บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

"คำผกาส่งท้ายปี"

ที่มา Voice TV



รายการคิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา ชวนคุณมาคิดเล่น เห็นต่างกับคุณคำผกา และคุณอรรถ ในตอน ""คำผกาส่งท้ายปี""

รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน 31 12 54

ที่มา YouTube

"รวมสุดยอด แรงบันดาลใจ"

ที่มา Voice TV



รายการ Voice of the Day ประจำวันที่ 31 ธันวาคม 2554

Voice of the day เทปนี้เป็นเทปสุดท้ายของปี 54 แล้ว ก็เลยอยากจะนำเสนอเนื้อหาพิเศษขึ้นมาอีกซักนิด ซึ่งความพิเศษที่ว่าก็คือ เราได้รวบรวมแขกรับเชิญที่เราประทับใจและเชื่อว่าคุณผู้ชมเองก็คงประทับใจ เช่นกัน มากกว่านั้นเรายังเชื่อว่าเรื่องราวและวิธีคิดของเขาคงเป็นแรงบันดาลใจอย่าง ดี สำหรับคุณผู้ขมที่มีเป้าหมายอยากทำตามความฝัน ความคิดของตัวเอง

ส.ค.ส.พระราชทาน นำสุขสู่ทุกท่าน

ที่มา Voice TV

ส.ค.ส.พระราชทาน นำสุขสู่ทุกท่าน

ส.ค.ส. พระราชทาน จาก.."พ่อแห่งแผ่นดิน"


ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2555


ถึงจะมองไม่เห็นฝั่ง

เราก็ต้องพยายามว่าย

อยู่ท่ามกลางมหาสมุทร

โภคะทั้งหลาย

มิได้สำเร็จ

ด้วยเพียงคิดเท่านั้น


ปีใหม่ 2555 ที่กำลังจะมาถึง เชื่อว่าคนไทยทุกท่าน ต่างก็รอก้าวข้ามสู่ปีใหม่ด้วยใจที่เป็นสุข และถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณยิ่ง เมื่อแต่ละปีที่ผ่านมา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “พ่อหลวงของคนไทย” ได้ พระราชทาน บัตรส่งความสุข ซึ่งพระองค์ทรงประดิษฐ์ขึ้นด้วยพระองค์เอง เพื่อพระราชทานให้แก่ชนชาวไทย เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่เป็นประจำทุกปี ในวันสิ้นปี 31 ธันวาคม ของทุกปี

พระองค์ทรงพระราชทานพรปีใหม่มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2530

เดิมนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพร เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงและสถานีโทรทัศน์ทุกสถานี ยังทรงปลีกเวลาจากพระราชกรณียกิจ มาปรุแถบโทรพิมพ์ พระราชทานพรปีใหม่ แก่เจ้าหน้าที่ผู้ถวายงาน โดยทรงใช้รหัสแทนพระองค์ว่า กส.9 เช่นเดียวกับที่ทรงใช้ติดต่อทางวิทยุสื่อสาร ทรงระบุท้ายโทรพิมพ์ว่า กส.9 ปรุ

ส.ค.ส. พระราชทานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนพระองค์ เมื่อปี พ.ศ. 2531 โดยทรงพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ขาวดำ พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โทรสารพระราชทานไปหน่วยงานต่าง ๆ โดยข้อความใน ส.ค.ส. พระราชทาน แต่ละปี จะประมวลขึ้นจากเหตุการณบ้านเมือง เพื่อสะท้อนให้เห็นปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ประเทศไทยต้องประสบ ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ในปีต่อ ๆ มา หนังสือพิมพ์รายวัน ได้นำลงตีพิมพ์ ในฉบับเช้าวันที่ 1 มกราคม เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยได้ชื่นชมอย่างทั่วถึง

นับแต่ทรงใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ประดิษฐ์ ส.ค.ส. พระราชทาน ทรงเปลี่ยนแปลงคำลงท้ายของ ส.ค.ส. พระราชทาน เป็น ก.ส. 9 ปรุง เนื่องจากทรงเปลี่ยนจากการ "ปรุ" ด้วยโทรพิมพ์ เป็นการ "ปรุง" ด้วยคอมพิวเตอร์ ถัดจากนั้น จะทรงระบุวันและเวลาที่ทรงประดิษฐ์ขึ้น เป็นรูปแบบเฉพาะ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2530
พระราชทานเป็นปีแรก ทรงยังใช้คำว่า "กส. 9 ปรุ"

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2531
ทรงสอนให้ทุกคนคิดและทำในสิ่งที่ดี เพื่อให้บังเกิดแต่สิ่งดี ๆ ในชีวิต

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2532
ทรงให้นิยาม 4 ประการของความสุข ว่าคือความปรารถนาดีต่อกัน ความอนุเคราะห์ ความยินดี ความสงบ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2533
ทรงให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีสติ และปัญญา

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2534
ทรงชี้ให้คนไทยใช้ความเพียร อดทน สติ และปัญญา

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2535
ทรงให้คนไทยมุ่งทำวันนี้ให้ดีที่สุด

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2536
ทรงเน้นเรื่องการมองปัญหาให้ชัดเจนและตรงจุด การมีสติ คิดและทำอย่างสร้างสรรค์

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2537
ทรงกล่าวถึงโครงการพระราชดำริ เพื่อบรรเทาปัญหาจราจรในกรุงเทพมหานคร


ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2538
ทรงให้ข้อคิดในการร่วมมือกันทำงาน เกี่ยวกับการพูด การฟัง

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2539
ทรงให้คนไทยตั้งมั่นอยู่ในความสมดุลในการแก้ปัญหา และการประสานประโยชน์เพื่อประเทศชาติ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2540
ทรงกล่าวถึงพลังความคิด และให้คติในการพูด การคิด และการทำ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2541
ทรงพระราชทานกำลังใจ ในการต่อสู้วิกฤตเศรษฐกิจ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2542
ทรงให้คนไทยมีความเพียร เช่นเดียวกับพระมหาชนก
และทรงเน้นเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2543
ทรงกล่าวถึงการเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ และให้มองโลกในแง่ดี

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2544
ทรงให้ทบทวนบทเรียนจากอดีต เพื่อเตรียมตัวฟันฝ่าปัญหาในอนาคต
และตั้งมั่นอยู่ในความดี และความสุจริตใจ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2545
ทรงกล่าวถึงปัญหาความขัดแย้ง ขัดแข้งขัดขากัน และให้แก้ปัญหาโดยใช้หัว
คือสมอง ควบคุมทุกส่วนของตัว รวมทั้งขอให้อยู่ในระเบียบ

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2546
ทรงกล่าวถึงสุนัขทรงเลี้ยง ว่าเป็นเพื่อนที่ดี

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2547
ทรงกล่าวถึงเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ภายหลังเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 ทรงให้คนไทยมีความรักสามัคคีกัน

พ.ศ. 2548
ในโอกาสขึ้นปีใหม่ พ.ศ. 2548 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิได้พระราชทาน ส.ค.ส.
เนื่องจากเกิดเหตุคลื่นสึนามิซัดเข้าชายฝั่งทะเลอันดามันอย่างรุนแรง จากการเกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย

ส.ค.ส. พระราชทานตั้งแต่ พ.ศ. 2549
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นภาพสี
นอกจากนี้ คำลงท้ายของ ส.ค.ส. พระราชทาน ตั้งแต่ปีดังกล่าวเป็นต้นมา จะมีข้อความ
"พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad, D.Brahmaputra,
Publisher"(ใน ส.ค.ส. ปี 2549) และ "Printed at the Suvarnnachad Publishing, C.Brahmaputra, Publisher" (ใน ส.ค.ส. ปี 2550)

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2549
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์สีเขียว
มีภาพปักรูปคุณทองแดงที่กระเป๋าด้านซ้าย ทรงฉายคู่กับคุณทองแดง

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2550
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงฉายคู่กับคุณทองแดง และสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นเหลนของคุณทองแดงอีก 9 สุนัข

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2551
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติขาว
ทรงฉายคู่กับคุณทองแดง และสุนัขทรงเลี้ยง ที่เป็นเหลนของคุณทองแดงอีก 4 สุนัข

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2552
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดสูทสีเทา
ทรงฉายคู่กับสุนัขที่ทรงเลี้ยง 2 สุนัข

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2553
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดปกติสีชมพู
ทรงฉายคู่กับสุนัขที่ทรงเลี้ยง คือ "คุณทองแดง"

ส.ค.ส. พระราชทาน ประจำปี 2554
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฉลองพระองค์สากลสีครีมผ้า ปักพระกระเป๋าเป็นผ้าลายริ้วสีเหลืองสลับเทา ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตขาว ทรงผูกเนคไทลายริ้วสีเหลืองสลับเทาประทับบนพระเก้าอี้


ด้านข้างพระเก้าอื้ที่ประทับทั้งสองข้างมีโต๊ะสูงโต๊ะด้านซ้ายวางแจกันแก้ว ก้านสูงปักดอกไม้หลากสี โต๊ะด้านขวาวางแจกันแก้วขนาดเล็กปักดอกไม้หลากสีเช่นกันทรงฉายกับสุนัขทรง เลี้ยง 2 สุนัข หรือคุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 หมอบอยู่หน้าพระเก้าอี้ด้านขวาและคุณทองแท้ที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2542 หมอบอยู่หน้าพระเก้าอี้ด้านซ้าย



ด้านหลังพระเก้าอื้ที่ประทับเป็นม่านสีเทาอ่อนมีแจกันดอกไม้ขนาดใหญ่ปักดอก กุหลาบ และดอกไฮเดรนเยียหลากสีตั้งอยู่ 2 แจกัน แจกันด้านซ้ายมีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับอยู่ ส่าวนแจกันด้านขวาผอบทองประดับอยู่ถัดไปด้านหลังทั้งสองด้านมีกระถางไม้ ประดับตั้งอยู่ มุมบนซ้ายมีตัวอักษรสีเหลืองข้อความว่า



ส.ค.ส. สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๔ มุมบนด้านขวามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2011



ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีน้ำเงินว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ มุมล่างขวามีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 121923 ทค. 53 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร,ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing, D Bramaputra, Publisher (กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้เป็นภาพใบหน้าคนเล็ก ๆ เรียงด้านละ 3 แถวทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม)

แน่นอนว่าในโอกาสขึ้นปีใหม่ ในปีนี้ ชนชาวไทยทุกคนก็คงรอชื่นชม ส.ค.ส. พระราชทาน เหมือนดังเช่นทุกปี เพื่อเป็นแรงใจและกำลังใจ และศิริมงคลของชีวิตแก่ตนเอง

สำหรับในปี 2555 นั้น ชาวไทยทุกคนต่างเฝ้ารอ บัตรส.ค.ส.พระราชทาน เพื่อความเป็นสิริมงคล ในการนำพรจากพระองค์ท่านมาใส่เกล้าฯใส่กระหม่อม

และยังเป็นสิริมงคลเมื่อ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมี์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระราชทานบัตรอวยพร เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2555 แก่ปวงชนชาวไทย

บัตรอวยพรดังกล่าว มีทั้งหมด 4 หน้า

หน้าแรกมีพระราชลัญจกร ม.ว.ก. และข้อความภาษาอังกฤษว่า ‘Season’s Greetings and Best Wishes for a Very Happy New Year’ลายพระนามาภิไธย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และข้อความภาษาอังกฤษว่า From Their Royal Hignesses the Crown Prince and Princess of Thailand

หน้าที่สองเป็นพระฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงฉายร่วมกับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมี์ พระวรชายาในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าฑีปังกรรัศมีโชติ

หน้าที่สามเป็นพระฉายาลักษณ์พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าฑีปังกรรัศมีโชติ ทรงฉายร่วมกับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา

หน้าที่สี่เป็นพระฉายาลักษณ์ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าฑีปังกรรัศมีโชติ ทรงฉายร่วมกับพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์

และในการนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีพระราชทาน ส.ค.ส. สวัสดีปีมะโรง 2554 การนี้ พระองค์ทรงประพันธ์ คำอวยพร ประกอบบัตรอวยพร ดังนี้

ปีมะโรงคือพระยานาคราช

ทรงอำนาจกว่าใครในแหล่งหล้า

จะอ่อนน้อมไม่แสดงซึ่งฤทธา

เลื้อยช้าช้าสง่างามตามครรลอง

โบราณว่าพญานาคท่านให้น้ำ

เพื่อช่วยบำรุงพืชสัตว์ทั้งผอง

น้ำอย่ามากอย่าน้อยไปพอเนืองนอง

ให้ตกต้องฤดูกาลสำราญเอย.

และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ทุกท่าน จึงขอนำโอวาทจากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงประทานพระโอวาทวันขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2555 เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 มานำเสนออีกครั้ง ในใจความว่า ตามคตินิยมของคนไทยทั่วไป เมื่อปีเก่าผ่านไปปีใหม่กำลังจะมาถึง ต่างก็ปีติยินดี เพราะเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายว่ารอบปีหนึ่งของชีวิตได้ผ่านพ้นไปโดยสวัสดี มีสุข เป็นเหตุให้ชีวิตผ่านพ้นมาถึงปีใหม่อันจะเป็นรอบใหม่ของชีวิต ที่ทุกคนมุ่งหวังและปรารถนาที่จะให้ดำเนินไปด้วยความสวัสดีมีสุข

สำหรับประชาชนชาวไทยในรอบปีที่ผ่านมาคือ พ.ศ.2554 นับเป็นมหามงคลสำหรับชาวไทยทั้งมวล เพราะเป็นมหามงคลวโรกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในรอบปีใหม่ที่กำลังจะมาถึงคือ พ.ศ. 2555 ก็นับได้ว่าเป็นปีมหามงคลสำหรับชาวไทยอีกวาระหนึ่ง เพราะเป็นปีที่พระพุทธศาสนาประดิษฐานอำนวยสุขแก่ชาวโลกเป็นเวลายาวนานต่อ เนื่องมาครบ 26 ศตวรรษ หรือ 2,600 ปี พุทธศาสนิกชนทั่วโลกจึงจัดให้มีการเฉลิมฉลอง อันเป็นการรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์ เพื่อให้สถิตดำรงอยู่คู่โลกตลอดกาลนาน และการที่ชีวิตและวันเดือนปีจะดำเนินไปโดยสวัสดีนั้น ควรที่ทุกคนจะได้เรียนรู้และน้อมนำเอาพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสสั่งสอนไว้มาประพฤติปฏิบัติเป็นประจำวัน เพราะพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้นั้น คือความจริงของชีวิต ที่ทุกคนควรรู้ควรปฏิบัติ ซึ่งเมื่อน้อมนำมาปฏิบัติจริง ก็ย่อมจะให้ผลดีจริงแก่ชีวิตตามควรแก่การปฏิบัติ

เนื่องในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ พ.ศ.2555 ขอพระราชทานถวายพระพรชัยมงคล ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและพระราชกุศลบารมี อำนวยให้สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้าทั้งสองพระองค์ พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์เจริญพระราชสิริสวัสดิพิพัฒนสุขทุกประการ และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศล อำนวยอวยพรชัยให้ประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าเจริญอายุ วรรณ สุข พล และประสบสันติสุขทั่วกัน


http://namnoi.go.th
http://mblog.manager.co.th

ไขความจริง 91 ศพกระสุนจากใคร

ที่มา Voice TV









การสืบสวนหานำตัวผู้ลั่นกระสุนคร่าชีวิตคนเสื้อแดงจากเหตุการณ์ สลายการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 เริ่มเห็นภาพได้มากขึ้น

เวลาผ่านไปกว่า 1 ปี 7 เดือนแล้ว ที่มีผู้เสียชีวิตจำนวน 91 ศพและบาดเจ็บกว่า 2,000 รายจากเหตุการณ์สลายการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงช่วงเดือนเมษายน - พฤษภาคม 2553 แต่ยังไม่สามารถนำตัวคนผิดมาลงโทษได้ เเต่เมื่อมีการเปลี่ยนรัฐบาลมาเป็นแกนนำจากพรรคเพื่อไทย ทำให้การสืบสวนสอบสวนเริ่มเห็นภาพฆาตกรที่เป็นผู้ลั่นกระสุนคร่าชีวิตคน เสื้อแดงได้มากขึ้น

ฝากประชาสัมพันธ์งานเสื้อแดงครับ

ที่มา thaifreenews

โดย d-day

ขอเชิญพี่น้องผู้รักประชาธิปไตยหัวใจเป็นธรรมทุกท่าน ร่วมงาน

“ปีใหม่ประชาธิปไตยเบ่งบาน 2555”

ณ บริเวณริมถนนสุขุมวิท ติดกับธนาคารกสิกรไทย ใกล้ตลาดสี่มุมเมือง เยื้องโรงงานเมเยอร์ ก่อนถึงทางเข้าท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง

ในวันเสาร์ที่ 14 มกราคม 2555

ตั้งแต่เวลา 17.00 น. – 24.00 น. ถ่ายทอดสดทาง Asia Update

งานนี้มีโต๊ะจีน 300 โต๊ะพร้อมอาหารเครื่องดี่ม ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย
พบ กับแกนนำ นปช.ชุดใหญ่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย แขก วีไอพี ศิลปินนักร้องจากค่ายประชาธิปไตยมากมายหลายท่าน ทอม ดันดี (โด่ง)อรรถชัย อนันตเมฆ แป๊ะ บางสนาน อเล็ก โชคร่มพฤกษ์ นุช พจมาน และอีกหลายๆท่าน ขับกล่อมความสุขความบันเทิง ในบรรยากาศความปรองดอง รัก สามัคคี มีแต่ประชาธิปไตย ตลอดทั้งงาน

ผู้สนใจร่วมงานติดต่อจองบัตร ฟรี ได้ที่

คุณรจนา (นา) 081-5904222

คุณหมู 081-1102623

คุณบัญญัติ 081-8220091

คุณสุรินทร์ 085-9333443

สำหรับพ่อค้า-แม่ค้าที่ต้องการออกร้าน ติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่

คุณต่าย 086-1556231

ผู้รักประชาธิปไตย หัวใจเป็นธรรม อย่าพลาด!!!

2011-12-30 CH3 สัมภาษณ์พิเศษ นายกปู ครบหมดทุกคลิป ทุกช่วงข่าว

ที่มา thaifreenews

โดย Tuxedo

2011-12-30@1204 CH3 สัมภาษณ์พิเศษ นายกปู


2011-12-30@1708 CH3 สัมภาษณ์พิเศษ นายกปู


2011-12-30@1808 CH3 สัมภาษณ์พิเศษ นายกปู


2011-12-30@1819 CH3 สัมภาษณ์พิเศษ นายกปู


2011-12-30@2223 CH3 สัมภาษณ์พิเศษ นายกปู

สวัสดีปีใหม่-จาตุรนต์ ฉายแสง

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

speedhorse




http://speedhorse.blogsite.org/read.php?tid=915

เปิดใจอริสมันต์ voicetv 30 12 2011

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

กาแฟ



http://speedhorse.blogsite.org/read.php?tid=918

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นครราชสีมา 30-12-2011

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

nick_nakhonpathom



http://www.thaivoice.org/board/index.php?

เจาะข่าวเด่นสรยุทธ-ทีมข่าวการเมืองเปิดใจนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ 30-12-11

ที่มา thaifreenews

โดย bozo

nick_nakhonpathom



http://www.thaivoice.org/board/index.php?

คนส่วนน้อยไม่มีสิทธิจะบังอาจมาขับไล่คนส่วนใหญ่ไปอยู่ประเทศอื่น

ที่มา thaifreenews

โดย Bugbunny

พวก คนส่วนน้อยของประเทศ อย่างเช่น นายพลทหารเผด็จการ สส.พรรคแมลงสาป แก๊งค์สลิ่ม พวกคลุ้มคลั่งตามเฟซบุ๊ค พันธมิตร นักแสดงเห่ย ๆ ตุลาการบางคน ฯลฯ ที่เห็นพยายามบังอาจออกข่าวข่มขู่ขับไล่คนที่ต้องการการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง กฎหมายที่ไม่ถูกต้องตามหลักนิติรัฐนิติธรรมสากล ให้ไปอยู่ประเทศอื่น ถ้าหากมีการปรับปรุงกฎหมายที่กลุ่มขวาจัดของพวกคุณในอดีตเคยช่วยกันแก้ไขให้ รุนแรงเกินมาตรฐานที่ชาวโลกยอมรับ รวมทั้งรัฐธรรมนูญฉบับอมาตยาธิปไตยที่ยัดเยียดให้คนไทย ในช่วงที่ประเทศเป็นเผด็จการ จนถึงขนาดเจ้าของเฟซบุ๊คต้องออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ตอนนี้เขาทำผิดกฎหมายของไทยแล้ว ถ้ามาเมืองไทยอาจจะถูกจับก็ได้ หรือสำนักงานสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ องค์การนิรโทษกรรมสากล ฯลฯ ก็ออกมาแสดงความรู้สึกต่อต้านกฎหมายเหล่านี้นั้น

คำ ถามจากฟากประชาธิปไตยก็คือ ก็ในเมื่อคนไทยจำนวนมากมายที่เขาต้องการแก้ไขนั้น ต่างก็เกิดและเติบโตเรียนหนังสือขั้นต้นกันในประเทศนี้ เสียภาษีให้รัฐนี้ บางคนได้ทุนจากภาษีประชาชนไปศึกษา ทุกคนล้วนได้ประโยชน์ในการมีชีวิตจากรัฐนี้เหมือนกันทั้งนั้น เขาก็แค่ต้องการตอบแทนสังคมด้วยวิธีปรับปรุงกฎระเบียบของสังคมให้เป็นที่ยอม รับในสากลโลก ไม่ใช่โดนเขาหมิ่นหยามกันทั่วไปอย่างทุกวันนี้ เพราะกฎหมายล้าสมัย ตุลาการตกยุค ฯลฯ มันเสื่อมเสียกับคนไทยและประเทศไทยอย่างร้ายแรงยิ่ง ไม่มีใครเขายอมรับ เพราะมันทำร้ายหลักการทางสิทธิมุนษยชนโลกของสหประชาชาติ เรื่องทั้งหมดก็เท่านั้นแหละ ทำไมเขาจะตอบแทนคุณชาติบ้านเมืองด้วยการปรับปรุงกฎหมายชรา ๆ เหมือนอย่างที่เคยยกเลิกจารีตนครบาล หันมาใช้กฎหมายตามแบบสากล ปรับปรุงกฎหมายของประเทศให้มันเป็นธรรมตามมาตรฐานสากลนี่มันจะทำกันบ้างไม่ ได้หรือ รวมทั้งการทำให้หลักนิติรัฐนิติธรรมสากลปกครองบ้านเมืองนั้น พวกคุณจะเป็นจะตายกันเลยหรือ บ้าคลั่งกันเกินขนาดไปแล้ว มาไล่คนที่ต้องการสร้างหลักการสากลให้กับกฎหมายของประเทศให้ไปอยู่ประเทศ อื่น

ที่จริงพวกคุณสมควรหันมาดูตัวเองให้ชัดเจนว่า ความจริงแล้วพวกคุณมีจำนวนอยู่เท่าไหร่ เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศนี้จริงหรือ ยุติการตีขลุมสร้างคำพูดข่มขู่ว่าจะเคลื่อนไหวใหญ่ ถ้ามีการปรับปรุงจริง ๆ ก็เอาเลยครับ อยากรู้เหมือนกันว่าพวกคุณมีจำนวนอยู่แค่ไหน เพราะมันพิสูจน์แล้วชัดเจนว่า พวกคุณไม่อาจขายไอเดียหลักการความเห็นของพวกคุณให้กับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้ พวกคุณแพ้การเลือกตั้งนะครับ และ “แพ้ซ้ำซาก” มาตลอดด้วย จำใส่กะลาหัวเอาไว้บ้าง

ยืนยันว่า พวกเราเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ พรรคที่เราสนับสนุนก็ชนะการเลือกตั้ง แล้วพวกคุณล่ะ แม้แต่พรรคที่พวกคุณสนับสนุนก็แพ้เลือกตั้งซ้ำซาก แล้วทำไมไม่มียางอายยอมรับความพ่ายแพ้กันบ้าง ถ้าพวกคุณเป็นมนุษย์จริงแล้วก็ไม่ควรหน้าหนามากกว่าส้นเกือกแบบนี้ และถ้าเป็นพวกแพ้ไม่รู้จักแพ้ ก็สมควรออกไปจากประเทศนี้กันให้หมดได้แล้ว จะไปตั้งรัฐในอุดมคติของพวกคุณเองที่ไหนก็เชิญ จะปกครองด้วยกฎหมายเต่าล้านปีฉบับไหน ก็ทำกันในหมู่ของพวกคุณเลย เพราะบ้่านเมืองนี้เป็นของพวกเราประขาชนส่วนใหญ่ พวกเราจะไม่ปล่อยให้คนหยิบมือหนึ่งมามีอำนาจเหนือคนมหาศาลของสังคม อย่างที่พวกคุณพยายามทำกันมาห้าปีแล้วกันหรอก เราเข้าใจกันดีว่า วันนี้พวกคุณถอยจนแทบเป็นหมาจนตรอกกันทั้งแก๊งค์แล้ว ถึงต้องหันมาใช้วิธีเห่าข่มขู่ชาวบ้านเขาเป็นหลัก เพราะวิธีอื่นมันแพ้ซ้ำซากไปทุกเรื่องน่ะซี


Re:

โดย ลูกชาวนาไทย

หากคนส่วนใหญ่ ทนไม่ไหว เขาก็รวมตัวขับไล่พวกคนส่วนน้อยนี้ออกจากประเทศ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในอาหรับ และลิเบียมาแล้ว

ความอดทนของประชาชน มีวันหมดสิ้นนะครับ อย่าท้ามากนัก

สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี: การเมืองแบบราชานิยม

ที่มา ประชาไท

ดูท่าสังคมไทยคงจะต้องถกเถียงกันเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ไปอีกนาน ทั้งๆที่สถาบันนี้อยู่คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่ตั้งประเทศแล้ว แต่สังคมไทยกลับแสดงออกราวกับว่ายังหาตำแหน่งแห่งที่ให้ไม่ได้หรือได้ก็ไม่ เหมาะสมเสียที แต่สาเหตุหลักที่จะต้องทุ่มเถียงหรือบางคราวอย่างเช่นในปัจจุบันก็เกินเลยไป ถึงขั้นทะเลาะเบาะแว้ง ดูๆไปอาจจะถึงทะเลาะตบตีกันให้เลือดตกยางออกก็ได้ เพราะเหตุว่าเถียงไปคนละเรื่อง และประการสำคัญการถกเถียงนั้นไม่ได้มุ่งหวังหาทางออกให้กับสังคม หากแต่มุ่งจองล้างจองผลาญกันเสียมากกว่า สภาพเช่นนี้ไม่เพียงแต่ไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติ หากแต่เป็นผลเสียต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เองด้วย

ปัญหาสำคัญในเวลานี้ซึ่งทำให้การถกเถียงเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เป็น เรื่องเป็นไปไม่ได้ หรือ หากได้คงไม่ได้คำตอบเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งหวังใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่ปาก ตัวเองบอกว่าจงรักภักดีเสียเต็มประดานั้นเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของตนเอง มากกว่าอย่างอื่น สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่ใช้กำจัดคู่แข่งทางการ เมือง

การกล่าวหาหรือแม้แต่ป้ายสีว่าอีกฝ่ายหนึ่งขาดความจงรักภักดีต่อพระมหา กษัตริย์ทำได้ง่ายกว่าบ้วนน้ำลายตามท้องถนนเสียอีก ใครๆก็สามารถเดินไปแจ้งความที่สถานีตำรวจเพี่อให้จับใครก็ได้ด้วยข้อหาหมิ่น พระมหากษัตริย์ ด้วยพยานหลักฐานเพียงเล็กน้อย หรือแทบจะไม่มีเลยก็ได้ อาจจะเป็นถ้อยคำทางอินเตอร์เน็ต หรือ โทรศัพท์มือถือ (ซึ่งไม่แน่นักว่าใครเขียนหรือใส่เข้าไป) และเจ้าพนักงานก็แทบไม่ต้องใช้ดุลยพินิจใดๆ เลย นอกจากดำเนินคดีตามที่ได้รับแจ้ง ไล่จับผู้ต้องหายัดคุกไว้ก่อน ที่เหลือไปพิสูจน์กันชั้นศาล ตำรวจที่ไม่รับแจ้งความ หรืออัยการที่สั่งไม่ฟ้องคดีนี้ จะตกเป็นจำเลยเสียเอง

ยิ่งไปกว่านั้นความผิดฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ก็มีปรากฏเพ่นพ่านอยู่ใน กฎหมายฉบับนั้นฉบับนี้เต็มไปหมด แม้แต่กฎหมายว่าด้วยคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถใช้เป็นกฎหมายที่เอาผิดฐานหมิ่น พระมหากษัตริย์ได้ด้วย ทั้งๆที่เจตนารมณ์ของกฎหมายน่าจะเอาไว้ปกป้องระบบคอมพิวเตอร์จากพวกแฮกเกอร์ หรือการก่อการร้ายผ่านคอมพิวเตอร์มากกว่า นับวันคดีความอันเกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขัดกับวาทกรรมที่พยายามสร้างกันเหลือเกินว่า ประชาชนไทยทั้ง 65 ล้านคนล้วนแล้วแต่รักเทิดทูลและจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ด้วยกันทั้งสิ้น

เวลานี้ไม่มีใครกล้าพูดถึงบทบาทและสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศ ไทยได้เลยจริงๆ แม้แต่ในวงวิชาการ กระแสทางการเมืองที่เชี่ยวกราก บีบบังคับให้การพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยนั้นทำได้เพียงทางเดียวคือ การแซ่ซ้องสรรเสริญ หรือ เขียนบทอาเศียรวาท เท่านั้น ผิดไปจากนี้พวกนั้นจะถูกจัดอยู่ในประเภทที่ขาดความจงรักภักดี หรือ หนักเข้าเป็นพวกจ้องทำลายสถาบันอันเป็นที่รักของปวงชนชาวไทย ความผิดสถานเบาของคนพวกนี้คือต้องโทษจำคุก หนักไปกว่านั้นพวกเขาจะถูกไล่ออกนอกประเทศ หรือ ถูกตัดสิทธิความเป็นพลเมืองไทย หรือ จริงๆแล้วถูกตัดสินว่าไม่สมควรจะอยู่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์อีก ต่อไป

ความจริง แม้แต่ในหมู่ชนชั้นสูงหรือกลุ่มที่จงรักภักดีจริงๆและต้องการเห็นสถาบันพระ มหากษัตริย์มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าวัฒนาถาวรก็ยอมรับกันบ้างแล้วว่า สังคมไทยมีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างถึงรากถึง แก่นในเรื่องการจัดวางฐานะ ตำแหน่ง ความสัมพันธ์ทางการเมืองกับสถาบันอื่นๆ และรวมถึงพระราชอำนาจด้วย แต่พวกเขาเหล่านั้นคงไม่กล้าที่จะทำประเด็นเหล่านี้ให้กลายเป็นเรื่องถก เถียงในสาธารณะหรือแย่ไปกว่านั้นพวกเขาเองอาจจะได้ประโยชน์จากการสถานะที่ เป็นอยู่ในปัจจุบันของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย จึงได้แต่พล่ามเตือนห้ามมิให้ใครพูด ทั้งๆที่วิญญูชนต่างรู้กันทั่วโลกแล้วว่า พวกเขาเมาท์เรื่องนี้กับจนน้ำลายแตกฟองในที่รโหฐาน

เวลานี้ประเด็นการถกเถียงเรื่องเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เข้มข้น ที่สุด กลับไม่ใช่ปัญหาเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์เองเลยแม้แต่น้อย หากแต่เป็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองกษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และ ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เท่านั้น ถึงอย่างนั้นก็ดูท่าว่าจะทำไม่ได้ด้วยซ้ำไป บรรดานักวิชาการที่เสนอให้มีการแก้ไข ปรับปรุงกฎหมายอาญา มาตรา 112 ว่าด้วยการหมิ่นพระมหากษัตริย์ (ส่วนใหญ่นิยมเรียกว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพทั้งๆที่ไม่ใช่) ถูกโจมตีอย่างสาดเสียเทเสียว่า เป็นพวกเสียสติ มุ่งล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้บัญชาการทหารของประเทศไทยถึงกลับขับไสไล่ส่งให้พวกเขาออกไปอยู่นอกประเทศ

สิ่งที่บรรดานักวิชาการเสนอนั้น ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์โดยตรงเลย หากแต่พยายามจะปกป้องสถาบันกษัตริย์ให้รอดพ้นจากการถูกใช้เป็นเครื่องมือทาง การเมืองหรือพยายามทำให้การบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ปลอดการ เมือง (depoliticise) เท่านั้นเอง

ในทางวิชาการดูเหมือนจะเป็นที่ตกกันแล้วว่า พระมหากษัตริย์ พระราชินี องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในฐานะที่ทำหน้าที่ประมุขแห่งรัฐนั้น จะต้องได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายให้รอดพ้นจากการถูกหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ อาฆาตมาดร้าย ไม่มีใครสักคนเสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรานี้เพื่อจะบอกว่า การกระเช่นว่านั้นจะไม่เป็นความผิดตามกฎหมาย เพราะพื้นฐานสิทธิมนุษยชนทั่วๆไป อย่าว่าแต่จะเป็นกษัตริย์หรือประมุขแห่งรัฐเลย คนธรรมดาสามัญ ก็ไม่สมควรที่จะถูก หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย หรือทำให้ได้รับความเกลียดชังได้

ประเด็นสำคัญที่กำลังมีการเสนอกันในเวลานี้คือ กฎหมายมาตรา 112 นี้จะใช้อย่างไรจึงจะเหมาะสมเข้ากับยุคสมัยและคุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ได้อย่างเต็มที่และไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือต่างหาก ปัญหาที่จะต้องพิเคราะห์คือ ใครบ้างที่มีอำนาจในการใช้กฎหมายนี้ สมควรที่จะให้ “ใครก็ได้” แจ้งความจับ “ใครก็ได้” ในฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือ องค์รัชทายาทหรือไม่ และโทษอันเกิดแต่การใช้วาจาหรือลายลักษณ์อักษรทำละเมิดพระมหากษัตริย์สมควร จะสูงเสมอเหมือนกับการฆาตกรรมเลยหรือ และเจ้าพนักงานมีดุลยพินิจเพียงใดในการจะพิจารณาว่า ถ้อยคำอย่างไร เป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือ อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทและผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ การวิพากษ์วิจารณ์โดยสุภาพและสุจริต หรือแม้แต่การศึกษาทางวิชาการในสถาบันการศึกษา เป็นสิ่งที่ละเมิดพระมหากษัตริย์หรืออย่างไร

ความจริงในประมวลกฎหมายอาญาหมวดความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ มาตรา 133 นั้นคุ้มครองกษัตริย์ต่างประเทศด้วย ผู้ใด หมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาทหรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศต้องระวางโทษตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี แต่ทำไมไม่เห็นมีใครแจ้งความจับบุคคลที่ด่าทอกษัตริย์กัมพูชาบ้างเลยหรือว่า ประเทศไทยใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติแบบนี้เสมอมา

แต่เหลือเชื่อว่า ทั้งผู้บัญชาการทหาร พรรคฝ่ายค้าน หรือ แม้แต่ผู้พิพากษาระดับประธานศาล กลับตอบสนองต่อข้อเสนอทางวิชาการเหล่านั้นราวกับว่าบรรดาผู้ที่เสนอแก้ไข กฎหมายมาตรานี้กำลังเสนอให้ยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ ครั้นจะว่าบุคคลเหล่านี้ไม่เข้าใจข้อเสนอ ฟังไม่ได้ศัพท์จับไปกระเดียดก็ใช่ที คนเหล่านี้ไม่ใช่เด็กนักเรียนอนุบาลพอจะฟังเรื่องแค่นี้ไม่เข้าใจหรือไขว้ เขว ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เจริญด้วยคุณวุฒิ วัยวุฒิ สติปัญญาด้วยกันทั้งนั้น

แต่การตอบสนองข้อเสนอให้ปรับปรุงกฎหมายถูกเบี่ยงเบนไปได้ไกลขนาดนั้น ทำให้เข้าใจได้ว่า พวกเขาเหล่านี้เองนั่นแหละที่ต้องการจะใช้อำนาจของกฎหมายนี้เพื่อประโยชน์ ทางการเมืองของตัวเองเสียมากกว่าอยากจะคุ้มครองพระมหากษัตริย์จริงๆ กฎหมายเปิดช่องให้ใครก็ได้เป็นผู้เสียหายในคดีหมิ่นพระมหากษัตริย์โดยไม่ ต้องมีการกลั่นกรองเลย ย่อมทำให้พวกเขาเองอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจใช้กฎหมายนี้ได้ ความก็ปรากฏชัดเมื่อกองทัพแจ้งความดำเนินคดีนักวิชาการที่วิพากษ์วิจารณ์ ความเห็นของเจ้าฟ้าหญิง ซึ่งคดีนี้แม้นักเรียนกฎหมายชั้นต้นก็เข้าใจได้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่เข้าองค์ประกอบของความผิดเลยแม้แต่น้อย ยังไม่นับว่าถ้อยคำที่นักวิชาการท่านนั้นใช้ก็ล้วนเป็นไปโดยสุภาพ และเป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตธรรมดาๆเท่านั้น ไม่อาจจะนับได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้ายใครเลย

พรรคการเมืองฝ่ายค้านก็ไม่อยากให้แก้ไขกฎหมายมาตรานี้ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก้ไขแล้วพวกเขาไม่มีสิทธิจะใช้กฎหมายนี้แจ้งความเอาผิด คู่แข่งทางการเมืองฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ได้ บางทีเมื่อหมดปัญญาจะเสนอนโยบายทางการเมืองที่โดนใจผู้ลงคะแนนเสียงได้ พรรคฝ่ายค้านคงอาจจะเห็นว่า มาตรา 112 นี้ดูจะเป็นเครื่องมือที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดที่จะใช้สยบคู่แข่งทางการ เมืองได้ เพราะพรรคการเมืองนี้เคยใช้เครื่องมือนี้มาแล้วอย่างได้ผลในประวัติศาสตร์ก็ จึงอยากจะรักษาเอาไว้

ฝ่ายรัฐบาลก็ไม่มีความกล้าหาญพอจะเสนอทางเลือกอื่นใด นอกเสียงจากแสดงการปกป้องกฎหมายมาตรานี้อย่างไม่ลืมหูลืมตา ราวกับว่ากฎหมายนี้คือสถาบันพระมหากษัตริย์เสียเอง เพราะเชื่อว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่ารัฐบาลที่ถูกกล่าวหา ว่าไม่จงรักภักดีหรือได้รับการสนับสนุนโดยพวกไม่จงรักภักดีนั้น มีความจงรักภักดีมากกว่าใครทั้งหมดในโลกนี้ บางทีเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลนี้อาจจะจำเป็นต้องทำตัวเป็นพวกที่ more royalist than prince
ฉะนั้นจงอย่าได้แปลกใจที่อีกหน่อยจะได้เห็นว่ารองนายกรัฐมนตรีไปทำหน้าที่ สารวัตรตำรวจ ไล่จับคนทำผิดมาตรานี้และกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวเนื่อง มีความโน้มเอียงอย่างสูงที่คดีความในหมวดนี้ภายใต้รัฐบาลนี้จะมีมากกว่า รัฐบาลที่บริหารโดยพวกอนุรักษ์นิยมขวาจัดเองเสียอีก

'คอป.' เสนอรัฐสภาแก้ 'ม.112' หนักสุดคุกไม่เกิน 7 ปี

ที่มา ประชาไท

'คอป.' เสนอแก้ ม.112 เสนอต่อรัฐสภา โทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 14,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ การสอบสวนดำเนินคดีจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอำนาจจากเลขาธิการพระราชวัง ด้านประธานศาล รธน.ค้านแก้

30 ธ.ค. 54 - เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานว่านายคณิต ณ นคร ประธานคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอ ป.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.ที่ผ่านมา คอป.ได้ประชุมหารือร่วมกันเพื่อกำหนดทิศทางการทำงานในปี 2555 โดยคณะกรรมการเห็นตรงกันที่จะเน้นการทำงานในด้านการออกเดินสายรับฟังข้อมูล จากทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อนำข้อมูลที่ได้รับมาสังเคราะห์ เพื่อแก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองเกิดความสงบ นอกจากนี้ในวันที่ 15-17 ก.พ.55 นายโคฟี อันนัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น) จะเดินทางมายังประเทศไทย เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ให้สังคมไทยรับรู้ว่าการแก้ปัญหาในประเทศแอฟริกา ใต้ที่เคยทำได้สำเร็จนั้น ทำอย่างไร แม้ว่านายโคฟีจะเคยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคอป.แล้ว แต่เพื่อให้สังคมได้รับทราบนายโคฟีจึงต้องการเผยแพร่ความคิดเห็นในวงกว้าง ให้สาธารณะและคนไทยได้รับทราบอย่างทั่วถึง

นายคณิต กล่าวอีกว่า ล่าสุดคอป.ได้ทำหนังสือด่วนที่สุดลงวันที่ 30 ธ.ค. 54 เรื่องข้อเสนอแนะของคอป.เกี่ยวกับความผิดที่ต้องให้อำนาจหรือการดำเนินคดี มาตรา 112 ซึ่งสังคมมีความสับสนมาก ฝ่ายหนึ่งได้ใช้ความผิดฐานดังกล่าวเป็นเครื่องมือในการดำเนินการทางการเมือง ของตน อ้างว่าเพื่อเป็นการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์โดยเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับ ผู้ถูกกล่าวหา ม.112 อย่างเคร่งครัด ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นเรื่องของการใช้เสรีภาพในทางการเมืองตามรัฐ ธรรมนูญ ซึ่งหากกระทำเป็นความผิดอาญาย่อมขัดต่อเสรีภาพในการแสดงความเห็นจึงเสนอให้ ยกเลิก ม.112

ทั้งนี้คอป.ได้รับแต่งตั้งโดยฝ่ายการเมืองและดำรงอยู่โดยฝ่ายการเมือง หรือได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลก่อนและดำรงอยู่ได้เพราะได้รับการยอมรับจาก รัฐบาลปัจจุบัน ที่ผ่านมาคอป.ทำงานอยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อรัฐ และประชาชน ข้อเสนอแนะจึงเป็นการเสนอต่อทุกภาคส่วนของสังคม โดยตระหนักดีว่าสังคมปัจจุบันไม่ว่าความสงบจะเกิดขึ้นในประเทศใดก็ย่อมกระทบ กับสังคมนานาประเทศด้วย

นายคณิต ระบุในหนังสือคอป.ด้วยว่า ในส่วนของความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น คอป.ได้ทำการศึกษาในแง่มุมของกฎหมายควบคู่ไปด้วย เพราะประโยชน์ในการแก้ไขปรับปรุงตัวบทกฎหมาย เพื่อให้เกิดความปรองดองต่อคนในชาติ โดยได้ทำการศึกษาถึงพื้นฐานความแตกต่างในสังคมประชาธิปไตยในต่างประเทศกับใน สังคมไทย พบว่าในประเทศประชาธิปไตยคนในกระบวนการยุติธรรมจะมีความเป็นเสรีนิยมสูงแต่ คนในกระบวนการยุติธรรมของไทยมีความเป็นอำนาจนิยมสูง

ในส่วนของพรรคการเมืองประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ พรรคการเมืองจะมีหน่วยที่ปรึกษาด้านกฎหมาย และเศรษฐกิจทำงานอย่างต่อเนื่องจนเป็นสถาบันควบคู่กับพรรคการเมือง เพื่อศึกษาและแก้ปัญหาของชาติโดยใช้กฎหมาย แต่ในประเทศไทยพรรคการเมืองยังไม่พัฒนาไปถึงสถาบันทางการเมือง มีลักษณะเป็นพรรคเฉพาะกิจ หน่วยที่ปรึกษากฎหมายจึงมีฐานะเฉพาะกิจตามไปด้วย ความแตกต่างด้วยพื้นฐานจึงส่งผลถึงการแก้ปัญหาของประเทศที่แตกต่างกันไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐประสบปัญหาทางการเมือง ที่ต้องแก้ปัญหาความรุนแรงในทางการเมือง

คอป. ได้ศึกษาเหตุการณ์ในอดีตจากกลุ่มกองทัพแดงในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่นิยมคอมมิวนิสต์และนิยมความรุนแรงในรัฐบาล ซึ่งหัวหน้ากลุ่มกองทัพแดงถูกดำเนินคดี เนื่องจากกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่นมีประสิทธิภาพสูงหรือกรณีกองทัพแดงใน เยอรมันที่ใช้ความรุนแรงล้มล้างรัฐบาลในลักษณะอาชญากรก่อการร้าย ซึ่งนำไปสู่การแก้กฎหมายของเยอรมันในเวลาต่อมา ครั้งนี้การที่คอป.หยิบยกเหตุการณ์ที่แสดงถึงบทบาทของฝ่ายบริหารและ นิติบัญญัติของประเทศต่างๆ ขึ้นมาเพื่อชี้ให้เห็นว่าในระบอบประชาธิปไตยย่อมมีทางแก้ปัญหาในระบบในทาง การเมืองอย่างมีหลักการหลักเกณฑ์ได้เสมอ เพียงแต่นักการเมืองของประเทศต้องมีเจตจำนงในการเมืองที่ถูกต้องและจริงจัง เท่านั้น ในประเทศไทยทุกฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยมาตลอด ประชาชนก็เบื่อหน่ายการยึดอำนาจของทหาร ครั้งหลังสุดกลุ่มนิติราษฎร์ได้เสนอให้ประกาศให้การกระทำบางอย่างอันเกี่ยว กับการยึดอำนาจให้เป็นโมฆะ ซึ่งถือเป็นการตื่นตัวที่ดีมาก

นายคณิต ระบุด้วยว่า เกี่ยวกับกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่กำลังเป็นที่โต้เถียงและขัดแย้งกัน มา คอป.เห็นว่าการจะยกเลิก ม.112 เสียเลยน่าจะยังไม่เหมาะสมกับสภาพสังคมไทย แต่การที่จะคงสภาพเป็นความผิดอาญาในลักษณะปัจจุบันโดยไม่มีทางออกใดๆ ในการดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดก็ไม่ถูกต้องเช่นกัน เพราะยังมีการใช้ความผิดฐานนี้เป็นเครื่องมือทางการเมือง จากการศึกษาของคอป.พบว่าความผิดฐานนี้มีช่องทางในทางกฎหมายที่จะสร้างความ สมดุลได้ เช่น ในเยอรมันมีการบัญญัติความผิดอาญาบางฐานที่ไม่ร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความผิดที่ผู้เสียหายเป็นบุคคลสาธารณะ ซึ่งอาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่าเป็นความผิดที่ต้องให้อำนาจกล่าวคือ แม้การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาจะเป็นความผิดอาญาแต่การดำเนินคดีขึ้นอยู่กับ ความสมัครใจของผู้เสียหายเป็นสำคัญ เช่นการดูหมิ่นประธานาธิบดี การสอบสวนจะเริ่มได้ต่อเมื่อประธานาธิบดีให้อำนาจดำเนินการเท่านั้น

นโยบายทางอาญาในระบบกฎหมายเยอรมันแสดงให้เห็นว่าประเทศที่เป็น ประชาธิปไตย นโยบายทางอาก็ต้องเป็นนโยบายที่ส่งเสริมการฝึกและพัฒนาคน นักการเมืองก็ต้องฝึกและพัฒนา นักการเมืองในด้านจิตสำนึกความเป็นประชาธิปไตยในเมืองไทยพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ได้กล่าวไว้ว่า กฎหมายมีสองแบบ ถ้าเน้นอำนาจก็เป็นกฎหมายที่เด่นในด้านกำจัดคนชั่ว แต่ถ้าเป็นกฎหมายที่เน้นการศึกษาซึ่งมุ่งสร้างคนดีจะมีลักษณะในการจัดสรร โอกาส ในทางปกครองและกฎหมายจะต้องทำหน้าที่สองด้านคือ ส่งเสริมคนดีและกำราบคนร้าย แต่คอป.เห็นว่ากฎหมายของไทเน้นที่การบังคับด้านเดียว ส่วนมากจะจบลงด้วยบทกำหนดโทษ นโยบายทางอาญาของไทยทำให้เกิดสภาพกฎหมายอาญาเฟ้อ รัฐควรวางเป็นนโยบายเพื่อให้กฎหมายและระบบกฎหมายเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง และดีขึ้น

สำหรับการแก้ปัญหาของชาติโดยเฉพาะการสร้างความปรองดอง คอป.เห็นว่านอกจากฝ่ายกระบวนการยุติธรรมแล้ว ฝ่ายบริหารและนิติบัญญัติควรพิจารณาร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยคอป.ขอยื่นข้อเสนอแนะดังนี้ 1.ควรตรากฎหมายกำหนดให้ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นความผิดที่ต้อง ให้อำนาจ โดยถือว่าการตรากฎหมายดังกล่าวมีความสำคัญและเร่งด่วน 2.ความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นความผิดที่คุ้มครองความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร อันเป็นคุณธรรมทางกฎหมายที่เป็นส่วนรวม เป็นเรื่องของสถาบันหาใช่เรื่องส่วนพระองค์ไม่ ดังนั้น การจะให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้มอบอำนาจให้ดำเนินคดีย่อมเป็นการไม่เหมาะสม และขัดต่อจารีตประเพณีของบ้านเมืองที่ต้องเทิดทูนสถาบัน เลขาธิการพระราชวังเป็นข้าราชการพลเรือนในประองค์ที่ได้รับการแต่งตั้ง ตามพระราชอัธยาศัยจึงอาจกำหนดให้เลขาธิการพระราชวังเป็นผู้ให้อำนาจดำเนิน คดี

3.ในส่วนของระวางโทษตาม ม.112 ควรมีความเป็นเสรีนิยมมากกว่าในปัจจุบันหรือโทษควรเบาลง อย่างน้อยควรกลับไปนำโทษที่เคยกำหนดไว้เดิมมาใช้ 4.คอป.เสนอให้แก้กฎหมายอาญา ม.112 เสนอต่อรัฐสภา ดังนี้ ใครหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์พระราชินี รัชทายาทหรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 14,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ ความผิดตามวรรค 1 เป็นความผิดที่ต้องให้อำนาจ การสอบสวนดำเนินคดีจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอำนาจจากเลขาธิการพระราชวัง 5.ความผิดตาม ม.112 และ ม.133 เป็นเรื่องที่ยึดโยงกันเมื่อแก้ ม.112 ก็ต้องแก้ ม.133 ในคราวเดียวกัน โดยให้บัญญัติว่าผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาต มาดร้ายต่อราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ มีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

นายคณิต ระบุท้ายข้อเสนอว่า คอป.ทำงานตั้งอยู่บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อประชาชนข้อเสนอแนะของคอป.ข้าง ต้นถือเป็นข้อเสนอแนะของทุกฝ่ายต่อรัฐสภาและประชาชนด้วย ในส่วนของรับสภานั้นคอป.เห็นว่าเหมาะสมที่จะผลักดันกฎหมายดังกล่าวและ ประชาชนเองก็ควรที่จะผผลักดันให้กฎหมายดังกล่าวเกิดขึ้นด้วย เพื่อช่วยกันสร้างสันติและความปรองดองของคนในชาติ โดยคอป. ได้ส่งเอกสารแนบท้ายข้อเสนอแนะประกอบด้วยหนังสือรวมบทความการก่อการร้ายกับ การมอบอำนาจให้ดำเนินคดี หนังสือนิติศาสตร์แนวพุทธของป.อ.ปยุตโต เอกสารเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายญี่ปุ่นและเอกสารเกี่ยวกับกลุ่มก่อการร้ายใน เยอรมัน

ประธานศาลรธน.ค้านแก้ '112' ย้อนถาม 'คุ้มครองเฉพาะประมุขตปท.เหรอ'?

ด้านกรุงเทพธุรกิจออนไลน์รายงาน ว่านายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ แสดงความคิดเห็น กรณีที่มีข้อเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เกี่ยวกับเรื่องหมิ่นสถาบัน ว่า ไม่เห็นด้วย ในประมวลกฎหมายอาญามีหมวดความผิดต่อสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ อยู่ในมาตรา 130-135 ที่บัญญัติในลักษณะเป็นการคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ หรือผู้แทนรัฐต่างประเทศ ว่าใครจะดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายมิได้ มีทั้งโทษจำคุกและปรับ

ดังนั้น ถ้ายกเลิกป.วิอาญามาตรา 112 ถามว่า เราจะคุ้มครองแต่ประมุขรัฐต่างประเทศเท่านั้นใช่หรือไม่ จะไม่คุ้มครองประมุขรัฐไทยใช่หรือไม่ ซึ่งตนเห็นเหมือนกับนักกฎหมายหลายคนที่แสดงความเห็นก่อนหน้านี้ว่า คนที่คิดจะเลิกมาตรา 112 เขาต้องการที่จะหมิ่นสถาบัน โดยไม่ผิดกฎหมายใช่หรือไม่ กฎหมายอยู่ดี ๆ ถ้าเขาไม่ไปหมิ่นก็ไม่มีใครเดือดร้อน

“ถ้าจะยกเลิกมาตรา 112 มันก็ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้ด้วย และถ้าเราทำจริง ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศแรกที่ยกย่องประมุขต่างประเทศ ยิ่งกว่าประมุขของเราเอง แล้วก็จะได้ลงบันทึกกินเนสส์บุ๊คเลย” นายวสันต์ กล่าว

ส่งท้ายปี Quotes of the Year (2): “ดีแต่พูด” และ “เอาอยู่”

ที่มา ประชาไท

ส่งท้ายปี ทีมประชาไท รวบรวมคมคำเด็ดๆประจำปีที่กลายเป็นวลีและประโยคฮิตทั้งในสังคมออฟไลน์และออ นไลน์ ย้อนความทรงจำที่มาที่ไป และแรงกระเพื่อมจากถ้อยคำ ซึ่งหลายคำกลายเป็นผลสะเทือนต่อคนพูดเอง ขณะที่อีกหลายถ้อยคำ ก่อให้เกิดการอภิปรายอย่างหลากหลาย แต่ที่แน่ๆ ล้วนถูกพูดขึ้นมาในจังหวะร้อนและสะท้อนความสนใจของสังคมไทยในสถานการณ์ที่ ช่วยก่อกำเนิดถ้อยคำเหล่านี้ขึ้นมา

0 0 0

สำหรับ Quotes of The year ประจำปีนี้ ประชาไทขอยกให้กับวลี/ประโยคเหล่านี้

  • เอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า
  • ดีแต่พูด
  • ขอแชร์นะ
  • เอาอยู่ค่ะ
  • ขอพูดอะไรแรงๆ สักครั้งในชีวิต
  • คืนนั้นเป็นคืนที่ผมร้องไห้อยู่นานมากครับ
  • เราคืออากง
  • Forgive and Forget และ ไม่แก้แค้นแต่แก้ไข
  • นี่เราพูดอะไรโง่ๆ มากเกินไปหรือเปล่า

"ดีแต่พูด" จากแผ่นกระดาษสู่ป้ายประท้วง

ดีแต่พูด
ที่มา http://thaienews.blogspot.com/2011/03/blog-post_5542.html

วลีนี้ถูกใช้โดยจิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ เพื่อส่งสารถึงอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (เมื่อครั้งยังเป็นนายกฯ) ซึ่งถูกเชิญไปพูดบนเวทีงานวันสตรีสากล ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 6 มี.ค. โดยจิตราเคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า เธอมองว่าอภิสิทธิ์ไม่สามารถทำตามนโยบายด้านต่างๆ ที่เคยให้ไว้ ที่สำคัญคือไม่สามารถให้คำตอบกรณีสลายการชุมนุมเม.ย.-พ.ค.53 ได้ จึงยกแผ่นกระดาษเอสี่มีข้อความ "ดีแต่พูด" ให้อภิสิทธิ์

หลังจากนั้น ชื่อของ "จิตรา" เป็นที่พูดถึงกันในวงกว้าง ส.ส.ประชาธิปัตย์ถึงขนาดออกมาเรียกร้องให้ขบวนการแรงงานตัดชื่อจิตราออกจาก ผู้ร่วมเคลื่อนไหวกับขบวนการแรงงาน โดยระบุว่าเธอเคลื่อนไหวทางการเมืองอิงแอบกับพรรคการเมืองหนึ่ง ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง อภิสิทธิ์ต้องเจอป้ายประท้วง "ดีแต่พูด" อีกหลายระลอก ในบทหนึ่งของบันทึกบนเฟซบุ๊ก อภิสิทธิ์เองเขียนโต้ "วาทกรรม" นี้ด้วยเพื่อชี้แจงว่าในฐานะรัฐบาล เขาได้เคยลงมือดำเนินนโยบายอะไรบ้าง

ทุกวันนี้ วลี "ดีแต่พูด" ยังคงถูกใช้เมื่อต้องการสื่อว่าอีกฝ่าย "พูดเก่ง" กว่า "ทำ" และสติ๊กเกอร์ "ดีแต่พูด" ก็ยังมีให้เห็นได้ตามท้องถนน

สำหรับ จิตรา คชเดช เป็นอดีตคนงานบริษัทบอดี้แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งผลิตชุดชั้นในและชุดว่ายน้ำยี่ห้อไทรอัมพ์ ก่อนจะถูกบริษัทขออำนาจศาลแรงงานเลิกจ้าง ด้วยเหตุผลว่าใส่เสื้อยืดรณรงค์ "ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม" ออกรายการทีวี ทำให้บริษัทเสียชื่อเสียง ต่อมา จิตราร่วมกับอดีตคนงานไทรอัมพ์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานที่ ถูกบริษัทเลิกจ้าง ผลิตชุดชั้นในยี่ห้อ "Try Arm" เพื่อสื่อถึงการต่อสู้ของแขนของกรรมาชีพผู้มีความพยายามอย่างไม่ลดละ นอกจากนี้ เธอยังร่วมเคลื่อนไหวกับขบวนการคนเสื้อแดงด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

0 0 0

“เอาอยู่ค่ะ"

เอาอยู่
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขณะให้สัมภาษณ์สื่อปฏิเสธไม่ได้ร้องไห้
และไม่ท้อกับปัญหาน้ำท่วม เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2554

เป็นวลีที่นายกยิ่งลักษณ์ พูดเพื่อให้ความมั่นใจว่า สามารถรับมือกับการจัดการน้ำท่วมจนกลายเป็นวลีคุ้นหู แต่ก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเอาไม่อยู่ นี่เป็นส่วนหนึ่งของการถูกวิพากษ์การทำงานของรัฐบาล และศปภ. ว่าควรบอกความจริง เพื่อประกอบการตัดสินใจเพื่อให้ประชาชนเพื่อให้รับมือได้ ไม่ใช่การให้ความหวังบนพื้นฐานที่ไม่มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจ

น้ำท่วมใหญ่ประเทศไทย เป็นสิ่งทีช่วยเผยให้เห็นศักยภาพและข้อจำกัดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ กลบภาพ “นารีขี่ม้าขาว” เป็นดาวดวงเด่นในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ปัญหาการจัดการน้ำไม่เพียงสะท้อนความล้มเหลวของราชการไทยที่ขาดประสิทธิภาพ มีหน่วยงานที่ทำงานซ้ำซ้อนกันในเรื่องการจัดการน้ำถึงสิบกว่าหน่วยงาน แต่ก็ขาดการประสานงานและข้อมูล น้ำท่วมครั้งนี้ก็ยังสะท้อนการทำงานที่ไม่เป็นเอกภาพของรัฐบาล และไม่สามารถดึงศักยภาพของคนที่ทำงานได้ออกมาใช้ และคนที่อยู่ในตำแหน่งก็ไม่ได้พิสูจน์ตัวเองว่าทำงานได้ ทำงานเป็นแต่อย่างใด

“เอาอยู่” กลายเป็นคำที่ถูกนำไปล้อเลียน ประชดประชัน รวมไปถึงการแต่งเพลงเสียดสีหลายเวอร์ชั่น ไม่นับการวิพากษ์วิจารณ์ที่แพร่หลายในโลกออนไลน์ วลี “เอาอยู่” ยังได้รับการเลือกให้เป็นวลีประจำนี้จากโพลล์ของชุมนุมรัฐศาสตร์ สโมสรนิสิตคณะสังคมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ด้วย


เพลง “เอาอยู่” หนึ่งในหลายๆเวอร์ชั่นที่เผยแพร่ผ่านยูทูปว์

หลังน้ำลด ก็เป็นโอกาสอีกครั้งสำหรับนายกหญิงคนแรกของไทยว่า เธอจะสามารถเป็นผู้นำในการฟื้นฟูประเทศได้มีประสิทธิภาพเพียงใด ขณะที่คะแนนนิยมกำลังตกต่ำลงและความขัดแย้งในการเมืองไทยรอบหลายปีที่ผ่านมา ก็ยังไม่ได้ยุติลง และฝ่ายตรงข้ามของพรรคเพื่อไทยก็เตรียมมาตรการไว้หลายแนวทางในการเขย่า รัฐบาลในปีหน้า ก็ต้องพิสูจน์กันอีกทีว่า ยิ่งลักษณ์ ในฐานะผู้นำประเทศที่ได้รับเสียงข้างมากจากประชาชนจะ “เอาอยู่” หรือไม่

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

6 กลุ่มนักศึกษาประณามเครือผู้จัดการกรณีข่าวก้านธูป

ที่มา ประชาไท

นักศึกษา 6 กลุ่มนำโดย สนนท. ออกแถลงการณ์ประณามเครือผู้จัดการกรณีเสนอข่าวละเมิดสิทธิ "ก้านธูป" พร้อมเรียกร้องให้สมาคมนักข่าว-กรรมการสิทธิออกมาทำงาน

หมายเหตุ: เมื่อวานนี้ (30 ธ.ค.) องค์กรนักศึกษา 6 กลุ่ม ได้แก่ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย กลุ่มประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน กลุ่มประชาคมศิลปากรเพื่อประชาชน กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย กลุ่มประชาคมมหิดลเสรีเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์ ได้เผยแพร่แถลงการณ์กรณีเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ นำเสนอข่าว “ธรรมศาสตร์ในวันที่อ้าแขนรับ “ก้านธูป”” มีรายละเอียดดังนี้

00000

จดหมายเปิดผนึกถึง ผู้จัดการออนไลน์, สมาคมนักข่าวฯ, กรรมการสิทธิ์, และอมธ.

จากกรณีที่เว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์หรือ ASTV ได้นำเสนอข่าวในวันที่ 26ธันวาคม 2554 เวลา 16:46 น. โดยใช้หัวเรื่องว่า “ธรรมศาสตร์ในวันที่อ้าแขนรับ “ก้านธูป”” ซึ่งเนื้อหามีการเขียนถ้อยคำโจมตีตัวบุคคลอย่างรุนแรง นำเสนอข้อความอย่างเป็นเท็จ และยังเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลผู้อื่นอย่างร้ายแรง โดยไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อสาธารณะ และยังเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ตามรัฐธรรมนูญในมาตราที่ 35 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า สิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง ตลอดจนความเป็นอยู่ส่วนตัวย่อมได้รับความคุ้มครอง การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความหรือภาพไม่ว่าด้วยวิธีใดไปยังสาธารณ ชน อันเป็นการละเมิดหรือกระทบถึงสิทธิของบุคคลในครอบครัว เกียรติยศ ชื่อเสียง หรือความเป็นอยู่ส่วนตัวจะกระทำมิได้ เว้นแต่กรณีที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากการแสวงประโยชน์โดยมิชอบจากข้อมูล ส่วนบุคคลที่เกี่ยวกับตน ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายบัญญัติ

เราเห็นว่าบทบาทของผู้จัดการออนไลน์ในฐานะสื่อมวลชนควรนำเสนอข้อมูลอย่าง ตรงไปตรงมาไม่บิดเบือนและสร้างข้อมูลที่เป็นเท็จอันนำไปสู่ความแตกแยกของ ประชาชน การนำข้อมูลมาบิดเบือนแต่งเติม เพื่อโจมตีตัวบุคคลนั้น เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและกล่าวได้ว่าไร้จรรยาบรรณของสื่อมวลชนอย่างยิ่ง แม้ว่าสิ่งที่ทางผู้จัดการออนไลน์กล่าวหาจะเป็นความจริงหรือไม่ก็ตาม หรือบุคคลที่ถูกกล่าวหาจะกระทำการดังเช่นว่าจริงหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็เป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลตามรัฐธรรมนูญ เราขอแสดงจุดยืนในการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวโดยที่ เจ้าตัวไม่ยินยอมของผู้ถูกกล่าวหา และจะไม่ยอมให้ผู้จัดการออนไลน์ในฐานะสื่อมวลชนกระทำการที่เห็นแก่ความสะใจ เพียงอย่างเดียว เหยียบย่ำความเป็นมนุษย์และลิดรอนสิทธิเสรีภาพของนักศึกษาประชาชนอย่างเป็น อันขาด

เราขอประณามการกระทำเหล่านี้และเรียกร้องให้ผู้จัดการออนไลน์ในฐานะสื่อ มวลชนแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลนี้ด้วยการนำข่าว ดังกล่าวออก และหยุดการเผยแพร่ข่าวดังกล่าว เพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดและนำไปใช้ในการเผยแพร่หรืออันจะก่อให้เกิดความ เสียหายต่อบุคคลต่อไป และยังเป็นการส่งเสริมการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งไม่ควรจะเกิดขึ้นในสังคมประชาธิปไตย

ทั้งนี้เราขอเรียกร้องไปยังสามองค์กรหลักต่อไปนี้ที่มีความเกี่ยวข้องกับ ประเด็นดังกล่าว ไม่ให้นิ่งเฉยต่อการกระทำที่ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นนี้ ได้แก่

1. สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ต้องออกมาตรวจสอบจรรยาบรรณของสื่อที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลโดยการนำข้อมูล ส่วนบุคคลมาเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต อีกทั้งยังนำเสนอข้อมูลอันไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเป็นความจริง และก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลในข่าว

2. คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ต้องออกมาปกป้องสิทธิส่วนบุคคลที่มนุษย์ทุกคนพึงมี และตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนว่าด้วยการหมิ่นประมาทและเผยแพร่ข้อมูลส่วน บุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต

3. องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ต้องออกมาแสดงจุดยืนในการปกป้องนักศึกษาของตนที่ถูกคุกคาม

เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าผู้จัดการออนไลน์ในฐานะสื่อมวลชน จะมีจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสังคม ตระหนักถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มากพอที่จะทำตามข้อเรียกร้องของเรา และเราหวังอย่างยิ่งว่าองค์กรหลักที่เกี่ยวข้องดังที่กล่าวมาข้างต้นจะไม่ นิ่งเฉยกับปัญหาเหล่านี้ มิฉะนั้นแล้ว องค์กรเหล่านี้จะมีไว้เพื่ออะไร

ด้วยจิตคารวะ
สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย
กลุ่มประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน
กรุมประชาคมศิลปากรเพื่อประชาชน
กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มประชาคมมหิดลเสรีเพื่อประชาธิปไตย
กลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์

ไอซีที' ย้ำอีก นักท่องเว็บอย่า 'ไลค์-แชร์-เม้นต์' เว็บหมิ่นฯ

ที่มา ประชาไท

เผยพบการนำพระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์ ดัดแปลง ตัดต่อ แสดงข้อความ ความคิดเห็นไม่เหมาะสม หมิ่นสถาบันฯ ตามเว็บไซต์ เฟสบุก หรือ ทวิตเตอร์ ชี้อย่ากด “ถูกใจ” (like) “แบ่งปัน” (shared) หรือ “แสดงความคิดเห็น” (comment) อาจจะผิด กม.

เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. 54 ที่ผ่านมา กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (หรือ ICT) แจ้ง ข่าวว่า น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ปัจจุบันในเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้มีการนำพระบรมฉายาลักษณ์ พระบรมสาทิสลักษณ์ มาดัดแปลง ตัดต่อ รวมถึงแสดงข้อความ หรือความคิดเห็นที่ไม่เหมาะสม มีลักษณะหมิ่นสถาบันฯ ตามเว็บไซต์ เฟสบุก หรือ ทวิตเตอร์ เพิ่มมากขึ้น ซึ่งถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่กระทบต่อจิตใจของประชาชนชาวไทย และสร้างความแตกแยกในสังคม โดยการกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ได้

ดังนั้น กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จึงขอความร่วมมือประชาชนหากพบเห็นสื่อออนไลน์ เว็บไซต์ หรือเฟสบุก ที่มีภาพหรือมีการแสดงข้อความอันมีลักษณะดูหมิ่น หรือไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โปรดอย่ากด “ถูกใจ” (like) “แบ่งปัน” (shared) หรือ “แสดงความคิดเห็น” (comment) ไม่ว่าจะเป็นการตำหนิ ตอบโต้ในรูปแบบใดก็ตาม เพราะการกระทำดังกล่าวที่อาจเกิดขึ้นโดยความตั้งใจ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์เหล่านั้น ล้วนแต่เป็นการสร้างความแตกแยกในสังคมให้มากขึ้น และยังเป็นการบ่อนทำลายความสามัคคีของคนในชาติ นอกจากนั้นยังเป็นการทำให้ภาพหรือข้อความอันไม่เหมาะสม แพร่กระจายเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน หากมีการพบเห็นเว็บไซต์ เฟสบุค ทวิตเตอร์ หรือสื่อออนไลน์ต่างๆ เผยแพร่ภาพ หรือมีข้อความหมิ่นสถาบันฯ ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้ผู้พบเห็น หรือรู้สึกว่าไม่ถูกต้องตามจารีตประเพณีอันดีงาม ก็อย่าได้ด่วนแสดงความคิดเห็นตำหนิติเตียน ตอบโต้ เนื่องจากเว็บไซต์ เฟสบุค ทวิตเตอร์ สื่อออนไลน์อื่นๆ นั้น อาจเกิดจากการที่กลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดีแอบอ้างใช้ภาพ รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวของบุคคลอื่นมาปลอมแปลงในลักษณะที่เรียกว่า Impersonation ซึ่งเป็นภัยออนไลน์ที่เกิดจากการที่ผู้ไม่ประสงค์ดีสร้างเครือข่ายสังคมออ นไลน์ปลอมเพื่อหลอกลวงให้ผู้อื่นเชื่อว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์ดังกล่าวเป็น ของบุคคลผู้นั้น การแสดงความคิดเห็นตอบโต้หรือตำหนิ จึงอาจเป็นการให้ร้ายตำหนิผู้บริสุทธิ์และสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่ผู้ถูก แอบอ้าง รวมถึงอาจทำให้ความเป็นธรรมในสังคมเสื่อมลง ดังนั้น ผู้พบเห็นจึงควรพิจารณาและต้องตระหนักอย่างรอบคอบ

หากประชาชนผู้ใดพบเจอเว็บไซต์ หรือสื่อออนไลน์ที่มีลักษณะดังกล่าวโปรดแจ้งกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร ผ่านทางหมายเลขโทรศัพท์ 1212 หรือ อีเมล์ 1212@mict.mail.go.th เพื่อดำเนินคดีหรือยุติการเผยแพร่ตามกฎหมาย ส่วนผู้ที่ถูกกระทำ Impersonation ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ควรดำเนินการเก็บรวบรวมหลักฐานเมื่อทราบว่ามีผู้กระทำ Impersonation โดยแอบอ้างชื่อเรา และควรจะแจ้งให้ผู้ใช้อื่นที่ติดตามเราในเครือข่ายทราบว่าเครือข่ายสังคมออ นไลน์ดังกล่าวไม่ใช่ตัวตนของเราพร้อมแจ้งให้ทราบว่าการสนทนาต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นการสนทนาของเราด้วย

จากนั้นดำเนินการแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบ เช่น สำนักป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และให้หน่วยงานดังกล่าวดำเนินการออกหนังสือในการยื่นคำร้องขอ IP Address จากทางบริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ เพื่อเป็นหนึ่งในหลักฐานในการสืบหาตัวผู้กระทำผิดและเป็นหลักฐานในการดำเนิน การทางกฎหมายต่อไป

สวัสดีวันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ๒๕๕๕

ที่มา blablabla

โดย

ภาพถ่ายของฉัน

แสงแดดส่อง ต้องกาย จนคลายหนาว
ท้องฟ้าสวย ผ่องสกาว พราวสดใส
ส่งรอยยิ้ม สื่อสาร สราญใจ
รับงูใหญ่ สวัสดี ปีมะโรง....

ส่งคำรัก สลักวลี รับปีสวย
ให้ร่ำรวย สมหวัง ดั่งประสงค์
ให้แคล้วคลาด ไร้เหตุ เจตจำนงค์
ใครมึนงง จงเริงร่า ถ้วนหน้ากัน....

คนที่โสด ให้มีคู่ อยู่เคียงข้าง
ส่องนำทาง ชีวิต ตามสิทธิ์ฝัน
คนเคยรัก ให้รักเพิ่ม เติมผูกพัน
คนเกลียดกัน ให้คืนรัก สลักใจ....

หากเดินทาง ใกล้ไกล ปลอดภัยด้วย
บุญหนุนช่วย นำทาง สว่างไสว
แม้นเหน็ดเหนื่อย จงหายพลัน ในทันใด
สวัสดี มีชัย ปีใหม่เทอญ....


จากใจ ๓ บลา / ๓๑ ธ.ค.๕๔

blognone: ความเห็นเชิงเทคนิคต่อคดีนายอำพล (อากง SMS)

ที่มา Thai E-News

ที่มา เว็บไซต์ blognone
30 ธันวาคม 2554

เมื่อวันที่ 14 ธันวาคมที่ผ่านมาผมได้ไปร่วมงานเสวนา "สิทธิพลเมืองกับหลักฐานอิเล็กทรอนิกส์" ที่จัดโดย Thai Netizen การพูดครั้งนั้นมีผลมากกว่าที่ผมคิด คือหนังสือพิมพ์และสื่อหลายฉบับนำข้อมูลไปอ้างอิง เช่น กรุงเทพธุรกิจ, The Nation, และเจาะข่าวตื้น ข้อมูลในงานนั้นเป็นข้อมูลที่ได้ผ่านทาง iLaw ที่นัดแนะให้ผมเข้าไปดูเอกสารสำนวนคดีที่ทางฝั่งจำเลยได้รับมา เนื่องจากเวลาในงานนั้นมีจำกัด และกลุ่มผู้ฟังไม่ใช่คนในสายวิชาการนัก ผมจึงตัดสินใจมาเขียนบทความอีกครั้งใน Blognone

บทความนี้เป็นการชี้ว่าด้วยหลักฐานเท่าที่มี มันมีความเป็นไปได้อื่นๆ อีกจำนวนมาก และหากยึดมาตรฐานว่าหลักฐานเท่านี้เพียงพอต่อการดำเนินคดีและลงโทษ อาจจะทำให้เกิดการใส่ร้ายป้ายสีหรือการสวมรอยบุคคลอื่นๆ ทำความผิดตามมาได้อีกมากมาย

ข้อเท็จจริงในคดี

หลายคนอ่านจากหลายที่แล้วอาจจะเจอข้อเท็จจริงไปแบบต่างๆ อย่างใน Blognone เองที่คุยกันก็มีความสับสนมาก จึงข้อไล่ข้อเท็จจริงกันก่อน

  1. หลักฐานข้อความคือภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์จำนวน 4 ภาพ เป็นภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์
  2. การส่งมีขึ้นในวันที่ 9, 11, 12, 22 พฤษภาคม 2553 จากหมายเลข "-3615" ในเครือข่าย DTAC เป็นหมายเลขไม่ลงทะเบียนชื่อผู้ใช้ ภายหลังตรวจพบว่ามีข้อความที่หมายเลขนี้ส่งข้อความไปมากกว่านั้น แต่ไม่มีข้อมูลว่าเป็นข้อความอะไร
  3. หมายเลข IMEI ที่ใช้งานกับหมายเลข -3615 นั้นคือ 358906000230110
  4. เจ้าหน้าที่ค้นหาว่าหมายเลข 358906000230110 มีการใช้งานกับหมายเลขใดอีกบ้าง จึงพบว่ามีการใช้งานกับหมายเลข "-4627" ในเครือข่าย True แบบไม่ลงทะเบียนผู้ใช้อีกครั้ง
  5. แต่จากการตรวจสอบการใช้งานของหมายเลข "-4627" พบว่ามีการติดต่อกับอีกหมายเลขหนึ่ง เป็นหมายเลขลงทะเบียน ภายหลังจึงทราบว่าเป็นหมายเลขของลูกสาวคุณอำพล
  6. Cell ID ของ DTAC ที่ใช้ส่ง SMS คือ Cell ID หมายเลข 23672 กินพื้นที่ซอยวัดด่านสำโรง ซอย 14 ถึง 36 โดยบ้านนายอำพลอยู่ที่ซอย 32 และ Cell ที่หมายเลข -4627 ใช้งานนั้นอยู่บริเวณเดียวกัน
  7. หมายเลข -3615 และ -4627 ใช้งานในเวลาใกล้เคียงกัน และไม่เคยใช้งานในเวลาเดียวกัน
  8. log เป็น log การใช้งานบันทึกช่วงเวลาที่มีการรับส่งต่างๆ โดยตลอดทั้งวันมี SMS เข้าหมายเลข -4627 เป็นช่วงๆ ในเรื่องนี้คำพิพากษาฉบับเต็ม (PDF) ได้ระบุไว้ว่าหมายเลข -4627 นั้นมีการส่ง SMS จำนวนมาก ผมไม่แน่ใจว่าเอกสารที่ผมเห็นครบถ้วนหรือไม่ แต่เท่าที่เห็นคือมีแต่การรับเท่านั้น
  9. ภายหลังการจับกุม เจ้าหน้าที่ได้ส่งตัวเครื่องไปเพื่อหาว่ามีการแก้หมายเลข IMEI หรือไม่ และหาข้อความที่อาจจะเหลือหลักฐานในเครื่อง แต่เครื่องเสียหายจนไม่สามารถตรวจสอบหมายเลข IMEI จากเครื่องได้ (ตรวจได้จากสติกเกอร์หลังเครื่องเท่านั้น) ทำให้ไม่สามารถตรวจหน่วยความจำในเครื่องได้อีกเช่นกัน ที่เหลือคือข้อมูลในการ์ด micro SD ที่เจ้าหน้าที่ระบุว่าได้ดัมพ์ลง CD ให้แล้ว (ไม่พบเอกสารว่ามีข้อมูลอะไรภายใน)

หมายเลข IMEI


ประเด็นว่าหมายเลข IMEI ว่าปลอมได้หรือไม่นั้นคงเป็นประเด็นที่มีการพูดกันมากแล้วว่าปลอมได้ ในบางรุ่นแทบไม่ต้องใช้เครื่องมือพิเศษใดๆ มากไปกว่าสาย USB และซอฟต์แวร์ เท่านั้น


ประเด็นที่ควรกังวลอีกประเด็นหนึ่งคือแม้เราจะไม่รู้หมายเลข IMEI ของคนทั่วไปเพราะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมัน แต่ในทางปฎิบัติแล้วหมายเลข IMEI ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด เครื่องส่วนมากสามารถดูหมายเลข IMEI ได้ด้วยการกด *#06# ในส่วนสติกเกอร์นั้นมักติดอยู่ใต้แบตเตอรี่ ตัวกล่องโทรศัพท์เองมักมีหมายเลข IMEI บอกไว้ภายนอกกล่อง หมายเลขนี้จะผ่านตาคนจำนวนมาก เช่น พนักงานขาย โทรศัพท์มือถือ หรือคนซ่อมโทรศัพท์ ฯลฯ ต่างจากหมายเลขที่เป็นความลับเช่นรหัสบัตรเอทีเอ็ม ที่จะส่งมาในซองดำที่คอมพิวเตอร์ถูกออกแบบให้พิมพ์ตรงออกมายังซองปกปิด ไม่มีใครเห็นรหัส แม้แต่ตัวพนักงานผู้สั่งพิมพ์เอง

ภาพหน้าจอ

ผมเคยเขียนเรื่องนี้ไปแล้วครั้งหนึ่งว่าภาพหน้าจอไม่ใช่หลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นการสั่งเซฟหน้าจอโดยตรง หรือเอากล้องมาถ่ายภาพหน้าจอก็ตามที ในความเป็นจริงคือเราสามารถเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายในได้จนไม่เหลือพิรุธใดๆ และการกระทำเช่นนี้ใช้เวลาไม่นาน

การเปลี่ยนแปลงข้อความใน SMS ที่ได้รับมาเป็นหัวข้อที่ทำได้ไม่ยากในโทรศัพท์หลายรุ่น (Nokia, Android, iPhone) เมื่อผ่านการแก้ไขด้วยกระบวนการเหล่านี้ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะตรวจสอบความถูกต้องของข้อความว่าเป็นข้อความจริงด้วยภาพหน้าจอ

ความถูกต้องของ Log การใช้งาน

ในคำพิพากษามีส่วนหนึ่งระบุถึงความถูกต้องของ log ว่ามีผลสำคัญต่อความน่าเชื่อถือ แต่หากใครทันยุคโทรศัพท์อนาล็อก (ระบบ AMPS) อาจจะจำได้ว่ายุคหนึ่งฝันร้ายของคนใช้โทรศัพท์มือถือคือการถูกจูนโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายจำนวนมากจากเหยื่อที่ไม่ได้ใช้งาน ทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างผู้ใช้กับผู้ให้บริการอยู่ต่อเนื่อง แม้แต่ในปัจจุบันนี้เอง ปัญหาการคิดค่าบริการผิด (ซึ่งก็คิดมาจาก log การใช้งานเหล่านี้) ก็ยังเป็นปัญหาสำคัญที่สบท. และกสทช. ต้องรับเรื่องแก้ไขกันเรื่อยมาจนเป็นปัญหาอันดับหนึ่งของวงการโทรคมนาคมไทย ในยุโรปเองเริ่มมีรายงานผู้ใช้ถูกจูนโทรศัพท์ในระบบ GSM กันบ้างแล้ว ปัญหาความไม่น่าเชื่อถือก็ยังอยู่กับวงการโทรคมนาคมต่อไปเหมือนที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้

ในด้านความปลอดภัยนั้น การโจมตีผู้ให้บริการเพื่อให้เกิด log ที่ผิดพลาดเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เช่น การจูนโทรศัพท์ในระบบ GSM ที่เพิ่งมีรายงานไม่กี่วันมานี้, การโจมตีด้วย De-Registration Spoof ที่มีรายงานมาตั้งแต่กว่าสิบปีก่อน ทำให้ผู้ให้บริการเข้าใจว่าเครื่องปลายทางมีการปิดเครื่องไป

ช่องโหว่ของระบบ GSM นั้นมีจำนวนมาก และความผิดพลาดในการออกแบบจำนวนหนึ่งได้รับการแก้ไขไปในระบบ 3G รายงานช่องโหว่ส่วนมากปรากฏอยู่ในรายงานเชิงเทคนิคของ 3GPP (PDF) ซึ่ง 3GPP เป็นหน่วยงานออกมาตรฐานในระบบ 3G เอง

การใช้งานสลับกัน

การใช้งานสลับกันเป็นหัวข้อที่คงพูดถึงกันมากที่สุดต่อจากการปลอม IMEI ในคดีนี้คือการใช้งานสลับกัน อย่างที่ได้กล่าวในหัวข้อที่แล้วว่าการ "หลอก" ผู้ให้บริการว่าเครื่องออกจากระบบนั้นทำได้ แต่หากต้องการกระทำเช่นนั้นจริง มีวิธีที่ง่ายกว่ามากคือการรบกวนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ



เครื่องรบกวนสัญญาณมือถือเป็นปัญหาอย่างหนึ่งในระบบการควบคุมการนำเข้า อุปกรณ์วิทยุในประเทศไทย ขณะที่การปล่อยคลื่นที่ต้องได้รับอนุญาตล่วงหน้าจากกสทช. เช่นนี้ทำไม่ได้ตามกฏหมาย แต่อุปกรณ์เหล่านี้กลับมีวางขายอยู่ทั่วไปในหลายขนาดหลายราคา ตั้งแต่ 10-100 เมตร และมีการใช้งานทั่วไปตามห้องประชุม หรือสถานที่ต่างๆ

การที่ log ไม่แสดงว่ามีการใช้งานทับช่วงเวลากัน แล้วถือว่า log เช่นนั้นเป็นการยืนยันว่าข้อความถูกส่งออกมาจากเครื่องเดียวกันจริง ทั้งที่ไม่สามารถตรวจสอบจากตัวเครื่องได้ จะสร้างคำถาม และเปิดช่องให้มีการโจมตีกันได้อีกมาก เช่น หากมีคนมีความตั้งใจจะโจมตีใส่ร้ายผู้อื่นว่าเป็นผู้กระทำความผิด เขาต้องการเพียงรู้หมายเลข IMEI แล้วจัดหาเครื่องตัดสัญญาณที่แรงพอ เดินออกไปนอกเขตทำการของเครื่องตัดสัญญาณแล้วใช้เครื่องที่ปลอมแปลงมาส่งข้อ ความออกไป ทั้งหมดไม่ต้องแตะต้องเครื่องที่ถูกโจมตีหรือใช้ความรู้พิเศษไปกว่าความรู้ ทั่วไปที่ช่างซ่อมโทรศัพท์ทั่วไปสามารถทำได้

การพิสูจน์ตัวตน

ด้วยข้อสงสัยทั้งหมด ผมยังคงตั้งคำถามว่าหากเราสามารถหาหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเครื่อง ที่ใช้กระทำความผิดนั้นเป็นเครื่องที่จับกุมได้จริง เจ้าหน้าที่ควรต้องหาหลักฐานยืนยันตัวผู้กระทำเพิ่มเติมหรือไม่ ก่อนหน้านี้คดีทางคอมพิวเตอร์ เจ้าหน้าที่เคยระมัดPublish Postระวังในเรื่องพิสูจน์ตัวบุคคลถึงกับซุ่มจับขณะที่ใช้งานคอมพิวเตอร์หน้าเครื่อง แม้จะมีประเด็นคำถามอื่นๆ ต่อความถูกต้องในการจับกุมว่าผู้ต้องหาได้รับสิทธิต่างๆ อย่างครบถ้วนหรือไม่ แต่คำถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับมาตรฐานการพิสูจน์ตัวตนผู้กระทำความผิดที่คดีนี้ ใช้เพียง log ที่ชี้ไปยังโทรศัพท์เครื่องหนึ่งเท่านั้น

คำถามสำคัญต่อเจ้าหน้าที่ในเรื่องนี้คือมาตรฐานของหลักฐานว่าเพียงพอต่อการ ดำเนินคดีหรือไม่นั้นอยู่ตรงไหน และคำถามสำคัญต่อสังคมคือเราจะเอามาตรฐานนี้จริงๆ หรือเปล่า?

วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ไม่ดีแต่พูดอีกแล้ว

ที่มา การ์ตูนมะนาว



อานนท์ นำภา: บุคคลแห่งปีสำหรับผม นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล หรือ พี่หนุ่ม เรดนนท์

ที่มา Thai E-News


30 ธันวาคม 2554

โดย อานนท์ นำภา
ที่มา เฟสบุค อานนท์ นำภา


บุคคลแห่งปีสำหรับผม นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล หรือ พี่หนุ่ม เรดนนท์

พี่หนุ่มเป็นคนเสื้อแดงขนานแท้ที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงมาตลอด

พี่ หนุ่มถูกจับกุมในเดือนเมษายน ๒๕๕๓ ที่ห้องพักและถูกตั้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยกล่าวหาว่าโพสข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเป้นแอดมินของเว็ป นปชยูเอสเอ. ศาลพิพากษาจำคุกเขา ๑๓ ปี โดยลงโทษข้อหมิ่นโพสข้อความหมิ่นฯ ๒ กรรม กรรมละ ๕ ปี และฐานเป็นแอดมินของเว็ปไซต์ ๓ ปี

กระดาษ ที่ถูกปริ้นออกมาจากหน้าเว็ปไซต์ที่มีข้อความที่แสดงความคาดหวังว่าในหลวงจะ ออกมากอบกู้สถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดงเหมือนเหตุกาณ์เดือนพฤษภา ๓๕ และบทความที่ อ.ใจ ได้โพสในเว็ปไซต์ รวม ๓ แผ่น คือการกระทำที่ทำให้เขาติดคุกถึง ๑๓ ปี

อะไรที่ทำให้ผมคิดและเลือกให้พี่เขาเป็นบุคคลแห่งปีนะหรือ...

พี่ หนุ่ม นอกจากจะมีความเข้มแข็งมากๆ แล้ว พี่หนุ่มยังคงคอยแบ่งปันความเข็มแข็งและหัวใจนักสู้ไปยังเพื่อนๆผู้ต้องขัง ด้วยกันด้วย ก็นั่นแหละ ด้วยความมีน้ำใจของแกที่รับอาสาไปทั่ว หลายครั้งที่แกโดนซ้อมจากผู้คุมที่หัวขวาจัดที่ชื่อเสวียน หรือหัวหน้าเหวียน แดน ๘ แต่แกก็ยังยืนหยัด และเป็นความหวังของเพื่อนๆในเรือนจำ

พี่ หนุ่มจะคอยดูแลเพื่อนๆเสื้อแดงและเพื่อนๆคดีหมิ่น อากง , พี่หมี , สุรภัคดิ์ ,ณัฐ และอีกหลายๆคน คือครอบครัวของพี่หนุ่ม รวมทั้งยังคอยส่งข้อมูลผู้ต้องขังเสื้อแดงในเรือนจำออกมาเพื่อให้คนข้างนอก ได้รับรู้ข่าวคราวของคนข้างใน รายชื่อผู้ต้องขังเสื้อแดงทั้งหมดมาจากเขา

จดหมายนับร้อยถูกส่งออกมาบอกเล่าเรื่องราวร้อยพัน เขาทำไปทำไม...

" คุณอานนท์ หากผมพอจะช่วยพี่น้องเราได้ขอให้บอกผม ผมจะทำเต็มที่และทำด้วยชีวิตของผม และหากผมเป็นอะไรไป ช่วยบอกพี่นกให้ดูแลน้องเว็ปแทนผมด้วย ผมสู้มามาก เหนื่อยมามาก หากผมขอได้ ผมขอออกไปอยู่ดูแลลูกผม ผมอยากออกไปดูลูกชายวัยที่ลำลังเติบโต ซึ่งเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด และหากคนข้างนอกสู้กันต่อไปไม่ไหว ให้บอกผม... อย่าปิดผมเลย"

พี่หนุ่มคือคน ที่คิดโครงการ "ของขวัญสีแดง" ที่ให้มีกิจกรรมเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังทุกวันที่ ๑๙ บัญชีเงินฝากเขาจะถูกใช้อย่างน่าตกใจเพราะเขาคือที่พึ่งเดียวของเพื่อนๆใน เรือนจำ...เขาไม่เคยบ่น

แน่นอนว่าทั้งหลายทั้งปวงล้วนถูกแลก มาด้วยอิสระภาพ และคราบน้ำตาของเขา ผมยังเสียใจจนถึงทุกวันนี้ที่ทำให้เขาติดคุก ผมนึกถึงประโยคหนึ่งในหนังเรื่อง ชอล์แชงค์

"ทนายผมมันห่วย"

แทน ที่ผมจะเป็นคนที่ไปให้กำลังพี่หนุ่ม พี่หนุ่มกลับเป็นผู้ที่คอยให้กำลังใจผม และน่าจะรวมถึงเพื่อนร่วมงานของผมอีกหลายคนที่คอยเข้าไปแวะเวียนเยี่ยมเยือน พี่หนุ่มในเรือนจำ... เขาทำได้ไง...

เรื่องราวของคดีหมิ่นพระบรมเด ชานุภาพที่เดินทางมาถึงจุดนี้ได้ ความซับซ้อนและความกลัวที่ถูกทำลายลง ผมขอคารวะหัวใจ และน้ำใจอันงดงามของพี่หนุ่ม เรดนนท์

จนกว่าเราจะพบกันอีก....

อานนท์ นำภา
๒๙ ธ.ค.๕๔
สำนักกฎหมายราษฎรประสงค์

ตามมติชน ไปเยือน "เวทีวิชาการชาวบ้าน" ที่ "นาบัว"... ชุมชนแห่งนี้เข้มแข็งไม่ใช่น้อย

ที่มา Thai E-News

ส่ง ท้ายปีเก่า ทีมข่าวไทยอีนิวส์ ขอนำเสนอข่าวรูปธรรมวิถีชีวิตชาวบ้าน ที่เข้มแข็ง มีส่วนร่วม และมีการเชื่อมประสานกันระหว่างชุมชน อ่านแล้วอิ่มเอมใจ ด้วยเห็นประกายแห่งความหวัง

เพราะแม้เมืองกรุงจะ วุ่นวายกันเรื่อง ไล่จับคนเข้าคุกด้วยมาตรา 112 แต่ชนบทไกลปืนเที่ยง เขาขยับก้าวหน้า ในการดำรงรักษาวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น และสร้างทางเลือกการดำเนินวิถีชีวิตได้อย่างเข็มแข็ง ที่สอดประสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ในวิถีชีวิตเกษตรผสมผสานและปลอดสารพิษ เสริมรายได้ด้วยอาชีพจากฝีมือช่างพื้นบ้าน ตามปรัชญาชาวบ้านที่บอกว่า "ชีวิตผมต้องทำ ไม่ทำก็ไม่สำเร็จ"

ขอบคุณมติชน ที่นำเสนอข่าวดีๆ จุดประกายแห่งความหวัง และทำให้ชาวไทยอีนิวส์ มีเรื่องราวนำมาเผยแพร่ต่อ

30 ธันวาคม 2554
ที่มา มติชน
เรื่อง/ภาพ : ทิพาภรณ์ สุคติพันธ์


คริสต์มาสที่ผ่านมา คุณผู้อ่านไปทำอะไรมาบ้าง?
ไปถ่ายรูปกับต้นคริสต์มาส หรือว่าไปปาร์ตี้กับเพื่อนๆ?

แต่สำหรับชาวตำบลนาบัว จังหวัดพิษณุโลกนั้น พวกเขามีงาน "เวทีวิชาการชาวบ้าน" กันละ

อยากรู้ใช่ไหมว่า "เวทีวิชาการชาวบ้าน" เป็นอย่างไร
วันนี้ มติชนออนไลน์จะพาไปรู้จักกัน

แต่ก่อนอื่นๆเรามารู้จักกับ "ตำบลนาบัว" อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก กันก่อนดีกว่า

ตำบล นาบัวมีหมู่บ้านทั้งหมด 15 หมู่บ้าน โดยหมู่ที่ 15 บ้านน้ำแจ้งพัฒนา หรือ "บ้านภูขัด" นั้นมีชาวม้งอาศัยอยู่ "ภูขัด" ยังเป็นชุมชนชาวม้งที่ใหญ่โตใช่เล่น เพราะมีประชากรอาศัยอยู่ถึงพันกว่าคน

ชุมชนเขาใหญ่ไหมล่ะ ?

คุณผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าทำไม ตำบลนี้ถึงต้องชื่อ "นาบัว"

ที่มาก็คือ นาข้าวของตำบลนี้ เวลาปลูกข้าวจะมีดอกบัวดอกเล็กๆผุดขึ้นมาเต็มท้องนา แทรกไปกับต้นข้าวมากมาย

ทำให้ใครต่อใครพากันเรียกที่แห่งนี้ว่า "นาบัว"

แต่พอไปถามชาวบ้านว่า "นาบัว" ที่ว่านี้ อยู่ที่ไหน อยากจะเห็นสักครั้ง

ก็ได้รับคำตอบว่า ตอนนี้นาที่มีบัวผุดแทบจะไม่มีเหลือแล้ว เพราะชาวนาใช้รถไถทำนา "ไถที่นาแต่ละทีก็ไปทำลายรากบัวในดินตายหมด"

นอกจากที่มาของชื่อซึ่งน่าสนใจแล้ว ตำบลนี้ยังมีเรื่องน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ

พื้นที่ บางส่วนของตำบลนี้ เคยเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่สู้รบกับ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) เนื่องจากแถบนี้เป็นภูเขาสลับซับซ้อน แถมยังอยู่ติดกับภูหินร่องกล้าอีกด้วย

เห็นไหมว่า ตำบลนี้มีแต่เรื่องน่าสนใจ

- - -

เมื่อ วันที่ 25 - 26 ธันวาคมที่ผ่านมา มติชนออนไลน์ได้มีโอกาสติดตามคณะสสส.ที่มีนายสมพร ใช้บางยาง ประธานกรรมการบริหารแผนคณะที่ 3 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และนางสาวดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) เป็นผู้นำคณะเพื่อไปร่วมงาน "เวทีวิชาการชาวบ้าน"

ชาวนาบัว


เวทีวิชาการชาวบ้าน คืออะไร?

เรามาทำความรู้จักกับ "เวที" ที่ว่ากันดีกว่า

เวทีวิชาการชาวบ้าน ณ ตำบลนาบัว เป็นการเปิดพื้นที่ให้ประชาชนในตำบลได้มาแสดงความคิดเห็น นำเสนอปัญหา และนำเสนอผลงานของแต่ละหมู่บ้าน

ให้ คนในหมู่บ้านอื่นได้รับรู้ และยังได้เสนอปัญหาไปยังเจ้าหน้าที่ปกครองในตำบล อำเภอ จังหวัด ให้รับรู้ปัญหาและเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาต่อไปให้อีกด้วย

เวทีวิชาการชาวบ้านจะจัดขึ้นในวันที่ 8 มกราคมของทุกปี ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีที่ 15 แล้ว

โดยเจ้าภาพที่จัดจะเวียนกันไป ปีละ 1 หมู่บ้าน

หมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพจะต้องรับหน้าที่จัดการงานทุกอย่างให้เรียบร้อย

มีเวลาเตรียมตัว-เตรียมความพร้อม 1 ปี

ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ เป็นหน้าเป็นตาของหมู่บ้านเจ้าภาพเป็นอย่างมาก

- - -


ในปีนี้หมู่บ้านที่ได้รับเป็นเจ้าภาพจัดงานคือ หมู่ที่ 15 บ้านน้ำแจ้งพัฒนา หรือบ้านภูขัดนั่นเอง

แต่ปีนี้มีความพิเศษกว่าปีก่อนๆก็คือ ชาวภูขัดได้ขอจัดงานในวันที่ 26 ธันวาคม

เนื่องจากในวันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันปีใหม่ม้ง ซึ่งต้องมีการจัดงานเลี้ยงฉลองกัน

หากจะจัดงานวันเวทีวิชาการชาวบ้าน ในวันที่ 8 มกราคม เหมือนเช่นทุกปีนั้น
ทางผู้ใหญ่บ้านภูขัด บอกว่า ทางชาวภูขัดไม่สะดวก

เพราะ การเดินทาง จัดหาของจำเป็นขึ้นไปจัดงานที่ภูขัดนั้น ทำได้ลำบาก เนื่องจากทางขึ้นไปยังยอดภูยังเป็นทางดิน ที่ไม่ง่ายต่อการเดินทาง

หากจะจัดนั้น ก็ขอจัดให้ติดกับวันปีใหม่ม้งเลย
จะได้จัดให้เสร็จเรียบร้อยไปภายในระยะเวลาใกล้ๆ กัน

ซึ่งชาวนาบัว ก็ไม่ขัดข้อง

- - -


ก่อนที่เราจะไปพบกับบรรยากาศของงานเวทีวิชาการชาวบ้านในวันที่ 26 ธันวาคม

ทางชาวนาบัวได้พา มติชนออนไลน์และคณะไปพบกับศูนย์การเรียนรู้ของชาวนาบัว ซึ่งมีอยู่ 3 ศูนย์ด้วยกัน

ศูนย์การเรียนรู้แรกที่เราได้ไปคือ "ภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมชุมชน"

ศูนย์นี้จะมีการสาธิตและแสดงผลงานอยู่หลายอย่าง ได้แก่


การแทงหยวก

การแทงหยวกมีวิทยากรคือลุงมงคล สีดารักษ์ คุณลุงได้สาธิตการแทงหยวกประดับบน "แลแห่นาค" ที่มีไว้ให้นาคได้ขึ้นไปนั่งแห่ไปที่วัด

หยวกที่ใช้สำหรับแลแห่นาคนั้น จะต้องแทงเป็นรูปพญานาค (แต่หากประกอบงานอื่นๆก็เป็นรูปอื่นๆแล้วแต่กันไป)

ลุงมงคล


แล 1 แล ใช้ได้แค่ครั้งเดียว เพราะระหว่างที่แห่แลไป คนแบกแลก็จะเขย่าแลไปตลอดทาง
นาคก็ต้องระวังไม่ให้ตัวเองตกแล และพอใช้เสร็จส่วนมากแลก็จะพัง เพราะโดนเขย่านี่แหละ

แต่ลุงบอกว่า ตอนนี้ไม่ค่อยมีใครทำแลกันแล้ว
เพราะการจะแห่ด้วยแลนั้น ต้องมีการจัดงานฉลอง 3 วัน 3 คืนคู่กันไป
ทำให้สิ้นเปลืองมาก คนจึงไม่นิยมแห่ด้วยแล

แต่ถ้าจะให้ลุงทำ ลุงก็คิดค่าทำแค่ถูกๆนะ ลุงมงคลว่า

และเมื่อมีคนถามว่า แลนี้นั่งได้กี่คน ลุงแกตอบกลับมาว่า นั่งได้คนเดียว แฟนนาคห้ามนั่ง!

เกร็ดความรู้เกี่ยวกับแลอีกอย่างหนึ่งก็คือ
แลแห่นาคนั้นห้ามผู้หญิงจับ ห้ามคนที่ไม่ได้รับอนุญาตจับ
ไม่งั้นหัวจะล้าน! ลุงเคยเห็นมาแล้ว


อีกผลงานหนึ่งที่มีการนำมาโชว์ คือ การทำเครื่องดนตรีไทย เช่น ซออู้ ซอด้วง

ลุงสำราญ หมื่นพันธ์ ได้เล่าถึงวิธีการทำซออย่างน่าสนุก พร้อมกับเล่าว่า สายซอนั้น ลุงเอาสายเบรกจักรยานที่ทิ้งแล้วมาทำ

เมื่อถามว่า แล้วถ้าเค้าไม่ทิ้งล่ะ ลุงจะทำอย่างไร?

ลุงแกตอบว่า ถ้าเขาไม่ทิ้ง เราก็ไม่ได้ทำ
เป็นซอที่ขึ้นอยู่กับชะตาชีวิตจักรยานจริงๆ

เมื่อถามต่อว่า ทำไมลุงถึงทำซอ?
ลุงตอบอย่างยิ้มแย้มว่า ก็เพราะใจรัก ตนเล่นซอมาตั้งแต่เด็ก เลยหัดทำ

การได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักนี่มันช่างดีจริงๆ ว่าไหม ?


- - -


จากฐานการเรียนรู้นี้ เรายังได้รู้จักพิธีการเลี้ยงผีปู่ของชาวนาบัว

ชาวนาบัวจะเลี้ยงผีปู่ประมาณ เดือน 4 - เดือน 7 ในช่วงฤดูทำนา แต่ละหมู่บ้านจะเลี้ยงผีปู่ไม่พร้อมกัน

ในการเลี้ยงผีปู่นั้น จะมีการแก้บนของชาวนาบัวในงานอีกด้วย
ชาวนาบัวจะแก้่บนในพิธีเลี้ยงผีปู่ปีละ 1 ครั้งเท่านั้น (ไม่ว่าจะบนไว้กี่ครั้งก็ตาม)

นอกจากนี้ ยังมีพิธีปักธงของแต่ละหมู่บ้าน

จากการสอบถามนายประเจตน์ หมื่นพันธ์ นายกอบต.นาบัว ว่าประเพณีนี้เป็นอย่างไร

นายประเจตน์ บอกว่า ในช่วงวันสงกรานต์ ชาวนาบัวจะนำธงไปปักไว้ที่วัด

เมื่อ สิ้นสุดเทศกาลสงกรานต์ แต่ละหมูบ้านจะเลือกธงจากที่ปักไว้มาเพียงหมู่บ้านละ 1 ธง เพื่อนำไปปักไว้ที่เนินเขาของแต่ละหมู่บ้าน โดยแต่ละหมู่บ้านจะมีเนินที่สูงที่สุดประจำหมู่บ้าน 1 เนิน

เป็นการแสดงให้เห็นว่า ใครจะไปตัดไม้ทำลายป่าบริเวณนั้นไม่ได้

เพราะป่าคือซูเปอร์มาร์เก็ตของชาวบ้าน
เป็นแหล่งอาหารที่ชาวบ้านหวงแหน

หากปีใด หมู่บ้านไหน ไม่นำธงไปปัก ปีนั้น หมู่บ้านนั้นจะได้รับภัยพิบัติ ฝนฟ้าจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล

เป็นกุศโลบายในการอนุรักษ์ป่าไม้ที่ดีจริงๆ


- - -


ศูนย์การเรียนรู้ที่ 2 คือ "ศูนย์การเรียนรู้เกษตรผสมผสาน" ของลุงทวี สีดารักษ์ หรือลุงแปว

สวนของลุงเป็นการทำเกษตรแบบผสมผสานอย่างแท้จริง

เช่น เมื่อหมดหน้านา ลุงก็ปลูกข้าวโพดบนที่นาแทน

บ่อเลี้ยงปลาของลุง มีเล้าไก่อยู่ข้างบน

มีการเพาะพันธุ์กบ เพาะพันธุ์ปลาจำนวนมาก

มีวิธีเพาะเห็ด โดยไม่ต้องทำโรงเพาะ

วิธีการไล่แมลงศัตรูพืชก็ใช้วิธีการรมควัน ไม่ใช้สารเคมีใดๆทั้งสิ้น

บ่อกบ

บ่อกบ (2)

บ่อเพาะพันธุ์ปลา

ลุงได้เริ่มทำการเกษตรผสมผสานมาตั้งแต่ปี 2539

พอทำสำเร็จก็มีคนเข้ามาศึกษา เริ่มมีคนมาขอพันธุ์ปลา พันธุ์กบ
ลุงแกก็ให้ไปฟรีๆ

ลุงแปวบอกว่า สวนของลุงเป็นสวนปลอดสารเคมี
ลุงมีพอกินพอใช้ ไม่ต้องไปซื้อหา อยู่อย่างพอเพียง

ลุงยังบอกปรัชญาดำเนินชีวิตของแกอีกด้วยว่า
"ชีวิตผมต้องทำ ไม่ทำก็ไม่สำเร็จ"

แน่ะ .. คำคมลุงเท่มาก

อ้อ ที่สวนของลุงแปว ยังมีกระท่อมเล็กๆเป็นโฮมสเตย์ให้นักท่องเที่ยวได้เข้าพักด้วยนะ
น่าจะได้บรรยากาศดีไม่ใช่น้อย

เพาะเห็ด

ทุ่งข้าวโพดบนนาข้าว

ลุงแปว

- - -


ศูนย์การเรียนรู้ที่ 3 "กลุ่มดูแลสุขภาพด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้าน" ของนางเตือนใจ ขุมขำ

ศูนย์นี้เป็นศูนย์แนะนำสมุนไพรพื้นบ้านที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้

มีทั้งใบหนาด ที่นอกจากจะใช้ไล่ผีได้แล้ว (?) ยังใช้ขับลม แก้ปวดท้อง แก้โรคทางเดินหายใจต่างๆ
ต้มให้ผู้หญิงคลอดลูกใหม่ๆใช้ดื่มขับเลือดเสียได้ด้วย

อีกทั้งใบพลับพลึงที่สามารถใช้แก้บวม แก้ฟกช้ำ และใบต่างๆอีกมากมายนับไม่ถ้วน

นอกจากนี้ก็ยังมีน้ำสมุนไพรให้ทดลองชิม

นอกจากสมุนไพรแล้ว ยังมีบริการนวดแผนไทย
ใครเมื่อยก็ลองไปนวดดูได้

ศูนย์สมุนไพร


ศูนย์การเรียนรู้นี้ ไม่ได้เป็นศูนย์ที่ให้บริการโดยตรงเหมือนกับโรงพยาบาล

ถ้าเจ็บป่วยเป็นอะไรมาก็จะดูแลให้ ไม่มีค่าใช้จ่าย แล้วแต่ศรัทธาของผู้มาใช้บริการ ศรัทธาให้เท่าไรกัน


- - -


เมื่อชาวนาบัวพามติชนออนไลน์และคณะเที่ยวชมศูนย์การเรียนรู้ของตำบลจนจบแล้ว

ก็ถึงเวลาที่จะเดินทางขึ้นไปพักยัง "ภูขัด" หรือ "บ้านบน" ในคำเรียกของชาวนาบัว (ชาวนาบัวจะเรียกชาวม้งที่อาศัยอยู่บนภูขัดว่า บ้านบน เพราะการเรียกบ้านบน-บ้านล่าง จะให้ความรู้สึกสนิทสนมและไม่เป็นการดูถูกเชื้อชาติกัน)

รถที่จัดมารับขึ้นยอดภูขัดครั้งนี้
นายกอบต.ประเจตน์บอกว่า ได้จัด "รถเปิดประทุน" มาให้

เป็นรถเปิดประทุนหลายที่นั่ง ให้เลือกนั่งตามอัธยาศัย
ใช่แล้ว... "รถกระบะ" นั่นเอง

เหตุเพราะทางขึ้น ภูขัด นั้นลาดชัน (เกือบ) มาก
รถตู้ รถเก๋ง และรถที่ไม่ใช่โฟร์วีล ขึ้นไปไม่ได้

แต่ที่สำคัญกว่านั้น ทางขึ้นภูขัด กว่าครึ่งเป็นถนนดิน
มั่นใจได้ว่า หากใครได้นั่งกระบะเปิดประทุนไป รับรอง "ผมแดง ตัวแดง" กันทุกราย

นั่งรถออกจากศูนย์การเรียนรู้

ระหว่างทางขึ้น ไปบนยอดภูนั้น นายกประเจตน์ ได้เล่าให้ฟังว่า
ทางขึ้นยอดภูนี้ แต่เดิม เป็นถนนดินตลอดทั้งสาย เดินทางลำบากมาก
ต้องใช้เวลาเดินทางถึง 2 ชั่วโมง จากบ้านล่างไปบ้านบน

แต่พอทางชาวภูขัดรู้ว่ากำลังจะได้เป็นเจ้าภาพจัดงานเวทีวิชาการชาวบ้านครั้งที่ 15 นี้
ผู้ใหญ่บ้านภูขัดก็ได้พยายามของบมาทำถนนให้ดีขึ้นกว่าเดิม

ซึ่งก็เป็นผลสำเร็จ จากเดิมถนนนี้เป็นทางดินล้วน
ตอนนี้มีทางลาดยางเพิ่มขึ้นมาหลายกม.
เหลือทางดินเพียง 8 กม. เท่านั้น

ถึงยอดภูขัด ก็ตกค่ำพอดี อากาศที่นี่ก็เย็นไม่ใช่น้อย
ลมก็แรงไม่ใช่เล่น ฝุ่นบนนี้ก็เยอะไม่แพ้ถนนที่เดินทางมา

ทุกคนที่อยู่ที่นี่เลยได้ผมแดง ตัวแดง กันถ้วนหน้า (นึกว่าจะรอดแล้วเชียว!)

อ๊ะ พื้นที่หมดแล้ว... โปรดติดตามงาน "เวทีวิชาการชาวบ้าน" ที่บ้านภูขัด ต่อได้ในตอนหน้า

แล้วพบกันใหม่


0 0 0 0 0

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker