมได้เลย ให้ความเป็นธรรมพวกเราด้วยเถอะครับ

เวลา สั้นๆที่ผมเข้าเยี่ยมมันทำให้ผมพูดคุยกับทุกคนได้ไม่หมด จนเจ้าหน้าที่เรือนจำมายืนที่ประตูห้องเยี่ยมที่ผมใช้เยี่ยมผู้ต้องขังครั้ง เดียว 9 คน เหมือนจะส่งสัญญาณให้ผมรู้ว่านะจะหมดเวลาเยี่ยมแล้วนะ

ผม จึงขอให้ทุกคนเขียนถึงความในใจกับสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไม่ได้รับความเป็น ธรรมนั้นเอามาให้ผมในวันหลัง เนื่องจากเวลาที่ผมได้เข้าไปคุยกับพวกเขามันน้อยเกินไป แล้วผมก็จะได้นำเอาสิ่งที่พวกเขารู้สึกคับแค้นใจนั้นมาให้สังคมภายนอกได้รับ รู้ร่วมกันว่า มาตรฐานของกระบวนการยุติธรรมประเทศนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ

ผม จึงเข้าไปถามทนายอาสาท่านนึงที่เคยดูแลผู้ต้องขังเสื้อแดงทั้งหมดนี้เพื่อ ขอทราบว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมผลการตัดสินมันจึงเป็นแบบนี้

ทำไมผู้ ต้องขังคนเสื้อแดงต้องถูกคำพิพากษาจำคุกถึง 5ปี 8 เดือนทั้งๆที่หลักฐานกระทำผิดไม่มีหรือมีก็อ่อนมาก ก็ได้คำตอบว่า เดิมนั้นพวกเขา(ทนายเสื้อแดงอาสา) ก็จะทำคดีนี้อยู่แล้ว แต่ทางพรรคเพื่อไทยได้จัดหาทนายและมีงบประมาณสำหรับดำเนินการมาด้วย ทนายอาสาจึงให้โอกาสทนายที่พรรคจัดหามาให้ดำเนินการ

ซึ่งทนายที่พรรค จัดหามาให้ครั้งนี้ผ่านผู้สมัครสส.บัญชีรายชื่อ ชื่อสส.พิชิต ชื่นบาน เป็นผู้จัดหาทนายผู้หญิงอยู่จังหวัดร้อยเอ็ดมาทำคดีนี้ และทนายท่านนี้ สส.ในพื้นที่อย่างเช่นสส.สุรจิต ยนต์ตระกูล สส.ชัยวัฒน์ ตินรัตน์ ก็เห็นชอบสนับสนุนให้มาทำคดีเพราะมีงบประมาณจากพรรค ทนายอาสาหลายคนอยากเข้ามาช่วยคดีนี้

บางคนติดตามคดีนี้มาตั้งแต่ต้น หลายคนอยากช่วยเพราะความที่มีหัวใจแดงก็ไม่สามารถเข้ามาช่วยทำคดีนี้ได้เลย เพราะถูกกีดกันจากทนายหญิงและสส.ที่สนับสนุน

ทนายอาสาท่านนี้ยังบอก อีกว่า สิ่งที่มันผิดพลาดในคดีนี้คือ คดีว่าความของคนเสื้อแดงงานนี้เป็นงานใหญ่ ควรใช้ทนายที่มีทีมงานที่เข้มแข็ง ไม่ควรใช้ทนายอ่อนหัด เปรียบเหมือนเรากำลังจะซ่อมรถยุโรป เราก็ควรจะใช้ช่างที่มีความชำนาญเฉพาะทางและทีมงานที่มีระบบทำงานที่ดี ไม่ควรใช้ช่างซ่อมรถอีแต๋นมาซ่อมรถเบ็นซ์ ถึงแม้จะเป็นช่างซ่อมรถยนต์เหมือนกันก็ตาม มีการกีดกันไม่ให้ทนายกลุ่มอื่นเข้ามาช่วย

เนื่องจากในระหว่างนั้น กำลังจะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง ผู้สมัครสส.ในจังหวัดมหาสารคามและสส.บัญชีรายชื่อบางคนจึงพยายามโชว์ความ สามารถเพื่อให้นายทักษิณได้เห็น แต่ไม่ได้คำนึงถึงสิ่งที่จะเกิดผลกระทบต่อผู้ต้องขัง

พวกเขาไม่ได้ คิดที่จะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อผู้ต้องขัง แต่เป็นการใช้เรื่องการทำคดีของคนเสื้อแดงเพื่อที่จะทำให้ตัวเองได้หน้าเท่า นั้นเอง ยังมีพฤติกรรมไม่ปรกติของสส.พรรคเพื่อไทยในจังหวัดมหาสารคามบางคนที่มีส่วน ในการทำคดีของผู้ต้องขังเสื้อแดง

คือ หลังจากเลือกตั้งสส.แล้วก็มีการเลือกตั้งซ่อมนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด มหาสารคาม แต่สส.ของพรรคเพื่อไทยบางท่านนี้ พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้คนของพรรคภูมิใจไทย ชนะการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด โดยขัดขวางการช่วยเหลือผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวังคนที่พรรคเพื่อ ไทยสนับสนุน

ก่อนออกจากเรือนจำผมก็ได้เจียดเงินจากเงินเดือนของผม เอาไว้ให้เขาใช้คนละ 300 บาท รวม9 คนก็เป็น 2,700 บาท คุณแม่อรแม่ของน้องภานุพงษ์ ซึ่งมาเยี่ยมลูกชายทุกวันรู้สึกดีใจมาก เขาคงไม่ได้ดีใจที่ได้เงิน 300 ร้อยบาทจากผมหรอก แต่อย่างน้อยๆ เขาก็ได้รับรู้ว่ายังมีคนเสื้อแดงอีกหลายๆคนเป็นห่วงพวกเขา ไม่ได้ทอดทิ้งเขา ติดตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา

ข้อน่าสังเกต

1. จังหวัดมุกดาหาร ศาลากลางโดนเผา แต่ทำไมนักโทษผู้ต้องขังคนเสื้อแดงมุกดาหารได้รับการประกันตัว ซึ่งเปรียบเทียบแล้วคดีของมหาสารคามความร้ายแรงอ่อนกว่ามาก เพราะไม่มีสถานที่ราชการในจังหวัดมหาสารคามถูกเผาเลย

2. ตามที่นายมนัส วรรณวงษ์ ตั้งข้อสังเกต ทำไมทนายของจำเลยไม่ยอมให้จำเลยใช้พยานที่มีทั้งพยานวัตถุและพยานบุคคลใช้ เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดี

3. ผู้ต้องหาและญาติทั้งหมด ขอเปลี่ยนทนาย

4. การช่วยเหลือผู้ต้องขังหากทำเพื่อหวังจุดประสงค์อื่น ผลเสียก็จะตกกับผู้ต้องหา ท่านหวังจะได้หน้าแต่ผู้ต้องหากับต้องติดคุกอย่างไม่เป็นธรรม

5. ผู้ต้องขังเล่าว่า ตำรวจที่เป็นพยานชี้ตัวของฝ่ายโจทย์ เป็นตำรวจในพื้นที่ แต่ในวันที่เกิดเหตุคนที่ซ้อมและจับกุมผู้ต้องขัง กลับไม่ใช่ตำรวจเหล่านี้เลย แต่เป็นผู้แต่งกายคล้ายทหาร

6. หลังจากตัดสินคดีแล้ว ญาติผู้ต้องขังพยายามโทรหาทนาย แต่ทำไมทนายจำเลยบ่ายเบี่ยงที่จะไม่พูดกับญาติผู้ต้องขัง

7. การให้ความช่วยเหลือจากองค์กรหลักของเสื้อแดงมีน้อยมาก ญาติเคยไปถามหาความช่วยเหลือจากพรรค และตัวแทนพรรคเพื่อไทยคนนึงบอกกับญาติว่า ให้รอพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาล จะได้เงินช่วยเหลือเป็นหลักล้านบาทเลย แต่ความใส่ใจผู้ต้องขังในปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีเอาเสียเลย

8. เงินบริจาคศูนย์เยียวยาฯของนปช. เจียดมาให้ผู้ต้องขังทั่วประเทศร้อยกว่าคน คนละพันบาทต่อเดือนได้หรือไม่ เห็นวิทยากร นปช.เบิกกันครั้งละหลายหมื่น ค่าเครื่องบินเยอะไปหรือเปล่า ไปปราศรัยต่างจังหวัดเบิกค่าจัดเวทีก็มี ทั้งๆที่แกนนำต่างจังหวัดเป็นคนจัดทำทั้งหมด

• หากปัญหาพวกนี้ไม่ยอมแก้ไข ก็เป็นเรื่องยากที่จะช่วยเหลือผู้ต้องขังของพวกเราได้อย่างเต็มที่

บทความ: เหล่..จอมว๊ากก จะโดนมาดามปู....จัดหนัก

ที่มา Thai E-News

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวพร้อมชี้นิ้ว

โดย สลึมสลือ
ที่มา เว็บบอร์ด Internet Freedom
30 กรกฏาคม 2554

อาการ นิ่ง ไม่ช่างเจรจา ไม่ตอบโต้หรือแสดงอาการดีใจออกนอกหน้าหลังจากที่ได้รับชัยชนะ และการไม่ออกหน้าสื่อบ่อยๆเพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของฝ่ายต่างๆ ถือเป็นความยอดเยี่ยมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรว่าที่นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย

มันได้ทำให้สถานการณ์ ทางการเมืองในส่วนของพรรคเพื่อไทยพลอยดีขึ้นอย่างทันตาเห็น...นิ่งสงบ กลับกลายเป็นว่า “ฝ่ายตรงข้าม”เองที่คอยโหมกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง ด้วยวิธีต่างๆ ต้องหมดเรี่ยวแรง และกลายเป็นฝ่าย บ้าไปเอง โดยพรรคเพื่อไทยและคุณยิ่งลักษณ์ยังไม่ได้ทำอะไรเลย...สะดุดปากตัวเองล้มทับ กันระนาว

ดังเช่นทหารกล้าแห่งกองทัพบกไทย นามว่าประยุทธ(เหล่)จอมว๊ากกก ขี้โมโห..เจ้าอารมณ์..วันก่อนคุณปู ขอเข้าพบ กลับถูกปฎิเสธอย่างไม่เหลือเยื่อใย อาจเพราะไม่ว่างจริงๆเพราะต้องไปคอยบีบสิวให้แม่..หรืออาจปวดไข่ดัน..หรือ แดกงบลับมากไปเลยเป็นพิษ..ฯลฯแต่กระนั้นท่านว่าที่นายกฯหญิง..ก็ไม่ได้ว่า กระไรเพราะคิดเสมอว่าตัวเองบุญน้อย

แต่กาลกลับตาลปัตรเมื่อผลการ เลือกตั้งจบผลคะแนนชนะแบบถล่มทลาย ท่านนายก ญ..ก็ไม่รีบร้อนที่จะไปขอคุยกับไอ้เหล่ตาหวานให้มันเมื่อยก้นอันสวยๆ เพราะตนเองได้กลายเป็นว่าที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของไอ้เหล่ตาหวานไปแล้ว... “จอมว๊ากกก”จึงเริ่มกระสับกระส่าย

ยังๆๆ ไม่วายส่งเสียงเอะอะโวยวาย..อยู่ตลอดเวลา คงหวังเรียกร้องความสนใจจากนายกฯหญิง..เพียงหวังเผื่อจะได้ขอเข้าพบอีกจะได้ รีบทำข้อตกลงกัน..แต่ขอโทษตอนนี้ว่าที่นายก ญ..ของเราก็ทำตัวไม่ค่อยว่างเหมือนกัน อาจต้องรีบไปเสริมสวย..ทำโน่นทำนี่เพราะช่วงหาเสียงเดินมากไม่มีเวลาสวย... ไม่ว่างจริงๆนะเหล่..โทษทีๆ

ตาม มาติดๆเมื่อบรรดาทูตานุฑูตทั้งหลาย..ต่างดาหน้ามาขอเข้าพบโดยไม่เว้นแต่ละ วัน..ทั้งฑูตเล็ก..ฑูตน้อย..ฑูตปานกลาง..ฑูตเป็นหย่อมหย่อม..สารพัดฑูต ได้มาขอเข้าพบเช้าสายบ่ายเย็น จะมีก็แต่พวกขี้ฑูต กับยมฑูตที่วิ่งเข้าหาไอ้พรรคเปรตเนี่ยทุกวัน และต่างก็ออกมาสำทับดังๆว่า..ประเทศไทยอย่าได้มีปฎิวัติอีกนะ ..ถ้ามีอีกจะโดนมิใช่น้อย

เหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นการ ติดเบรก ไอ้จอมว๊ากกก..อย่างประยุทธ์ให้หยุด และหันมาค้อนปะหลับปะเหลือก...ทำปากขมุบขมิบ..อาจคิดอยู่ในใจว่า พ่อมึงเป็นเหี้ยไรวะ...แต่ในใจอาจร้อนรน นั่งรอโทรศัพท์จากยิ่งลักษณ์..ไม่เป็นอันหลับอันนอน..ตาอาจเหล่มากขึ้นไปอีก ออกอาการงุ่นง่าน พาลน้ำลายยืดตาเริ่มขวาง

แต่ เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด..ขณะกำลังรอโทรศัพท์(หวังลมแล้งๆ) ฮ.ทบ.ทะลึ่งตกไป3ลำรวด ไอ้จอมว๊ากกก แทบช็อค ลูกน้องตายไป17 ตัว ฉิบหายละสิ ทุกฝ่ายต่างจับจ้องมองมาที่ ผบ.ทบ.ตัวเดียว โดยมีคำถามตามมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมเป็นอย่างนี้ มันเกิดทุจริตกันภายในกองทัพหรือเปล่า ใครจะรับผิดชอบ ผบ.ทบ.ต้องรับผิดชอบมั๊ย..คราวนี้ “จอมว๊าก”เริ่มตาขวาง พร้อมเดินตูดบิดๆ

เมื่อ ถูกรุกเข้าหนักๆ เพราะเจอแต่คำถามยากๆ หรือถามแล้วตอบไม่ได้ไม่รู้จะตอบยังไง หรือทำไมไมไม่ถามไอ้ที่กูอยากตอบวะ พอเจอแบบนี้เข้า ฟิวส์ขาดสิ กลายเป็นองค์ลง ว๊ากกกเหมือนเดิม ชี้หน้าด่ากราดไปทั่ว ทั้งนักข่าว นักวิจารณ์ นักวิชาการ เว็ปไซท์ วิทยุ ทีวี ..มียกเว้นหน่อยก็ เมียที่บ้าน กับเมียที่เหล่ชอบเลีย

วาทะสวย ปนเลือดที่ว่า “อยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ไม่ต้องอยู่” หากดูตามบริบทและวิแคะ กันแล้ว มันก็ไม่ได้มีความหมายไรหรอก เพราะดูจากคนพูดแล้ว พูดไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น ประเภทปากหมาพาไป ปากโป้ง ปากหมาพูดไม่ทันคิด อารมณ์ติดพัน...แต่ในใจคงไม่ได้คิดอะไรมากหรอก

แต่ วาทะกรรม นี้ทำให้ประยุทธ ย่ำแย่หนักขึ้นไปกว่าเดิม จากนักเลง กลับกลายเป็นอันธพาล หากดูตามสายตา ตอนนี้ “จอมว๊าก”อย่างไอ้เหล่ได้ถูกกุมสภาพไว้หมดแล้ว โดยมาดามปูไม่ต้องออกแรงทำอะไรเลย จะสู้ก็สู้ไม่ได้ จะหนีก็หนีไม่ออก แดรกไม่เข้า สำรอกไม่ออก เสือกทำตัวเอง ...นี่แหละความเป็นคนเจ้าอารมณ์


จะ ปฎิวัติ ก็ทำไม่ได้เพราะสายตาของชาวโลก ที่ล้อมประเทศอยู่เฝ้ามองอยู่อย่างรู้เท่าทัน จึงไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ความชอบธรรมของพรรคเพื่อไทยที่มาตามครรลองประชาธิปไตย บุคลิกของผู้นำกองทัพที่อาจไม่เอื้อต่อการบริหารประเทศในภาวะเช่นนี้...“จอม ว๊ากกก” กำลังตกเป็นรอง อย่ากระพริบตา

"ชาญวิทย์-คำ ผกา" ตั้งคำถามกับข่าว "ตัวเงินตัวทอง" บุกสภา ดิสเครดิต "นักการเมืองในระบบ" แล้วไง?

ที่มา มติชน





หลังจากที่สื่อมวลชนเผยแพร่ข่าวและภาพตัวเงินตัวทอง 2 ตัว นอนประกบในลักษณะผสมพันธุ์กันอยู่บริเวณถนนทางเข้าสู่รัฐสภา เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ผ่านมา ก็เกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับต่อข่าวและภาพดังกล่าวจากสองนักคิดนักวิชาการต่างรุ่น คือ ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และคำ ผกา คอลัมนิสต์นักคิดนักเขียนชื่อดัง


โดยชาญวิทย์ได้เขียนบทความขนาดสั้นชื่อ "′ตัวเงินตัวทองร่วมรัก′ เกมเก่าของผู้ดี-คนชั้นสูง-ชั้นกลาง-ชาวกรุง" ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัว ความว่า


ข่าวที่คุณสินสวัสดิ์ ยอดบางเตย สถาบันปรีดีฯ นำมาโพสต์ เรื่อง "ตัวเงินตัวทอง" ร่วมรักกันที่รัฐสภาฯ นั้น เป็น เกมเก่า ที่ใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีก (ด้วยการทรมานสัตว์ จับมาปล่อยให้ถูกจังหวะ/เป็นข่าว) เพื่อทำลายระบอบประชาธิปไตย ที่ "ปกติ" ต้องมีการเลือกตั้ง และ "ปกติ" ต้องมีนักการเมือง


นี่ เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ดี-คนชั้น สูง-และชั้นกลาง "ชาวกรุง" ที่พอใจโหยหา "อปกติ" คือ นักการเมืองในเครื่องแบบ (ทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน ข้าราชการศาล/อัยการ) และไม่ต้องลงเลือกตั้ง ครับ


สิ่งที่ควรกลับไปสำรวจทาง ปวศ.การเมือง (ตั้งแต่สมัยท่านปรีดี เรื่อยมา) คือ นักการ เมืองสวมเครื่องแบบ ที่รังเกียจเลือกตั้ง เช่น ผิน เผ่า สฤษดิ์ ถนอม ธานินทร์ สุจินดา สุรยุทธ ได้ทำอะไร หรือไม่ได้ทำอะไรให้กับ "ประเทศชาติ และประชาชน" บ้าง


Good luck on your wishful non-elcetoral democracy (มติชนออนไลน์ - ขอให้โชคดีกับประชาธิปไตยแบบไม่มีการเลือกตั้งที่พวกคุณปรารถนาถึง)


ขณะที่คำ ผกา ก็ได้โพสต์ข้อความลงในช่องแสดงสถานะของเฟซบุ๊กส่วนตัวหลังข่าวและภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณชนว่า


"เหี้ย มีทุกหนทุกแห่งที่มีสภาว​ะแวด ล้อม ความชื้น อากาศที่เหมาะสม การเฝ้าทำข่าวเหี้ยในสภาสะท้อนค​วามอ่อนล้าทางปัญญาในสื่อ และตอกย้ำวาทกรรมนักการเมืองเลว​ โดยไม่ถามว่ามีวงการไหนที่ไม่มีค​นเลว?????????????"

ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์-ลูกไก่ในกำมือ 30-7-54

ที่มา Asia Update



Related posts:

  1. ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ 5-5-54
  2. ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ 14-5-54
  3. ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ 12-6-54
  4. ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ 12-7-54
  5. ประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ 29-7-54

นักวิชาการเตือนผบ.ทบ อย่าทำตัวเป็นปัญหาในสังคมประชาธิปไตย

ที่มา Voice TV



หลังจากที่กองทัพต้องพบกับความสูญเสีย เนื่องมาจากเฮลิคอปเตอร์ตกติดต่อกันถึง 3 ครั้ง 3 ลำ ต้องสูญเสียกำลังพลไปถึง 17 นาย โศกนาฎกรรมและความสูญเสียที่เกิดขึ้น ทำให้ถูกมองว่าอาวุธยุทโธปกรณ์ และอากาศยานของกองทัพเก่าและล้าสมัย ร่วมทั้งการวิพากษ์วิจารณ์บทบาทท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ที่ไม่พอใจกับการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชน

วันนี้ (29 กรกฎาคม 2554) รายการ Hot Topic ร่วมพูดคุยกับตัวแทนนักวิชาการด้านความมั่นคง รศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อ.สุรชาติ ยอมรับว่า ประเด็นการจัดซื้อจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควรในสังคมไทย แต่ก็ขึ้นอยู่กับในช่วงเวลานั้นๆ สิ่งที่กองทัพและผบ.ทบ.จะต้องทำความเข้าใจ คือ ในสังคมของสหรัฐหรือสังคมในยุโรปการวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้เป็นเรื่อง ปกติ ดังนั้นกองทัพควรจะเปิดกว้างในเรื่องดังกล่าว

ส่วนเรื่องของสื่อที่คิดว่าจะเป็นตัวปัญหาระหว่างกองทัพกับประชาชน และอาจจะทำให้กลายเป็นศัตรูกันนั้น อ.สุรชาติ กล่าวว่า สื่อไม่ใช่เป็นตัวปัญหา หากสื่อไม่นำเสนอหรือวิจารณ์ออกมา อาจจะมีคนบางกลุ่มที่เปิดเวทีวิจารณ์กองทัพขึ้นมาก็ได้ ดังนั้นสื่อก็เป็นเพียงมุมมองของเวทีวิจารณ์เหมือนกัน

ทั้งนี้การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์นั้น ประเทศเรามักจะมองกันแค่การจัดซื้อ แต่ไม่ได้มองเรื่องของการบำรุงรักษาและซ่อมยุทโธปกรณ์ เมื่อเกิดปัญหาก็ต้องมาตรวจสอบหาสาเหตุกันเช่นเดิม และอ.สุรชาติ เชื่อว่า ผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรงกลาโหมนั้นจะต้องเป็นผู้ที่มี ความสามารถมากกว่าคนเก่าอย่างแน่นอน และที่สำคัญสามารถพากองทัพก้าวไปสู่อนาคตได้

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

"หมอเหวง"ตอกกลับ"สดศรี"วิตกจริต ยันเสื้อแดงไม่ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย ไม่มีการกดดัน-คุมคาม กกต.แน่

ที่มา มติชน

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ถึงกรณีที่ นางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกมาระบุว่า ถูกขู่ฆ่าว่า นางสดศรีวิตกจริตจนเกินไป แม้ว่าคนเสื้อแดงจะข้องใจที่ กกต.แขวนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ว่าที่ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำ นปช. เพียงคนเดียว โดยเห็นว่าเป็นเรื่องประหลาด แต่เชื่อว่าไม่มีใครคิดทำเช่นนั้นแน่นอน ที่ผ่านมาแกนนำก็ได้พูดกับสมาชิกคนเสื้อแดงให้ใจเย็นๆ ได้มีการปราม ข้อร้องทุกเวที ปรามว่าอย่าไป กกต. ถ้าจะมาก็ให้มาที่เรือนจำ มากดดันนายจตุพรว่า ทำไม่ไม่ออกมาเสียที ทั้งที่ประชาชนเลือกมา 15.7 ล้านเสียง แต่ตนสงสัยที่นางสดศรีระบุว่า จะมีการใช้อำนาจนอกระบบนั้น จริงหรือ หรือ นางสดศรีไปเจรจากับทหารที่พร้อมจะเผด็จการมา จึงไม่เข้าใจว่าทำไมเรื่องนายจตุพรเพียงคนเดียว ทำไมไปไกลถึงขนาดนั้นได้ หรือนางสดศรีไปตกลงอะไรมา และเรายืนยันว่า แม้ว่า กกต.จะไม่รับรองนายจตุพร ก็จะดำเนินการตามแนวทางของกฎหมาย จะดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 หรือกฎหมายอื่นที่มากกว่านั้น


ผู้ สื่อข่าวถามว่า นางสดศรีระบุว่า ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับ กกต. อาจจะมีคนฉวยโอกาส เพราะมีมือที่ 3 นพ.เหวงกล่าวว่า นางสดศรีควรที่จะหากล้องซีซีทีวีมาติดที่บ้าน เพราะเชื่อว่าที่ กกต.คงจะมีแล้ว และถ้าพบว่าใครผิดก็จับกุมมาดำเนินการทางกฎหมายได้ทันที เพราะตนเชื่อว่าคนเสื้อแดงไม่ทำกริยาที่ฉุนเฉียว โมโห หรือเกรี้ยวกราด เพราะขณะนี้คนเสื้อแดงมีวุฒิภาวะที่สูงมาก ไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย ที่ผ่านมาที่มีการไปรวมตัวที่ กกต.เพื่อรอการรับรองผลให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์และแกนนำ นปช. 12 คน โดยประชาชนนำปิ่นโต เสื่อไปปูรอ เมื่อได้รับการรับรองแล้วก็กลับอย่างเรียบร้อย แต่อาจจะมีบางคนที่พูดจาหยาบคายบ้าง ก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา เพราะคนหมู่มาก จะให้เรียบร้อยทุกคนก็คงจะเป็นไปไม่ได้ และเรายืนยันว่า แม้ว่า กกต.จะไม่รับรองให้กับนายจตุพร คนเสื้อแดงก็จะไม่ใช้กฎหมู่เหนือกฎหมายแน่นอน เพราะวันนี้บ้านเมืองต้องการการแก้ไข เพื่อให้ความยุติธรรมกลับคืน จะไม่มีการกดดัน คุกคาม หรือทำร้าย กกต.เป็นอันขาด

คนนอกพรรคในมือ "ทักษิณ" โควตากลาง ครม. "ยิ่งลักษณ์" ศก.-ความมั่นคง ปูพรมทักษิณกลับบ้านราบรื่น ??

ที่มา มติชน





ระหว่างที่แกนนำตัวจริง ทั้งในตึกชินวัตร กำหนดสคริปต์สำหรับแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

กลุ่ม ก๊วน มุ้ง ทั้งภาคเหนือ อีสานในพรรค ต่างวิ่งต่อรองเก้าอี้เสนาบดีในช่วงโค้งสุดท้ายกันอย่างดุเดือด จนทำให้โผคณะรัฐมนตรี "ยิ่งลักษณ์ 1" เปลี่ยน ไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา

เพราะดัชนี-ภาพลักษณ์ "ครม." จะเป็นตัวเปิดทางปูพรมให้ "ทักษิณ" กลับบ้านได้ราบรื่นขึ้น

ดังนั้น โควตารัฐมนตรีอย่างน้อย 4-5 คนที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ-ความมั่นคง จึงถูกส่งสัญญาณว่าเป็น "โควตากลาง" ของ "ทักษิณ"

ด้วยการ "กัน" โควตารัฐมนตรีเกรดเอบางกระทรวงให้พ้นจากการวิ่งเต้น-ต่อรองของบรรดากลุ่มก๊วน

โควตา แรก กระทรวงการต่างประเทศ คือ "วิกรม คุ้มไพโรจน์" อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศอังกฤษ ซึ่งมีบทบาทช่วยเหลือ "ทักษิณ" เมื่อครั้งลี้ภัยการเมืองและยังเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ทำให้ "ทักษิณ" ฮุบสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้สำเร็จ

รายที่ 2 "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" อดีตกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่คาดว่าจะมาใช้ชั้นเชิงด้านเศรษฐศาสตร์เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงของ เศรษฐกิจโลก

เผือกร้อนรอโยนเข้ามือ รมว.ต่างประเทศคนใหม่ มีทั้งสาง-สานประโยชน์ด้านการต่างประเทศให้กับ "ทักษิณ" พ่วงด้วยการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ที่ "กระทรวงมหาดไทย" เวลานี้ตามโผล่าสุดมีชื่อของ "ยงยุทธ วิชัยดิษฐ" หัวหน้าพรรค อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย รั้งเป็นเต็ง 1 ส่วน "พล.ต.อ. ประชา พรหมนอก" ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 3 คนที่ "ทักษิณ" ไว้ใจไม่แพ้ "ยงยุทธ" เกาะกระแสตามมาเป็นเต็ง 2

เพราะ "ยิ่งลักษณ์" กับ "ทักษิณ" หนุนกันคนละคน จึงต้องลุ้นจนวินาทีสุดท้าย แต่ "บิ๊กข้าราชการมหาดไทย" สายเพื่อไทย ต่างมั่นใจเกิน 80 เปอร์เซ็นต์ว่า "ยงยุทธ" จะแซงทางโค้งเบียดขึ้นนั่งเก้าอี้ "มท.1" ได้ในที่สุด

เหตุผลที่ "ยงยุทธ" ควรได้เป็นเจ้าของรหัส "มท." ตามความเห็นของแกนนำพรรค อาทิ รอบรู้ช่องทางการบริหารงานทั้งด้าน "คน" และ "งบประมาณ" เพราะในแต่ละปี "มหาดไทย" ได้งบฯกว่า 3 แสนล้านบาท โดยเฉพาะ "กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น" เพียงกรมเดียว กำงบฯถึง 1 ใน 3 ของกระทรวง

จึงแน่นอนว่า "มหาดไทย" ยุค "ยิ่งลักษณ์ 1" จะใช้กลไกท้องถิ่นกดปุ่มปล่อยงบประมาณ "แสนล้าน" เพื่อเอาใจชนชั้นรากหญ้าได้สะดวกง่ายดาย

งาน เร่งด่วนอีกวาระหนึ่งที่ รมว. มหาดไทยคนใหม่จะเร่งสะสาง คือโยกย้าย สลายขั้ว ข้าราชการที่อยู่ขั้ว "ภูมิใจไทย" ให้พ้นเส้นทางอำนาจตั้งแต่ปลัดกระทรวง อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด

ทั้งผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ ปลัดจังหวัด นายอำเภอ โดยเฉพาะถิ่น "อีสานใต้" ย่านจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ นครราชสีมา

ขณะ เดียวกัน ข้าราชการที่เติบโตในสาย "ทักษิณ" ถูกเด้งเข้ากรุ โดนลด ชั้น ลดบทบาท ก็มีแนวโน้มว่าจะถูก ชุบชีวิต คืนชีพในเส้นทางสายราชการ เรียงหน้าขึ้นมารับตำแหน่งสำคัญในกระทรวงอีกครั้ง

สำหรับ "กระทรวงพาณิชย์" มีชื่อ "วิรุฬ เตชะไพบูลย์" เหนียวแน่นมานาน สอดแทรกด้วยอีกหลายชื่อ ทั้ง "เผดิมชัย สะสมทรัพย์" "วัฒนา เมืองสุข"

มรสุม ในกระทรวงพาณิชย์ท่ามกลางภาวะวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก มีทั้งผลกระทบลูกโซ่อันเกิดจากนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่ผุดขึ้นเพื่อเอาใจชาวไร่ชาวนา กรรมกร ผู้ใช้แรงงาน เช่น รับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท และข้าวหอมมะลิตันละ 20,000 บาท

ขณะที่ "กระทรวงการคลัง" เวลานี้เหลือแคนดิเดตเพียงชื่อเดียว คือ "วิชิต สุรพงษ์ชัย"

ชื่อ ของ "วิชิต" โด่งดังในแวดวงการเงินการธนาคารมาช้านาน เคยนั่งเก้าอี้ ผู้บริหารธนาคารมาหลายแห่ง ก่อนจะนั่งเก้าอี้ "ซีอีโอ" ในตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน

สำคัญที่สุดเขาเป็นกรรมการบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)

โจทย์ ใหญ่ของกระทรวงการคลังหนีไม่พ้นนโยบายประชานิยมของพรรคต้นสังกัด ที่ล่าสุดทีมเศรษฐกิจเพื่อไทยได้เข็น "นโยบายเศรษฐกิจเร่งด่วน" ทั้งบัตรเครดิตเกษตรกร บัตรเครดิตพลังงาน ขยายฐานภาษี ลดภาษีนิติบุคคล การพักหนี้ครัวเรือน อยู่ในวาระต้องทำ "ทันที"

"กระทรวงกลาโหม" ตำแหน่งนี้ถือว่ามีความสำคัญต่อเสถียรภาพ "รัฐบาลยิ่งลักษณ์" เป็นอย่างยิ่ง

การ เฟ้นหาคนที่จะมานั่งตำแหน่ง "รมว.กลาโหม" จึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แกนนำพรรคได้ยินว่า "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" ต่อสายหารือกับกองทัพ เปิดโอกาสให้กำหนดสเป็ก กำหนดชื่อว่าต้องการให้ใครเข้ามากุมบังเหียนด้วยตัวเอง เพื่อให้ถูกใจ "กองทัพ" มากที่สุด

ชื่อในโผ คือ "พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา" เพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 อดีตของ "ทักษิณ"

ทั้งหมดคือบทสรุป "คนนอก-คนใน" โควตากองกลางที่ "ทักษิณ" ภูมิใจนำเสนอ

..............

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ 1-3ส.ค.2554 คลิกอ่านข่าวหมวดอื่นๆ

ความเป็นอนิจจังของรัฐ

ที่มา มติชน



โดยวีรพงษ์ รามางกูร

(คอลัมน์ "คนเดินตรอก" ในประชาชาติธุรกิจ ฉบับ1-3ส.ค. 2554)



วันนี้ จะคุยกันเรื่อง "รัฐ" ต่อ อย่างที่ทราบกันดีแล้วว่ามนุษย์ทุกคนทุกสังคมต้องอยู่และคุ้นเคยกับรัฐ รัฐเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ที่ต้องการรัฐ อย่างนักปราชญ์กรีกว่า หรือเกิดจากการใช้อำนาจบีบบังคับเอา หรือเกิดจากการประสงค์ของสวรรค์ หรือเพราะ พระอิศวร พระวิษณุ แบ่งภาคมาเกิดเพื่อปราบยุคเข็ญ หรือเกิดจากความประสงค์ของพระเจ้าหรือสวรรค์ หรือเกิดจากสัญญาประชาคมก็ดี อย่างไรเสียมนุษย์ต้องอยู่ในสังคม และสังคมก็ต้องมีรัฐ เพราะรัฐมีประโยชน์สำหรับมนุษย์ที่จะพัฒนาตัวเองและสังคม รัฐจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีอยู่เสมอ

ปัญหาแรกที่ถกเถียงก็คือ รัฐควรมีอำนาจมากน้อยเหนือบุคคลอย่างไร ฝ่ายที่เห็นว่ารัฐควรมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง มีอำนาจมาก เพราะจะทำให้รัฐบาลสามารถทำงานทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการทหารได้อย่างมี ประสิทธิภาพ พวกที่เห็นอย่างนี้ภาษาฝรั่งมักเรียกว่าเป็นพวก "นักรัฐนิยม" หรือ "statist" พวกเผด็จการทั้งหมดเป็นนักรัฐนิยม แม้แต่นักประชาธิปไตย เช่น แฮมมิลตัน หนึ่งในบิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐ อเมริกา และมีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกันก็ต้องการให้สหรัฐ อเมริกามีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอแบบรัฐบาลที่มาจากรัฐสภาแบบอังกฤษ

นัก ประชาธิปไตยเห็นว่า ถ้าบุคคล ในสังคมมีสิทธิเสรีภาพ ปราศจากความเกรงกลัว "รัฐ" แล้วมนุษย์จะมีความคิดสร้างสรรค์ในทุกด้าน สามารถพัฒนา ให้เจริญก้าวหน้าได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ประเทศจะพัฒนาตรงกันข้ามถ้าสังคมปราศจากสิทธิเสรีภาพ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ก็จะไม่เกิด ประเทศก็จะหยุดอยู่กับที่ ความพอดีอยู่ตรงไหนไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะความเป็นอนิจจังของรัฐ กล่าวคือ รัฐจะต้องปรับตัวแก้ไขสิ่งที่ผิดที่ล้าสมัยแล้วให้เหมาะสมที่จะรับใช้และ เป็นประโยชน์ต่อสังคมเสมอ จะหยุดอยู่กับที่ไม่ได้ เพราะสังคมก็เป็นอนิจจัง เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

มีนักปราชญ์หลายคนที่คิดว่า "รัฐ" เป็นสิ่งชั่วร้าย เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อกดขี่ข่มเหงกัน มนุษย์สามารถมีความสุข มีอิสระ มีสิทธิเสรีภาพมากที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องเป็นอนารยะหรือป่าเถื่อน ไม่ต้องมีรัฐเป็นผู้คอยจัดการสังคมได้ ผู้ที่เห็นอย่างนี้ เช่น รุสโซ และคาร์ล มาร์กซ์ เป็นต้น

ไม่ว่าจะเป็นรัฐที่ก่อกำเนิดขึ้นมาด้วย ทฤษฎีใดก็ตาม สิ่งที่รัฐนั้น ๆ ต้องดำรงให้คงอยู่เสมอ เพื่อให้ความเป็นรัฐอยู่ได้ต้องมี 3 สิ่งด้วยกัน คือ

1.ความชอบธรรม หรือ legitimacy ความชอบธรรมนั้นเป็นสิ่งที่อธิบายยาก แต่ทุกสังคมต่างก็มีสิ่งที่เชื่อ ที่ยึดถือปฏิบัติกัน ทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับการกำเนิดของรัฐล้วนเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐและผู้ปกครอง ทิ้งสิ้น

เมื่อสังคมเปลี่ยนไป ความเชื่อเปลี่ยนไป ความชอบธรรมก็เปลี่ยนไปด้วย เช่น สมัยหนึ่งความชอบธรรมขององค์อธิปัตย์มาจากสวรรค์ หรือพระเจ้า ความเชื่อนี้ก็ล้าสมัยไปแล้ว ทางพุทธศาสนาของเราก็มีทฤษฎีที่สร้างความชอบธรรมว่าเป็นเพราะบุพเพกตปุญญตา ผู้ปกครองจึงได้มีบุญญาบารมีมาสร้างธรรมะและปราบฝ่ายอธรรม

ผู้ ปกครอง ต้องอาศัยความชอบธรรมในการดำรงอยู่ในอำนาจ นอกจากสร้างความชอบธรรมแล้วยังต้องรักษาความชอบธรรมไว้ให้ได้เสมอ เมื่อสังคมเปลี่ยนไปเพราะเทคโนโลยีเปลี่ยนไป ก็ต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง

ความชอบธรรมพื้นฐานก็คือ การอ้างกฎหมายธรรมเนียมประเพณี หลักเกณฑ์ เหตุผล และโน้มน้าวให้คนในสังคมยอมรับความเชื่อ

แม้ในหน่วยการปกครองระดับล่าง ลงมา ความชอบธรรมก็เป็นเงื่อนไขสำคัญที่จะทำให้ผู้อยู่ใต้ปกครองยอมรับ และต้องปรับตัวปรับปรุงอยู่เสมอ

2.การ เป็นนิติรัฐหรือการปกครองด้วยกฎหมาย หรือที่เรียกกันว่า rule of law เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าที่มาของกฎหมายมาจากที่ใด เช่น มาจากสวรรค์ พระเจ้า จากองค์อธิปัตย์ หรือจากรัฐสภา หรือจากการออกเสียงโดยตรง กฎหมายต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอหน้ากัน

ตรงกันข้ามกับการปกครอง โดยกฎหมายก็คือ การปกครองตามอำเภอใจ หรือ arbitrary rule การปกครองตามอำเภอใจผู้ปกครอง หรือองค์อธิปัตย์ การปกครองตามอำเภอใจก็คือ การกระทำตามใจชอบ ไม่สนใจ ไม่เคารพต่อกฎหมาย หรือการบังคับใช้กฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม มีหลายมาตรฐานในการใช้กฎหมาย ใช้กฎหมายกับบุคคลไม่เสมอหน้ากัน

การเป็นนิติรัฐ หรือการปกครองโดยกฎหมายเป็นหลักสำคัญมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเป็นเมื่อมีการตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตย

การ ละเมิดกฎหมาย แม้ว่าจะมีกันทุกสังคมทุกประเทศ แต่ถ้าถูกเปิดเผย เปิดโปง ก็จะบั่นทอนความชอบธรรมของผู้ปกครองทันที บางครั้งถึงกับอยู่ไม่ได้ เช่น กรณีวอเตอร์เกต เรื่องกบฏคอนทรา เป็นต้น

3.ความสามารถอธิบายได้ด้วย ความ รับผิดชอบ หรือ accountability และความโปร่งใส รัฐสมัยใหม่ เรื่องทุกเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่สังคมภายในและสังคมระหว่างประเทศ เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ "รัฐ" โดยรัฐบาลต้องรับผิดชอบสามารถอธิบายเรื่องต่าง ๆ ได้

การที่จะต้อง รับผิดชอบอธิบายได้ "รัฐ" จะต้องมีความโปร่งใส หรือ transparency คำพูดที่ว่า "รัฐบาลรู้อะไรประชาชนต้องรู้ด้วย" เป็นวาทะที่ถูกต้องและต้องทำให้ได้ไม่ใช่ "ดีแต่พูด"

การกระทำของรัฐ ที่ไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องอธิบาย ไม่ต้องให้ความจริง ไม่โปร่งใส หรือปิดบังซ่อนเร้นการกระทำของตัว จะเป็นบ่อเกิดของระบอบการปกครองโดยอำเภอใจ หรือ arbitrary rule ได้โดยง่าย และเมื่อเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็จะเกิดข่าวลือทำลายความเชื่อมั่น ความเชื่อถือศรัทธา ทำลายความชอบธรรมลงได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้รัฐอ่อนแอลง ความสงบสุขเสื่อมสลายไปเพราะต่างใช้ "อำนาจ" เข้ามาแทนที่ "การยอมรับ" ในที่สุดความขัดแย้งทาง การเมืองก็จะเกิดขึ้นและรุนแรงขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขั้นต้องใช้กำลังทหารเข้าบังคับ และในที่สุดก็จะบังคับไม่ได้

ความ โปร่งใสก็เป็นเครื่องมืออันสำคัญ เพื่อให้เกิดความเชื่อว่า "รัฐ" มีความรับผิดชอบ การกระทำทุกอย่างสามารถอธิบายได้ ถ้าความโปร่งใสถูกปิดกั้น เช่น การปิดข่าว การตรวจข่าว สื่อมวลชนไม่มีอิสระเสรีภาพ ซึ่งแสดงว่ารัฐไม่สามารถรับผิดชอบหรือไม่สามารถอธิบายสิ่งที่ตนทำได้ "นิติรัฐ" ก็ไม่เกิดความชอบธรรม ไม่ว่าจะอธิบายด้วยทฤษฎีอำนาจ "รัฐ" ใด ๆ ก็ตาม ความชอบธรรมก็จะเสื่อมทรุดลง

ความจริง "reality" กับการรับรู้ "perception" 2 คำนี้มีความสำคัญมากในการปกครอง หรือการสร้างความชอบธรรมให้กับผู้ปกครอง ความจริงนั้นอาจจะมี 2 อย่าง คือ ความจริงที่พิสูจน์ได้ และความจริงที่พิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่ต้องการพิสูจน์ ในโลกสมัยใหม่ที่วิทยาศาสตร์เจริญขึ้น เทคโนโลยีเจริญขึ้น ความจริงทุกอย่างก็สามารถพิสูจน์ได้ ไม่เหมือนกับสมัยโบราณที่หลาย อย่างพิสูจน์ไม่ได้ หรือไม่ต้องการการพิสูจน์ เช่น ศรัทธาในเรื่องศาสนา ความเชื่อเรื่องปรัมปรา หรือ myth ไม่ต้องการการพิสูจน์ เพราะมนุษย์ไม่ได้เชื่อ เพราะความเป็นจริงเป็นอย่างนั้น แต่เชื่อด้วยศรัทธา

แม้ จนทุกวันนี้ความเชื่อว่าเป็นจริงจะด้วยการได้ข้อมูลที่สุด หรือเชื่อจากการโฆษณาชวนเชื่อ หรือเชื่อจากข่าวลือเพราะ "รัฐ" ไม่มีความโปร่งใส ปิดกั้น หรือปิดบังข้อมูลข่าวสาร ยิ่งผู้คนขาดข้อมูลข่าวสารมากเพียงใด ข่าวลือก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นเพียงนั้น

เป็นที่ทราบกันในวิชา รัฐศาสตร์ว่า ในระยะสั้นหรือปานกลาง สิ่งที่ประชาชนรับรู้และเชื่อว่าเป็นจริงย่อมมีความสำคัญกว่าความจริง ดังนั้นการปล่อยข่าวการสร้างกระแสทำลายความชอบธรรมของผู้ปกครองจึงสามารถทำ ได้

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการรับรู้และความเชื่อของประชาชนนั้น ในระยะยาวต้องมีความสัมพันธ์กับความจริง และข้อเท็จจริงเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยปัจจุบันที่มีวิทยาการ เทคโนโลยี ตรรกะ และความเจริญทั้งทางวิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และด้วยความต้องการความเป็นจริงของกระแสโลกที่อารยะ

ผู้คนในสังคม ส่วนใหญ่มีทัศนคติไปในทางอนุรักษนิยม ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนส่วนบนของสังคม ความเปลี่ยนแปลงจึงมาจากการกดดันของ คนชั้นล่าง สหรัฐอเมริกาเป็นตัวอย่าง อันดี ฝรั่งเศส อังกฤษ และยุโรปก็มีลักษณะอย่างเดียวกัน ความขัดแย้งระหว่างชนชั้นจึงมีอยู่เสมอ "รัฐ" โดยรัฐบาลจึงต้องปรับตัวอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ความขัดแย้งต่าง ๆ กลายเป็นความรุนแรงในสังคม

การรับรู้ที่เชื่อว่าเป็นความจริง ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงมิได้เป็นเช่นนั้น ในระยะสั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการรับรู้ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงมักจะตามมาด้วยอารมณ์ร่วม เมื่อเกิดอารมณ์ร่วมถ้ายิ่งถูกสนับสนุนด้วยข้อเท็จจริงบางส่วน partial information ในสังคมที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ทางการเมือง ก็ยิ่งจะใช้อารมณ์มาก การชั่งข้อดีข้อเสียผลประโยชน์ของชาติ การบริหารจัดการกับอารมณ์ของคนในสังคมจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ บทบาทของ "ปัญญาชน" นักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่มีสติปัญญา มีวิจารณญาณที่สังคมยอมรับจึงมีความสำคัญมาก หากเกิดกระแสการใช้อารมณ์กดดันไปในทางที่จะสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ชาติในระยะยาว

ทุกประเทศที่เป็นอารยะ กลุ่มคนที่เรียกว่าเป็นปัญญาชน ที่เป็นชนชั้นนำที่เป็นที่ยอมรับ จะมีบทบาทอย่างมากในการเตือนสติสังคมในระยะเวลาที่เกิดอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง ให้สังคมเกิดสติ ยั้งคิดไม่ตัดสินใจไปตามกระแส เพราะอารมณ์เป็นเรื่องระยะสั้นอย่างมาก เกิดขึ้นง่าย ตอบสนองต่อการรับรู้เหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไปอารมณ์อันเกิดจากการรับรู้ก็จะค่อย ๆ เบาบางลงเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ หรือเมื่อสติปัญญากลับคืนให้สามารถหาเหตุผลซึ่งเป็นผลดีผลเสียในระยะยาวได้

ที่ ว่ากลุ่มคนที่เป็นที่ยอมรับว่าเป็นปัญญาชนนั้นมีความจำเป็นต้องมีในทุกสังคม ยิ่งสังคมที่เจริญแล้วยิ่งมีบทบาทมาก ภาระหน้าที่ของกลุ่มชนกลุ่มนี้จึงมีความสำคัญ เพราะในกรณีที่สังคมใช้อารมณ์จะพึ่งพานักการเมืองและสถาบันการเมืองใด ๆ ไม่ได้ เพราะมีผลประโยชน์ในการแสวงหาอำนาจ การดำรงรักษาอำนาจมาเกี่ยวข้อง

"รัฐ" ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของสังคมจึงมีลักษณะเป็นอนิจจังอย่างยิ่ง เมื่อเป็นอนิจจังก็ย่อมไม่มีตนที่ความต้องการการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ใครไปยึดถือยึดติดว่าเป็นตัวตนถาวรไม่เปลี่ยนแปลงปรับปรุงก็ย่อมเป็นทุกข์ ตามหลักของศาสนาพุทธของเรา

หลักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ย่อมเป็นจริงอยู่เสมอ

วังน้ำเขียว-ทับลาน รีสอร์ตการเมือง!

ที่มา มติชน



โดย จำลอง ดอกปิก

(ที่มา คอลัมน์ระหว่างวรรค หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 30 กรกฎาคม 2554)

ปฏิบัติ การรุกคืบทวงคืนที่ดินรัฐช่วงรอยต่อการเมือง บริเวณอุทยานแห่งชาติทับลาน ครอบคลุมอำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา และนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ประกอบด้วยการบุกรุกอุทยานแห่งชาติ ป่าสงวนแห่งชาติ และที่ดิน ส.ป.ก. ถูกตั้งข้อสงสัย การประกาศล้างบางด้วยท่าทีเอาจริงเอาจังอย่างมิเคยปรากฏมาก่อน ของกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช และสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือ ส.ป.ก.ทั้งที่ข้อเท็จจริงปรากฏปัญหามานาน มีวาระการเมืองซ่อนเร้นอยู่หรือไม่

ทั้งนี้ เนื่องจากปกติแล้ว ช่วงเปลี่ยนผ่านเช่นนี้ ฝ่ายข้าราชการประจำมักเข้าเกียร์ว่าง ขอรอดูทิศทางลมก่อน และการไปแตะต้องของร้อนที่เกี่ยวพันอำนาจเงิน ระบบเส้นสาย และอิทธิพลทางการเมืองนั้นมิใช่วิสัยข้าราชการประจำ

กระนั้น ความพยายามปกป้องผืนป่า ที่ดินทำกินเกษตรกรนั้นเป็นเรื่องถูกต้อง และสมควรได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย เพียงแต่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จริงจัง และไม่กระทำการลักษณะลูบหน้าปะจมูก

พื้นที่อำเภอนาดี และโดยเฉพาะวังน้ำเขียวนั้น มีลักษณะการทับซ้อนของปัญหา ทั้งที่เป็นป่าสงวน อุทยานแห่งชาติ และ ส.ป.ก. มีการกระทำผิดกฎหมายทั้งการบุกรุก ซื้อขายเปลี่ยนมือ

สภาพของวังน้ำเขียววันนี้ เต็มไปด้วยบ้านพักตากอากาศ และรีสอร์ต ที่แปลกประหลาดอย่างยิ่งก็คือ แหล่งท่องเที่ยววังน้ำเขียว ชูธรรมชาติเป็นจุดขาย แต่กลับไร้ต้นไม้ ความเขียวขจี ภูเขาที่เป็นเนินลดหลั่น เล่นระดับสวยงามตามธรรมชาติ ต้นไม้ถูกโค่นล้มไม่เหลือแม้ตอ กลายสภาพเป็นเขาหัวโล้น ปรับพื้นที่เพื่อก่อสร้างสิ่งปลูกสร้าง บ้านพัก และรีสอร์ต ลักษณะโผล่เป็นแท่งคอนกรีตก็มีปรากฏ การเข้าไปจัดระเบียบใหม่จึงสมควรดำเนินการอย่างยิ่ง

เพียงแต่ต้องหาทางออกให้กับผู้ประกอบการด้วย

เพราะ วันนี้สภาพวังน้ำเขียวเปลี่ยนไปจากอดีต การประกอบอาชีพและสังคมที่นั่นก็เปลี่ยนไป เม็ดเงินจากการท่องเที่ยวเข้ามาหล่อเลี้ยงพื้นที่มากขึ้น เกิดอาชีพใหม่ของชาวบ้านที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

การ จัดระเบียบใหม่จึงต้องทำให้เกิดความสมดุลระหว่างคนกับป่า โดยไม่ละทิ้งหลักการกฎหมาย อย่างการสงวนไว้เพื่อจัดสรรให้เกษตรกรทำกิน หรือการอนุรักษ์ผืนป่า ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อการประกอบกิจการ หรือการทำมาหากินของชาวบ้าน เนื่องจากการเพิกเฉยของฝ่ายรัฐเอง ก็เป็นตัวการหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาสะสมมาจนกระทั่งปัจจุบัน

ข้อ เสนอการแก้ปัญหา เชิงรอมชอมจากผู้บริหารจังหวัด และผู้ประกอบการก็น่าสนใจมิใช่น้อย เช่น การจัดแบ่งโซนใหม่ กันพื้นที่ป่าให้ชัดเจน หรือการเพิกถอนกลับมาเป็นของรัฐ จากนั้นจัดให้ผู้ประกอบการรายเดิมเช่าเป็นรีสอร์ต หรือสวนเกษตรธรรมชาติ โดยมีเงื่อนไขผูกมัดต้องปลูกต้นไม้ เพื่อฟื้นฟูป่าด้วย

ทางออก ยังสามารถแก้ได้ด้วยการ ให้หน่วยงานรัฐ ที่กำกับดูแลเรื่องการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ททท. ประกาศพื้นที่วังน้ำเขียวเป็นพื้นที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศแบบถาวร จากนั้นทำเรื่องแจ้งไปยังคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม เพื่อขอใช้พื้นที่บริเวณนี้ พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว เนื่องจาก พ.ร.บ.การจัดสรรที่ดินเพื่อเกษตรกรรม 2518 กำหนดอำนาจให้คณะกรรมการพิจารณาเรื่องนี้ได้ สำหรับกิจการที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ ในเรื่องเศรษฐกิจ สังคมอยู่แล้ว

เพียง แต่กรณีการแก้ปัญหา ด้วยการให้เช่าที่ดินนั้น ต้องกำหนดค่าเช่าให้สูงพอ ที่จะสกัดกั้นรายใหม่ มิให้มีแรงจูงใจในการลงทุน หรือคุ้มค่าต่อการเสี่ยงบุกรุกอีก

ข้อเสนอเหล่านี้เป็นแนวทางหนึ่งที่อาจช่วยคลี่คลายปัญหาได้

ส่วน เรื่องนี้เกี่ยวพันการเมืองหรือไม่ มีข้อมูลดิบชิ้นหนึ่งน่าสนใจ รีสอร์ตแห่งหนึ่งมีเจ้าของเป็นนักการเมือง จู่ๆ วันหนึ่งพรรคต้นสังกัดถูกขับพ้นจากการเป็นรัฐบาล เมื่อกลายเป็นฝ่ายค้าน จึงถูกนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลรุกไล่ ใช้อิทธิพลผ่านข้าราชการในจังหวัด นำเรื่องรีสอร์ตมาต่อรอง บีบย้ายพรรค

นักการเมืองรายนี้ยอมย้ายพรรค และแม้ชนะเลือกตั้ง แต่ต้องกลายเป็นฝ่ายค้านในที่สุด ขณะพรรคต้นสังกัดกลับมาเป็นฝ่ายรัฐบาล

เรื่องจริงเป็นดั่งนิยาย

วิบากกรรมรีสอร์ตการเมือง!

ธิดา ถาวรเศรษฐ: ทำไมประชาธิปัตย์จึงพ่ายแพ้การเลือกตั้ง

ที่มา ประชาไท


ได้ อ่านคำสัมภาษณ์ของคนประชาธิปัตย์ที่ออกมาโวยวายกล่าวโทษผู้อื่นรวมทั้ง ประชาชน สื่อมวลชน ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้ทำดีที่สุดแล้วทำไมประชาชนยังไม่เปลี่ยนใจหันมาเลือก ประชาธิปัตย์

ความจริง คนในพรรคประชาธิปัตย์มีมากมายที่เก่ง (ในระบบการศึกษาปัจจุบัน) มีกลไกรัฐและเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยทางการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคมสนับสนุนเต็มกำลัง มีทั้งการสร้างการอุ้มชูด้วยกองทัพและการทำรัฐประหาร หน่วยงานความมั่นคง ซ้ำด้วยตุลาการภิวัตน์และรัฐประหารทางกฎหมาย ประชาธิปัตย์จะเป็นพรรคที่ไม่มีวันถูกยุบ แต่พรรคอื่น ๆ จะถูกยุบหมด ขนาดนี้แล้วยังแพ้การเลือกตั้ง ลงท้ายโทษประชาชนกับโทษสื่อ ที่ไม่โทษก็คือตัวเองแต่ละคน และพรรคประชาธิปัตย์ของตนเอง

ลองมาฟังดูไหมล่ะ ทำไมจึงแพ้ ?

เบื้องแรกเลย

ตัว ช่วยของประชาธิปัตย์ทั้งหมดนั่นแหละทำให้แพ้ เพราะตัวช่วยของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมดนั้นมี จุดยืนและผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกับประชาชน คนเหล่านี้ไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับประชาชน แต่เป็นพวกที่รักษาอำนาจในฐานะผู้ปกครองและกุมกลไกอำนาจรัฐไทยไว้มั่นคง พูดง่าย ๆ ยืนอยู่ตรงข้ามกับผลประโยชน์ประชาชน เมื่อคนเหล่านี้อยู่เบื้องหลังพรรคประชาธิปัตย์ ภาพที่ประชาชนมองเห็นพรรคประชาธิปัตย์ คือเป็นพรรคตัวแทนกลุ่มเครือข่ายระบอบอำมาตยาธิปไตยแท้ ๆ ชัด ๆ นั่นเอง ขอให้ทราบไว้ด้วยว่า แม้แต่ทัศนะภูมิภาคนิยมในภาคใต้ ที่สนับสนุนพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมอย่างประชาธิปัตย์ ก็จะเสื่อมความนิยมไปได้ เมื่อรู้ความจริงว่าตั้งแต่อดีตก่อตั้งพรรคมาจนปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ยังมีจุดยืนเดิมที่เครือข่ายจารีตนิยม เพื่อรักษาอำนาจการปกครองไว้และกลายเป็นคู่ขัดแย้งหลักกับประชาชน

เพียง แค่นี้ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้ง เพราะคุณยืนอยู่คนละฟากกับประชาชนส่วนใหญ่ ยิ่งประชาชนรู้มากขึ้น เข้าใจการเมืองมากขึ้น เขาจะยิ่งหาทางเลือกใหม่ ๆ มากขึ้น

ประการ สำคัญต่อมา คือ การดำเนินงานพรรคการเมืองใด ๆ ก็ตาม ถ้าจะเป็นพรรคใหญ่ พรรคหลักของประเทศในฐานะพรรครัฐบาลหรือพรรคฝ่ายค้านก็ตาม คุณต้องมีองค์ความรู้และแนวทางของพรรค สำหรับการขับเคลื่อนประเทศที่ชัดเจน แม้จะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมก็ชอบที่จะมีหลักทฤษฎีเศรษฐกิจ, การเมือง, สังคม ตามแบบฉบับอนุรักษ์นิยม หรือจะจารีตนิยมสุดขั้วก็ตาม เพื่อให้สังคมไทยที่มีกลุ่มคนอนุรักษ์นิยมเป็นจำนวนมาก สนับสนุนแสดงออกถึงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรม ตามหลักการความเชื่อและแนวทางของพรรคตน

ตัวอย่างเช่น นโยบายทางเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ ควรให้สังคมรู้ว่าท่านเดินตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แบบไหน การเมืองการปกครอง ภาพที่สนับสนุนมาตรา 7 ไม่คัดค้านการรัฐประหาร จนถึงขั้นสนับสนุนออกหน้าออกตาก็มี หลายคนขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพื่อจัดการกับรัฐบาล สมัคร สุนทรเวช, สมชาย วงศ์สวัสดิ์ แสดงออกถึงการไม่เอาการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ด้านเศรษฐกิจยิ่งน่าเกลียดที่ไม่มีหลักการชัดเจน นอกจากการลอกเลียนสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ เคยด่าว่าเป็นนโยบายประชานิยม ความจริงนโยบายเศรษฐกิจของพรรคไทยรักไทยเดิมเป็น “Dual Tracts” ทวิวิถีซึ่งมีรายละเอียดทั้งเศรษฐกิจภายนอก ภายใน เศรษฐกิจระดับบน ระดับล่าง และอื่น ๆ รวมทั้งการทำ Hub ภูมิภาคทางเศรษฐกิจการเมือง การนำเสนอวิสัยทัศน์ทางการเมืองการปกครอง ทางเศรษฐกิจ ทางสังคม เป็นเรื่องสำคัญที่พรรคใหม่ทุกพรรคทุกแนวทางต้องแสดงต่อสังคมให้ชัดเจน

คือ จะเป็นพรรคอนุรักษ์นิยมก็แสดงองค์ความรู้วิสัยทัศน์ นโยบายให้ชัดเจนไปเลย ไม่ใช่คิดแย่งชิงประชาชนง่าย ๆ แบบดูถูกประชาชน คือแจกเงินดื้อ ๆ เกทับด้วยจำนวนเงินที่แจก เพราะคิดเอาง่าย ๆ ว่าถ้าแจกเงินมากกว่า เสนอผลประโยชน์มากกว่าน่าจะซื้อประชาชนได้ ขอโทษค่ะ ประชาชนไทยหลังรัฐประหารเขาก้าวหน้าไปไกลแล้ว

ประเด็นองค์ความรู้และ หลักการของพรรคประชาธิปัตย์ต่อเรื่องราวต่าง ๆ เช่น ปัญหางานต่างประเทศเรื่องเขาพระวิหารแต่ละครั้งท่านพูดไม่เหมือนกัน ตอนปี 43 ก็พูดอย่างหนึ่ง ตอนปี 51 ก็พูดอย่างหนึ่ง ปี 54 ก็พูดอีกอย่างหนึ่ง แม้แต่พวกจารีตนิยมด้วยกันก็โจมตีหนัก และในที่สุดก็เดินตะแคงตามจารีตนิยมสุดขั้วอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ดีที่จบรัฐบาล หาไม่ จะทำอย่างไร เรื่องถอนทหาร นี่จึงแสดงว่าพรรคประชาธิปัตย์ทำงานการเมืองตามคำชี้นำของระบอบอำมาตยา ธิปไตย ไม่ใช่เป็นการทำตามหลักการแนวทางทฤษฎีของพรรคของตน จึงเป๋ไปเป๋มา พาประเทศชาติถูลู่ถูกัง ตามการเดินแบบไร้หลักการในทุกด้านทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม นี่จึงสร้างความไม่เชื่อมั่นให้กับประชาชน ที่แม้จะมีวิธีคิดแบบอนุรักษ์นิยม หรือเป็นอนุรักษ์นิยมโดยชนชั้น ก็ไม่อาจเชื่อมั่นไว้วางใจพรรคประชาธิปัตย์ได้ แล้วเขาก็จะหาทางเลือกใหม่อีกเช่นกัน

ประเด็นที่สาม ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศให้ก้าวหน้าประชาชนเป็นสุข เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่งที่ทำให้แพ้การเลือกตั้งหลังรัฐประหาร รัฐบาลอำมาตย์ของคณะรัฐประหารและรัฐบาลประชาธิปัตย์ได้โอกาสบริหารประเทศ โดยจี้ปล้นอำนาจจากประชาชนไป แต่ไร้ฝีมือในการแก้ความทุกข์ยากของประชาชน ลองไปสำรวจความคิดเห็นของ SME ของพวกผลิต OTOP ของประชาชนรากหญ้า ชาวไร่ชาวนา แรงงานนอกระบบ แรงงานในระบบ ว่าเขาทุกข์ยากเพียงไร ?

ถ้า พรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนกับประชาชน รู้ร้อนรู้หนาวกับความทุกข์ยากของประชาชน จะได้ยินเสียงร่ำร้อง คร่ำครวญถึงความทุกข์ยากทั่วทุกสารทิศในยามนี้ แม้แต่ นปช. ซึ่งมีข้อเรียกร้องทางการเมือง ทวงความยุติธรรมเป็นจุดสำคัญ ยังต้องยอมรับให้เวลารัฐบาลแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ดังนั้นฝีมือในการบริหารเศรษฐกิจถือว่าล้มเหลวในแง่ของคนรากหญ้า (เพราะนึกว่าแจกเงินคนชรา, อาสาสมัครสาธารณสุข, ทำประกันราคาข้าว, เรียนฟรีปลอม ๆ คงจะซื้อประชาชนได้)

ฝึมือในการบริหาร การเมืองการปกครอง การแก้ความขัดแย้งในสังคมยิ่งล้มเหลว หายนะ ระเนระนาด โดยเอาการทหารมาแก้ความขัดแย้งทางการเมือง ในขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองพัฒนาสู่ระดับสูง จากข้อเรียกร้องให้ยุบสภาของ นปช. แดงทั้งแผ่นดิน พรรคประชาธิปัตย์โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เข้าไปอยู่ในค่ายทหารนานนับเดือน ใช้วิธีคิดวิธีทำงานในการแก้ปัญหาการเมืองด้วย วิธีคิดวิธีทำงานแบบการทหาร และหน่วยงานความมั่นคงที่มีจุดยืนแบบการใช้อำนาจการทหาร เผด็จการ อำนาจของประชาชน นี่จึงไม่ใช่การบริหาร, แก้ไขความขัดแย้งที่ถูกต้อง เกิดการขอคืนพื้นที่, กระชับพื้นที่, ก่อนใช้อาวุธจริงและการรบเต็มรูปแบบตามที่เอกสารการทหาร เสนาธิปัตย์ได้ระบุไว้ และอ้างถึงผลสำเร็จในการปราบปรามเข่นฆ่าประชาชนอันเนื่องมาจากนโยบายรัฐบาล ชัดเจนในการให้ปราบปราบประชาชน ทั้งจากคำสั่งที่ออกมาชัดเจนตามกฎหมาย ทั้ง พรบ.ความมั่นคงและ พรก.ฉุกเฉิน การบริหารประเทศเศรษฐกิจการเมืองที่ล้มเหลว ทำให้ประเทศชาติเสื่อมถอย ประชาชนทุกข์ยาก ถูกปราบปรามเข่นฆ่าอย่างเลือดเย็น รวมทั้งการใช้กฎหมายไม่เสมอภาค ตั้งข้อหารุนแรง จับกุมคุมขังโดยไร้หลักฐาน ใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อลงโทษปฏิปักษ์ทางการเมืองแทนคำพิพากษา

ความ อยุติธรรมเหล่านี้เป็นแรงส่งให้ประชาชนหันมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยกัน เต็มกำลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแกนนำคนเสื้อแดงในพื้นที่ต่าง ๆกลายเป็นแกนนำของประชาชนส่วนใหญ่ให้ตื่นตัวทางการเมือง นี่จึงเป็นประเด็นสุดท้ายที่ว่าประชาชนไม่ยอมให้พรรคการเมืองเครือข่ายระบอบ อำมาตย์ปกครองต่อไป ความตื่นตัว ความเข้าใจทางการเมืองการปกครองและสาเหตุปัญหาทางเศรษฐกิจเหล่านี้มาจากการ ยกระดับความรู้ความเข้าใจของประชาชนทั้งประเทศ โดยการขับเคลื่อนจากการต่อสู้ของประชาชน การจัดองค์กร การสร้างแกนนำ ผู้ปฏิบัติงานทั่วประเทศ เหตุผลทั้งสี่ประเด็นนี้แหละที่ผู้เขียนเชื่อว่าคือเหตุผลหลักที่ทำให้ประชา ธิปัตย์พ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง ยังไม่นับวิธีการที่พูดใส่ร้ายป้ายสีคน ที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ยังคงสภาพเช่นนี้อยู่ ก็คงแพ้อีกในการเลือกตั้งครั้งหน้า กลุ่มอนุรักษ์นิยมอาจต้องหาทางตั้งพรรคใหม่ ไหวไหมล่ะ ?

อริสมันต์โชว์รูปถ่ายล่าสุดเผื่อให้ธาริตไว้ดูต่างหน้า ตัวเป็นๆค่อยมาปลายปีอธิบดีDSIคงเป็นคนใหม่แล้ว

ที่มา Thai E-News

อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เปิดเผยภาพถ่ายล่าสุดของเขา ลงในเฟซบุ๊ค Arisman ปลดแอกประเทศไทย

โดยภาพถ่ายระบุวันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ไม่ปรากฎสถานที่แน่ชัด โดยเขียนบรรยายว่า
ขอ ขอบคุณ! ทุกๆคอมเมนท์ และกำลังใจ จากเพื่อนๆ และ พี่น้อง รากหญ้าทุกคน ที่ให้ผมมาตลอด นะครับ เป็นกำลังใจให้ทุกคนเช่นเดียวกัน เราจะไม่ทิ้งกันครับ รักและคิดถึงทุกคน จากใจจริง อริสมันต์

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
30 กรกฎาคม 2554

นางระพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยาของ “กี้ร์-อริสมันต์” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ว่า การเข้ามอบตัวของนายอริสมันต์ นั้นคาดว่าจะเดินทางเข้ามอบตัวปลายปี 2554 โดยต้องรอให้รัฐบาลใหม่พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลและทำงานแก้ปัญหาปากท้อง ประชาชนไปก่อนค่อยว่ากัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายอริสมันต์ยังคงอาศัยอยู่กับญาติสนิทในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง และยืนยันว่านายอริสมันต์ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายตามที่ถูกกล่าวหา

ก่อนหน้านี้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีที่มีข่าวว่า นายอริสมันต์ ผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย จะเดินทางติดต่อขอเข้ามอบตัวกับทางดีเอสไอ ว่า ยืนยันในเรื่องดังกล่าว ยังไม่มีการติดต่อเข้ามอบตัวจาก นายอริสมันต์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนขของผู้ต้องหาที่เป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) รายอื่นๆ ทางดีเอสไอ กำหนดวันนัดเข้ารับทราบข้อกล่าวหา คดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ (คดีล้มเจ้า) ในวันที่ 17 ส.ค. ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มีผู้ทำเรื่องขอเลื่อนนัด

ล่าสุดเฟซบุ๊คของนายอริสมันต์ได้วิจารณ์กกต.กรณีแขวนจตุพรว่า กกต.รับงานมาจากพวกอำมาตย์ให้ปล​่อย ส.ส. พรรคประชาธิปัติย์ทุกคน แม้กระทั้งนายสุเทพ ที่ได้กล่าวปราศรัยใส่ร้ายพรรคเพื่อไทย"ว่าเผาบ้านเผาเมือง" ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งผิดกฏหมายเลือกตั้งมาตรา ๕๓ อย่างชัดเจน เป็นการกระทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในคะแนน เป็นการทำลายชื่อเสียงของพรรคเพ​ื่อไทย ด้วยความจงใจ คนอย่างนี้ทำทุกอย่างได้ เพื่อเอาชนะโดยไม่สนผิดชอบชั่วด​ี แต่ กกต. ดันรับรองให้เป็น ส.ส. เพราะเชื้อชั่วพวกเดียวกัน

นี่คืออำนาจนอกระบบที่สามารถสังได้ จะให้ใครเป็น ส.ส. ไม่เป็น ส.ส. ก็ได้ เพราะต้องการที่จะบอกกับแนวร่วมฮาร์ดคอร์ ไม่มีความเป็นธรรมให้นักสู้ ไม่มีความปราณีต่อนักต่อสู้ผู้เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หมดเวลาอำมาตย์เผด็จการแล้ว องค์กรอิสระที่เป็นเชื้อชั่วของอำมาตย์ต้องออกไป พี่น้องแดงยอมให้มันขังจตุพรมานานแล้ว อำนาจชั่วควรต้องหมดเสียที พลังแดงต้องออกแรงอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?

*******
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-อริสมันต์เปิดเส้นทางหนียิ่งกว่าในหนัง เปิดใจถึงแม่ยกรัฐบาลหากหมายหัวจะเอาชีวิตก็ให้บอกมาเลย

-คลิปรายการอาจารย์ยิ้ม+หวาน องค์กรอิสระ(แน่นะ?)




-จดหมายจากโพ้นทวีปสู่เรือนจำ:พวกอสัตย์อธรรมขี้ขลาดได้ทำให้จตุพรกลายเป็นวีรบุรุษจากลหุโทษ

ถามชำนาญ จันทร์เรือง:เรื่องออกพรก.ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี ๕๐ ไปใช้ปี ๔๐ ไม่ได้

ที่มา Thai E-News



คำถาม:เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด แล้วเหตุใดคณะรัฐประหารจึงประกาศยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญได้

โดย ผศ.เอกพิชัย สอนศรี


เรียน คุณชำนาญ จันทร์เรือง


ผมได้อ่านข้อเขียนของท่านเรื่อง “ออก พรก.ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี ๕๐ ไปใช้ปี ๔๐ ทำไม่ได้” ทำให้ผมเข้าใจเกี่ยวกับศักดิ์ของกฎหมายมากขึ้น

ซึ่ง แม้กระผมเองแม้ไม่ได้มีหน้าที่เกี่ยวกับการใช้กฎหมายอย่างทนายความ อาจารย์ทางนิติศาสตร์ และอื่นๆ ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ และสงสัยไม่น้อย ผมจึงขอเรียนถามเป็น ดังนี้

มาตรา ๖ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติของกฎหมาย กฎ หรือข้อบังคับ ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญนี้ บทบัญญัตินั้นเป็นอันบังคับมิได้

คำถาม :เมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด แล้วเหตุใดคณะรัฐประหารจึงประกาศยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญได้ และ/หรือมีใช้อำนาจตามความในมาตราใด (ทำไมคณะรัฐประหารทำอะไรก็ได้)?

หาก ท่านอ่านแล้วพิจารณาตามเนื้อหานี้ แล้วท่านยังจะเชื่อถืออำนาจ ตามประกาศของคณะรัฐประหาร และยอมรับรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๕๐ เพราะหากยอมรับเท่ากับเราจะยอมให้มีการกระทำรัฐประหารในประเทศนี้อีก เหตุที่ต้องให้รัฐประธรรมนูญสิ้นสุดลงเพราะรัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุด การใดๆที่ได้มาโดยไม่เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติ ถือว่าเป็นกบฏ เมื่อกระทำความผิดสูงสุดและไม่ต้องรับโทษก็คือ สั่งให้กฎหมายสูงสุดนั่นแหละสิ้นสุดลง

หลังประกาศคปค. ฉบับที่ ๑ อำนาจอธิปไตยของปวงชน อยู่ภายใต้ คปค. และประกาศคปค. ฉบับที่ ๓ อำนาจอธิปไตยทางรัฐสภา และคณะรัฐมนตรี ถูกแทนที่ด้วยคปค. เรียบร้อยแล้ว กฎหมายสูงสุดที่เรียกว่า “รัฐธรรมนูญ” ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ ไม่สูงอีกต่อไป มาตรา ๖ มีไว้อ่านเล่นให้เพลินใจเท่านั้น

แม้แต่ประกาศ คปค. ก็ถูกละเมิดกฎหมายสูงสุดของตัวเอง ในระหว่างที่รัฐธรรมนูญปี ๔๐ สิ้นสุดลง เช่น ประกาศ คปค. (ที่อ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญชั่วคราว) แต่งตั้งนายสวัสดิ์ โชติพานิช (ขออภัยที่เอ่ยนามพาดพิง) ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธาน คตส. ภายหลังได้ลาออกไป

ถามว่า:“นั่นเป็นการทำผิดกฎหมายรัฐ ธรรมนูญ หรือไม่” และ “เมื่อแต่งตั้งแล้วบุคคลนั้นไม่ยอมรับ ตำแหน่งหัวหน้า คปค. หรือผู้ถูกแต่งตั้งควรเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญนั้น”?

การปฏิเสธ กฎ ข้อบังคับของคณะรัฐประหาร ที่กระทำตนเองเป็นผู้เหนือกฎหมายสูงสุดได้ ตอนนั้นประชาชนจะรอใครออก พ.ร.ฎ., พ.ร.ก., พ.ร.บ. เมื่อรัฐสภาถูกยุบ คณะรัฐมนตรีสิ้นสุดลง ในเมื่อประชาชนมือเปล่าคนหนึ่ง เขาออกมายืนยันสิทธิของอำนาจของเขา “ผมไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจการประกาศของคุณ” (จะฉบับใดก็ตาม)

ทีนี้ ผมขอยกตัวอย่าง “องค์กรที่เป็นการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร” และที่มีการถกเถียงกันอยู่พักหนึ่ง แล้วเรื่องก็เงียบหายไป พร้อมๆกับการสิ้นสุดของรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช และรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์

ผม ได้เขียนบทความนี้เมื่อปี ๒๕๕๑ ที่จำเป็นต้องยกตัวอย่าง องค์กรนี้ เพราะนี่คือ องค์กรอิสระ ที่มีกฎระเบียบว่าด้วย “การห้ามรับของกำนัลเกิน ๓,๐๐๐ บาท” ของบรรดาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้งหลาย แต่องค์กรนี้กลับนำเข็มกลัดช่อสะอาดไปแสดงความยินดีกับผู้ได้รับการเลือก ตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

แม้ว่าเข็มกลัดช่อสะอาดจะมีราคาเพียง ไม่กี่บาทก็จริงอยู่ แต่ใช้งบประมาณว่าด้วยการใช้จ่ายเรื่องอะไร แล้วองค์กรอื่นๆ เช่น สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ตุลาการศาลรัฐ และอื่นๆ ควรจะมอบอะไรเพื่อแสดงความยินดีกับ สส. สว.เหล่านั้น

การแต่งตั้งป.ป.ช. เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์: เมื่อคปค.กระทำผิดกฎหมายตนเอง

ตาม ที่คณะกรรมการป.ป.ช. ได้จัดทำสมุดปกขาวโชว์หนังสือ “ราชเลขาธิการ” ชี้แจงที่มาของคณะกรรมการ ถูกต้องตามประกาศคปค. ฉบับที่ ๑๙ และฉบับที่ ๓๑ ข้อ ๘ บรรดาบทบัญญัติใดของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบ ปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่ขัดหรือแย้งกับประกาศฉบับนี้ให้ใช้ประกาศฉบับนี้แทน

ข้อเท็จจริงมีว่า

ประ กาศคปค. ฉบับที่ ๑๙ ข้อ ๓ ให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบด้วย

คำว่า “ให้คณะกรรมการ...ประกอบด้วย” (ประกาศฉบับที่ ๑๙) ในที่นี้ถือว่ามีความสมบูรณ์โดยการแต่งตั้งแล้วหรือไม่? เนื่องจากประกาศคปค. ฉบับที่ ๓๑ ข้อ ๑ และให้ถือว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติซึ่งได้รับแต่ง ตั้งตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๑๙ ลงวันที่ ๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙ ได้รับการสรรหาและแต่งตั้งโดยชอบตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒

๑. การแต่งตั้งคณะกรรมการป.ป.ช.เป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ

๒. ประกาศคปค.ฉบับที่ ๑๙ เรื่อง ให้กรรมการประกอบด้วย

๓. มาตรา ๖ ให้มีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติเรียกโดยย่อว่า “ คณะกรรมการ ป.ป.ช.” ประกอบด้วยประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีกแปดคนซึ่งพระ มหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา

๓. มาตรา ๗ (๒) วรรค ๓ ให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการ

๔. มาตรา ๑๒ กรรมการมีวาระการดำรงตำแหน่งเก้าปีนับแต่วันที่พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งและให้ดำรงตำแหน่ง ได้เพียงวาระเดียว

กรรมการซึ่งพ้นจากตำแน่งตามวาระต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจนกว่ากรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งใหม่จะเข้ารับหน้าที่

ประกาศ ของคปค. ฉบับที่ ๓๑ (โดยยังไม่พิจารณาตามข้อ ๘) อย่างน้อย ๔ ข้อข้างต้น นั้นขัด หรือแย้ง ประกาศฉบับ ๓๑ นี้ ให้ใช้ฉบับ ๓๑ นี้แทน

การแต่งตั้งเป็นพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ตามคำแนะนำของ “รัฐสภา”

ด้วย รัฐสภา เป็นอำนาจที่รัฐธรรมนูญได้มีบทบัญญัติไว้ ทั้งรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ และรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้า ให้พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง ตามคำแนะนำของรัฐสภา เช่น

มาตรา ๒๐๔ ศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญคนหนึ่ง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอื่นอีกแปดคน ซึ่งพระมหากษัตริย์แต่งตั้ง ตามคำแนะนำของวุฒิสภา จากบุคคลดังต่อไปนี้

มาตรา ๒๒๙ คณะกรรมการการเลือกตั้งประกอบด้วย ประธานคณะกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกสี่คน ซึ่งพระมหากษัตริย์แต่งตั้งตามคำแนะนำของรัฐสภา......

ให้ประธานรัฐสภาลงนามรับสนองพระราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการตามวรรคหนึ่ง

มาตรา ๒๔๒ ผู้ตรวจการแผ่นดินจำนวนสามคน ซึ่งพระมหากษัตริย์แต่งตั้งตามคำแนะนำของรัฐสภา ..................

มาตรา ๒๕๒ การตรวจเงินแผ่นดิน........

คณะ กรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประกอบด้วย ประธานกรรมการคนหนึ่งและกรรมการอื่นอีกหกคน ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากผู้มีประสบการณ์ด้านการตรวจเงินแผ่นดิน ............

ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการ........

มาตรา ๒๕๕ พนักงานอัยการ........................

การแต่งตั้งและการให้อัยการสูงสุดพ้นจากตำแหน่งต้องเป็นไปตามมติของคณะกรรมการอัยการ และได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภา

ให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งอัยการสูงสุด

มาตรา ๒๕๖ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน...........

ให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้งประธานกรรมการและกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ

ใน เมื่อประกาศคปค. ฉบับที่ ๓ ข้อ ๒.วุฒิสภา สภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรี และศาลรัฐธรรมนูญ สิ้นสุดลงพร้อมกับรัฐธรรมนูญไปแล้วนั้น ใคร คือ รัฐสภา

คำตอบ คือ หัวหน้าคปค. ตามประกาศคปค. ฉบับที่ ๑๖

ประกาศ คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ฉบับที่ ๑๖

เพื่อ ประโยชน์ในการบริหารราชการแผ่นดินให้มีความต่อเนื่องในระหว่างที่ยัง ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงมีประกาศดังต่อไปนี้

ในกรณีที่มีกฎหมายบัญญัติให้การ ดำเนินการเรื่องใดต้องได้รับ ความเห็นชอบจากรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ให้เป็นอำนาจของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในการให้ความเห็นชอบแทนรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา ในเรื่องนั้น

ประกาศ ณ วันที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๙
พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข


ดัง นั้น ประกาศคปค. ฉบับนี้ (และฉบับอื่น) ที่ถือเป็นกฎหมายตามคำพิพากษาของศาลฎีกา หัวหน้าคปค. คือผู้ที่มีอำนาจและหน้าที่ ตามที่คปค.ร่างขึ้น ลงนามและประกาศใช้ ตามอำนาจนั้นประธานวุฒิสภาจึงเป็นผู้ที่ต้องลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ แต่งตั้งประธานกรรมการ และกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ จะตีความเป็นอย่างอื่นมิได้

การที่เลขาธิการคณะกรรมการป.ป.ช. ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีก็ดี หรือ ความเห็นจากสำนักราชเลขาธิการว่า คณะกรรมการป.ป.ช. ที่ได้รับการแต่งตั้งตามประกาศคปค. ฉบับที่ ๑๙ และประกาศคปค. ฉบับที่ ๓๑ (ที่อ้างว่า) เป็นไปโดยชอบแห่งประกาศของ “รัฏฐาธิปัตย์” ขณะนั้น และข้อ ๘ ยังรับรองประกาศฉบับนี้อีกชั้นหนึ่ง นั่นก็มิใช่อำนาจตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และ/หรือ มิได้เป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒

ประกาศคปค. ฉบับที่ ๑๖ เมื่อหัวหน้าคปค. มิได้ปฏิบัติหน้าที่รัฐสภา ในการถวายคำแนะนำ ตามมาตรา ๖ และ/หรือ มิได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ตามมาตรา ๗ (๒) วรรค ๓ โดยอำนาจ หน้าที่ตามกฎหมาย (ตามประกาศคปค. ฉบับที่ ๑๖ ที่ร่างขึ้น ลงนาม และประกาศใช้เอง) แล้ว จักถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือไม่

หากว่ารัฏฐาธิปัตย์สามารถละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ แล้วมีประกาศการว่าการใดที่ขัด หรือแย้งนั้นใช้มิได้ แล้วเหตุใดรัฐธรรมนูญฉบับปี ๒๕๕๐ ในหลายมาตราจึงมีบทบัญญัติ “พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา” และ “ให้ประธานวุฒิสภาลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง”

หรือกฎหมาย มิให้ใช้บังคับกับหัวหน้าคปค. และคปค. เท่านั้น โดยแท้ที่จริงการสรรหาโดยวุฒิสภา เป็นอำนาจประกาศคปค. ฉบับที่ ๑๖ แต่การแต่งตั้งเป็นพระราชอำนาจ ของพระมหากษัตริย์ตามมาตรา ๖ ที่หัวหน้าคปค. มิได้นำความขึ้นกราบบังคมทูล และตามมาตรา ๗ (๒) วรรค ๓หัวหน้าคปค. มิได้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการแต่งตั้ง

ผู้ออกกฎหมาย กลายเป็นผู้ฝ่าฝืนเสียเอง มิได้ปฏิบัติหน้าที่ หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแล้วจะอ้างอำนาจว่า นี่คือประกาศของรัฏฐาธิปัตย์ ได้อย่างไร ในเมื่อพร่ำสอนแก่ประชาชนว่า

“ประชาชนจะทำผิดกฎหมาย โดยอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้”

1ตำบล1ครูฝรั่ง/อาชีวะต้องก้าวสู่หลักสูตรอินเตอร์

ที่มา Thai E-News



โดย ส.ส.สุนัย จุลพงศธร

ก่อน และหลังการเลือกตั้งนโยบายหาเสียงของทุกพรรคการเมือง ถูกกลบด้วยนโยบายลดแลกแจกแถม ที่เรียกว่า นโยบายประชานิยม จนทำให้นโยบายการศึกษาซึ่งเป็นเรื่องสำคัญของทุกพรรคการเมืองถูกบดบังไปหมด

เมื่อ วันที่ 22 เดือนนี้ นายแอนดริว มอริส ตัวแทนองค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือที่รู้จักในนามยูนิเซฟ และคณะได้เข้าเยี่ยมคารวะ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีที่พรรคเพื่อไทย โดยแสดงความเป็นห่วงในเรื่องการศึกษาของเด็กไทย

ผมจึงขอถือโอกาสนี้ บอกเล่ามายังประชาชนในนามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และในนามสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพื่อให้พี่น้องประชาชนทราบถึงความห่วงใยและแนวคิดของพรรคบางด้านเกี่ยวกับ การศึกษา

แต่ต้องขอทำความเข้าใจก่อนว่า ที่กระผมนำเสนอนี้มิใช่เพื่อเสนอตัวแข่งขันที่จะเป็นรัฐมนตรีศึกษากับเขา ในเทศกาลจัดตั้งคณะรัฐมนตรีในขณะนี้ ซึ่งถือเป็นปกติหลังเลือกตั้งที่ประชาชนค่อนข้างจะรู้สึกเบื่อหน่ายต่อข่าว แย่งกันเป็นรัฐมนตรี

แต่กระผมขอเสนอในฐานะที่เคยนั่งบริหารอยู่ใน กระทรวงศึกษาธิการ ทั้งตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี และเลขานุการรัฐมนตรี รวมทั้งนั่งอยู่ในกรรมาธิการการศึกษาของสภาผู้แทนราษฎรหลายสมัย ดังนี้

หาก จะดูแผนการปฏิรูปการศึกษาตาม พ.ร.บ.การศึกษาปี 2542 จนมาถึงวันนี้ถือว่ามีจุดอ่อนอย่างยิ่งในประเด็นสำคัญ และแม้รัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ได้ผ่านแผนการปฏิรูปการศึกษารอบใหม่ ในโอกาสครบ 1 ทศวรรษนับแต่ปี 2542

จุดอ่อนประเด็นสำคัญนี้ก็ยังไม่มีการพูดถึง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปฏิรูปประเทศเพื่อให้ก้าวทันโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ และจะนำมาซึ่งความขัดแย้งทางสังคมในลักษณะชนชั้นที่เป็นช่องว่างระหว่างคน รวยกับคนจนที่ขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น

ปัญหาสำคัญที่จะขอกล่าวในที่ นี้มี2 ประเด็นที่รัฐบาล คุณยิ่งลักษณ์ จะต้องให้ความสนใจ โดยไม่ว่ากระทรวงศึกษาจะเป็นโควต้าของพรรคชาติไทยพัฒนาก็ตามคือ

1.ปัญหาระบบการบริหารการศึกษาที่ไม่ยอมกระจายอำนาจถ่ายโอนไปสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

2.ปัญหาความล้มเหลวของการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ที่เราใช้จ่ายงบประมาณไปอย่างมากในแต่ละปีแต่ไม่บังเกิดผล ด้วยกรอบวิธีคิดของความเชื่อโบราณว่า
“ภาษา อังกฤษไม่ใช่ภาษาพ่อแม่ของเรา และที่เราพูดและใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้เป็นความภาคภูมิใจของเราเพราะประเทศไทย ไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นฝรั่ง”

วาทะกรรมข้างต้นนี้ได้ กลายเป็นอุปสรรคทางวัฒนธรรมการเรียนรู้ของครูส่วนข้าง มากและนักเรียนส่วนข้างมาก และเกิดผลกระทบต่อการเรียนวิชาชีพในระดับ ปวช. และ ปวส. อย่างน่าเสียดายโอกาสยิ่ง

ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วใน วันนี้ยุคนี้ภาษาอังกฤษมิใช่ภาษาต่างประเทศ หากแต่เป็นภาษากลางภาษาหนึ่งของมนุษยชาติที่ใครๆก็ต้องเรียนรู้และใครๆก็ ต้องใช้

ปัญหาประเด็นที่ 1 เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ ที่ กระทรวงศึกษาขัดขวางการถ่ายโอนอำนาจตามที่กำหนดในรัฐธรรมนูญปี 2540 แต่เมื่อรัฐธรรมนูญถูกฉีกและรัฐธรรมนูญปี 2550 ไม่มีกำหนดไว้ก็ยิ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อการปรับตัวทางการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ ของจังหวัดต่างๆ

โดยเฉพาะจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมาก ซึ่งหากมีการถ่ายโอนก็จะช่วยให้เกิดการปรับตัวได้ง่ายขึ้น

ปัญหาประเด็นที่ 2 เป็นปัญหาทางวัฒนธรรมที่ยาวนาน เชื่อหรือไม่ว่านโยบายเรียนฟรีของรัฐบาล ในโรงเรียนของรัฐยังไม่สอนภาษาอังกฤษให้เด็กในระดับ ป.1 – ป.4 และเมื่อขึ้นประถม 5 จึงจะเริ่มเรียนภาษาอังกฤษที่เป็นไวยากรณ์อังกฤษเป็นหลักและเรียนไม่กี่ ชั่วโมงต่อสัปดาห์

เป็นผลให้เด็กไทยส่วนใหญ่ถูกปิดกั้นทางโอกาสที่จะ เรียนรู้ภาษาอังกฤษที่เป็น จริง ปัญหาเหล่านี้พ่อแม่ผู้มีฐานะรู้ดี และแก้ด้วยวิธีส่งลูกเข้าโรงเรียนหลักสูตรอินเตอร์ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษ เกือบทุกวิชา ด้วยค่าเล่าเรียนที่แพงสูงลิ่ว

กระแสความต้องการเรียนรู้ภาษาอังกฤษของประชาชน กลายเป็นกระแสที่เป็นจริงแต่รัฐบาลทุกยุคทุกสมัย ไม่สนใจ

วันนี้ ครูโรงเรียนรัฐบาลก็รับรู้ปัญหานี้หลายโรงเรียนของรัฐได้เปิดหลักสูตร พิเศษเช่นเดียวกับโรงเรียนอินเตอร์ และก็เก็บค่าเล่าเรียนเป็นพิเศษที่ลูกคนจนเรียนไม่ได้

แน่นอนที่สุด อีก 10 ปี ต่อไปในอนาคต เด็กที่รู้ 2 ภาษา ทั้งเขียนได้,พูดได้,ใช้ได้ ย่อมได้รับค่าตอบแทนสูงกว่าเด็กที่รู้ภาษาไทยภาษาเดียว

ดังนั้นลูกคน รวยจึงยิ่งรวยขึ้นในขณะเดียวกันลูกคนจนยิ่งจนลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในอนาคตอีก 10 ปี ช่องว่างทางสังคมจะยิ่งกว้างขึ้น ความยากจนจะกลายเป็นวิกฤติความขับข้องใจ หรือ “วิกฤติแห่งการก้าวไม่ทันทางวัฒนธรรม” ที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมอย่างรุนแรงและยากที่จะแก้ไข ซึ่งส่วนหนึ่งมีปรากฏการณ์อยู่ใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทยในขณะนี้

ที่ น่าสังเกตที่สุดก็คือ การตื่นตัวเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างเป็นไปเองโดยรัฐไม่ได้ให้ความสนใจเกิด ขึ้นเฉพาะในส่วนของโรงเรียนสายสามัญ แต่ไม่เกิดขึ้นในโรงเรียนอาชีวะหรือวิทยาลัยอาชีวะ เลย ดังจะเห็นได้จากหาโรงเรียนอาชีวะอินเตอร์ยากมากทั้งภาคเอกชนโดยเฉพาะภาครัฐ

เด็ก อาชีวะส่วนใหญ่เป็นลูกคนยากคนจนที่มาเรียน ซึ่งมีอัตราเฉลี่ยคนจนเป็นฝ่ายข้างมากเมื่อเปรียบเทียบกับสายสามัญ ดังนั้นความเป็นจริงที่คนรวยส่วนน้อยจะยิ่งรวยขึ้น และคนจนส่วนใหญ่จะยิ่งจนลง โดยสืบต่อความยากจนถึงชั้นลูกชั้นหลาน จากความล้มเหลวของระบบการศึกษานี้

จากบทความนี้ยังคงไม่สามารถจะนำ เสนอการแก้ไขทั้งระบบได้ คงต้องหารือจากนักการศึกษาหลายฝ่าย แต่เฉพาะเรื่องการแก้ไขปัญหาจุดอ่อนเรื่องการศึกษาในประเด็นนี้ ผมขอนำเสนอนโยบายเร่งด่วนก้าวกระโดด 2 โครงการใหญ่คือ

1.โครงการ 1 ตำบล 1 ครูฝรั่ง ซึ่งจะใช้ครูฝรั่งอาสาสมัครจากประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ประมาณ 7,000 คน เท่านั้น ด้วยต้นทุนต่ำสุดด้วยการประสานงานกับหน่วยงานทางสากลที่ผมได้เคยทาบทามไว้ แล้วในครั้งเมื่อทำงานด้านนโยบายในกระทรวงศึกษา

2.ปรับหลักสูตรการเรียนรู้ของอาชีวะศึกษาทั้งหมดทันทีเป็น 2 ภาษา คือ ไทย – อังกฤษ เพื่อเร่งรัดยกระดับประสิทธิภาพของแรงงานไทยเพื่อก้าวสู่แรงงานทางสากลที่จะ ได้รับผลตอบแทนสูง ทั้งแรงงานในประเทศและที่จะส่งออกไปต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยตรง

ทั้งหมดนี้เป็น สิ่งที่ทำได้ทันทีโดยไม่ต้องแก้ไขกฎหมาย เพียงแต่ใช้การบริหารเชิงนโยบายเท่านั้น และจะต้องเร่งให้เรื่องการศึกษางอกขึ้น

ให้พ้นจากการปกคลุมด้วยนโยบายประชานิยม ปาก – ท้อง โดยเร่งด่วน

อดีตสสร.ฟันธงกกต.เข้ามุมอับต้องรับรองจตุพรเท่านั้น แจกใบแดงเลื่อนตัวสำรองเสียบแทนผิดกม.

ที่มา Thai E-News



สรุป กกต.พลาดเอง ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องประกาศรับรองการเป็น ส.ส. ของ นายจตุพร ไปก่อน รอให้มีประธานสภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงยื่นให้ประธานสภาส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่า นายจตุพร จะต้องพ้นจาก ส.ส. เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือไม่ หากทำนอกจากนี้ผิดหมด

โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
ที่มา Asia Update TV


นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และนักกฎหมาย กล่าวในรายการประชาธิปไตยที่ปลายอุโมงค์ ทางโทรทัศน์เอเชียอัพเดต เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม กรณีที่กกต.มีมติด้วยเสียงข้างมากเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ยังไม่รับรองนายจตุพร พรหมพันธุ์ ให้เป็นส.ส.ในระบบบัญชีรายว่า เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจาก

ประการที่ 1 รัฐธรรมนูญมาตรา 98 กำหนดชัดเจนว่า กกต.ต้องประกาศรับรองส.ส.ตามบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการเมืองเรียงตามลำดับ หมายเลขของพรรคการเมืองนั้น

แล้วทำไมไม่รับรองในเมื่อนายจตุพรมีชื่อในลำดับที่ 8

ประการที่ 2 เมื่อกกต.คำนวณว่าพรรคเพื่อไทยได้ส.ส. 61 คน

ทำไมรับรองแค่ 60 คน ไม่รับรองนายจตุพร

ประการที่ 3 มาตรา 45 กฎหมายประกอบรธน.ว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.กำหนดไว้ชัดเจนว่า หากกกต.สงสัยว่าผู้ใดขาดคุณสมบัติ ต้องพิจารณาโดยเร็วและยื่นต่อศาลฎีกาให้เพิกถอนก่อนวันเลือกตั้ง

แล้วเหตุไฉนจะมายื่นเอาทีหลังเลือกตั้งเป็นเดือน กกต.จะใช้อำนาจแทนศาลฎีกาได้หรือ

ประการที่ 4 หากกกต.ให้ใบแดงจตุพร กกต.จะจัดเลือกตั้งใหม่ได้อย่างไร

ในเมื่อจัดการเลือกตั้งซ่อมในกรณีบัญชีรายชื่อไม่ได้ ตามที่กฎหมายกำหนด

ประการที่ 5 ในเมื่อกกต.ให้ใบแดงไม่ได้ หรือยื่นศาลฎีกาเพิกถอนไม่ได้ ก็เหลือช่องทางเดียวคือยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยสถานภาพของนายจตุพร หลังประกาศรับรองให้เป็นส.ส.แล้วเท่านั้น ช่องทางระหว่างที่พ้นจากอำนาจศาลฎีกาเพิกถอนก่อนวันเลือกตั้งกับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญหลังประกาศผลย่อมไม่มีแน่นอน

ประการสุดท้าย หากกกต.ไม่รับรอง โดยการให้ใบแดงไม่รับรองนายจตุพรแล้วเลื่อนผู้มีบัญชีรายชื่ออันดับที่ 62 ขึ้นมาแทน ย่อมไม่มีทางเป็นไปไม่ได้แน่นอน

เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 99 วงเล็บสอง รธน.กำหนดไว้ชัดเจนว่า หากจะเลื่อนขึ้นมาก็ต้องเป็นกรณีมีส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อว่างลง จึงเลื่อนขึ้นมาแทนได้

แต่กรณีนี้นายจตุพรยังไม่ได้เป็นส.ส. แล้วตำแหน่งจะว่างลงได้อย่างไร

และหากไปบอกว่านายจตุพรถูกเพิกถอนเพราะขาดคุณสมบัติ ก็ต้องถามว่านายจตุพรถูกเพิกถอนไปเมื่อไหร่ เพราะศาลฎีกาไม่เคยเพิกถอนก่อนวันเลือกตั้ง และผลการเลือกตั้งปรากฎว่าพรรคเพื่อไทยได้ส.ส.61ราย นายจตุพรอยู่ในลำดับที่8จะไม่รับรองได้อย่างไร

ดังนั้นการที่กกต.คิดจะไม่ยอมรับรองนายจตุพรเป็นส.ส.แล้วจะเลื่อนอันดับที่62ขึ้นมาแทนจึงผิดกฎหมาย

ผิดกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าหน้าที่พนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

ผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 270 จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งกกต.ได้

**********
รายละเอียดเพิ่มเติมจากเวบไซต์ www.kaninboonsuwan.com

โต้แย้ง กกต. กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์


กรณีที่ กกต. มีมติด้วยเสียงข้างมากไม่รับรองการเป็น ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม นั้น ผมมีข้อโต้แย้ง ทั้งในทางวิชาการ และโดยหลักกฎหมาย ดังต่อไปนี้

ประการที่หนึ่ง ในเมื่อรัฐธรรมนูญมาตรา ๙๘ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า กกต. จะต้องประกาศรายชื่อผู้ได้รับเลือกตั้งในระบบบัญชีรายชื่อของแต่ละพรรคการ เมือง ตามเกณฑ์คะแนนที่คำนวณได้เรียงตามลำดับหมายเลข ในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง นั้น

แล้วเหตุไฉน กกต. จึงไม่รับรองการเป็น ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งมีชื่ออยู่ในลำดับ ๘ ของบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ?

ประการที่สอง ในเมื่อ กกต. ได้คำนวณเกณฑ์คะแนนที่พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้งระบบบัญชีรายชื่อว่าได้ ๖๑ คน

แล้วเหตุไฉน กกต. จึงรับรองการเป็น ส.ส. ของระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย เพียงแค่ ๖๐ คน ?

ประการที่สาม ในเมื่อมาตรา ๔๕ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติไว้ชัดเจนว่า ถ้า กกต. สงสัยว่าผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อผู้ใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ต้องดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยเร็ว และยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาเพื่อพิจารณาวินิจฉัยให้เพิกถอนการสมัครรับเลือก ตั้งของผู้นั้นก่อนวันเลือกตั้ง

แล้วเหตุไฉน กกต. จึงเพิ่งจะมาถอนการสมัครรับเลือกตั้งของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ฐานขาดคุณสมบัติ เนื่องจากขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง เอาเมื่อผ่านวันเลือกตั้งมาแล้วตั้งเกือบเดือน ถามว่า กกต. ใช้อำนาจแทนศาลฎีกาได้หรือ ?

ประการที่สี่ ในกรณีการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต ถ้า กกต. จะให้ใบแดงผู้สมัครที่ได้รับเลือกตั้ง กกต. ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งนั้น แต่ในกรณีการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ถ้า กกต. ให้ใบแดง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งอยู่ในอันดับ ๘ ในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย

แล้ว กกต. จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ได้อย่างไร เมื่อจัดการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อใหม่ไม่ได้ แล้ว กกต. ไปให้ใบแดง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้อย่างไร ?

ประการที่ห้า การที่ กกต. บอกว่า ไม่รับรองการเป็น ส.ส. ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นั้น ถามว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ มีสถานภาพทางกฎหมายอย่างไร เป็นผู้ถูกให้ใบแดงก็ไม่ใช่ เพราะล่วงเลยวันเลือกตั้ง ซึ่งพ้นจากอำนาจของ กกต. และศาลฎีกามาแล้ว ช่อง ทางทางกฎหมายที่จะเล่นงาน นายจตุพร พรหมพันธุ์ จึงเหลืออยู่ทางเดียว คือ ต้องยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ หลังประกาศให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็น ส.ส. ไปแล้ว เท่านั้น

ช่องทางระหว่างที่พ้นจากอำนาจของศาลฎีกาก่อนวันเลือกตั้ง กับอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญหลังการประกาศผล ย่อมไม่มีอย่างแน่นอน

ประการที่หก กรณีที่ กกต. อ้างว่า จะไม่รับรองการเป็น ส.ส. ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แล้วจะเลื่อนบุคคลในบัญชีรายชื่อลำดับที่ ๖๒ ของพรรคเพื่อไทยขึ้นมาแทน นั้น ถ้าดูตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้นได้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา ๑๐๙ (๒) บัญญัติไว้ชัดเจนว่า กรณีที่จะเลื่อนผู้มีรายชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคเดียวกันขึ้น มาเป็น ส.ส. แทนได้ จะต้องเป็นกรณีที่มี ส.ส. ในระบบบัญชีรายชื่อพ้นจากตำแหน่งซึ่งทำให้ตำแหน่ง ส.ส. ว่างลงหนึ่งตำแหน่ง จึงเลื่อนขึ้นไปได้

แค่กรณีนี้ ถามว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ มีตำแหน่งเป็น ส.ส. หรือยัง ถ้า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยังไม่ได้เป็น ส.ส. ตำแหน่ง ส.ส. ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ จะว่างลงได้อย่างไร

ในทางกลับกัน ถ้าบอกว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ขาดคุณสมบัติในการเป็นผู้สมัคร ก็ถามว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ถูกถอนการเป็นผู้สมัครไปตั้งแต่เมื่อไร ดังนั้น ในเมื่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่เคยถูกศาลฎีกาสั่งถอนการสมัครก่อนวันเลือกตั้ง และผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคเพื่อไทยได้รับเลือกตั้ง ส.ส. ระบบบัญชีรายชื่อ ๖๑ คน กกต. จะไม่ให้ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งอยู่ในลำดับที่ ๘ เป็น ส.ส. ได้อย่างไร

เพราะฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า การที่ กกต. ไม่ยอมให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็น ส.ส. แล้วสั่งเลื่อนบุคคลในลำดับที่ ๖๒ ขึ้นมารับรองเป็น ส.ส. แทน จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๕๗ ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด “หรือไม่ก็เข้าข่ายส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมาย” ตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๒๗๐ ซึ่งอาจถูกยื่นถอดถอนออกจากตำแหน่งได้

ประการที่เจ็ด กรณีที่ กกต. อ้างว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๓ กรกฎาคม เนื่องจากถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล จึงขาดสมาชิกภาพของพรรคเพื่อไทย และดังนั้น จึงต้องพ้นจาก ส.ส. นั้น

คำถามง่ายๆ คือ ในเมื่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ยังไม่ได้เป็น ส.ส. แล้ว จะพ้นจาก ส.ส. ได้อย่างไร

และที่ กกต. อ้างว่า เนื่องจาก นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันที่ ๓ กรกฎาคม จึงทำให้ขาดคุณสมบัติเพราะขาดจากสมาชิกภาพของพรรคเพื่อไทยตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา ๒๐ (๓) นั้น

ก็ถามง่ายๆ เช่นเดียวกันว่า พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง จะมาใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญได้อย่างไร ในเมื่อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ในฐานะที่เป็นผู้ที่ถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล ไม่มีลักษณะต้องห้ามในการสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ตามมาตรา ๑๐๒ (๓)

ดังนั้น ในเมื่อตามรัฐธรรมนูญ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไม่มีลักษณะต้องห้ามและได้เป็นผู้สมัครมาตลอดจนถึงวันเลือกตั้งและจนถึงทุกวันนี้
จะไปเอาข้อความในกฎหมายลูก ซึ่งยังไม่ชัดเจนด้วยซ้ำ มาลบล้างบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ?

และประการสุดท้าย กรณีที่คุณสดศรี สัตยธรรม กกต. อ้างว่า เรื่อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นเรื่องการขัดกันระหว่าง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญ กับรัฐธรรมนูญ จึงต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเสียก่อน นั้น

คุณสดศรี พูดเองนะครับว่า เป็นเรื่องขัดกันระหว่างกฎหมายลูกกับรัฐธรรมนูญ แล้ว กฎหมายลูกจะไปขัดกับกฎหมายแม่ได้อย่างไร

และการที่คุณสดศรี อ้างว่าจะต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นั้น คุณสดศรี และ กกต. ทุกคน ย่อมทราบดีว่า อำนาจของศาลรัฐธรรมนูญในการชี้ขาดว่า ผู้ใดขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม ซึ่งจะทำให้ผู้นั้นต้องพ้นจาก ส.ส. นั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา ๙๑
คือ กกต. ส่งเรื่องไปที่ประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อให้ส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญอีกทอดหนึ่ง ในเมื่อตอนนี้ยังไม่มีประธานสภาผู้แทนราษฎร และนายจตุพร ก็ยังไม่ได้รับการรับรองให้เป็น ส.ส. แล้ว กกต. จะส่งเรื่องให้ใคร ?

สรุป กกต. พลาดเอง (หรืออาจจะไม่ได้พลาดก็ได้ เพราะรู้อยู่แล้ว) ที่ไม่ส่งเรื่องการขาดคุณสมบัติของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเสียก่อนวันเลือกตั้งตามมาตรา ๔๕ ของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

ดังนั้น จะชอบหรือไม่ชอบ เต็มใจหรือไม่เต็มใจ หรือจะมีอะไรหรือไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่เบื้องหลังก็ตาม กกต. ก็คงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องประกาศรับรองการเป็น ส.ส. ของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ไปก่อน รอให้มีประธานสภาผู้แทนราษฎร แล้วจึงยื่นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์จะต้องพ้นจาก ส.ส. เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ หรือไม่

เสียงเล็กๆจากนักโทษหญิงเสื้อแดง:อีก3เดือน14วันตอน9โมงเช้า14พ.ย.ฉันจะได้ออกไปสู้ร่วมกับพี่น้อง

ที่มา Thai E-News


โดย ป๋าจอมตั๊ป กลุ่มสหายสีแดง รักราษฎร
ที่มา บันทึกจากเฟซบุ๊คป๋าจอมตั๊บฯ

หลังจากเข้าเยี่ยมและมอบของขวัญแด่นักโทษการเมืองเสื้อแดง 49 คนในเรือนจำชายเรียบร้อยแล้ว (อ่านรายละเอียด:เสียงเล็กๆจากคนเสื้อแดงหลังลูกกรง บทสัมภาษณ์นักโทษการเมืองคดี 112 จากกิจกรรม"ของขวัญสีแดงแด่เพื่อนสีแดง")

ทางทีมงานกิจกรรม"ของขวัญสีแดงแด่เพื่อนสีแดง" นำโดยทีมทนายจากสำนักกฎหมายราษฎรประสงค์ และพี่นกแดง ก็เดินทางต่อมายังทัณฑสถานหญิง เพื่อตีเยี่ยมนักโทษการเมืองหญิงที่เหลืออยู่ 4 คน
ในเรือนจำหญิงแห่งนี้แต่ละคนแต่ละสายก็แบ่งหน้าที่กันเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังกันชุดละสามคน ทั้งพี่ดา ตอร์ปิโด และคนอื่นๆอีก3คน

ตัวผม พี่บี้ อัฐพล และพี่เอก เอกชัย(ผู้ต้องหาคดี112ที่ได้ประกันตัวออกมาสู้คดี) ได้ตีเยี่ยมผู้ต้องขังหญิงเสื้อแดง ที่ต้องโทษคดีพกพาวัตถุระเบิด คุณพยอม หนูสูงเนิน ชาวจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งศาลพิพากษายืน จำคุก 1 ปี 6 เดือน ไม่รอลงอาญา

พวกเราได้พูดคุย สอบถาม ให้กำลังใจ รวมทั้งขอสัมภาษณ์สั้นๆมาเพื่อนำสาส์นนี้มาเผยแพร่ให้กับพี่น้องเสื้อแดงภาย นอกได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น

พี่พยอมเล่าว่า สามีของพี่เขา ชื่อพี่โชค (โชคอำนวย สุรการ) ติดคุกคดีก่อการร้าย ที่ฝั่งเรือนจำชายเช่นกัน พี่โชคถูกจับในวันที่ 17 พ.ค. 53 ส่วนพี่พยอมถูกจับในวันที่ 18 ที่บริเวณคอนโด หลังจากแวะกลับไปอาบน้ำ

พี่เอกชัยได้แจ้งกับพี่พยอมว่า เมื่อเช้าเข้าไปเยี่ยมในเรือนจำชาย พี่โชคก็ฝากความคิดถึงมา ฝากมาบอกว่าพี่โชคยังไม่ลืม และยังเป็นห่วงพี่พยอมเสมอ ให้อดทนเอาไว้ พี่โชคก็จะอดทนเช่นกัน พี่พยอมก็ตอบว่าก็มีแต่พี่โชคนี่แหล่ะที่ยังเป็นกำลังใจให้กันและกัน เขียนจดหมายคุยกันข้ามกันไปข้ามกันมาในสองเรือนจำนี่แหล่ะ


ต่อไปเป็นบทสัมภาษณ์พี่พยอม หนูสูงเนิน นะครับ


ผม : สภาพความเป็นอยู่ข้างในเป็นอย่างไรบ้างครับ?

พี่พยอม : ตอนนี้ก็ลำบาก จริงๆก็ลำบากมาตลอด อยู่เฉยๆไม่ได้เลย มันคิดมาก มันฟุ้งซ่าน ไม่รู้จะทำยังไง ตอนหลังนี่เขาก็ให้พี่ไปปูกระเบื้อง ไปช่วยบำเพ็ญประโยชน์อยู่ข้างในนี้

ผม : ตอนนี้ขาดเหลืออะไรบ้างมั๊ยครับ พวกผมจัดกิจกรรมช่วยเหลือคนข้างในจะพยายามจัดส่งเข้าไปให้ครับ

พี่พยอม : ตอนนี้หน้าฝน ลำบากมากเรื่องเสื้อผ้า ก็ขอเป็นชุดผ้าบาง(แบบไม่มีแถบ) ชุดชั้นใน กางเกงใน ผ้าถุง ผ้าเช็ดตัวผืนเล็ก สบู่ แชมพู ผ้าอนามัย พวกนี้ ยังไงก็ขอบคุณพวกเรามากนะที่ยังไม่ลืมกัน

ผม : ที่ผ่านมามีใครมาเยี่ยมพี่พยอมบ้างมั๊ยครับ

พี่พยอม : ...(ไม่พูดอะไร แต่หยิบผ้าปิดปากขึ้นมาซับน้ำตา ร้องไห้... ผมอดน้ำตาซึมไปด้วยไม่ได้) ... 4 เดือนแล้ว ไม่มีใครมาเยี่ยมเลย วันนี้นกแดงเขามาด้วยมั๊ย พี่คิดถึงนกแดง มีแต่เขาที่คอยมาเยี่ยมคนในนี้อยู่ตลอด

ผม : ตอนที่พี่พยอมอยู่ในที่ชุมนุมเป็นการ์ดนปช.เหมือนกันใช่มั๊ยครับ ?

พี่พยอม : ตอนแรกน่ะนะ พี่กับพี่โชค ก็เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายเสื้อแดงธรรมดานี่แหล่ะ ไปๆมามาพอรู้จักคนเยอะเข้า ก็เริ่มมีลูกน้อง แล้วก็เข้าไปทำงานกับการ์ดส่วนกลาง ไปขึ้นตรงกับพี่อารีย์(อารีย์ ไกรนรา) แล้วพอดีว่าในลูกน้องที่เป็นการ์ดนั้น มันมีสายจากฝั่งตรงข้ามมาแฝง คอยรายงานนายมัน ชื่อไอ้โต้ง กับไอ้ตี๋ แล้วก็ยังมีอีกหลายคน ส่วนใหญ่ที่โดนจับกันก็เพราะไอ่ที่เป็นสายมาแฝงตัวนี่แหล่ะ

ผม : แล้วพี่พยอมได้รับความช่วยเหลือจากทางนปช.หรือทางพรรคบ้างมั๊ยครับ หรือมีใครจากทางนั้นมาเยี่ยมบ้างไหม?

พี่พยอม : ...ตั้งแต่ติดคุกมา 1 ปี 3 เดือน ได้จากพรรคช่วยเหลือมา 600 บาท ตอนนั้นให้ญาติไปทำเรื่อง ไปเซ็นต์ไปขอเบิกมา โอ๊ย ยากเย็นจริงๆน่ะ เรื่องคนจะมาเยี่ยมก็ได้แต่รอคอยความหวังกันไป

ผม : ทางคุณอารีย์ ไกรนรา หัวหน้าการ์ดที่พี่พยอมเคยทำงานให้นี่เขาได้ส่งข่าวคราวหรือแวะมาเยี่ยมบ้างรึยังครับ?

พี่พยอม : ไม่เคยนะ

ผม : พี่พยอมอยากฝากอะไรถึงพี่น้องเสื้อแดงที่ยังร่วมกันต่อสู้เพื่อความยุติธรรมด้วยกันอยู่ข้างนอกมั๊ยครับ ?

พี่พยอม : ก็อยากจะฝากความคิดถึงพี่น้องเสื้อแดงทุกๆคน ขอให้สู้กันต่อไปนะ คนข้างในนี้ก็ยังสู้อยู่ ฉันโดนโทษ 1 ปี 6 เดือน ตอนนี้ติดมา 1 ปี 3 เดือนแล้ว หลังจากสิ้นเดือนนี้ ฉันก็จะนับถอยหลังไปอีก 3 เดือน 14 วัน เพื่อรอให้ถึงวันที่ 14 พฤศจิกายน เวลา 9 โมงเช้า ฉันก็จะพ้นโทษออกไปจากที่นี่ และสัญญาว่าจะไปร่วมต่อสู้ด้วยกันกับพี่น้องข้างนอกต่ออย่างแน่นอน

ผม : วันที่ 14 พ.ย. นี้พี่พยอมจะพ้นโทษแล้วใช่มั๊ยครับ มีญาติๆรู้ข่าวกันบ้างรึยังครับ มีใครจะมารับรึปล่าวครับพี่ ?

พี่พยอม : ก็อยากให้มีคนมารับเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าญาติๆพี่ที่ชัยภูมิเขาจะสะดวกมากันรึปล่าวจ้ะ

ผม : ถ้าอย่างนั้นพวกผมทั้งพี่นกแดงแล้วก็พี่น้องเสื้อแดงจะมาต้อนรับพี่ออกจากเรือนจำด้วยกันครับ เช้าวันที่ 14 พ.ย.นี้ นะครับ

พี่พยอม : ยิ้มๆ แล้วก็บอกว่าขอบคุณทุกๆคนที่มาเยี่ยมพี่มากๆเลยนะ


จากนั้นเราทั้ง 3-4 คนก็ร่ำลากัน แล้วก็แยกย้ายกันออกมา ข้าวของเครื่องใช้ที่ขาดเหลือจะให้ทางสำนักงานกฎหมายราษฎรประสงค์ส่งเงิน เพื่อจัดซื้อสิ่งของที่ยังขาดอยู่เข้าไปให้กับพี่พยอมและนักโทษคนอื่นๆต่อไป ครับ

ทั้งนี้ ผมจึงขอเชิญชวนพี่น้องเสื้อแดงทุกๆคนที่สนใจไว้ล่วงหน้า เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม ต้อนรับเพื่อนเรากลับบ้าน ในวันที่ 14 พ.ย. 54 นี้ เวลา 9 โมงเช้า ขอเชิญร่วมแสดงความยินดีกับอิสรภาพที่พี่น้องเรากำลังจะได้รับ แม้จะยังไม่ครบทุกคน

********


ขอมั่งดิ

โดย บี้ อัฐพล
ที่มา เฟซบุ๊ค

25 ก.ค. 2554
12.30 น. เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ


ผมยืนอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ซึ่งเต็มไปด้วยเพื่อน ๆ พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ส่วนใหญ่แต่งเครื่องแบบสีแดงกันเต็มยศ

แทบทุกคนกำลังพยายามสื่อสารสื่อสารข้ามแผ่นกระจกหนาขนาดใหญ่ที่กั้นกลางระหว่างพวกเขากับผู้ชายในเครื่องแบบสีเหลืองกลุ่มหนึ่ง

บางคนได้ใช้โทรศัพท์พูดคุย หลายคนตะโกน บ้างก็ชูมือชูไม้ส่งสัญลักษณ์สื่อความหมาย ให้กำลังใจกับคนอีกฟากฝั่งหนึ่ง เสียงดังเซ็งแซ่เหมือนนกกระจอกแตกรัง

"สู้!...สู้!"
"เราชนะแล้วนะ เดี๋ยวก็จะได้ออกมาแล้ว"
"อดทนหน่อย ข้างนอกกำลังช่วยอยู่"
"ทำไมวันนี้ใส่สีเหลืองล่ะ?"...(ฮา)

การเข้าเยี่ยมวันนี้ อาจจะเป็นวันที่มีคนเข้าเยี่ยมและคนถูกเยี่ยมมากที่สุดก็เป็นได้

ผมยืนมองชายชุดเหลืองฝั่งตรงข้าม เห็นหลายคนพูดคุยผ่านโทรศัพท์กับคนที่มาเยี่ยมด้วยความตื่นเต้น ดีใจ

ถึงแม้พวกเขาแทบจะไม่รู้จักกันเลยก็ตาม หลายคนยืนยิ้มโบกไม้โบกมือกับคนชุดแดงฝั่งนี้ แต่มีหลายคนยืนชิดผนังด้านหลัง สีหน้าเรียบเฉย ยากจะเดาความรู้สึก

"พวกนั้นมันน้อยใจน่ะ ยังไม่ได้คุยกับใครเขาเลย" พี่นกแดงที่คุ้นเคยกับพวกเขาดี อธิบายเวลามีน้อย โทรศัพท์ก็มีน้อยไปในวันนี้

ขณะที่ผมกำลังยืนสังเกตเหตุการณ์ต่าง ๆ อยู่นั่นเอง พี่ชายผมสีดอกเลา รูปร่างค่อนข้างบึกบึนในชุดเหลืองคนหนึ่ง สบตาผมแล้วชี้มือชี้ไม้มาที่กระจกพร้อมกับป้องปากพูดอะไรบางอย่าง

ผมตรงเข้าไปใกล้กับกระจก พยายามฟัง แต่ความหนาของมันทำให้เราทั้งคู่ไม่ได้ยินเสียง

พี่ชายคนนั้นหาทางสื่อสารกันใหม่ แกก้มตัวลงพูดผ่านแถบโลหะที่ปิดไว้ด้านล่างสุดของกระจก ผมก้มลงฟัง คราวนี้ได้ยินชัดขึ้น

"ไปเยี่ยมฝั่งผู้หญิงด้วยนะ!"
ผมทำหน้างง ๆ "อะไรนะพี่?"
"ช่วยไปเยี่ยมฝั่งผู้หญิงด้วย แฟนผมอยู่ฝั่งโน้น ผมเป็นห่วง" สีหน้าดูกังวลด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

ผมรับปาก แต่ในใจไม่มั่นใจนัก...

14.30 น.
ฑัณทสถานหญิงกลาง


พี่นกแดงพาพวกเรามาเยี่ยมผู้ต้องขังหญิง

ผม,จอม และเอกชัย(ผู้ถูกกล่าวหา 112 แต่ได้ประกันตัว) ได้เข้าเยี่ยมพี่พยอม โชคดี...พี่พยอมเป็นคนที่พี่ชายฝั่งโน้นฝากให้มาเยี่ยม

จอมกับเอกชัยพูดคุยกับพี่พยอมผ่านไมโครโฟน (ไม่เหมือนฝั่งโน้นที่ใช้โทรศัพท์) การพูดคุยคราวนี้เรียกน้ำตาจากทั้งสองฟากกระจก โดยไม่ต้อง"บิ้วด์" อารมณ์ หวังเรตติ้งคนดู แบบเดียวกับรายการทอล์คโชว์งี่เง่าทั้งหลาย (ของผมกับจอมแค่น้ำตาซึมนะ... เพื่อรักษาภาพความเป็นแมน แหะ แหะ)

ถึงคิวผม

"พี่ครับ พวกผมมาให้กำลังใจพี่นะครับ เมื่อกี้ผมไปฝั่งโน้นมา แฟนพี่เค้าฝากให้มาเยี่ยมพี่ให้ได้ พี่เค้าเป็นห่วงพี่มากนะครับ ส่วนพี่เค้าสบายดี"

"พี่เค้าฝากบอกให้พี่ดูแลตัวเองให้ดี เค้าคิดถึงพี่มากนะครับ"...
เอ่อ...ประโยค หลังนี่ พี่ผู้ชายไม่ได้ฝากมานะครับ ผมขออนุญาตพูดแทนก็แล้วกัน แหะ แหะ (คิดว่าพี่เค้าคงอยากบอกแหละน่า แต่ตามธรรมชาติคนต่างจังหวัด มักจะไม่ค่อยแสดงความรู้สึกดราม่าซักเท่าไหร่ มันจะเขินเขินน่ะ -> สรุปจากตัวเองหรือเปล่าเว้ย?)

หลังจากส่งสาร ไม่มีคำพูดใด ๆ ออกมาจากปากพี่พยอม เห็นแต่หยาดน้ำใส ๆ ที่เริ่มเอ่อออกมาซึมดวงตาอีกครั้ง พร้อม ๆ กับเห็นความพยายามอย่างมากที่จะสะกดกลั้นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองให้เป็น ปกติ

ผมเชื่อว่า ตอนนี้ในใจของพี่พยอม คงเต็มไปด้วยกำลังใจที่จะช่วยให้ก้าวผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดหวาน ๆ ซึ้ง ๆ ไม่จำเป็นต้องจ้องหน้าสบตากัน ทั้งสองคนได้รับรู้ว่าในช่วงเวลาที่แสนเลวร้าย ยังคงมีคนที่คอยยืนหยัดอยู่เคียงข้างกันเสมอและตลอดไป

เท่านี้ก็คงเพียงพอแล้ว

ผมจากที่นั่นมา พร้อมกับความรู้สึกอิ่มใจที่ได้ทำตามสัญญา ขณะเดียวกันก็มีอาการแปลก ๆ เกิดขิ้นกับผม มันเป็นอาการแสบ ๆร้อน ๆ ที่บริเวณขอบตา

มันเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังคิดในใจว่า
"ขอมั่งดิ ขอมั่ง...ขอฟิลโรแมนติกประมาณนี้กับกรูบ้าง อะไรบ้าง จะได้ไหม?...แต่ขอแบบไม่ต้องมีรั้วคอนกรีตหนา ๆ ไม่ต้องมีลูกกรง ไม่มีลวดหนามมากั้นนะเว้ย...กรูป๊อดดด!"...
********
เรื่องเกี่ยวเนื่อง:

-สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์:กิจกรรม“ของขวัญสีแดงแด่เพื่อนสีแดง” ทะลุเป้า ! : คำขอบคุณที่แทรกผ่านลูกกรงจากเพื่อนสู่เพื่อน

-เสียงร้องหาความเป็นธรรมจากเรือนจำมหาสารคาม


-ผู้ตาย บาดเจ็บ ถูกคุมขัง และสูญหายจากเหตุการณ์


ดร.กฤตยา อาชานิจกุล รองผอ.สถาบัน วิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะตัวแทนศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุม กรณีเม.ย.-พ.ค. 2553 (ศปช.) แสดงข้อมูลไล่เรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงรายละเอียดของผู้เสียชีวิต 92 ราย

นางกฤตยา กล่าวว่า รัฐบาลไม่สมควรสั่งทหารใช้ปืนสไนเปอร์กับประชาชน และยังมีข้อเท็จจริงจากศปช.ด้วยว่า มีการใช้จำนวนกระสุนปืนสไนเปอร์ในเหตุการณ์ทั้งหมด 2,000 กว่านัด จาก 3,000 กว่านัด ทั้งๆ ที่สิทธิการใช้ปืนชนิดนี้จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษเท่านั้น ไม่ใช่ทหารทุกคนจะสามารถใช้ได้ อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงคลี่คลายได้ยาก หากความจริงกับการพูดของแต่ละฝ่ายยังบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยเฉพาะการทำงานของนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) และตำรวจ ยังล่าช้าไม่มีความคืบหน้า

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เอกสารของศปช.ระบุว่า จากการติดตามรวบรวมข้อมูลของศปช. จำนวนตัวเลขผู้เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม มีทั้งสิ้น 92 ราย แบ่งเป็นขอคืนพื้นที่ วันที่ 10 เม.ย. 26 ราย กระชับพื้นที่ วันที่ 14-19 พ.ค. 57 ราย ในจำนวนนี้มี 3 ราย ไม่ทราบชื่อ เป็นชาย 2 คน หญิง 1 คน นอกจากนี้ยังมีผู้เสียชีวิตอีก 9 ราย ในเหตุการณ์ปะทะย่อยรวมถึงเหตุปะทะในต่างจังหวัด

นอกจากนี้ข้อมูลของศปช. ณ วันที่ 1 เม.ย. 2554 ยังระบุว่า ภายหลังจากประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน วันที่ 7 เม.ย. โดยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์แล้วนั้น พบว่าปัจจุบันยังมีผู้ต้องขังที่ไม่ได้รับการประกันตัวทั่วประเทศอีก 133 ราย เป็นชาย 121 ราย หญิง 12 ราย ชาวต่างด้าวอีก 3 ราย ซึ่งข้อหาส่วนใหญ่ คือ การละเมิดพ.ร.ก.ฉุกเฉินโดยการชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป การร่วมวางเพลิง สถานที่ราชการ และก่อการร้าย อีก 5 ราย ฯลฯ โดยไม่มีการเปิดเผยข้อมูลการออกหมายจับ และการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยที่ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม ของกลุ่มนปช. ต่อ สาธารณะ อย่างเป็นระบบ

ทั้งนี้ ศปช.ยังได้รับข้อมูลคนหายในช่วงเหตุการณ์ดังกล่าวจากมูลนิธิกระจกเงา จำนวน 20 ราย ซึ่งบางส่วนพบว่ามีการทำให้สูญหายโดยเจ้าหน้าที่รัฐอีกด้วย

แต่เราก็ยังคงต้องยืนหยัดสู้ร่วมกันต่อไป

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker