บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2554

อดีตหัวหน้าการ์ด นปช.สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนทำงานตำแหน่งเลขาฯ รมว.มหาดไทย

ที่มา มติชน



นายอารี ไกรนรา อดีตหัวหน้าการ์ดแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนเข้าทำงานในตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมีนายวิเชียร ชวลิต ปลัดกระทรวง มอบกระเช้าดอกไม้แสดงความยินดี ที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม

ดูกันจะๆ มติครม. รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ...คนเสื้อแดงกันเองล้วนๆ

ที่มา มติชน







นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แถลงข่าวผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (30 ส.ค.2554) โดยวาระสำคัญเรื่องหนึ่งคือ การแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรี และข้าราชการการเมือง หลายตำแหน่ง ดังนี้


1. แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

คณะ รัฐมนตรีอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรี เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในกรณีที่ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้ 1. รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง) 2. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายวิทยา บุรณศิริ)

2. แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

คณะ รัฐมนตรีอนุมัติเป็นหลักการมอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายธีระ วงศ์สมุทร) เป็นผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ในระหว่างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาไม่อยู่หรือไม่อาจ ปฏิบัติราชการได้ ตามมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่อง เที่ยวและกีฬาด้วย

3. แต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

คณะ รัฐมนตรีอนุมัติเป็นหลักการในการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ ดังนี้ 1. นายภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ 2. นายศิริวัฒน์ ขจรประศาสน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้รักษาราชการแทนตามลำดับ โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ด้วย

4. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงแรงงาน)

คณะ รัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงแรงงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้ 1. นางนฤมล ธารดำรงค์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน 2. นายสง่า ธนสงวนวงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป

5. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง จำนวน 3 ตำแหน่ง รวมจำนวน 10 ราย ดังนี้

1. ตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง จำนวน 2 ราย ได้แก่ 1) นายสรรพภัญญู ศิริไปล์ (รองนายกรัฐมนตรี นางยงยุทธ วิชัยดิษฐ) 2) พันตำรวจเอก ปราณ์รนต์ สันติปราน์รนต์ (รองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก โกวิท วัฒนะ)

2. ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี จำนวน 1 ราย ได้แก่ นายถาวร จำปาเงิน (รองนายกรัฐมนตรี นายชุมพล ศิลปอาชา)

3. ตำแหน่งประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จำนวน 7 ราย ได้แก่ 1) นายพงษ์พิเชษฐ์ สุขจินดาทอง 2) นายจำรัส เวียงสงค์ 3) นางสาวนพสรัญ วรรณศิริกุล 4) นายถนอม สมผล 5) นายสุรชัย ทิณเกิด 6) นาวาตรี วรวิทย์ เตชะสุภากูร 7) นายไพศาล ชโนวรรณ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


6. แต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอแต่งตั้งบุคคลเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 20 ราย ดังนี้

1. พลเอก วัฒนา สรรพานิช 2. นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล 3. นายภาคิน สมมิตร 4. นายสฤษฏ์ อึ้งอภินันท์ 5. นายสุเทพ สายทอง 6. พลโท มะ โพธิ์งาม 7. นายประภัสร์ จงสงวน 8. นายพิทยา พุกกะมาน 9. พลตำรวจโท วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ 10. นางสาวมาลินี อินฉัตร 11. นายเหรียญชัย ลิขิตพฤกษ์ 12. พลตำรวจโท ฉลอง สนใจ 13. นายสุรชัย เบ้าจรรยา 14. นายปรีชา ธนานันท์ 15. นายอนุสรณ์ ไกรวัตนุสสรณ์ 16. นายวิสา คัญทัพ 17. นางฉวีวรรณ คลังแสง 18. นายวิบูลย์ แช่มชื่น 19. นายมานิตย์ ภาวสุทธิ์

20. นายธวัชชัย สุทธิบงกช

โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่นายกฯลงนามในประกาศแต่งตั้งและมอบหมายให้เป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงใดกระทรวงหนึ่งเป็นต้นไป เพื่อให้ผู้ได้รับแต่งตั้งลาออกจากตำแหน่งอื่น ๆ ที่เป็นลักษณะต้องห้ามได้ดำเนินการให้เรียบร้อย

7. แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย

คณะ รัฐมนตรีรับทราบคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 149/2554 เรื่อง แต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้า ไทย

อาศัยอำนาจตามมาตรา 11 (6) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และข้อ 3 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2552 จึงมีคำสั่งแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีเพื่อทำหน้าที่ ผู้แทนการค้าไทย จำนวน 5 ราย ดังนี้ 1. นางนลินี ทวีสิน 2. นายพิเชษฐ์ สถิรชวาล 3. นายพฤติชัย วิริยะโรจน์ 4. นางลินดา เชิดชัย 5. นายวรวีร์ มะกูดี ให้ผู้แทนการค้าไทยตามข้อ 1.-5. มีอำนาจหน้าที่ตามข้อ 5 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย พ.ศ. 2552 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป


8. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพาณิชย์)

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้

1. นายสมหวัง อัสราษี ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

2. นายชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล)

3. นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

4. พันตรี วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายภูมิ สาระผล)

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


9. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงมหาดไทย)

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้

1. นายอารี ไกรนรา เป็น เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

2. นายสุรสิทธิ์ วงค์วิทยานันท์ เป็น ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายชูชาติ หาญสวัสดิ์)

3. นายยศวริศ ชูกล่อม เป็น ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายฐานิสร์ เทียนทอง)
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


10. การมอบหมายให้รักษาราชการแทน (กระทรวงมหาดไทย)

คณะ รัฐมนตรีอนุมัติเป็นหลักการในการแต่งตั้งผู้รักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทย ในกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ไม่อาจปฏิบัติราชการได้ตามความในมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 โดยมอบหมายให้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รักษาราชการแทน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ ดังนี้ 1. นายชูชาติ หาญสวัสดิ์ 2. นายฐานิสร์ เทียนทอง โดยให้ครอบคลุมถึงกรณีที่ไม่มีผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วย


11. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงกลาโหม)

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเสนอการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองดังนี้

1. พลเอก จงศักดิ์ พานิชกุล ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม 2. พลเอก วรวิทย์ ชินะนาวิน ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


12. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์)

คณะ รัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอแต่ง ตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้ 1. นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ 2. นางสาวศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


13. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ)

คณะ รัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงศึกษาธิการเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้ 1. นายโสภณ เพชรสว่าง ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ 2. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประแสง มงคลศิริ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางบุญรื่น ศรีธเรศ) 3. นายศักดา บูรณ์พงศ์ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ

4. นายวรกร คำสิงห์นอก ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นางบุญรื่น ศรีธเรศ) 5. นายชัชวาลย์ ชัยเชาวรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล) ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


14. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร)

คณะ รัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเสนอแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง ดังนี้ 1. นายณัฐพงศ์ ศีตวรรัตน์ ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สาร 2. นางสาววิลาวัลย์ ธรรมชาติ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อ สาร ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


15. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงพลังงาน)

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ดังนี้
1. พล.ต.ต.ลัทธสัญญา เพียรสมภาร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน 2. นายเอกธนัช อินทร์รอด ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


16. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงการต่างประเทศ)

คณะ รัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอแต่งตั้ง นายนาวิน บุญเสรฐ ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป


17. แต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงคมนาคม)

คณะ รัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองดังนี้ 1. นายชินวัฒน์ หาบุญพาด ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม 2. นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก)

3. นายชาญยุทธ เฮงตระกูล ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

4. นายสมบัติ รัตโน ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) 5. นายวัน อยู่บำรุง ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์) ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป

คำชี้แจงจากโฆษกรัฐบาล

นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงกรณีการแต่งตั้งคนเสื้อแดงมาดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง โดยโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ดูที่ความรู้ความสามารถเป็นหลัก ซึ่งการแต่งตั้งนายอารี ไกรนรา มาดำรงตำแหน่งเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยนั้น เนื่องจากเป็นงานที่ต้องรับใช้ประชาชน โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ตั้งใจว่า ต้องการที่จะให้ทีมงานมาทำงานช่วยชาติบ้านเมืองเพราะในกระทรวงมหาดไทยมีงาน เป็นจำนวนมาก ซึ่งขอให้เชื่อมั่นว่าจะมาทำงานได้


ส่วนกรณีนายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์นั้น ขณะนี้ได้นำนายเพชรวรรตมาสู่ระบบของการทำงาน ซึ่งเป็นจุดดีที่จะทำให้สังคมเป็นสังคมที่มีระบบ อยากจะให้ความมั่นใจว่า เชื่อมั่นว่าทุกคนนั้นเมื่อมีงานเข้ามา เป็นงานบริหาร หรือเป็นงานในสภา เขาได้ทำงานเขาจะทำเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนต่อไป


ผู้สื่อข่าวถามว่า เหตุใดที่นำคนเหล่านี้เข้ามาเพราะไม่ต้องการให้เคลื่อนไหวนอกสภาฯ ใช่หรือไม่ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จริง ๆ แล้วเราอย่าไปคิดว่า เขาจะต้องเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง มีความยุติธรรมที่แท้จริง ซึ่งเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลและกลุ่มที่มาเป็นข้าราชการการเมืองที่มีความ คิดเห็นตรงกัน อุดมการณ์เดียวกัน ที่ต้องการให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยอย่างที่จริง ต่อสู้กับเผด็จการ


ผู้สื่อข่าวถามว่า นายชินวัฒน์ หาบุญพาด มีความรู้ด้านใดเกี่ยวกับกระทรวงคมนาคม โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวคิดว่า เวลาที่ไปคำนึงถึงการที่จะดำรงตำแหน่งกระทรวงใด แล้วมีความรู้ความสามารถตรงนั้น อาจจะต้องถามหลายกระทรวงเช่นกัน ตนคิดว่าเมื่อเข้าไปได้เรียนรู้งาน ลักษณะงาน คงไม่ยากที่จะต้องคิดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านคมนาคมจะต้องมานั่งคมนาคม คิดว่าคงไม่ต้องถึงขั้นนั้น


" รัฐบาลนั้นไม่ต้องการที่จะปิดกั้นในความรู้ความสามารถของผู้ที่จะมาดำรง ตำแหน่งข้าราชการการเมืองตรงนี้ โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อแดงที่ท่านสงสัย กลุ่มแรก คือกลุ่มเสื้อแดงที่เคยเป็นผู้สมัครเลือกตั้ง ส.ส. กลุ่มสอง เป็นกลุ่มที่เคยทำงานการเมืองและมีตำแหน่งทางการเมืองมาแล้ว เราต้องถือว่าตอนที่สมัครรับเลือกตั้งนั้น กกต. ได้ตรวจสอบคุณสมบัติเรียบร้อย บางกลุ่มเป็นกลุ่มที่เคยช่วยงานรัฐมนตรี หลาย ๆ กระทรวงมาแล้วมีประวัติมาหลายสมัยด้วย กลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มที่เคยทำงานภาคประชาชน อยากจะเน้นว่า เขาเป็นผู้ที่ทำงานร่วมกับมวลชนได้ดี สามารถที่จะลงไป ถ้ารัฐมนตรีท่านใดให้ลงไปพบปะกับพี่น้องประชาชน จะเข้าใจหัวอกพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มหนึ่งที่สามารถทำงานได้ จึงอยากที่จะบอกว่า ขอให้ผู้ที่จะมาเป็นข้าราชการการเมืองตรงนี้ ได้ทำงาน ให้โอกาสได้ทำงานตรงนี้ แล้วมาดูผลงานกัน อย่าได้แบ่งแยกว่าจะเป็นสีใด" โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว


พร้อมกันนี้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวเพิ่มเติมว่า นายอารี ไกรนรา ลงสมัคร ส.ส. 4 ครั้ง เคยทำงานที่กระทรวงมหาดไทย เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล ภาพที่เห็นเขาเคยออกมาสู้ นักสู้ทุกคนมีบาดแผลทุกคน เคยได้รับเกียรติเป็นผู้พิพากษาสมทบ นักสิทธิมนุษยชน เป็นเอ็นจีโอ เคยสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. และเกือบได้มาแล้ว นายชินวัฒน์ หาบุญพาด เป็นนายกสมาคมพิทักษ์แท็กซี่ ผู้นำมวลชนในส่วนของแท็กซี่ และการมาเป็นตำแหน่งที่ปรึกษาหรือเลขาฯ ประเทศจะดีขึ้นหรือไม่ ไม่ได้เกิดจากตำแหน่งเหล่านี้

"วันนี้เราอยากจะขอความร่วมแรงร่วมใจ เวลาเรามอง มองลงไปให้ลึก ตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจน แล้วพยายามมองอย่างบูรณาการ ว่าคนเหล่านี้จะมาช่วยรัฐบาลทำงานได้อย่างไร และในช่วงของการเลือกตั้ง คนเหล่านี้อยู่ในช่วงรณรงค์หาเสียงให้กับพรรคเพื่อไทย จึงอยากจะเรียนว่าอยากจะขอโอกาส และให้โอกาสที่จะให้แต่ละคนทำงาน"

ส่วนนายยศวริศ ชูกล่อม ก็จบการศึกษาระดับปริญญาโท เคยลงสมัคร ส.ส. เป็นนายกสมาคมศิลปินตลกแห่งประเทศไทย ดร.ประแสง มงคลศิริ มีตำแหน่งทางวิชาการ เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ จบปริญญาเอกด้านวิศวกรรมสิ่งแวดล้อมจากประเทศญี่ปุ่น ดังนั้น จึงขอเรียนด้วยความมั่นใจและตอบไปยังพี่น้องประชาชนเพื่อให้สบายใจ


"เรื่องคดี คดีต้องดำเนินต่อไป คนที่ออกมาต่อสู้ คนที่เป็นนักรบ มีบาดแผลกันทุกคน เพราะฉะนั้นวันนี้กระบวนการในการที่จะพิจารณาหรือกระบวนการที่ยังไม่สิ้นสุด ต้องพูดกันต่อไป วันหนึ่งถ้าศาลวินิจฉัยลงความเห็นออกมา ถ้าขัดต่อเงื่อนไขของผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งทางการเมือง เขาก็เป็นไม่ได้ตามอัตโนมัติอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้ผมคิดว่า ถ้าศาลยังไม่มีความเห็น คงไม่มีใครมีหน้าที่ว่าคนนั้นทำได้หรือไม่ได้ คนนั้นเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ตราบเท่าที่เขายังไม่มีกระบวนการยุติธรรมที่สิ้นสุดหรือเบ็ดเสร็จเด็ดขาดลง ไป" รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าว


ปีครึ่ง"91 ศพ"

ที่มา ข่าวสด

คอลัมน์ เหล็กใน
สมิงสามผลัด



นับตั้งแต่เสื้อแดงคนแรกถูกยิงเสียชีวิตที่สี่แยกคอกวัวเมื่อ 10 เม.ย.2553 ถึงตอนนี้ก็ล่วงเลยมาเป็นเวลา 1 ปีครึ่งแล้ว

ต้องยอมรับความจริงว่าตลอดระยะเวลาดังกล่าว

มีการทวงความยุติธรรมให้ 91 ศพมาอย่างต่อเนื่อง และเรียกร้องให้เยียวยาเหยื่อปืนเกือบ 2 พันคนมาตลอด

แต่แทบไม่ได้รับการตอบสนองเลยจากรัฐบาลที่แล้ว !?

จะเห็นได้ว่า "ข่าวสด" มีจุดยืนที่ชัดเจน เดินหน้าตีแผ่ความจริง 91 ศพมาตั้งแต่หลังเกิดเหตุใหม่ๆ

ด้วยเหตุผลง่าย ๆ คือทำไมถึงปล่อยให้มีการฆ่ากันเกือบร้อยศพใจกลางเมืองหลวง

ข่าวสดยืนหยัดติดตามทวงความยุติธรรมให้ผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บมาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เพราะจะเห็นได้ว่าคดีความ 91 ศพในยุคอำนาจเก่าไม่เป็นชิ้นเป็นอันเอาเลย

คดีความที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่สืบสวนสอบสวนมาตลอดเวลา 1 ปีครึ่ง

ก็สรุปได้เพียง 13 ศพเท่านั้น

แถมยังสรุปแบบอึมครึม บอกแค่ว่าน่าจะเกิดจากฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น

ซึ่งเกิดคำถามตามมาอีกว่าแล้วอีก 78 ศพไปตกหล่นอยู่ที่ไหน !?

ที่สำคัญคดีเหยื่อปืนอีกเกือบ 2 พันรายที่โดนสไนเปอร์ยิงบาดเจ็บก็ยังเงียบเป็นเป่าสาก

ทั้งที่ คดีทั้งหมดมีครบองค์ประกอบครบครัน ทั้งผู้เสียหาย พยานบุคคล และพยานวัตถุ

แต่กลับไม่มีความคืบหน้าอะไรเลย

ยังมีคนเสื้อแดงอีกหลายร้อยคนที่ยังถูกจองจำอยู่ในคุก ยังไม่ได้รับการประกันตัว

รวมถึงเรื่องที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ ปล่อยให้คณะอนุกรรมการฯ ทำรายงานสรุป 91 ศพแบบขัดสายตาคนทั้งโลก

ระบุว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่มีความผิดในการใช้อาวุธสงครามเข้าสลายม็อบแดง

ทั้งหมดนี้เป็นเหตุว่าทำไม "ข่าวสด" ต้องเกาะติดคดี 91 ศพ และตีแผ่ความอยุติธรรม

ถึงเวลานี้แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลใหม่แล้วก็ตาม

แต่ "ข่าวสด" ก็ยังจะกัดไม่ปล่อย เดินหน้าทำ ความจริงให้ปรากฏต่อไป

ทวงถามความรับผิดชอบจากผู้สั่งการ

ติดตามเอาคนที่ทำผิดมาลงโทษให้ได้

ฉะนั้น จะมายัดเยียดข้อหาว่าเอนเอียง ไม่เข้าข้าง "รัฐบาลที่แล้ว" ไม่ได้ !?

"แถลงการณ์กัมพูชาแฉ! "สุเทพดอดเจรจาลับ 2 ครั้ง"

ที่มา thaifreenews

โดย fee-faw-fum

"แถลงการณ์กัมพูชาแฉ! "สุเทพดอดเจรจาลับ 2 ครั้ง"

การที่เขาพูดแสดง ความนอบน้อม มีมิตรไมตรีที่ดี ไม่ใช่ว่าจะเป็นเพื่อนร่วมมิตรที่ดีด้วย นั่นเป็นไปตามลักษณะวิธีทางการทูตที่ดีต่างหาก เรียกว่าตีหน้ายิ้มระรื่นแต่หัวใจเต้นแรงใจแทบขาด…คุณคือศัตรูตัวร้ายกาจ อยู่ในอันดับต้นๆของกัมพูชา เข้าใจมั๊ยคนที่มีแขนไม่สามัคคี

ทาง กัมพูชาได้ออกแถลงการณ์ อย่างไม่ไว้หน้าเทือกเขาเหล่ากอ ดังนี้ ออกแถลงการณ์คายเรื่องลับ สุเทพดอดเจรจาลับ ซก อาน รองนายกรัฐมนตรีหลายครั้งทั้งที่ฮ่องกงและคุนหมิง(ไปที่นั่นทำไม ใครมีโรงแรมอยู่ที่นั่นต้องถามแป๊ะลิ้ม แกชอบเรื่องที่ทับซ้อนบนบกจังเลย ไม่ยอมแตะต้องทางทะเลสักที)ต้องการเจรจาเรื่องให้จบภายในรัฐบาลมาร์ค เขมรอ้างคายเรื่องลับเพื่อปกป้องตนเองและทักษิณจากพวกแมลงสาป

รัฐบาล ใหม่ นำโดยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ยังไม่ได้มีการพบหารือหรือยกข้อเสนอใดกับรัฐบาลกัมพูชา ในการแก้ปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิ์ทับซ้อนแต่อย่างใด อย่าว่าแต่จะมีข้อเสนอใดเพื่อแก้ปัญหาขัดแย้งที่เป็นการแลกเปลี่ยนผล ประโยชน์ส่วนตัว ดังที่ได้มีการกล่าวหาโดยนางอานิก อัมระนันทน์ สมาชิกสภาฯ ไทย ของพรรคแมลงสาป ในการประชุมรัฐสภา เมื่อวันที่ ๒๓-๒๕ สิงหาคม ๒๕๕๔

นี่ ไงรัฐบาลกัมพูชาตอกหน้าพวกแมลงสาปได้อย่างเจ็บแสบโดยไม่ไว้หน้า ไม่ว่าจะเป็นตัวผู้หรือตัวเมีย…พวกแมลงสาปช่วยกระจายข่าวไปให้พี่น้องร่วม ชาติ ได้ทราบกันด้วย จักเป็นพระคุณยิ่ง

นี่คือการตัดใยไม่ให้เหลือ เยื่อของรัฐบาลท่านฮุนเซ็น เพราะเขารู้แล้วว่า พวกคุณเป็นไผ๋….ถ้าไม่มีมือที่มองไม่เห็นมาช่วยยกก้นให้กระดก…ยากๆๆๆและยาก มากๆๆๆที่จะเข้ามาบริหารประเทศนี้อีกต่อไป

ที่มา http://www.go6tv.com/2011/08/2_30.html
และ
ที่มา http://www.15thmove.net/news/petroleum-khmer-reveals-suthep-secret-talk/

เบื้องหลังค่าเหนื่อยเสื้อแดงแจกตำแหน่งกุนซือ-เทกระโถน

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

เปิดเบื้องลึกเบื้องหลังครม.ยิ่งลักษณ์แจกเก้าอี้ให้แกนนำแดง
ประเคนทั้งตำแหน่งที่ปรึกษา-เลขารัฐมนตรี


โดย ......ทีมข่าวการเมือง

นาทีนี้เอาอะไรมาฉุดก็หยุดไม่อยู่
สำหรับบรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือ คนเสื้อแดง
ซึ่งทุ่มทุนตากแดดตากฝน ยอมเกลือกลิ้งบนท้องถนน
หรือแม้แต่ยอมตายได้ ต่างได้รับผลตอบแทนจากพรรคเพื่อไทยตามความคาดหมาย
เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีมติคณะรัฐมนตรี(ครม. ) แต่งตั้งให้พวกเขาได้รับตำแหน่งทางการเมือง

ถึงจะพลาดจากตำแหน่งเสนาบดี แต่ค่าเหนื่อยจากการชุมนุมที่ผ่านมา
ก็แปรเปลี่ยนเป็นตำแหน่งมีเงินเดือนให้พวกเขา
ทั้งตำแหน่งกุนซือ เลขานุการเทกระโถน มาถึงตรงนี้ก็สุดยอดแล้ว
โดยเฉพาะตำแหน่งทางที่ปรึกษารัฐมนตรี สนนเงินเดือน 45,000 บาทต่อเดือน
เลขานุการรมต. 42,000 บาท ประจำสำนักเลขาธิการนายกฯ ฯ 24,200 บาท
ส่วนการเสนอชื่อรับเครื่องราชย์
พิมพ์นามบัตรออกไปการันตีตัวเอง สร้างสมบารมีก็จะตามมาในภายหลัง


นายอารี ไกรนารา

เบื้องลึกเบื้องหลังของแต่ละรายกว่าจะได้มาเป็นตำแหน่งใหญ่ทางการเมือง เป็นอย่างไร
จะขอเลือกผู้มีบทบาทเด่นๆนำมาเสนอดังนี้
เริ่มจากงานสายความมั่นคงกระทรรวงมหาดไทย
นายอารี ไกรนารา ได้เป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
นายอารี เป็นหัวหน้าการ์ดคนเสื้อแดง แต่นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกรัฐบาลชี้แจงว่า
นายอารีเป็นผู้บริหารมหาวิทยาลัยรามคำแหงดูแลมาหลายหน่วยงาน เช่น
กองกิจการนักศึกษา มร.ทำงานการเมืองยุคพรรคไทยรักไทย เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี
เคยสมัคร ส.ส.มาถึง 4 ครั้ง ได้รับเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เม.ย.49 แต่ต้องโมฆะ
รองโฆษกรัฐบาลบอกด้วยว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกฯและรมว.มหาดไทยเป็นคนเลือก
เพราะนายยงยุทธ เป็นคนใต้ มีนายสมพล วิชัยดิษฐ์ผู้น้องชายเป็นเพื่อนนายอารี
ก็เลยเสนอผ่านเข้ามาให้ตัดสินใจเลือก


นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก

นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก
เขยิบฐานะจากตลกคาเฟ่ เรียกเสียงครื้นเครงบนเวทีราชประสงค์
ขึ้นเป็นผู้ช่วยเลขานุการรมช.ว่าการกระทรวงมหาดไทย( นายฐานิสร์ เทียนทอง )
แม้ภาพจะเป็นดาวตลกคาเฟ่ จะมาสร้างความตลกที่กระทรวงมหาไทยหรือไม่
แต่เจ้าตัวเปิดเผยมาแล้ว เรื่องตลกเล่นมานานแล้ว แค่งานอดิเรก
แต่หลังฉากทำงานกับรมต.มา .4 กระทรวงแล้ว
เคยทำงานบริษัทไปรษณีย์รัฐบาลในอดีตก็ดึงตัวไปช่วยงาน
ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองโชกโชน
และทันทีที่มีมติครม.แต่งตั้ง เจ้าตัวบอกทันควันจะเสนอไอเดียแรกให้รมช.ฐานิสต์
ด้วยการนำมวลชนเสื้อแดงทั่วประเทศมามีบทบาทช่วยงานกระทรวงมหาดไทย เช่น
ให้มาเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยภาคประชาชน เหมือนมูลนิธิ เช่น
เกิดไฟไหม้ ก็รีบไปช่วยให้เกิดประโยชน์ เห็นทีมงานมูลนิธิได้ตกงาน
แต่งานอาสาสมัครก็สองแง่สองง่าม ภาพที่คนเห็นมีทั้งเชิดชูและน่ากลัว
ประมาณว่าจะมีการติดอาวุธ ในการดูแลความสงบตามหมู่บ้านหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อ


นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล

นายเพชรวรรต วัฒนพงษ์ศิริกุล
ชื่อนี้มวลชนเสื้อแดงย่านเชียงใหม่คงไม่มีใครไม่รู้จัก
เพราะเป็นแกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 จัดให้เป็นแกนนำสายฮาร์ดคอร์
วีรกรรมมากมายออกไปทางรุนแรง มีคดีความหลายคดี
แต่ครั้งนี้เขาสร้างโฉมใหม่ทางการเมืองด้วยการมาเป็น
ที่ปรึกษารมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
กระทรวงที่ชื่อได้ว่ามุ่งพัฒนาคนให้เป็นคุณภาพในสังคม
ท่ามกลางการจับตามอง
เขาจะให้คำแนะนำรมว.เรื่องของการสร้างคนให้เป็นคนที่มีคุณภาพอย่างไร
เพราะประวัติเก่าติดตัวจนได้จดจำ
จากกรณีศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)ขณะนั้น
จัดรายชื่อไว้ในกลุ่มที่ต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจา
ไม่ให้สร้างความรุนแรงในช่วงของการชุมนุมที่กรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตามนายเพชรวรรต มีประวัติอีกด้านเป็น
ผู้พิพากษาสมทบ ทนายกลุ่มเอ็นจีโอ ร่วมต่อสู้กับกลุ่มเกษตรกรภาคแหนือมาก่อน
ครั้งหนึ่งลงสมัครส.ส.ลำพูน สังกัดพรรคพลังประชาชน แต่พ่ายแพ้ไม่กี่แต้ม
อีกราย น.ส.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ ดำรงตำแหน่งเลขานุการรมว.พัฒนาสังคมฯ


นายชินวัฒน์ หาบุญพาด

กระทรวงคมนาคม ถือเป็นกระทรวงที่มีบุคลากรหลากความสามารถ
เมื่อนายชินวัฒน์ หาบุญพาด เป็นที่ปรึกษารมว.คมนาคม
ผลงานโดดเด่นจากการเป็นแกนนำเสื้อแดงที่สามารถเป่านกหวีด
ส่งสัญญาณวิทยุระดมคนชาวแท็กซี่ชุมนุมปิดถนนได้ภายใน 24 ชั่วโมง
เพราะความเป็นนายกสมาคมพิทักษ์สิทธิประโยชน์ผู้ขับขี่รถแท็กซี่
เคยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทซีแอลเอ จำกัด นั่นเอง
ทำให้เครือข่ายเส้นสายกว้างไกล
ทั้งนี้ นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกรัฐบาลถึงกับเปิดเผยว่า
นายชินวัตน์อาจใช้ประสบการณ์จากการคลุกคลีชาวแท็กซี่
มาแก้ปัญหาความเดือดร้อนผู้ร่วมอาชีพได้

รองโฆษกฯ บอกด้วยว่า นายชินวัฒน์นี่แหละอาจสร้างมิติใหม่
ที่จะขจัดปัญหาแทกซี่ ผู้ประกอบอาชีพขับรถตู้ ไม่รู้ว่าเรื่องเก็บค่าหัวคิว วินเถื่อน หรือไม่


นายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร

ส่วนตำแหน่งที่ปรึกษารมช.แรงงาน (พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก)
ตกเป็นของนายวิเชียรชนินทร์ สินธุไพร
นามสกุลนี้ต้องนึกถึงนายนิสิต สินธุไพร แกนนำคนเสื้อแดงที่เพิ่งได้รับการประกันตัวออกมา
พร้อมนายจตุพร พรหมพันธ์
โดยนายวิเชียรเป็นน้องชายนายนิสิตทำงานเป็นผู้ช่วยส.ส.และแกนนำแดงร้อยเอ็ด
เดิมถูกคาดหมายมาช่วยงานสภา
แต่พี่ชายเห็นว่ามาทำงานตรงนี้มีประโยชน์กว่า
ขณะที่ นายชาญยุทธ เฮงตระกูล ดำรงตำแหน่งเลขานุการรมว.คมนาคม
นายสมบัติ รัตโน เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมว.คมนาคม( พล.ต.ท.ชัชจ์ กุลดิลก)


นายวัน อยู่บำรุง

ที่น่าสนใจ นายวัน อยู่บำรุง ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการรมว.คมนาคม
(นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รมช.คมนาคม)
กรณีของนายวัน เป็นผลต่อเนื่องมาจากร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ
หวังให้ลูกชายไปฝึกงานที่กระทรวงแรงงานตำแหน่งใดตำแหน่ง
แต่ไม่ได้จึงหาตำแหน่งอื่นให้ด้วยความสนิทนายกิตติศักดิ์ จึงขอให้มาทำหน้าที่กระทรวงแรงงาน


นายนาวิน บุญเสรฐ

แกนนำแดงยังแรงไปถึงระดับต่างประเทศ เมื่อกระทรวงบัวแก้ว
แต่งตั้งนายนาวิน บุญเสรฐ เป็นเลขานุการรมว.ต่างประเทศ
ถือเป็นแกนนำนปช.ภาคเหนือ
เดิมทีถูกจัดวางให้เป็นเลขารมต.กระทรวงคลัง(นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ )
หรือไม่ก็ไปเป็นเลขานุการรมว.ศึกษาธิการ(นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล )
แต่แรงเบียดสู้ไม่ได้จึงต้องหล่นมาที่กระทรวงต่างประเทศ
ถึงกระนั้นยังอยู่ภายใต้โควต้าภาคเหนือเพราะนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล
รมว.ต่างประเทศก็มาจากภาคเหนือ


นายสมหวัง อัสราษี

นายสมหวัง อัสราษี หรือ “เฮียหวัง” ชื่อนี้ต้องขีดเส้นใต้
เพราะได้รับแต่งตั้งเป็นถึง ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ (นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง)
เป็นที่รับรู้ในหมู่นักธุรกิจ โด่งดังจากธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้ามิตซูชิตา
แถมมีธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงกำลัง หมีคอมมานโด
และสร้างแบรนด์เครื่องดื่ม ยี่ห้อ ทักษิณสู้ ผลิตแบรนด์เครื่องดื่มบุกตลาดกัมพูชา
การเข้ามาเป็นที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เพราะมีความเชี่ยวชาญธุรกิจเอสเอ็มอี
และสนับสนุนคนเสื้อแดงจนเคยประกาศขอปวารณาตนเป็นนักธุรกิจเสื้อแดง
ช่วงชุมนุมคนเสื้อแดง ศอฉ.เคยขึ้นทะเบียนอายัดทรัพย์

พร้อมกันนี้ครม.มีมติแต่งตั้ง

นายชัยวัฒน์ ทรัพย์รวงทอง เป็นที่ปรึกษารมช.พาณิชย์ (นายภูมิ สาระผล)

นายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง เป็นเลขานุการรมว.พาณิชย์

และ

พ.ต.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ คณะทำงานสายทหารของพล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร
เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมว.พาณิชย์

กระทรวงศึกษาธิการ แต่งตั้ง

นายโสภณ เพชรสว่าง นักการเมืองอาวุโส
อดีตรองประธานสภามาดำรงตำแหน่งที่ปรึกษารมว.(นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญากุล รมว.ศึกษาธิการ )

ขณะที่ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประแสง มงคลศิริเป็นที่ปรึกษารมช.ศึกษาธิการ (นางบุญรื่น ศรีธเรศ)

นายศักดา บูรณ์พงศ์ เป็นเลขานุการรมว.

นายวรกร คำสิงห์นอก เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมช.(นางบุญรื่น ศรีธเรศ รมช.ศึกษาธิการ )

และ

นายชัชวาลย์ ชัยเชาวรัตน์ เป็นผู้ช่วยเลขานุการรมช.ศึกษาธิการ( นายสุรพงษ์ อึ้งอัมพรวิไล )

ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองที่ทำงานให้พรรคสมัยพ.ต.ต.ทักษิณ เป็นนายกฯ

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

นายณัฐพงศ์ ศีตวรวรรัตน์ เป็นที่ปรึกษารมว.ไอซีที

น.ส.วิลาวัลย์ ธรรมชาติ เลขานุการรมว.ไอซีที

กระทรวงพลังงาน

พล.ต.ต.ลัทธสัญญา เพียรสมภา เป็นที่ปรึกษารมว.ไอซีที

นายเอกธนัช อินทร์รอด เป็นเลขานุการรมต.

กระทรวงกลาโหม

พล.อ.จงศักดิ์ พานิชกุล ที่ปรึกษารมว.กลาโหม

พล.อ.วรวิทย์ ชินะนาวิน เลขานุการรมว.กลาโหม

กระทรวงแรงงาน แต่งตั้ง

นายนฤมล ธารดำรงค์ ที่ปรึกษารมว.แรงงาน

และ

นายสง่า ธนสงวนวงศ์ เลขานุการรมว.แรงงาน

นอกจากนี้ ครม.มีมติแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี 20 ราย ได้แก่

พล.อ.วัฒนา สรรพานิช

นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล

นาย ภาคิน สมมติ

นายสฤษฎ์ อึ้งอภินันท์

นายสุเทพ สายทอง

พล.ท.มะ โพธิ์งาม

นายประภัสร์ จงสงวน

นายพิทยา พุกกะมาน

พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์

นส.มาลินี อินฉัตร

นายเหรียญชัย ลิขิตพฤกษ์

พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ

นายสุรชัย เบ้าจรรยา

นายปรีชา ธนานันท์

นายอนุสรณ์ ไกรวัฒนุสสรณ์

นางฉวีวรรณ คลังแสง

นายวิบูลย์ แช่มชื่น

นายมานิตย์ ภาวสุทธิ์

นายธวัชชัย สุทิบงกช

และ

นายวิสา คัญทัพ

พิจารณาจากรายชื่อส่วนใหญ่ เป็นผู้สมัครส.ส.ระบบปาร์ติ้ลิสต์
ซึ่งพลาดจากการเป็นส.ส. พลาดจากเป็นรมต.
แต่ละรายจัดอยู่ในบัญชี 2 และบัญชี 3 ของพรรค

โดยเฉพาะรายสุดท้าย
นายวิสา คัญทัพ เป็นคนเสื้อแดงอีกราย
ที่ขึ้นเวทีขับกล่อมเพลงเพื่อชีวิต อยู่ในบัญชี 2 ของพรรค
ซึ่งก่อนหน้านี้
นางไพจิตร อักษรณรงค์ ภรรยาได้รับแต่งตั้งเป็นประจำสำนักเลขาธิการนายกฯไปแล้ว
เมื่อคราวมติครม.25 ส.ค. เรียกว่าได้ตำแหน่งการเมืองยกครัว

วันเดียวกัน ยังมีการแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษานายกฯ
เพื่อทำหน้าที่ผู้แทนการค้าไทย 5 ราย ได้แก่

นางนลินี ทวีสิน

นายพิเชษฐ์ สถิรชวาล

นายพฤติชัย วิริยะโรจน์

นางลินดา เชิดชัย

และ

นายวรวีร์ มะกูดี

โดยเฉพาะนางลินดา เป็นบุตรสาวนางสุจินดา เชิดชัย หรือเจ๊เกียว
ซึ่งเป็นนักธุรกิจต่อรถติดอันดับต้นๆของเอเชีย
โดยวางแผนเปิดตลาดต่อรถให้เป็นดีทรอยส์แห่งเอเชีย

ขณะที่ นายวรวีร์ นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย
แต่สายสัมพันธ์แน่นกับ”เฮียเพ้ง” นายพงษ์ศักดิ์ รักตะพงษ์ไพศาล
แม้ภาพจะโด่งดังวงการกีฬา
แต่นายวรวีร์เป็นผู้เชี่ยวชาญอาหารฮาราล มีเครือข่ายธุรกิจกว้างขวาง
จึงเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์พรรควางแผนการตลาดใช้กีฬานำ
เชื่อมโยงกับนายพิเชษฐ์ที่มีสัมพันธ์ตะวันออกกลาง




http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/รายงานพิเศษ/108077/เบื้องหลังค่าเหนื่อยเสื้อแดงแจกตำแหน่งกุนซือ-เทกระโถน

ยังไม่�เผา เหยื่อสไนเปอร์ศพแรก

ที่มา ข่าวสด

พ่อเล่านาทีดับต่อหน้า 1ปีลูกตายตาไม่หลับ จี้รบ.เอาผิดคนสั่งฆ่า



ศพแรก- นาย สำราญ วางาม ระลึกถึงนายสวาท วางาม ลูกชายที่ถูกยิงด้วยสไนเปอร์ศพแรกจากเหตุการณ์ 10 เม.ย. 2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว ทุกวันนี้ศพยังไม่ได้เผา

พ่อ เหยื่อสไนเปอร์ศพแรก 10 เม.ย.แยกคอกวัว เปิดใจผ่านมา 1 ปีครึ่งแล้ว ศพลูกชายยังตายตาไม่หลับ เล่าย้อนเหตุการณ์ ที่ไม่มีวันลืม พร้อมด้วยลูกชาย 2 คนไปชุมนุม กับเสื้อแดง ช่วยผลักดันทหาร เห็นลูกคนโตโดนยิงหัว ล้มตึงสมองกระจายต่อหน้าต่อตา ต้อง โกยสมองห่อใส่เสื้อไว้ กอดศพไว้แน่นไม่ให้ทหารจับโยนขึ้นรถ จี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เอาผิดคนสั่งฆ่า ยืนยันจะเรียกร้องความเป็นธรรมจน กว่าได้ชัยชนะ ขณะที่ตร.ออกหมายเรียก 2 หนุ่ม อ้างเป็นนักศึกษาวางหรีดหน้ารัฐสภา สอบให้ชัด เป็นนักศึกษา และมีเบื้องหลังหรือไม่

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบนายสำราญ วางาม อายุ 51 ปี พ่อของนายสวาท วางาม อายุ 27 ปี สมาชิกแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) เหยื่อสไนเปอร์รายแรก ในเหตุการณ์รัฐบาลส่งกำลังทหารขอคืนพื้นที่ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 บริเวณสี่แยกคอกวัว โดยนายสำราญพักอาศัยอยู่ที่ห้องเช่า ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี อยู่กับนายวรเมศ วางาม อายุ 18 ปี ลูกชายคนเล็ก และภายในห้องเช่าเต็มไปด้วยอุปกรณ์การชุมนุม อาทิ เสื้อยืดสีแดง ธงแดง หมวกแดง และโทรโข่ง อีกทั้งตามผนังห้องมีภาพถ่ายนายสวาทติดเต็มไปหมด โดยนายสำราญบอกว่าทุกวันนี้ศพนายสวาทที่ฝากเก็บไว้ที่วัดพลับพลาไชยยังลืมตา โพลงอยู่

จากนั้นนายสำราญกล่าวย้อนเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมว่า พร้อมด้วยลูกชายทั้ง 2 คนคือ นายสวาทและนายวรเมศไปร่วมชุมนุมนปช.บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและสี่แยก คอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ตั้งแต่วันที่ 12 มี.ค.2553 เพื่อขับไล่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเรียกร้องให้ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชนเลือกตั้งใหม่ตามระบอบประชาธิปไตย

"แม้ จะผ่านเหตุการณ์มานานถึง 1 ปี 6 เดือนแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ลืมเหตุการณ์ในวันนั้นได้ เป็นวันที่เสียใจมากที่สุดในชีวิต ที่ลูกชายคนโตต้องมาจบชีวิตลงด้วยฝีมือเจ้าหน้าที่รัฐแบบนี้ ทั้งที่ในวันนั้นไม่มีอาวุธอะไรเลย แต่ผลที่ได้มาคือความตาย" นายสำราญกล่าว

พ่อ เหยื่อสไนเปอร์กล่าวต่อว่า ในวันที่ 10 เม.ย. พร้อมด้วยลูกชายเดินทางไปชุมนุมตั้งแต่ช่วงเช้าจนกระทั่งบ่าย สถานการณ์เริ่มตึงเครียด มีกำลังทหารพร้อมอาวุธและรถหุ้มเกราะ 7-8 คันมาจอดบริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา ห่างจากผู้ชุมนุมบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไม่กี่เมตร ตนเองกับลูกชายจึงไปช่วยผลักดันทหารออกนอกพื้นที่ ก่อนจะมีเฮลิคอปเตอร์ทิ้งแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม และเริ่มใช้อาวุธปืนยิงใส่ จนผู้ชุมนุมแตกกระเจิง ขณะนั้นนายวรเมศลูกชายคนเล็กถูกแก๊สน้ำตาจนหายใจไม่ออก และถูกยิงท้องลงไปนอนกับพื้น แต่โชคดีกระสุนถูกหัวเข็มขัด

"ผมและ ลูกชายคนโตเห็นเหตุการณ์ จึงถือธงเข้าไปช่วยดึงลูกชายคนเล็กที่ถูกยิงออกมาจากพื้นที่เกิดเหตุ ระหว่างนั้นลูกชายคนโตก็ถูกสไนเปอร์ยิงใส่ศีรษะซีกซ้าย 1 นัด มันสมองกระจาย ล้มลงเสียชีวิตคาที่ต่อหน้าต่อตา ลูกชายเป็นคนแรกที่ถูกยิงเสียชีวิต และจากนั้นก็มีผู้ชุมนุมถูกยิงอีกนับสิบราย ขณะที่ลูกชายเสียชีวิต ผมเห็นมันสมองลูกไหลออกมากองอยู่ที่พื้นถนน จึงถอดเสื้อและโกยมันสมองลูกชายใส่ไว้ ก่อนจะเอาไปวางไว้ที่โคนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นไปล้างมือแล้วตั้งใจกลับมาเอาเสื้อที่ห่อสมองลูกชายที่วางไว้ แต่ปรากฏว่าหายไป เพราะตั้งใจว่าจะเอาไปใส่กลับที่เดิมที่โรงพยาบาล" พ่อเหยื่อสไนเปอร์กล่าว

นายสำราญกล่าวต่อว่า หลังลูกชายถูกยิงเสียชีวิต เกือบจะไม่ได้นำศพออกมาจากจุดเกิดเหตุ เนื่องจากมีกลุ่มทหารพยายามเข้ามานำเอาศพลูก ชายขึ้นรถ แต่ถูกคนเสื้อแดงช่วยสกัด และตนเอง ก็กอดร่างลูกชายไว้แน่น ทหารจึงไม่สามารถเอาไปได้ และเห็นมีหลายร่างถูกโยนเข้าไปในรถหุ้มเกราะ และรถขยะสีเขียว มาทราบภายหลังเหตุ การณ์สงบ ว่ามีคนจำนวนมากหายไปในช่วงการชุมนุม และไม่ทราบชะตากรรม สำหรับศพของลูกชายยังคงเก็บไว้ที่วัดพลับพลาไชย 1 กำหนดฌาปนกิจวันที่ 16 ต.ค.2554 เวลา 17.00 น. ที่วัดบำเพ็ญเหนือ ย่านมีนบุรี กรุงเทพฯ พร้อมกับเสื้อแดงรายอื่นๆ รวม 7 ศพ

ผู้ชุมนุมนปช.กล่าวอีกว่า การเสียชีวิตของนายสวาทผ่านมานานถึง 1 ปี 6 เดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเอาตัวผู้ก่อเหตุ ผู้สั่งการในรัฐบาลชุดที่แล้วมาสู่กระบวนการศาลได้ ขอฝากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ช่วยเร่งรัดคดีความ ทราบว่าคดีลูกชายถูกดองไว้ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) การตายของลูกชายเกิดจากการสั่งการของรัฐบาลชุดที่แล้ว ที่ออกคำสั่งให้ทหารใช้อาวุธฆ่าประชาชนที่ออกมาชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตย มีเอกสารหลักฐานคนสั่งการชัดเจน ตามที่สื่อมวลชนเสนอไปก่อนหน้านี้

"แม้ จะเสียลูกชายไปแล้วคนหนึ่ง ผมก็ยังคงยืนยันว่าขอสู้เรียกร้องประชาธิปไตยร่วมกับคนเสื้อแดง และเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับลูก ชายตลอดไป จนกว่าจะได้รับชัยชนะ ถึงทุกวันนี้ผมเชื่อว่าลูกชายยังไม่รู้ว่าตัวเองตาย เพราะถูกยิงแบบไม่รู้ตัวจากสไนเปอร์ และทุกๆ วันที่ 10 ของเดือน ครอบครัวจะไปทำบุญให้ลูกชายที่วัดพลับพลาไชย และจะเปิดโลงดูทุกครั้งพบว่าตาลูกชายยังลืมอยู่ ยืนยันว่าการเสียชีวิตของลูกชายเป็นศพแรกที่ตกเป็นเหยื่อของคำสั่งศูนย์ อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) โดยถูกสไนเปอร์ยิงระยะไกลสมองกระจายเสียชีวิตคาที่" นายสำราญกล่าว

ที่ ทำเนียบรัฐบาล นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้รับหนังสือร้องเรียนจากนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 เพื่อขอให้รัฐบาลแสดงความเสียใจ และรับผิดชอบเหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ถึงวันที่ 19 พ.ค.2553 ด้วยการสงเคราะห์เบื้องต้น

นายอดุลย์กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลใช้ความรุน แรงในการแก้ปัญหาทางการเมืองเมื่อวันที่ 10 เม.ย. ถึงวันที่ 19 พ.ค. 2553 โดยรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน และกระชับพื้นที่จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 91 ศพ บาดเจ็บและพิการจำนวนมาก ทางคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 2535 จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลแสดงความเสียใจและขอโทษ ผู้สูญเสียทุกฝ่าย ให้รัฐบาลจัดหาเงินสงเคราะห์ให้ผู้เสียหาย เพราะรัฐบาลต้องมีกระบวนการเยียวยาทั้งร่างกายและจิตใจ ที่สำคัญขอให้รัฐบาลตรวจค้นและสอบสวน เร่งทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อสร้างความกระจ่างให้สังคมไทยโดยด่วน อีกทั้งขอให้รัฐบาลพิจารณาเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ 7 ต.ค.2550, เหตุการณ์กรือเซะ จ.ปัตตานี และตากใบ จ.นราธิวาส เพราะถือเป็นเหยื่อความรุนแรงจากการกระทำของอำนาจรัฐ ด้วยเช่นกัน

"ที่ ผ่านมาพยายามเตือนแล้ว ว่าการใช้ความรุนแรงไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ขอให้นายกฯยิ่งลักษณ์ทำตามที่ให้สัญญาประชาคมด้วยว่าจะแก้ไขไม่แก้แค้น รัฐบาลต้องจัดงบเพื่อสงเคราะห์ ผู้ได้รับผลกระทบ อย่าเอาแบบอย่างเหตุการณ์เดือนพ.ค.2535 มาใช้กับเหตุการณ์เหล่านี้ เพราะครอบครัวเขาจะอยู่ไม่ได้ ตั้งต้นชีวิตใหม่ไม่ได้ ดังนั้น คราวนี้การพิจารณาตัวเลขต้องดูให้ดี ต้องพอเพียง ไม่มีเงื่อนไข ไม่ทำให้เขาสับสน การที่สังคมวิจารณ์เรื่องตัวเลข 10 ล้านเยียวยานั้น ผมอยากขอความเมตตาจากสังคมไทย อย่ากรุณาเอาชีวิตไปเปรียบกับตัวเลขเงินทองเลย ขอวิงวอนแทนผู้ที่เดือดร้อน เพราะชีวิตคนประเมินค่าเป็นตัวเลขไม่ได้" นายอดุลย์กล่าว

ด้าน นายอนุสรณ์กล่าวว่า หนังสือที่คณะกรรม การญาติวีรชนพฤษภา 35 ส่งมาถึงนายกฯ เป็นสิ่งที่รัฐบาลเน้นย้ำ และถือเป็นนโยบายที่จะผลักดันดำเนินการอยู่แล้ว หลายเหตุการณ์ที่เกิดก่อนหน้านี้ ที่ยังไม่ถูกสังเคราะห์ถึงต้นตอของรูปแบบปัญหาที่เกิดขึ้น แต่นายกฯยิ่งลักษณ์จะมาแก้ไข ไม่แก้แค้น และเมื่อเรามองย้อนกลับไปแล้ว สบายใจได้ว่าเป็นนโยบายที่รัฐบาลผลักดัน

ผู้สื่อข่าวถามว่ารัฐบาลยืน ยันจ่ายเงินชดเชยเยียวยาครอบครัวผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ .ค.2553 รายละ 10 ล้านบาทหรือไม่ รองโฆษกประจำสำนักนายกฯกล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้เป็นฝ่ายเดียวที่จะตอบว่าให้รายละ 10 ล้านหรือไม่ แต่จะมีคณะกรรมการจากภาคส่วนต่างๆ เข้ามาร่วมพิจารณา คงต้องใช้เวลา แต่ภายใต้การนำรัฐบาลของน.ส.ยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย จะไม่ให้รอนานถึง 19 ปี เหมือนเหตุการณ์เดือน พ.ค.2535 ซึ่งรัฐบาลต้องมีคำตอบออกมาก่อนอย่างแน่นอน

ที่กองบัญชาการตำรวจ นครบาล พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกบช.น. กล่าวถึงกรณีผู้ชาย 2 คนอ้างเป็นนักศึกษานำพวงหรีดไปวางหน้ารัฐสภา แล้วมีเรื่องกระทบกระทั่งกับกลุ่มเสื้อแดงเมื่อวันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมาว่า มีความคืบหน้าพอสมควร โดยพนักงานสอบสวนตรวจสอบกล้องวงจรปิดจากสถานที่ต่างๆ ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น และตรวจสอบชายทั้ง 2 คน ทราบชื่อนายอาทิตย์ พูลศิริ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 45/504 ซอยหมู่บ้านพงษ์ศิริชัย 4 แขวงหนองค้างพลู เขตหนอง แขม กทม. และนายยุทธภูมิ ตันเล่ง จึงออกหมายเรียกมาให้การกับพนักงานสอบสวน สน.ดุสิต ว่าเป็นมาอย่างไร เพื่อประกอบพยานหลักฐานต่างๆ ว่าเป็นนักศึกษาจริงหรือไม่ สังกัดสถาบันใด และมีเบื้องหลังหรือไม่

วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ศาลสืบพยานโจทก์ครั้งแรกในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน แกนนำกลุ่มแดงสยาม เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณีกล่าวปราศรัยบนเวทีนปช. ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 15 ธ.ค. 2551

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ในการสืบพยานโจทก์ครั้งนี้ นายสุรชัยจำเลยถูกเบิกตัวจากเรือนจำ มาร่วมฟังการพิจารณาคดีด้วย ขณะที่อัยการโจทก์นำพยานปากแรก คือพ.ต.ท.พรศักดิ์ เลารุจิราลัย อดีตสวป.สน.ชนะสงคราม ขึ้นเบิกความต่อศาลสรุปว่า ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชาให้สังเกตการณ์ที่เวทีนปช.ท้องสนามหลวง พบว่าจำเลยปราศรัยต่อหน้ากลุ่มผู้ชุมนุมโดยกล่าวถ้อย คำที่ไม่เหมาะสม และเข้าข่ายหมิ่นสถาบันเบื้องสูง จึงรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับจำเลย

ภายหลังพ.ต.ท.พรศักดิ์ขึ้นเบิกความแล้วเสร็จ อัยการนำพยานโจทก์ขึ้นเบิกความอีก 2 ปาก ก่อนที่ศาลจะนัดสืบพยานโจทก์ต่อในวันที่ 31 ส.ค.

ขณะ เดียวกัน นายณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา 1 ใน 6 ศพที่ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม กล่าวว่า วันที่ 31 ส.ค. เวลา 13.00 น. พร้อมด้วยญาติ ผู้เสียชีวิต 6 ศพ จะไปเรียกร้องความเป็นธรรม และยื่นหนังสือต่อ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม เพื่อให้ระงับการพิจารณาเลื่อนตําแหน่ง พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เสธ.ทบ. เป็น รองผบ.ทบ. เนื่องจาก พล.อ.ดาว์พงษ์ เป็นหนึ่งในผู้ควบคุมกำลังทหารในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.2553 รวมทั้งนายทหารคนอื่นๆ ที่นํากำลังออกมาปราบปรามประชาชน

วิเชียรยอมเปิดทาง นั่ง"ปลัด" "เพรียวพันธ์"ผบ.ตร.

ที่มา ข่าวสด

ตกลงได้ไร้ปัญหา คุม"ก.ท่องเที่ยว" ภายใน2สัปดาห์ เหลิมตอกมาร์ค เคยเด้งพัชรวาท



ผู้นำตำรวจ - น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานก.ตร. ขึ้นแท่นตรวจแถวกองเกียรติยศ ก่อนเป็นประธานประชุมก.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.

นายกฯ หญิงพร้อม"เฉลิม"เข้าร่วมประชุม ก.ตร.นัดแรกที่ตร. แห่งชาติ มีผบ.ตร.-รอง รอรับและเข้าร่วมประชุมพร้อมหน้า ก.ตร.มีมติยืดเวลาทำโผนายพลออกไปเป็นเดือนก.ย. และหนุนตร.ชั้นประทวนติดยศนายร้อย เฉลิมลั่นจัดการตร.ที่ทำตัวไม่เหมาะสม ซึ่งมีหลักฐานอื้อในช่วงไปหาเสียง ยังอุบเรื่องเปลี่ยนตัวผบ.ตร. แต่บอกภายใน 7 วันรู้เรื่อง ยืนยันถึงปรับเปลี่ยนก็ไม่ทำแบบไร้เหตุผล ตอกกลับสมัย"มาร์ค"ย้าย"พัชรวาท"ก็ไร้เหตุผล แถมตั้งรักษา การทั้งๆ ที่ผบ.ตร.ก็ยังอยู่แท้ๆ "อภิสิทธิ์"อ้างย้ายผบ.ตร.ต้องเป็นธรรม และดูความสามารถ ส่วนผลสอบบ่อนในกรุง จเรตร.พบมีลักลอบเปิดบ่อนจริง ระบุมีตร. 19 นายเข้าข่ายบกพร่อง ตั้งแต่ผบช.น.-ผู้การ-ตร.ท้องที่

"ปู"ประชุมก.ตร.นัดแรก

ความ คืบหน้าข่าวการสับเปลี่ยนเก้าอี้ผบ.ตร. เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 30 ส.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานก.ตร. พร้อมด้วยร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ดูแลตร.แห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ก.ตร. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคาร 1 โดยเป็นการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 8/2554 แต่ถือเป็นการประชุมครั้งแรก นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งพร้อมจัดตั้งเป็นรัฐบาล โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมสถานที่เพื่อต้อนรับนายกฯ มีทั้งการตัดแต่งต้นไม้โดยรอบให้สวยงาม ทำความสะอาดพรม ตั้งแต่ทางเดินเข้าอาคารและบันไดทางขึ้นชั้น 2 ทำความสะอาดประตูกระจก

วิเชียร-เพรียวพันธ์รอรับ

เมื่อ นายกฯ เดินทางมาถึงขึ้นแท่นรับความเคารพจากกองเกียรติยศ (กองเกียรติยศจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล จำนวน 1 กองร้อย 150 นาย) จากนั้นถวายพานพุ่มสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 หน้าอาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถวายสักการะพระ บรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. และพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้การต้อนรับ จากนั้นนายกฯ ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหาร และคณะกรรมการ ก.ตร.

นายกฯห่วงการพนัน

ก่อน การประชุมน.ส.ยิ่งลักษณ์ เชิญที่ปรึกษาสบ 10 และผู้ช่วยผบ.ตร.ทุกท่าน เข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อมอบนโยบายโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นมอบให้ร.ต.อ.เฉลิมเป็นประธานการประชุมแทน ซึ่งใช้เวลาการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง ร.ต.อ.เฉลิมจึงได้ลงมาแถลงผลการประชุมก.ตร.ด้วยตัวเอง ว่า ท่านนายกฯเป็นประธานการประชุมในช่วงแรกและมอบหมายตนเป็นประธานการประชุมต่อ แต่นายกฯเน้นให้สร้างความเป็นธรรมการบังคับใช้กฎหมาย โดยรัฐบาลจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตำรวจทุกชั้นยศ แต่ตำรวจต้องสร้างความผาสุกให้พี่น้องประชาชน นอกจากนี้ท่านนายกฯยังห่วงใยถึงเรื่องอบายมุข การพนันและอาชญากรรม

เอิ๊กอ๊าก - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ทักทายพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อย่างเป็นกันเอง ระหว่างติดตามนายกฯมาประชุมก.ตร. ท่ามกลางกระแสข่าวรุนแรงเกี่ยวกับตำแหน่งผบ.ตร. ตามข่าว



หนุนดันประทวนติดนายร้อย

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อ มีเรื่องสำคัญที่จะแจ้งให้ทราบทั้งหมด 3 เรื่อง โดยเรื่องแรก ก.ตร.มีมติให้ขยายเวลาในการแต่งตั้งตำรวจระดับนายพลให้เสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ย. เรื่องที่ 2 พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ เสนอให้ตำรวจชั้นประทวนที่จบป.ตรีและเนติบัณฑิต 52-54 คน ขอให้ก.ตร.อนุมัติให้เป็นอบรมเลื่อนชั้นยศเป็นสัญญาบัตร เรื่องที่ 3 ให้ก.ตร. มีมติให้ตร. ไปออกหลักเกณฑ์เพื่อปรับระดับตำแหน่งตำรวจชั้นประทวนที่มีอายุตั้งแต่ 53 ปี ให้ไปอบรมเป็นสัญญาบัตรโดยไม่ต้องปรับอัตราเงินเดือน โดยอยู่โรงพักใดให้ขึ้นโรงพักนั้น ทั้งนี้พออายุ 59 ปี เป็นร.ต.อ. สามารถขอลาออกล่วงหน้าได้ยศพ.ต.ต. ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ โดยมีเงื่อนไขว่าตำรวจกลุ่มนี้ต้องไม่เคยต้องโทษคดีอาญา ไม่ต้องโทษวินัยร้ายแรง ซึ่งก.ตร. ส่งเรื่องให้สำนักงานกำลังพลเสนอมา โดยจะเรียนนายกฯให้สนับสนุนเรื่องนี้

ลั่นจัดการตร.เอียงข้าง

"วันนี้ ไม่มีการคุยเรื่องแนวทางการแต่งตั้งโยกย้ายแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องการแต่งตั้งเป็นอำนาจของตร. คงไม่ได้เข้าไปล้วงลูก และจะไม่สร้างความหนักใจ ซึ่งการโยกย้ายใครต้องอยู่บนพื้นที่ฐานความถูกต้องชอบธรรมเป็นปัจจัยสำคัญ ตนมาในฐานะรองนายกฯ ที่รับผิดชอบตร. จะไม่มาในฐานะนักการเมือง หากจะบอกว่าการแต่งตั้งจะไม่มีการแสดงความคิดเห็นจากฝ่ายการเมืองคงเป็น เรื่องโกหก อาจเสนอบ้าง นายตำรวจบางจังหวัดที่ไปรณรงค์หาเสียง ตนมีคลิป ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมต่อการเลือกตั้งปล่อยให้อยู่ในพื้นที่ต่อไปก็สร้าง ความเดือดร้อนให้กับประชาชน ข้อมูลตรงนี้ต้องเล่าให้ผบ.ตร. ฟัง" รองนายกฝ่ายความมั่นคง กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ามียื่นบัญชีนายตำรวจ เหล่านี้แล้วหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตรงนี้ไม่มีบัญชีแต่ไปสัมผัสด้วยตนเองไม่ใช่มีในใจ อย่างผบก.จว.สุรินทร์ ที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ หรือผบก.นครราชสีมา ที่เสียชีวิตแล้ว และอีกหลายจังหวัดแต่ไม่อยากพูด เดี๋ยวจะหาว่าคำราม ตนอยู่อีสานมา 2 ปี 7 เดือนรู้พื้นที่ดีแต่ก็มีผู้การที่น่ารักมากๆ คือผบก.อำนาจเจริญ นอกนั้นเป๋ไปเป๋มา ถ้าตนมีอำนาจคงทำแล้วแต่ตนไม่มีหากเป็นผบ.ตร.จะเป่านกหวีดปรี๊ดให้เข้า มารับผิดชอบ หากใครรู้ตัวว่าเกินเหตุแล้วขอให้สมัครใจมา นี่พูดแค่กระเซ้าเย้าแหย่

โวตู้ม้าปิดกันเกลี้ยงแล้ว

เมื่อ ถามอีกว่าจะดำเนินการปราบปรามเรื่องบ่อน ตู้ม้าให้เป็นรูปธรรมอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ลองนักข่าวไปดูสิ ตอนนี้ไม่มีแล้ว วันนี้ปิดหมดราพณาสูร ตราบใดที่ตนมีอำนาจเรื่องอย่างนี้เกิดไม่ได้ นายเหลียง ภาค 7 เอาตู้ม้าไปเก็บแล้ว กงลี้ปิดตู้ม้าใหญ่แล้ว อาหม่าก็เลิกแล้ว เมื่อถามว่ามั่นใจว่า จะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า มั่นใจในข้าราชการตำรวจที่จะสนองรับ ตนจะไปทำอะไรได้เป็นแค่สารวัตรเอง ยืนยันว่าเรื่องบ่อนระดับ ผกก. ผบก. ทำไม่ได้หรอก ที่มันยุ่งเพราะมีคนแอบอ้าง จากนี้จะไม่มีแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับประธานก.ตร. จะทำงานเป็นหนึ่งเดียว

เปลี่ยนเพื่อใช้คนให้ถูกงาน

สำหรับ เรื่องปรับเปลี่ยนผบ.ตร. เมื่อไหร่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่บอกตอนนี้ยืนยัน ว่าการปรับเปลี่ยนอย่างไรก็ตามเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อใช้คนให้ถูกกับงาน เมื่อถึงเวลาจะบอกให้ทราบ ฝนไม่ตกแดดไม่ออกอย่าเพิ่งกางร่ม ยังไม่หลับอย่าคิดว่าจะฝันเรื่องอะไร ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็มีการเปลี่ยนแปลงแบบ put the right man on the right job อย่าไปมองว่าเป็นการเปลี่ยนเพื่อให้ญาติของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มาดำรงตำแหน่ง ถามว่าตอนปฏิวัติย้ายพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ทำไมเพราะคุณเพรียวพันธ์ เป็นญาติท่านทักษิณ ต้องให้ความเป็นธรรม ทำไมต้องเอาเขาไปสำนักนายกฯ เพราะคุณปฏิวัติ เพราะเผด็จการ มันต้องมีความเป็นธรรม หากจะย้ายพล.ต.อ.วิเชียร หรือไม่ ยังไม่บอกให้สื่อได้ลุ้นมันไม่มีกรอบเวลา ถึงเวลาแล้วก็สบายๆ

ตอกรบ.เก่าก็ย้ายไร้เหตุผล

"เรื่อง ผบ.ตร.นั้นไม่เป็นไรหรอก เมื่อถึงเวลาผมทำของผมเอง มันต้องรอความเหมาะสม ที่ต้องมีทั้งจังหวะ เวลา เหตุผล เรื่องสำคัญที่สุดต้องตอบสังคมได้ ผมถามนิดนึงตอนคุณอภิสิทธิ์ ย้ายคุณพัชรวาท อาศัยเหตุผลอะไร ตอนคุณสุรยุทธ์ ย้ายคุณโกวิท มีเหตุผลอะไร ไม่มีตำตอบให้สังคม ผบ.ตร.อยู่ภาคใต้ ยังไปตั้งคนรักษาราชการทำได้อย่างไร ถ้าผบ.ตร. ยังปฏิบัติหน้าที่ในราชอาณาจักรไทย ถือว่าเขายังเป็นผู้นำสูงสุด ผมเป็นตำรวจ เป็นนักกฎหมาย ผมไม่ทำเป๋ออย่างนั้นหรอก" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

แย้มอีก 7 วันรู้อนาคตผบ.ตร.

เมื่อ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ภายใน 7 วันจะเห็นผบ.ตร.ใหม่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวสั้นๆ ว่า น่าจะใกล้เคียง เมื่อถามต่อว่าตอนนี้ยังขาดอะไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า บอกหมดคุณก็ไม่ตามสัมภาษณ์สิ

จากนั้นร.ต.อ.เฉลิม ขอตัวก่อนเดินเข้าสำนักงานพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. โดยมีพล.ต.อ.เพรียวพันธ์เดินตามเข้าไปเพื่อพูดคุยกันด้านในโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่ร.ต.อ.เฉลิม จะเดินทางกลับ

มารค์จี้ให้ความเป็นธรรม

ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร.ต.อ.เฉลิม ระบุจะพิจารณาการทำหน้าที่ของตำรวจ อาจรวมถึงพล.ต.อ.วิเชียร ด้วยว่า หากมีการดำเนินการ ขอให้ตรงไปตรงมาตามดุลพินิจ อย่ามีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง คิดว่าถ้าจะโยกย้ายอะไร ต้องให้ความเป็นธรรมและตามข้อเท็จจริง ส่วนที่พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะมาดำรงตำแหน่งผบ.ตร.แทนนั้น คิดว่าเรื่องความเหมาะสมของตำแหน่งผบ.ตร.เป็นอีกเรื่อง และผู้ที่เหมาะสมจะมาดำรงแทนเป็นอีกเรื่อง

โยกย้ายต้องดูความสามารถ

เมื่อ ถามว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะมาดำรงตำแหน่งผบ.ตร.อาจถูกมองว่าเป็นความพยายามช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในขั้นนี้ต้องดูก่อนว่า หากมีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจแล้ว ผลสอบจะเป็นอย่างไร อย่าคิดล่วงหน้าว่าจะมีคนชื่อไหนมาแทน และไม่ควรเอาเรื่องเป้าหมายที่จะย้ายมาเป็นตัวกำหนด ต้องว่าตามข้อเท็จจริงและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ อยากย้ำว่าการแต่งตั้งโยกย้ายต้องดูตามความรู้ความสามารถ เป็นธรรม มิเช่นนั้นจะเป็นปมของความขัดแย้งต่อไป และตำแหน่งผบ.ตร.ไม่ควรเป็นตำแหน่งทางการเมืองและไม่ควรไปพร้อมกับรัฐบาล เพราะกฎหมายตำรวจพยายามไม่ให้เป็นเช่นนั้น และทุกฝ่ายก็ควรจะเคารพเจต นารมณ์ของกฎหมายด้วย

สอบบ่อนพบบกพร่อง 19 นาย

ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังจากนำสำนวนการสอบสวนกว่า 1,000 หน้า ขึ้นไปรายงานผลสรุปการสืบสวนสอบ สวนต่อพล.ต.อ.วิเชียร ว่า คณะกรรมการสอบสวนได้สรุปผลการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นครบ 7 วันแล้ว พบมีการเปิดบ่อนการพนันจริง แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับกองบัญชาการ คือตัวพล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. ฐานไม่ควบคุมกวดขัน ระดับกองบังคับการ คือ พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบก.น.2 พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. และผกก.สว.ในกองบังคับการ ระดับสถานีตำรวจ คือพ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน. สุทธิสาร รองผกก.ป. รองผกก.สส. สว.สส. และสว.ป โดยได้เสนอโทษผิดวินัยไม่ร้ายแรง ภาคทัณฑ์ มีโทษกักยาม ให้ผบ.ตร.พิจารณา โดยพิจารณาข้อบกพร่องต่อหน้าที่ในการกระทำความผิด ทั้งหมด 19 นาย ซึ่งจะต้องพิจารณาโทษทางวินัยอีกโดยให้ผบ.ตร.เป็นผู้พิจารณา ต่อไป

วิเชียรเปิดทางเพรียวพันธ์

ค่ำ วันเดียวกัน มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า การพูดคุยถึงการเปลี่ยนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยพล.ต.อ.วิเชียรก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และแสดงเจตนารมณ์พร้อมที่จะไปรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งคาดว่าขั้นตอนต่างๆจะเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ โดยจะมีการแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็นผบ.ตร.คนต่อไป

วิเชียรยอมเปิดทาง นั่ง"ปลัด" "เพรียวพันธ์"ผบ.ตร.

ที่มา ข่าวสด

ตกลงได้ไร้ปัญหา คุม"ก.ท่องเที่ยว" ภายใน2สัปดาห์ เหลิมตอกมาร์ค เคยเด้งพัชรวาท



ผู้นำตำรวจ - น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานก.ตร. ขึ้นแท่นตรวจแถวกองเกียรติยศ ก่อนเป็นประธานประชุมก.ตร. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 ส.ค.

นายกฯ หญิงพร้อม"เฉลิม"เข้าร่วมประชุม ก.ตร.นัดแรกที่ตร. แห่งชาติ มีผบ.ตร.-รอง รอรับและเข้าร่วมประชุมพร้อมหน้า ก.ตร.มีมติยืดเวลาทำโผนายพลออกไปเป็นเดือนก.ย. และหนุนตร.ชั้นประทวนติดยศนายร้อย เฉลิมลั่นจัดการตร.ที่ทำตัวไม่เหมาะสม ซึ่งมีหลักฐานอื้อในช่วงไปหาเสียง ยังอุบเรื่องเปลี่ยนตัวผบ.ตร. แต่บอกภายใน 7 วันรู้เรื่อง ยืนยันถึงปรับเปลี่ยนก็ไม่ทำแบบไร้เหตุผล ตอกกลับสมัย"มาร์ค"ย้าย"พัชรวาท"ก็ไร้เหตุผล แถมตั้งรักษา การทั้งๆ ที่ผบ.ตร.ก็ยังอยู่แท้ๆ "อภิสิทธิ์"อ้างย้ายผบ.ตร.ต้องเป็นธรรม และดูความสามารถ ส่วนผลสอบบ่อนในกรุง จเรตร.พบมีลักลอบเปิดบ่อนจริง ระบุมีตร. 19 นายเข้าข่ายบกพร่อง ตั้งแต่ผบช.น.-ผู้การ-ตร.ท้องที่

"ปู"ประชุมก.ตร.นัดแรก

ความ คืบหน้าข่าวการสับเปลี่ยนเก้าอี้ผบ.ตร. เมื่อเวลา 12.00 น. วันที่ 30 ส.ค. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานก.ตร. พร้อมด้วยร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ดูแลตร.แห่งชาติ เข้าร่วมประชุม ก.ตร. ที่ห้องประชุม 1 ชั้น 2 อาคาร 1 โดยเป็นการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 8/2554 แต่ถือเป็นการประชุมครั้งแรก นับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งพร้อมจัดตั้งเป็นรัฐบาล โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตรียมสถานที่เพื่อต้อนรับนายกฯ มีทั้งการตัดแต่งต้นไม้โดยรอบให้สวยงาม ทำความสะอาดพรม ตั้งแต่ทางเดินเข้าอาคารและบันไดทางขึ้นชั้น 2 ทำความสะอาดประตูกระจก

วิเชียร-เพรียวพันธ์รอรับ

เมื่อ นายกฯ เดินทางมาถึงขึ้นแท่นรับความเคารพจากกองเกียรติยศ (กองเกียรติยศจากกองบัญชาการตำรวจสันติบาล จำนวน 1 กองร้อย 150 นาย) จากนั้นถวายพานพุ่มสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 หน้าอาคารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถวายสักการะพระ บรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. และพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รองผบ.ตร. รวมถึงผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้การต้อนรับ จากนั้นนายกฯ ร่วมรับประทานอาหารกลางวันกับผู้บริหาร และคณะกรรมการ ก.ตร.

นายกฯห่วงการพนัน

ก่อน การประชุมน.ส.ยิ่งลักษณ์ เชิญที่ปรึกษาสบ 10 และผู้ช่วยผบ.ตร.ทุกท่าน เข้าร่วมประชุมด้วย เพื่อมอบนโยบายโดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที หลังจากนั้นมอบให้ร.ต.อ.เฉลิมเป็นประธานการประชุมแทน ซึ่งใช้เวลาการประชุมนานกว่า 3 ชั่วโมง ร.ต.อ.เฉลิมจึงได้ลงมาแถลงผลการประชุมก.ตร.ด้วยตัวเอง ว่า ท่านนายกฯเป็นประธานการประชุมในช่วงแรกและมอบหมายตนเป็นประธานการประชุมต่อ แต่นายกฯเน้นให้สร้างความเป็นธรรมการบังคับใช้กฎหมาย โดยรัฐบาลจะสร้างขวัญและกำลังใจให้กับตำรวจทุกชั้นยศ แต่ตำรวจต้องสร้างความผาสุกให้พี่น้องประชาชน นอกจากนี้ท่านนายกฯยังห่วงใยถึงเรื่องอบายมุข การพนันและอาชญากรรม

เอิ๊กอ๊าก - ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ทักทายพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. อย่างเป็นกันเอง ระหว่างติดตามนายกฯมาประชุมก.ตร. ท่ามกลางกระแสข่าวรุนแรงเกี่ยวกับตำแหน่งผบ.ตร. ตามข่าว



หนุนดันประทวนติดนายร้อย

ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อ มีเรื่องสำคัญที่จะแจ้งให้ทราบทั้งหมด 3 เรื่อง โดยเรื่องแรก ก.ตร.มีมติให้ขยายเวลาในการแต่งตั้งตำรวจระดับนายพลให้เสร็จสิ้นภายในเดือน ก.ย. เรื่องที่ 2 พล.ต.อ.อชิรวิทย์ สุพรรณเภสัช ก.ตร. ผู้ทรงคุณวุฒิ เสนอให้ตำรวจชั้นประทวนที่จบป.ตรีและเนติบัณฑิต 52-54 คน ขอให้ก.ตร.อนุมัติให้เป็นอบรมเลื่อนชั้นยศเป็นสัญญาบัตร เรื่องที่ 3 ให้ก.ตร. มีมติให้ตร. ไปออกหลักเกณฑ์เพื่อปรับระดับตำแหน่งตำรวจชั้นประทวนที่มีอายุตั้งแต่ 53 ปี ให้ไปอบรมเป็นสัญญาบัตรโดยไม่ต้องปรับอัตราเงินเดือน โดยอยู่โรงพักใดให้ขึ้นโรงพักนั้น ทั้งนี้พออายุ 59 ปี เป็นร.ต.อ. สามารถขอลาออกล่วงหน้าได้ยศพ.ต.ต. ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายพรรคเพื่อไทยที่หาเสียงไว้ โดยมีเงื่อนไขว่าตำรวจกลุ่มนี้ต้องไม่เคยต้องโทษคดีอาญา ไม่ต้องโทษวินัยร้ายแรง ซึ่งก.ตร. ส่งเรื่องให้สำนักงานกำลังพลเสนอมา โดยจะเรียนนายกฯให้สนับสนุนเรื่องนี้

ลั่นจัดการตร.เอียงข้าง

"วันนี้ ไม่มีการคุยเรื่องแนวทางการแต่งตั้งโยกย้ายแต่อย่างใด ซึ่งเรื่องการแต่งตั้งเป็นอำนาจของตร. คงไม่ได้เข้าไปล้วงลูก และจะไม่สร้างความหนักใจ ซึ่งการโยกย้ายใครต้องอยู่บนพื้นที่ฐานความถูกต้องชอบธรรมเป็นปัจจัยสำคัญ ตนมาในฐานะรองนายกฯ ที่รับผิดชอบตร. จะไม่มาในฐานะนักการเมือง หากจะบอกว่าการแต่งตั้งจะไม่มีการแสดงความคิดเห็นจากฝ่ายการเมืองคงเป็น เรื่องโกหก อาจเสนอบ้าง นายตำรวจบางจังหวัดที่ไปรณรงค์หาเสียง ตนมีคลิป ซึ่งไม่มีความเป็นธรรมต่อการเลือกตั้งปล่อยให้อยู่ในพื้นที่ต่อไปก็สร้าง ความเดือดร้อนให้กับประชาชน ข้อมูลตรงนี้ต้องเล่าให้ผบ.ตร. ฟัง" รองนายกฝ่ายความมั่นคง กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่ามียื่นบัญชีนายตำรวจ เหล่านี้แล้วหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตรงนี้ไม่มีบัญชีแต่ไปสัมผัสด้วยตนเองไม่ใช่มีในใจ อย่างผบก.จว.สุรินทร์ ที่ถูกย้ายไปช่วยราชการ หรือผบก.นครราชสีมา ที่เสียชีวิตแล้ว และอีกหลายจังหวัดแต่ไม่อยากพูด เดี๋ยวจะหาว่าคำราม ตนอยู่อีสานมา 2 ปี 7 เดือนรู้พื้นที่ดีแต่ก็มีผู้การที่น่ารักมากๆ คือผบก.อำนาจเจริญ นอกนั้นเป๋ไปเป๋มา ถ้าตนมีอำนาจคงทำแล้วแต่ตนไม่มีหากเป็นผบ.ตร.จะเป่านกหวีดปรี๊ดให้เข้า มารับผิดชอบ หากใครรู้ตัวว่าเกินเหตุแล้วขอให้สมัครใจมา นี่พูดแค่กระเซ้าเย้าแหย่

โวตู้ม้าปิดกันเกลี้ยงแล้ว

เมื่อ ถามอีกว่าจะดำเนินการปราบปรามเรื่องบ่อน ตู้ม้าให้เป็นรูปธรรมอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ลองนักข่าวไปดูสิ ตอนนี้ไม่มีแล้ว วันนี้ปิดหมดราพณาสูร ตราบใดที่ตนมีอำนาจเรื่องอย่างนี้เกิดไม่ได้ นายเหลียง ภาค 7 เอาตู้ม้าไปเก็บแล้ว กงลี้ปิดตู้ม้าใหญ่แล้ว อาหม่าก็เลิกแล้ว เมื่อถามว่ามั่นใจว่า จะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า มั่นใจในข้าราชการตำรวจที่จะสนองรับ ตนจะไปทำอะไรได้เป็นแค่สารวัตรเอง ยืนยันว่าเรื่องบ่อนระดับ ผกก. ผบก. ทำไม่ได้หรอก ที่มันยุ่งเพราะมีคนแอบอ้าง จากนี้จะไม่มีแล้ว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กับประธานก.ตร. จะทำงานเป็นหนึ่งเดียว

เปลี่ยนเพื่อใช้คนให้ถูกงาน

สำหรับ เรื่องปรับเปลี่ยนผบ.ตร. เมื่อไหร่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่บอกตอนนี้ยืนยัน ว่าการปรับเปลี่ยนอย่างไรก็ตามเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อใช้คนให้ถูกกับงาน เมื่อถึงเวลาจะบอกให้ทราบ ฝนไม่ตกแดดไม่ออกอย่าเพิ่งกางร่ม ยังไม่หลับอย่าคิดว่าจะฝันเรื่องอะไร ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็มีการเปลี่ยนแปลงแบบ put the right man on the right job อย่าไปมองว่าเป็นการเปลี่ยนเพื่อให้ญาติของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร มาดำรงตำแหน่ง ถามว่าตอนปฏิวัติย้ายพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ทำไมเพราะคุณเพรียวพันธ์ เป็นญาติท่านทักษิณ ต้องให้ความเป็นธรรม ทำไมต้องเอาเขาไปสำนักนายกฯ เพราะคุณปฏิวัติ เพราะเผด็จการ มันต้องมีความเป็นธรรม หากจะย้ายพล.ต.อ.วิเชียร หรือไม่ ยังไม่บอกให้สื่อได้ลุ้นมันไม่มีกรอบเวลา ถึงเวลาแล้วก็สบายๆ

ตอกรบ.เก่าก็ย้ายไร้เหตุผล

"เรื่อง ผบ.ตร.นั้นไม่เป็นไรหรอก เมื่อถึงเวลาผมทำของผมเอง มันต้องรอความเหมาะสม ที่ต้องมีทั้งจังหวะ เวลา เหตุผล เรื่องสำคัญที่สุดต้องตอบสังคมได้ ผมถามนิดนึงตอนคุณอภิสิทธิ์ ย้ายคุณพัชรวาท อาศัยเหตุผลอะไร ตอนคุณสุรยุทธ์ ย้ายคุณโกวิท มีเหตุผลอะไร ไม่มีตำตอบให้สังคม ผบ.ตร.อยู่ภาคใต้ ยังไปตั้งคนรักษาราชการทำได้อย่างไร ถ้าผบ.ตร. ยังปฏิบัติหน้าที่ในราชอาณาจักรไทย ถือว่าเขายังเป็นผู้นำสูงสุด ผมเป็นตำรวจ เป็นนักกฎหมาย ผมไม่ทำเป๋ออย่างนั้นหรอก" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว

แย้มอีก 7 วันรู้อนาคตผบ.ตร.

เมื่อ ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ภายใน 7 วันจะเห็นผบ.ตร.ใหม่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวสั้นๆ ว่า น่าจะใกล้เคียง เมื่อถามต่อว่าตอนนี้ยังขาดอะไร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า บอกหมดคุณก็ไม่ตามสัมภาษณ์สิ

จากนั้นร.ต.อ.เฉลิม ขอตัวก่อนเดินเข้าสำนักงานพล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร. โดยมีพล.ต.อ.เพรียวพันธ์เดินตามเข้าไปเพื่อพูดคุยกันด้านในโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก่อนที่ร.ต.อ.เฉลิม จะเดินทางกลับ

มารค์จี้ให้ความเป็นธรรม

ที่ สนามบินสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าที่หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงร.ต.อ.เฉลิม ระบุจะพิจารณาการทำหน้าที่ของตำรวจ อาจรวมถึงพล.ต.อ.วิเชียร ด้วยว่า หากมีการดำเนินการ ขอให้ตรงไปตรงมาตามดุลพินิจ อย่ามีเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง คิดว่าถ้าจะโยกย้ายอะไร ต้องให้ความเป็นธรรมและตามข้อเท็จจริง ส่วนที่พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะมาดำรงตำแหน่งผบ.ตร.แทนนั้น คิดว่าเรื่องความเหมาะสมของตำแหน่งผบ.ตร.เป็นอีกเรื่อง และผู้ที่เหมาะสมจะมาดำรงแทนเป็นอีกเรื่อง

โยกย้ายต้องดูความสามารถ

เมื่อ ถามว่าพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะมาดำรงตำแหน่งผบ.ตร.อาจถูกมองว่าเป็นความพยายามช่วยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในขั้นนี้ต้องดูก่อนว่า หากมีการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจแล้ว ผลสอบจะเป็นอย่างไร อย่าคิดล่วงหน้าว่าจะมีคนชื่อไหนมาแทน และไม่ควรเอาเรื่องเป้าหมายที่จะย้ายมาเป็นตัวกำหนด ต้องว่าตามข้อเท็จจริงและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ทั้งนี้ อยากย้ำว่าการแต่งตั้งโยกย้ายต้องดูตามความรู้ความสามารถ เป็นธรรม มิเช่นนั้นจะเป็นปมของความขัดแย้งต่อไป และตำแหน่งผบ.ตร.ไม่ควรเป็นตำแหน่งทางการเมืองและไม่ควรไปพร้อมกับรัฐบาล เพราะกฎหมายตำรวจพยายามไม่ให้เป็นเช่นนั้น และทุกฝ่ายก็ควรจะเคารพเจต นารมณ์ของกฎหมายด้วย

สอบบ่อนพบบกพร่อง 19 นาย

ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ. สถาพร หลาวทอง จเรตำรวจแห่งชาติ กล่าวภายหลังจากนำสำนวนการสอบสวนกว่า 1,000 หน้า ขึ้นไปรายงานผลสรุปการสืบสวนสอบ สวนต่อพล.ต.อ.วิเชียร ว่า คณะกรรมการสอบสวนได้สรุปผลการสืบสวนสอบสวนเบื้องต้นครบ 7 วันแล้ว พบมีการเปิดบ่อนการพนันจริง แบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับกองบัญชาการ คือตัวพล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.น. ฐานไม่ควบคุมกวดขัน ระดับกองบังคับการ คือ พล.ต.ต.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบก.น.2 พล.ต.ต.รณศิลป์ ภู่สาระ ผบก.สส.บช.น. และผกก.สว.ในกองบังคับการ ระดับสถานีตำรวจ คือพ.ต.อ.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผกก.สน. สุทธิสาร รองผกก.ป. รองผกก.สส. สว.สส. และสว.ป โดยได้เสนอโทษผิดวินัยไม่ร้ายแรง ภาคทัณฑ์ มีโทษกักยาม ให้ผบ.ตร.พิจารณา โดยพิจารณาข้อบกพร่องต่อหน้าที่ในการกระทำความผิด ทั้งหมด 19 นาย ซึ่งจะต้องพิจารณาโทษทางวินัยอีกโดยให้ผบ.ตร.เป็นผู้พิจารณา ต่อไป

วิเชียรเปิดทางเพรียวพันธ์

ค่ำ วันเดียวกัน มีรายงานข่าวเปิดเผยว่า การพูดคุยถึงการเปลี่ยนในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยพล.ต.อ.วิเชียรก็เห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และแสดงเจตนารมณ์พร้อมที่จะไปรับตำแหน่งปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ซึ่งคาดว่าขั้นตอนต่างๆจะเสร็จสิ้นภายใน 2 สัปดาห์ โดยจะมีการแต่งตั้งพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงษ์ เป็นผบ.ตร.คนต่อไป

เอียง

ที่มา มติชน



โดย ฐากูร บุนปาน

(ที่มา คอลัมน์สถานีคิดเลขที่ 12 หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 30 สิงหาคม 2554)

นายเทิดศักดิ์ หรือโบ้ท ฟุ้งกลิ่นจันทร์ เสียชีวิตที่สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553

ผลชันสูตรพลิกศพระบุว่า ถูกกระสุนปืนความเร็วสูงยิงที่บริเวณราวนมซ้าย 5 นัด กระสุนทะลุหัวใจและปอด

โบ้ทเป็นลูกของนายบรรเจิด และนางสุวิมล ซึ่งเปิดร้านขายอาหารตามสั่งอยู่ที่คลอง 3 ปทุมธานี

จบปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ แผนกคหกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร

แม่เล่าว่า เวลาประมาณ 14.00 น. ลูกชายดูโทรทัศน์ เห็นประกาศของ ศอฉ.ขอคืนพื้นที่ราชดำเนิน

จึงขี่รถจักรยานยนต์ไปที่สี่แยกคอกวัวพร้อมเพื่อน เพื่อช่วยผลักดันทหาร

ประมาณ 20.00 น. โบ้ทโทรศัพท์มาหาบอกว่ากำลังชุลมุนอยู่กับทหารที่ถนนข้าวสาร ตนยังคิดว่าไม่น่ามีอันตรายอะไร เพราะอยู่ใกล้วัดชนะสงคราม

แต่หลังจากที่วางหูไปเพียง 10 นาที เพื่อนที่ไปด้วยกันก็โทรศัพท์มาบอกว่าโบ้ทถูกยิง อาการสาหัส

ตนกับสามีตระเวนหาลูก จนพยาบาลโรงพยาบาลราชวิถีโทรศัพท์มาแจ้งข่าว

ไปถึงก็เห็นโบ้ทนอนอยู่ที่เตียงจึงโผเข้าไปกอด ขณะนั้นชีพจรหัวใจก็เต้นแผ่วลงเรื่อยๆ

จนโบ้ทสิ้นใจในอ้อมกอดของแม่

"โบ้ทเป็นเด็กดี ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า พยายามดิ้นรนเรียนจบปริญญาตรี ทำงานช่วยพ่อแม่มาตลอด

"พอ มาวันหนึ่งที่เขาเห็นว่ามีเรื่องไม่ถูกต้องในสังคม ก็ต้องออกมาเรียกร้องความถูกต้อง เรียกร้องประชาธิปไตย แต่แล้วโดนยิง ไม่รู้จะพูดยังไง

"ไม่เคยพบเคยเห็นรัฐบาลอะไรที่เป็นแบบนี้ ปกปิดประชาชน มีแต่ความเท็จ หากวันนี้ขอได้ ก็ขอให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น ขอให้คนที่ทำผิดได้รับโทษ

"แม้เราจะเป็นคนจน ก็ไม่คิดว่าเงินทองเท่าไหร่จะมาแทนลูกเราได้

"ทุกวันนี้เอาไดอารี่ และรูปถ่ายของโบ้ทมานั่งอ่านทุกทีที่คิดถึง ดูไปก็นั่งน้ำตาไหลไปตลอด"

ส่วนพ่อพูดสั้นๆ ว่า ศพลูกชายเพิ่งเผาไปเมื่อวันที่ 3 เม.ย. ที่วัดทุ่งสีกัน ดอนเมือง

"ขอยืนยันว่าที่ออกมาเรียกร้อง ไม่เคยได้รับเงินค่าจ้างจากใคร ทั้งหมดทำด้วยใจ

"จะขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้ลูกชายต่อไป รวมทั้งผู้สูญเสียคนอื่นๆ ด้วย"

ข้างต้นนี้เป็นข่าวที่คัดมาจาก ′ข่าวสด′ ฉบับวันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม

ซึ่งกองบรรณาธิการบอกว่า ยังมีอีกหลายคนหลายชีวิต ที่ความยุติธรรมยังไปไม่ถึง

จะนำเสนอต่อไปเป็นชุด ตามหน้าที่ของหนังสือพิมพ์ที่

1.ต้องแสวงหาความจริง 2.ต้องยืนอยู่ข้างผู้ตกทุกข์ได้ยาก

ไม่มีใจในสองอย่างนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะทำหนังสือพิมพ์ไปทำไม

ถ้ายึดหลักสองข้อนี้แล้วมีคนมาชี้หน้าว่า ′เอียง′

เชื่อว่าพี่น้องทั้งหมดใน ′มติชน-ข่าวสด′ ก็จะยิ้มรับอย่างเต็มใจ

เอียงไปข้างความถูกต้อง เอียงเข้าหาความทุกข์คนส่วนใหญ่

สีที่ป้ายเปื้อนแต่ข้างนอกครับ

เข้าไปไม่ถึงในใจหรอก

'กิตติรัตน์' ไขข้อข้องใจ 'จำนำข้าว' มั่นใจว่าดีจริง (ตอนที่ 2)

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



เชื่อว่าหลายๆคนคงยังมีความสับสนอยู่ระหว่าง
โครงการประกันราคาพืชผลทางการเกษตรของรัฐบาลชุดประชาธิปัตย์
และโครงการรับจำนำข้าว ของรัฐบาลยุคไทยรักไทยเรื่อยมาจนถึงรัฐบาลเพื่อไทย
มีข้อดีหรือข้อเสียต่างกันอย่างไร
และโครงการไหนที่เกษตรกรจะได้รับประโยชน์สูงสุด
รวมถึงงบประมาณในโครงการว่าจริงๆการทุจริตคอรัปชัน
กับการละลายแม่น้ำงบประมาณแผ่นดินที่หายไปโครงการไหนเยอะกว่ากัน

ล่าสุดมีประเด็นใหม่ที่สำคัญ คือ
การที่สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้ออกรายงานว่า
ราคาข้าวโลกเตรียมจะพุ่งขึ้นอีก 22% เพื่อขานรับนโยบายรับจำนำข้าวของไทย
นักวิเคราะห์จากสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจของสำนักงานอาหารและยาของสหรัฐ (ยูเอสดีเอ) ได้เตือนว่า
การส่งออกข้าวของไทยอาจจะลดต่ำลง 20% มาอยู่ที่ 8 ล้านตันในปี 2555
เนื่องจากนโยบายจำนำข้าวจะลดศักยภาพการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทย



วันนี้ไทยรัฐออนไลน์ สัมภาษณ์พิเศษ (ตอนที่ 2 )
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
จะมาเคลียร์กันแบบหมดเปลือกและตอบทุกคำถามที่เป็นประเด็นร้อนเกี่ยวกับนโยบายนรับจำนำข้าว

จากข่าวที่นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกฯด้านเศรษฐกิจรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
ออกมาพูดเรื่องนโยบายรับจำนำข้าวที่รัฐบาลให้ราคาตันละ 15,000 บาท
ว่าเป็นการช่วยเกษตรกรทั้งโลก?



กิตติรัตน์ : ถ้าผมหาคำตอบอันสำคัญของโครงการประกันรายได้เจอ
ผมจะไม่ทำโครงการจำนำเลย
เพราะอะไรเพราะการประกันรายได้ทำง่ายมากคือ
ไม่ต้องเก็บข้าวไม่ต้องทำอะไรท้ังส้ิน การประกันรายได้คืออะไร
คือการที่รัฐบาลกำหนดราคากลางของข้าวไว้
โดยฤดูกาลแรกกำหนดที่ 10,000 บาท
ฤดูกาลที่ 2 กำหนด 11,000 บาท
ซึ่งเป็นราคาที่สูงกว่าตลาด อันนี้เราจะไม่พูดถึงความชื้น
สมมติคนที่เอาข้าวเปลือกมาขายมีความชื้นไม่เกิน 15% ก็จะต้องได้ราคาเต็มใช่หรือไม่
พอเกษตรกรเอาข้าวมาขายคุณที่เป็นโรงสี
เกษตรกรถามว่าขายได้เท่าไหร่โรงสีบอก 7,000 บาท เกษตรกรก็ตกลง
เพราะอะไรเพราะส่วนต่างที่เหลือเกษตรกรสามารถเอาจากรัฐบาลได้
โรงสีในฐานะนักธุรกิจรู้ว่าเกษตรกรไม่สนใจว่าจะได้เท่าไหร่ก็จะบอกเท่านั้น
แล้วด้วยธุรกิจซื้อมาถูกก็จะขายออกไปถูกไม่ต้องค้ากำไรเกินควร
เพราะจะได้ทำงานง่าย แล้วคนที่ได้ประโยชน์คือใคร คือ
คนที่ขายข้าว (เกษตรกร) เพราะจะขายถูกเท่าไหร่ก็ได้เงินเต็ม
โรงสีก็ได้ประโยชน์ เพราะซื้อได้ถูก ผ่านไปจนถึงมือผู้ส่งออก
ด้วยความที่ต้นทางถูกก็ถูกกันไปหมดก็ได้ประโยชน์
ผู้ส่งออกไปขายข้าวแข่งกับประเทศเพื่อนบ้านก็ได้ประโยชน์
เพราะไม่ต้องขายราคาสูงบวกนิดหน่อยก็ขายได้ ทุกคนได้ประโยชน์หมด



แล้วปัญหาของเรื่องนี้คืออะไร?

กิตติรัตน์ : งบประมาณที่นำมาใช้ เพราะราคาข้าวถูกเท่าไหร่ก็ไม่มีคนห่วง
มีคนเดียวที่ห่วงคือรัฐบาล
เพราะรัฐบาลเป็นคนจ่ายเงินชดเชยราคาส่วนต่าง
ซึ่ง 2 ฤดูกาลที่เป็นการประกันรายได้รัฐบาลตั้งงบประมาณเอาไว้ 85,000 ล้านบาท
ความที่ไม่มีใครสนใจว่าราคาจะถูกหรือแพง ใช้งบจนหมดก็ไม่พอ
ทำให้ปัจจุบันเป็นหนี้ ธ.ก.ส.
เพราะ ธ.ก.ส.จะเป็นคนจ่ายเงินออกไปให้เกษตกรก่อน
แล้วถึงมาเบิกงบประมาณกับรัฐ แต่พอจะเบิกรัฐบอกโทษทีเงินหมด
เบิกอีกเท่าไหร่รู้ไหม อีก 40,000 ล้านบาท
เพราะฉะนั้น 2 ฤดูกาลใช้เงินไป 125,000 ล้านบาท ในการช่วยให้เกษตรกรได้ประโยชน์คือ
ได้ราคาตามที่รัฐบาลประกาศ
ซึ่งโครงการนี้เป็นสิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ภูมิใจว่าทำให้เกษตรกรขายข้าวได้ราคา
ผมก็เข้าใจแต่ถ้ามองอีกทีด้วยความที่ถูกมาตั้งแต่ต้นทาง
ท่านก็ขายถูกต่อไปส่งออกต่อไป มีใครบ้างที่ได้กินข้าวถูกกัน คนไทยกินข้าวถูกก็ดี
แต่ข้าวอีก 11 ล้านตันที่ส่งออกก็ถูกด้วยเท่ากับคุณสนับสนุนคนทั้งโลกให้กินข้าวถูกใช่หรือไม่



ถ้าผมจะเถียงคุณไตรรงค์ แต่ผมก็ยอมรับนะ
ที่คุณไตรรงค์บอกการจำนำเหมือนการที่รัฐต้องเอาทรัพยากรเข้าไปทำงานกับโครงการดังกล่าว
เพื่อดันให้ราคาข้าวสูงขึ้น การดันราคาให้ข้าวสูงขึ้น
ถ้าข้าวไทยจะสูงขึ้นได้ ข้าวเวียดนามก็ต้องสูงด้วย
เพราะถ้าเวียดนามข้าวราคาต่ำอยู่ไทยก็สูงไม่ได้
อินเดียปลูกข้าวส่งออกล้านตันราคาข้าวก็สูงขึ้นด้วย
ผมก็ยอมรับว่าการทำอย่างนั้นเป็นการช่วยเกษตรกร
เวียดนามและอินเดียให้ได้ขายข้าวในราคาที่สูงขึ้นด้วย
แต่สิ่งที่ผมบอกคือถ้าทำสำเร็จก็อย่าไปอิจฉาเวียดนามกับอินเดีย
เพราะส่วนที่จะมาดูแลให้เกษตรกรได้รายได้ที่ดี คือ
ผู้บริโภคที่เป็นคนจ่าย ผมย้ำอีกทีนะถ้าทำสำเร็จ คือผู้บริโภคเป็นคนจ่ายไม่ใช่รัฐบาล

หมายความว่าโครงการรับจำนำจะเป็นโครงการที่ยั่งยืนกว่าการประกันรายได้
ที่รัฐบาลจะต้องมาอุ้มตลอดเวลา?

กิตติรัตน์ : ถ้าพูดเรื่องคงทน เราอย่าหวังว่าเราจะต้องประกันรายได้หรือจำนำราคาทุกปี
ยังมีเรื่องโครงการที่ต้องทำ
ผมเรียนว่าโครงการที่ต้องทำบางโครงการแทนที่จะทำกันอย่างจริงๆ จังๆ ก็ไปทำกันอย่างหน่อมแน้ม
เคยได้ยินเรื่อง 1 ไร่ 1 แสนของสภาหอการค้าหรือไม่
ที่มีหลักการว่า ชาวนาจะมีที่ดินเฉลี่ยประมาณ 25 ไร่
ก็คิดว่าการที่จะทำให้ชาวนาได้รายได้ที่ดีที่สุดคือใช้ที่ดิน 25 ไร่ ทั้งหมด
แต่ข้อเท็จจริงคือ การใช้ที่ดิน 25 ไร่ โดยเกษตรกรมีคนอยู่จำกัด
ก็เท่ากับที่ดิน 25 ไร่ทำงานอย่างถูกปล่อยปละละเลย
จำนวนต้นข้าวที่ควรจะอยู่ในพื้นที่ก็ไม่เป็นไปตามหลักวิชาการ
และการมีที่ดินมากเกินกำลังความสามารถตนเอง
ก็ต้องไปจ้างรถแทรกเตอร์มาไถ กลัวผลผลิตไม่ดีก็เอาปุ๋ยเคมีมาใส่ ทุกอย่างเป็นต้นทุน
ดังนั้นกำไรที่คุณจะได้ก็เหลือนิดเดียวต่อให้คุณคูณ 25 ไร่ก็เหลือนิดเดียว
ที่หอการค้าทำก็ได้เห็นผลแล้ว
และหอการค้าก็ได้ชวนเกษตรกรที่ดิน 25 ไร่ บอกว่าคุณอย่าไปปลูกเลย 25 ไร่
คุณปลูก 2 ไร่ก็พอที่เหลือขุดบ่อเลี้ยงปลาทำอะไรไปที่ไม่ต้องจ้างคน
แต่ที่นา 2 ไร่ที่ทำเอาใจใส่ให้ดีทำไร่นาสวนผสม ปุ๋ย
แทนที่จะเป็นปุ๋ยเคมีที่ราคาสูงคุณก็เลี้ยงปลาแล้วก็ใช้มูลปลาแทน



แต่การที่รัฐบาลบอกว่ารับจำนำข้าวขั้นต่ำที่ 15,000 บาท
กลัวจะเป็นแรงจูงใจให้คนหันไปปลูกข้าวเยอะจนเกินความต้องการหรือไม่?

กิตติรัตน์ : เป็นไปได้ แต่คนละทิศ วันนี้ถ้าคุณกังวลว่าจะเป็นอย่างนั้น
คุณกังวลดีกว่าว่าคนจะเลิกปลูกข้าว
ถ้าไปดูราคามันสำปะหลังตอนนี้ราคาสินค้าเกษตรชนิดอื่นๆ ราคาขึ้นทั้งนั้น ยกเว้นข้าว
ผมไม่ได้ปรักปรำโครงการประกันรายได้ว่าทำให้ข้าวไม่ขึ้น
แต่ผมถามแล้วว่าชาวนาขายถูกก็ไม่เดือดร้อน เพราะรัฐบาลจ่ายให้
ทุกคนก็ทำงานง่ายจะมีใครใส่ใจหรือไม่ว่าข้าวจะแพง
ราคาข้าวสาลีในรอบ 5 ปีขึ้นไปเกือบเท่าตัวทำให้คนที่กินขนมปัง กินบะหมี่แพง
แต่ว่าสิ่งที่มาจากข้าวเจ้าทำไมมันต้องถูกขนาดนั้น

ที่ผ่านมาโครงการรับจำนำข้าวมักจะเจอทุจริตเสมอ แล้วจะมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร?



กิตติรัตน์ : ขนาดที่ทุจริตกัน (รับจำนำข้าว) งบประมาณที่ใช้ยังน้อยกว่าไม่ทุจริต (ประกันราคาฯ) เลย
ค่าที่หายไปจากโครงการประกันรายได้เกษตรกร
เพราะไม่มีคนสนใจว่าราคาข้าวควรได้ราคามากกว่านี้หายไปเยอะ
แต่พูดครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าจะปล่อยปละละเลยนะ
ก็ต้องดูว่าที่ผ่านมาทุจริตเพราะอะไรก็ไปอุดตรงนั้น

แล้วไม่ห่วงเรื่องราคาที่สูงแล้วขายไม่ได้หรือ?

กิตติรัตน์ : ก็ห่วงเหมือนกันถึงได้บอกไง
ถ้า 5 เสือส่งออกข้าวบอกว่าไม่เอา
ผมจะซื้อถูกขายถูกก็เท่ากับคุณปลดรองนายกฯเศรษฐกิจกับ รมว.พาณิชย์เรียบร้อย

ระยะเวลาการจ่ายเงิน เพราะก่อนหน้านี้การขายข้าวให้รัฐจะได้เงินช้ามาก?

กิตติรัตน์ : เข้าใจว่าในอดีตเงินออกช้า ก็ทำให้มันได้เร็วขึ้น



ตัวเลขกลมๆที่รัฐบาลตั้งไว้ใช้ในโครงการนี้?

กิตติรัตน์ : ผมเชื่อทฤษฎีนี้นะ ถ้าทำเหมือนเดิมผลลัพธ์ไม่ดีกว่าเดิม
เพราะฉะนั้นถ้ารับจำนำข้าวแล้วทำอย่างเดิมมันก็ต้องเป็นอย่างเดิม
ข้อสังเกตคือการทำอย่างเดิมมีคอรัปชันก็ต้องมีอย่างเดิม
ดังนั้นครั้งนี้ ก็ต้องรับจำนำอย่างใหม่ คือ
เริ่มต้นจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ธ.ก.ส. เจ้าหน้าที่สำรวจ ที่ทำงานร่วมกันมาหลายปี
ทำไปทำมาแทนที่จะถ่วงดุลกันกลายเป็นพวกเดียวกัน
ข้าวเข้ามาไม่ถึงก็ตีว่าถึงถ้าปล่อยให้ 3 คนทำอยู่อย่างเดิมก็เสร็จสิ
แล้วจะทำอย่างไร ก็เอากระทรวงมหาดไทยมาเกี่ยวข้อง
เอานายอำเภอมาเกี่ยวข้อง เอาผู้ว่าฯมาเกี่ยวข้อง อยู่ในเคพีไอท่าน
แล้วยังไงถ้าเกิดเอามาร่วมกันเดี๋ยวกลายเป็นว่า
มีคนที่ 4 มาแทนที่จะหาร 3 กลายเป็นหาร 4 คอรัปชันอะไรหนักเข้าไปอีก
ก็ไปชวนดีเอสไอมา บอกดีเอสไอไม่ต้องไปกระชับพื้นที่
โรงสีมี 800 โรงที่ร่วมโครงการนี้ ไปสุ่มตรวจเลย
รัฐมนตรีพาณิชย์มี 1 คน รัฐมนตรีช่วย อีก 2 คน
อธิบดีที่เกี่ยวข้องแบ่งเขตแบ่งโซนไปเซอร์ไพรส์ ดูสิจะกล้าโกงหรือไม่
แล้วเทคโนโลยีสมัยนี้ติดกล้องไปเลยของเข้ามาเป็นอย่างไร มันต้องพยายามทำ
แต่ถ้าถามว่าแน่นอนหรือเปล่าไม่แน่หรอก
แต่กล้าพูดนะว่าถ้ามันจะเกิดการคอรัปชันอย่างน้อยยังมีหลักฐาน เช่น
ข้าวหายไปจากที่รับมาแต่การประกันรายได้
ซึ่งดูเหมือนไม่คอรัปชันแต่มูลค่าที่รัฐบาลเกื้อหนุนให้มันหายไปในอากาศเลยนะ

ประกันรายได้ใช้เงินประมาณ 125,000 ล้านบาท แล้วรับจำนำจะใช้งบประมาณเท่าใด?

กิตติรัตน์ : รัฐบาลเดิมมีแนวทางไว้ว่า
ถ้าจะประกันรายได้ต่อไปจะใช้งบตั้งงบไว้ 5.5 หมื่นล้านบาท ใน 1 ฤดูกาล
ส่วนผมไม่บอก ขืนบอกก็ไม่สนุกสิ (หัวเราะ)

รับประกันได้หรือไม่ว่าตัวเลขงบประมาณจะน้อยกว่านโยบายประกันราคาฯ?

กิตติรัตน์ : มันก็ชัดเจน คำว่ารับประกัน มันก็เหมือนกับ 300 บาท
ถ้าคุณทำอันนี้ทุจริตกันสะบั้นหั่นแหลก พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่ไว้หรอก
เขาก็มาแถลง หนหน้าก็ไม่มีใครกล้าเลือกรัฐบาลนี้อยู่แล้ว

รับจำนำข้าวถ้ารัฐบาลรับซื้อ 1.5 หมื่นบาท ถ้าขายรัฐบาลจะต้องขายมากกว่า
หรือ เท่ากับ 1.5 หมื่นบาทมองตลาดที่จะขายอย่างไร?



กิตติรัตน์ : ไม่จำเป็น ถ้าผมซื้อ 1.5 หมื่น ขาย 1.4 หมื่น
ใครจะว่าผม ขายขาดทุนอันนี้ก็ยังดีกว่าขาดทุน 3-4 พัน อันนี้ผมขาดทุน 1 พันบาท

แล้วยุทธวิธีที่จะนำข้าวที่รับจำนำไปขายคิดว่าจะต้องมียุทธวิธียังไง เพราะราคาสูง?

กิตติรัตน์ : ขายก่อน

คู่แข่งที่ขายข้าวมีเยอะ?

กิตติรัตน์ : ถ้าเกิดราคาข้าวเป็นแบบนี้ก็ไม่มีใครปลูกกันนักหนาหรอก
ดูราคาข้าวก่อนว่าน่าปลูกหรือไม่
ราคา 500 กว่าดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่มีใครจะไปปลูก ไปทำมันสำปะหลังดีกว่า
เมืองจีนก็ปลูกมันสำปะหลังกันสะบั้นหั่นแหลกเลย
อีสานใครไปตอนนี้ใครปลูกมันสำปะหลังก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
ใครปลูกข้าวก็หน้าเหี่ยว เพราะฉะนั้นต้องดูรอบตัวด้วยนะ
ผมเข้าใจคำถามนะว่ามันมีปัญหาเยอะ และบนภาพใหญ่ทั้งหมดมันมีความประทับใจ
แต่ถ้ามันไม่มีความประทับใจ
คนที่เป็นชาวนาต้องขายข้าวราคากระจอกเท่าเดิมไม่มีวันเคลื่อนไหว
ไม่สงสารบ้างเหรอ 4-5 ล้านครัวเรือน ดังนั้นเป็นหน้าที่ต้องทำ



ผมก็เห็นใจรัฐบาลที่แล้ว ที่เลือกที่จะทำประกันรายได้
เพราะคิดไม่ถึงว่าจะต้องใช้เงินขนาดนั้น จริงๆตั้งงบไว้เพียง 85,000 ล้านบาท
แต่ที่ต้องใช้อีก 40,000 ล้านบาท
เพราะเกินเป้าแสดงว่า 40,000 ล้านบาทที่หายไป
จากการที่ไม่มีใครมีกำลังใจในการช่วยดันราคาข้าว
ถือว่ารัฐบาลท่ีแล้วอ่านพลาดไป คือ
ผมไม่ได้ตำหนินะในทางทฤษฎีเรียกว่าถึงมือคนทุกคนจริงๆ
สมมติคุณขึ้นทะเบียน 20 กว่าไร่
แต่ปรากฏว่าปลูกไปกลางทางผลผลิตเสียหายชาวนาก็มาบอกว่าขอเอาส่วนต่าง
ซึ่งถ้าจะบอกว่าโกง ไม่ได้โกงคือชาวนาก็ยังได้ส่วนตรงนั้นไปชดเชยความเสียหาย
หรือแม้แต่ปลูกมากินเองก็ยังได้รับส่วนต่างก็ดี
เพราะผมเชื่อว่าในข้อดีเหล่านี้จะช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น
เท่ากับเป็นการประกันความเสียหายจากภัยธรรมชาติโดยอัตโนมัติ
และผมก็ยอมรับว่ามีข้อดี แต่ที่ผมบอกว่ามันเป็นข้อเสีย
ที่ผมหาคำตอบไม่ได้ถ้าเกิดทำแบบเดิมแล้วมีคนมาช่วยกันทำให้ราคาไม่ต่ำกว่าขนาดนั้นได้
เราก็อยากทำนะประกันรายได้ เพราะค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการแทบไม่มี
การจำนำต้องมีค่าเช่าโกดังต้องมีกระบวนการในการทำงาน
เบ็ดเสร็จก็เกือบ 10,000 ล้านบาท เฉพาะค่าบริหารจัดการ
แต่ถ้าโครงการนี้ทำได้หมดจดจริงๆ 15, 000 บาทก็ขายได้ 15,000 บาท
ไม่ต้องถึงขนาดได้กำไรก็จะเสียหายเพียง 10,000 ล้านบาท

ดังนั้นในมุมของรัฐบาลก็มีสิทธิ์คิดใช่หรือไม่
ว่าถ้าเราทำงานเต็มที่ทั้งมีฝีมือ ทั้งไม่คอรัปชัน ทั้งโชคช่วยเราจะเสียแค่ 10,000 ล้านบาท
แต่ถ้าบอกว่าโชคก็ไม่ช่วยป่วยด้วยทุจริตอีก เสียหายมากกว่า 55,000 ล้านบาท
แต่หน้าที่ของคนทำงานก็มีสิทธิ์คิดใช่หรือไม่ ว่า
ถ้าเราทำงานอย่างดีน่าจะเป็นอย่างนั้นได้ คราวนี้
ถ้าบอกว่าเราจะทำให้มันดีกว่านั้นอีกได้หรือไม่ ผมว่าได้นะ เช่น
ข้าวหอมมะลิ ทั้งหมดมีแค่ 5 ล้านตัน ของบริษัท ไทยจัสมินไรซ์
แต่การที่เราตั้งราคาข้าวหอมมะลิแค่ 20,000 บาท เพราะว่าคุณภาพข้าวดีมาก
กับอีกข้อคือ คนที่ปลูกข้าวหอมมะลิ ซีซั่นนึงปลูกได้เพียงคร้ังเดียว
และถ้าเกิดคนไม่อยากปลูกเพราะที่ปลูกข้าวหอมมะลิ
ก็ปลูกมันสำปะหลังได้เหมือนกันเกิด บริษัท ไทยจัสมินไรซ์ เกิดไปไหนหมดทำไง

ข้าวหอมมะลิผมก็แบ่งสนามเป็น 2 สนามเหมือนการทำเรื่องฟุตบอล
ถ้าอยากชนะสักสนาม อยากเสมอสักสนาม อยากชนะแล้วกลายเป็นเสมอได้หรือไม่
ถามว่าอยากชนะคืออะไร
ถ้าเกิดข้าวเปลือกหอมมะลิที่ตั้งราคาจำนำไว้ 20,000 บาท
ถ้าราคาตลาดเลยไปเป็น 21,000-22,000 บาทล่ะ
แล้วถ้าถามว่าจะเป็นไปได้ยังไงก็ของมีน้อย และของมีคุณภาพดีด้วย
และทุกคนก็รู้ว่าไทยจัสมินไรซ์ ไม่มีอะไรมาเทียบเคียง
และถ้าเราทำกระบวนการตรงนี้ให้มันดีมันมีโอกาสหรือไม่
เพราะประเทศที่เป็นผู้บริโภคข้าวหอมมะลิมักจะเป็นประเทศที่กำลังซื้อดี กำลังซื้อดีราคาไม่อั้น
แล้วถ้าสูงไปตรงนั้นเราไม่ต้องจำนำได้หรือไม่ เราไม่ต้องขาดทุนได้หรือไม่
เพราะถ้าเป็นสนามนี้ถ้าเป็นฟุตบอลก็อยากชนะสนามนี้ ถ้าตรงนี้ทำสำเร็จ
ระหว่างของมีคุณภาพกับของมีคุณภาพรอง โอกาสตรงนี้ที่มันจะเป็น 15,000 บาท ก็มีนะ
ผมก็ไม่ได้เล็งผลเยอะขนาดว่าตรงนี้จาก 15,000 บาทจะเป็น 16,000 บาท
เพราะเรารู้ว่าตลาดมันใหญ่กว่าจำนวนมันหลาย 10 ล้านตัน
และกลุ่มคนที่เป็นประเทศผู้บริโภคก็อาจจะไม่ได้เป็นประเทศ
ที่มีกำลังซื้อชนิดที่จ่ายสบายๆ แบบเหมือนกลุ่มนึงใช่มั้ย.



ติดตามบทสัมภาษณ์พิเศษ
"กิตติรัตน์ ณ ระนอง" ตอนที่ 3 เรื่องงบประมาณและราคาสินค้า ได้ที่นี่เร็วๆนี้


http://www.thairath.co.th/content/eco/197970

สื่ออังกฤษตีแผ่ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ใช้องค์กรการกุศลบังหน้า หวังแทรกแซงทางการเมือง

ที่มา thaifreenews

โดย ice angel




เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดียนของอังกฤษเปิดเผยว่า
องค์กรการกุศลในราชูปถัมป์ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ มีส่วนเกี่ยวข้องในการล็อบบี้รัฐมนตรี
และเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง ให้เปลี่ยนแปลงนโยบายทางการเมืองที่อ่อนไหวในหลายด้าน
เช่น การเปลี่ยนอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการ์เดียนชี้ว่า
การกระทำดังกล่าว จะทำให้ข้อถกเถียงเรื่องบทบาททางการเมืองของราชวงศ์ กลายประเด็นอีกครั้งหนึ่ง

หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน ได้เปิดเผยจดหมายโต้ตอบระหว่างมูลนิธิในเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์
เช่น มูลนิธิธุรกิจในชุมชน (Business in the Community),
มูลนิธิในราชูปถัมป์เพื่อสิ่งปลูกสร้าง (the Prince’s Foundation for the Built Environment)
กับรัฐมนตรีและเจ้าหน้าที่รัฐในกระทรวงต่างๆ ซึ่งแสดงถึงความพยายามขององค์กรในราชูปถัมป์
ต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายรัฐ เช่น เรื่องการออกแบบผังเมือง
การลดภาษีมูลค่าเพิ่มในการบูรณะสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ เป็นต้น





จดหมายดังกล่าว ซึ่งนสพ. เดอะ การ์เดียน ได้มาจากการร้องขอผ่านพ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร
เปิดเผยว่า Ros Kerslake ประธานกรรมการบริหารกองทุนบูรณะในราชูปถัมป์
(Prince’s Regeneration Trust) ได้เข้าพบ Grant Shapps รัฐมนตรีกระทรวงการเคหะ
เพื่อกดดันกรมคลังให้ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม
ในการฟื้นฟูบูรณะสิ่งก่อสร้าง นสพ.การ์เดียน ยังเปิดเผยว่า
เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์จะได้ประโยชน์จากการลดอัตราภาษีดังกล่าว
ในการดำเนินโครงการอสังหาริมทรัพย์ของพระองค์ด้วย




การกระทำดังกล่าว ทำให้เกิดข้อกังวลว่า
การใช้อำนาจทางการเมืองของฟ้าชายชาร์ลส์อาจก่อให้เกิดปัญหาทางรัฐธรรมนูญ

ศาสตราจารย์อดัม ทอมกินส์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญ มหาวิทยาลัยกลาสโกว์ กล่าวว่า
เนื่องจากมูลนิธิดังกล่าวก่อตั้งโดยเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ซึ่งอาจแฝงวาระทางการเมืองไว้
ทำให้อาจมองได้ว่า การใช้อำนาจดังกล่าวเป็นการแทรกแซงทางการเมือง
และบั่นทอนความน่าเชื่อถือของสถาบันซึ่งควรอยู่เหนือการเมือง


นอกจากนี้ มูลนิธิของเจ้าชายชาร์ลส์ ยังถูกมองว่า
ใช้อภิสิทธิ์ในการเข้าถึงการพิจารณางบประมาณได้ง่าย
และรวดเร็วมากกว่าองค์กรการกุศลอื่นๆ ทั่วไป

พอล ริชาร์ด รัฐมนตรีกระทรวงชุมชนและสุขภาพมองว่า
ในความรู้สึกของตน มูลนิธิดังกล่าวได้รับสถานะพิเศษ
และได้รับอภิสิทธิ์มากกว่าที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะภายใต้รัฐบาลใดๆ

“เมื่อมีจดหมายจากฟ้าชายชาร์ลส์เข้ามา [ในรัฐสภา]
จะมีความรู้สึกของการวิ่งเต้นเป็นพิเศษ และช่องทางในการเข้าถึง
สำหรับตำแหน่งและมูลนิธิของพระองค์
ก็ดูเหมือนจะง่ายมาก อย่างที่องค์กรอื่นๆ เทียบไม่ได้” ริชาร์ดกล่าว

ทั้งนี้ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เป็นประธานมูลนิธิการกุศลทั้งหมด 20 แห่ง
ในจำนวนทั้งหมด พระองค์เป็นผู้ก่อตั้ง 18 แห่ง และถูกมองอย่างกว้างขวางว่า
เป็นความพยายามของพระองค์ ในการขยายอิทธิพล
ทางด้านนโยบายสังคมและสิ่งแวดล้อมในสหราชอาณาจักร



อย่างไรก็ตาม โฆษกของสำนักพระราชวังของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ กล่าวว่า
มูลนิธิดังกล่าวเป็นองค์กรอิสระที่มีคณะกรรมการเป็นผู้ดูแลกำกับ
และมีการสื่อสารกับรัฐบาลอยู่แล้วเป็นเรื่องปรกติ

ก่อนหน้านี้ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ ตกเป็นเป้าหมายของการวิพากษ์วิจารณ์
ในเรื่องความพยายามใช้อิทธิพลส่วนตนต่อนโยบายสาธารณะ
โดยในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาพบว่า พระองค์โปรดให้รัฐมนตรีจากหลายกระทรวงเข้าพบเป็นการส่วนตัว
ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพัฒนานานาชาติ
แต่การพูดคุยดังกล่าว ถือว่าเป็นความลับ เนื่องจากเป็นข้อยกเว้นในพ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสาร
จึงไม่อาจเปิดเผยได้ อย่างไรก็ตาม ข้อยกเว้นของพ.ร.บ. ดังกล่าวไม่สามารถใช้กับองค์กรการกุศล

ศาสตราจารย์อดัม ทอมกินส์ ตั้งคำถามว่า การตั้งองค์กรเครือข่ายเพื่อจุดประสงค์ทางการเมือง
เช่น มูลนิธิในราชูปถัมป์ดังกล่าว สอดคล้องกับสิ่งที่รัฐธรรมนูญระบุไว้หรือไม่


“แผนการดำเนินการดังกล่าวนี้ ทำให้เราตั้งคำถามว่า การทำงานรณรงค์เพื่อสาเหตุที่ดี
[ขององค์กรการกุศล] แต่มีจุดมุ่งหมายทางการเมืองแฝงอยู่ด้วยเช่นนี้
จะทำลายการดำรงตนที่เหมาะสมของสถาบันกษัตริย์
โดยเฉพาะการอยู่เหนือการเมือง และความเป็นกลางหรือไม่”
ศาสตราจารย์ม.กลาสโกว์ กล่าว




อนึ่ง ในปี 2552 มูลนิธิในราชูปถัมป์เพื่อสิ่งปลูกสร้าง (the Prince’s Foundation for the Built Environment)
ได้รับการตรวจสอบจากคณะกรรมการการกุศล (Charity Commission) หลังจากได้รับการร้องเรียนว่า
มูลนิธิดังกล่าว ใช้อิทธิพลส่วนพระองค์แทรกแซงการออกแบบสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งในลอนดอน
อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบ คณะกรรมการฯ ได้ชี้แจงว่า ไม่มีการกระทำใดๆ
ของมูลนิธิที่อยู่นอกเหนือจุดมุ่งหมายทางการกุศล

ข่าวจากประชาไท

http://www.prachatai3.info/journal/2011/08/36692

ไทยคม-เอไอเอส” ดอดพบ "อนุดิษฐ์" ยันลุยรักษาวงโคจร "ดาวเทียมไทยคม"

ที่มา thaifreenews

โดย bozo



"ไทยคม-เอไอเอส" ดอดพบ” อนุดิษฐ์” ยันเดินหน้ารักษาตำแหน่งวงโคจรไทยคม
แต่มีเวลาจำกัด บีบกระทรวงไอซีทีตัดสินใจภายในเดือน ก.ย.นี้
พร้อมหนุนให้ทุกพื้นที่ของประเทศมีบริการอินเทอร์เน็ต...

เมื่อวันที่ 30 ส.ค. น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที )
เปิดเผยภายหลัง นายสมประสงค์ บุญยะชัย
ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และคณะ
เข้าพบเพื่อหารือเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลด้านการพัฒนาโครงข่ายโทรคมนาคม
เพื่อ ให้บริการอินเตอร์เน็ตเทอร์เน็ตความเร็วสูง(บรอดแบนด์) โดยเฉพาะบริการไวไฟ
ซึ่งกลุ่มชินคอร์ป พร้อมให้การสนับสนุน รวมถึงการนำดาวเทียมไอพีสตาร์
มาให้บริการอินเตอร์เน็ตในพื้นที่ทุรกันดารของ ประเทศด้วย
นอกจากนี้ยังหารือถึงการรักษาสิทธิ์ตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม 50.5 องศาตะวันออก
และ 120 .5 องศาตะวันออก ที่ต้องดำเนินการก่อนที่ไทยจะเสียสิทธิ์ในเดือน ม.ค.2555 นั้น
ทางไทยคมยืนยันที่จะดำเนินการรักษาสิทธิ์ดังกล่าวให้
แต่ต้องมีคำตอบที่ชัดเจนภายในเดือนก.ย.2554 ว่าจะให้ดำเนินการในรูปแบบและเงื่อนใด
เพราะมิฉะนั้นจะไม่มีเวลาในการดำเนินการ
เนื่องจากการเจรจาดาวเทียมของประเทศอื่นๆ มารักษาตำแหน่งดังกล่าวไว้ก่อน
และการเจรจากับประเทศที่กำลังจะยิงดาวเทียมดวงใหม่
เพื่อให้ยิงดาวเทียมไว้ในตำแหน่ง 120 .5 องศานั้น
ต้องใช้เวลาในการดำเนินให้แล้เสร็จภายในปี 2554 ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว
ไทยอาจจะเสียสิทธิ์การรักษาตำแหน่งวงโคจรดังกล่าว
เพรามีระยะเวลาในการดำเนินการอย่างจำกัด

“ไทยคมได้ยื่นเรื่องขอรักษาตำแหน่งวงโคจรมาตั้งแต่เดือนพ.ย.2553
แต่กระทรวงไอซีที ไม่ได้ให้คำตอบ
เพราะให้บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ไปศึกษาดำเนินการ
แต่เมื่อสุดท้ายกสท ไม่สามารถดำเนินการได้ ก็ต้องให้ไทยคมดำเนินการต่อ
ทำให้มีเวลาดำเนินการกระชั้นชิดมาก
เพราะต้องมีดาวเทียมรักษาตำแหน่งวงโคจร 120.5องศาตะวันออกภายในปีนี้
เพราะหากไม่มีก็ต้องยึดคืนแน่”

ด้านนายสมประสงค์ กล่าวว่า การเข้าพบครั้งนี้ เพื่อแนะนำผู้บริหาร
ในเครือกลุ่มชินคอร์ป อาทิ
นางศุภจี สุธรรมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน)
นายวิเชียร เมฆตระการ หน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)
หรือ เอไอเอส ให้รมว.ไอซีที และทีมงานได้รู้จัก เพื่อทำงานร่วมกันต่อไป
ส่วนประเด็นการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศนั้น
ไทยคมได้ทำหนังสือแจ้งมายังกระทรวงไอซีทีแล้วว่า
ไทยคมพร้อมดำเนินการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมของประเทศไว้
เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ
โดยตำแหน่งวงโคจรที่จะต้องรักษาไว้มี 2 ตำแหน่ง คือ
120.5 องศาตะวันออก และ50.5 องศาตะวันออก

ส่วน นางศุภจี กล่าวว่า สำหรับการสร้างดาวเทียมไทยคม 6 นั้น
ทางไทยคมได้กู้เงินจากธนาคารกสิกรไทยวงเงิน 147 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
เพื่อดำเนินการสร้างและยิงดาวเทียมในปี 2556 ส่วนการรักษาตำแหน่งวงโคจรดาวเทียมนั้น
อยู่ระหว่างรอคำตอบจากรัฐบาลว่าจะให้ดำเนินการได้หรือไม่ใด

ขณะที่ นายวิเชียร กล่าวว่า สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลผลัดกัน คือ
การเร่งรัดให้ทุกพื้นที่ของประเทศมี บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์)
เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ


http://www.thairath.co.th/content/eco/198096

ยังไม่สำนึก!!!...สมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์แถลงปกป้องนักข่าวช่อง7

ที่มา thaifreenews

โดย ขวดเปล่า


จาก กรณีกลุ่มคนเสื้อแดงได้ไปชุมนุมที่สถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 โดยได้ยื่นหนังสือเรียกร้องให้ปลดนางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ออกจากการเป็นผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 นั้น

สมาคม นักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เห็นว่าเป็นการแทรกแซงและคุกคามสื่อ จึงขอเรียกร้องให้กลุ่มบุคคลดังกล่าวยุติการคุกคามสื่อมวลชนไม่ว่าด้วยวิธี การใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งนี้หากเห็นว่าสื่อมวลชนรายใด ทำหน้าที่ไม่เหมาะสม หรือรายงานข่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ก็สามารถท้วงติงหรือใช้ช่องทางของกฎหมายให้ดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม และขอเรียกร้องให้รัฐบาลดูแลกลุ่มมวลชนที่ให้การสนับสนุนมิให้กระทำการใดที่ เป็นการคุกคามหรือละเมิดสิทธิ์ของผู้ทำหน้าที่รายงานและตรวจสอบการทำงานของ รัฐบาล ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามนโยบายปรองดองและสมานฉันท์ของคนในชาติดังที่รัฐบาลได้ แถลงไว้ก่อนหน้านี้

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ขอเป็นกำลังใจให้กับนางสาวสมจิตต์ นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ที่ได้พยายามทำหน้าที่สื่อมวลชนโดยยึดประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติเป็น หลัก

ทั้งนี้สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ขอให้ผู้สื่อข่าวทุกท่านยึดมั่นในการทำหน้าที่อย่างเที่ยงธรรม กล้าหาญ ปราศจากอคติ ตามหลักจริยธรรมวิชาชีพ

สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
30 สิงหาคม 2554

http://www.thaibja.org/thaibja/index.php?option=com_content&view=article&id=1526%3A2011-08-30-13-24-26&catid=36%3Aiiajrc&Itemid=44&lang=th

Re:

โดย Comet

เขาไปยื่นจดหมายให้ทบทวนบทบาทการนำเสนอข่าวของ นส. สมจิตต์ นะค่ะ
ลองถาม หัวหน้าข่าว ช่อง 7 ที่ออกมารับจม. นั้นดูก่อนซิค่ะ
ไม่ใช่รีบออกแถลงการณ์มาประนามคนเสื้อแดงที่ไปยื่นหนังสือร้องเรียน
หากเห็นว่าคุกคามสื่อก็ไปแจ้งความจับเสื้อแดงกลุ่มนั้นเลยค่ะ
อย่ามาหาเรื่องตีกันเลยค่ะ พวกของคุณมีเยอะ แค่คนเดียวยังไม่ทักท้วงกัน ตักเตือนกัน
แล้วอย่างนี้จะมีสมาคมหรือสภาอะไรของพวกคุณเอาไว้ทำไรค่ะ

จะเอาไว้ข่มขู่ประชาชนให้อยู่ในความสงบหรืออย่างไรค่ะ

Re:

โดย ขวดเปล่า



ในตัวแถลงการณ์เองก็มีความบิดเบือน และใส่ร้ายอย่างตั้งใจมากๆ
ทั้งที่การแสดงความเห็นของมวลชน เป็นไปอย่างสงบ มีมารยาทกว่านักข่าวคนนั้นมากนัก

นอกจากสมาคมจะไม่สำนึกแล้ว ยังโยนความผิดให้รัฐบาลอีก
แถมเอาดีใส่ตัว บอกว่าทำเพื่อตรวจสอบรัฐบาล ทำเพื่อประเทศชาติ

ถ้าออกมาตำหนิพวกเดียวกันบ้างก็ยังดี ยังโกหกอีกว่าไม่มีอคติ

จะเอนเอียงต่อไป

ที่มา ข่่าวสด

คอลัมน์ ชกไม่มีมุม
วงค์ ตาวัน


เมื่อ เครือข่าวสด-มติชนประกาศไม่ยอมรับการสอบสวนสื่อของอนุกรรมการฯชุดหมอวิชัย โชควิวัฒน อย่างหนักแน่น นั่นก็หมายความจะไม่ยอมให้มีการใช้วิธีการใดๆ มากดดันการเสนอรูปภาพและการพาดหัวข่าว ซึ่งเป็นเสรีภาพของสื่อมวลชนในระบอบประชาธิปไตยได้เป็นอันขาด

ข่าวสดและมติชน จะไม่ยอมให้การสอบ สวนประหลาดๆ มาขวางกั้นการตรวจสอบผู้นำประชาธิปัตย์ จากปัญหาในช่วงปี 2553

นั่นคือเหตุการณ์ 91 ศพ

เพราะข้อกล่าวหาว่าเอนเอียงเพื่อไทยนั้น ก็เสมือนว่าไม่ยอมเอนเอียงประชาธิปัตย์

ขณะเดียวกัน ข่าวสด-มติชน ไม่สามารถเอนเอียงผู้นำประชาธิปัตย์ได้เลย จากเหตุการณ์นองเลือด

เครือนี้ตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในเรื่อง 91 ศพอย่างเข้มข้นตั้งแต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ในปี 2553 แล้ว

วิธีการนั่งนับพาดหัวข่าวและรูปภาพเฉพาะในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จึงไร้สาระ!

เป็นการตัดตอนและไม่ยอมรับรากเหง้าปัญหา

แต่ พูดแล้วอดขำไม่ได้ เมื่อนายอภิสิทธิ์ เคยให้สัมภาษณ์ในต้นเดือนมิถุนายนเอาไว้ว่า ข่าวสดและมติชนบิดเบือน การ"พาดหัวข่าว"และ"รูปภาพ"

ไฉนจึงกลายเป็นหัวข้อมีเดียมอนิเตอร์ โดย ฝีมือของดร.สมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ไปได้!

ดร.สมเกียรติอาจจะเก่งกาจในบางเรื่อง แต่กรณีเอาวิธีนี้มาตรวจสอบหนังสือพิมพ์ ต้องถือว่าไร้เดียงสา

ไม่ได้รู้เรื่องเลยว่าเขานำเสนออะไรมาต่อเนื่องขนาดไหน

มิหนำซ้ำ การตรวจสอบ"พาดหัวข่าว"และ"รูปภาพ" ที่อภิสิทธิ์พูด อนุกรรมการสอบจึงทำ อย่างตรงกันพอดีเสียอีก

เอาเถิดวันนี้ข่าวสดและมติชน ประกาศเดินหน้า ทำงานในเรื่องที่เรามุ่งมั่นต่อไป

ไม่หวั่นไหวกับกระบวนการขัดขวางเสรีภาพรูปแบบใหม่ จะใช้ข้อหาเอนเอียงเอนอะไรก็ไม่อาจหยุดได้ สำหรับการตรวจสอบ 91 ศพ

แล้วนี่ผ่านไปปีเศษแล้ว คดียังไปไม่ถึงไหน!?

คนกว่า 15 ล้านอุตส่าห์เลือกพรรคเพื่อไทย ส่วนหนึ่งเพื่อให้สะสางคดีนี้

ดังนั้นการเดินทางของนักข่าว เพื่อพบปะครอบ ครัวผู้สูญเสีย นำเรื่องราวความโศกเศร้าและรอคอยความยุติธรรมจึงดำเนินต่อไป

1 ปีกว่าที่ผ่านมาเขารู้สึกอะไรกันบ้าง

เมื่อไรตัวการสำคัญจะถูกนำตัวขึ้นศาลเสียที

คงต้องขอเอนเอียงประชาชนผู้ถูกกระทำจากอำนาจรัฐอย่างถึงที่สุด!

ล้านคำบรรยาย การ์ตูนเซีย 31/08/54 จะดีจะชั่ว..กลัวหางโผล่

ที่มา blablabla

โดย

ภาพถ่ายของฉัน


สร้างปัญหา หมักหมม ทับถมไว้
หูไปนา ตาไปไร่ ไม่แยแส
ปากอาสา ร่วมด้วย ช่วยดูแล
ก็เป็นแค่ หาประโยชน์ ที่โปรดปราน....


คำว่า"เงิน" ตัวเดียว คิดเลี้ยวเลาะ
ช่างพอเหมาะ กับมนุษย์ สุดกล่าวขาน
สร้างอำนาจ พวกตน ให้ทนทาน
ใหญ่คับบ้าน ฝันใฝ่ ได้กอบโกย....


แม้นจะดี จะชั่ว กลัวหางโผล่
หลอกนายโง่ ว่าใส้กิ่ว ยังหิวโหย
ทำงานหนัก ทั้งชีวิต ซ้ำอิดโรย
ร้องโอดโอย ว่าเหนื่อยท้อ ไม่พอกิน....


หวังหาเศษ หาเลย เหมือนเคยคิด
แล้วปกปิด สิ่งระยำ ตนทำสิ้น
กี่เงินบาป โยงใย ใต้-บนดิน
มันเกาะกิน ใจคน..จนนานปี....


บ่อน ซ่อง ส่วย เต็มเมือง คือเรื่องร้าย
ยาเสพติด มากมาย ขายทุกที่
เด็ก วัยรุ่น ไม่เว้นแต่ แม้สตรี
สิ่งอัปรีย์ ครอบครอง สนองใคร?....


พอหางโผล่ ก็รีบแจ้น แสนอัปยศ
คิดโป้ปด หลอกตา พาหวั่นไหว
จะชั่ว-เลว พวกตนรู้ อยู่แก่ใจ
จัดระเบียบ ล้างบางใหม่ ทำให้ดี....


๓ บลา / ๓๑ ส.ค.๕๔

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker