บล็อคข่าวส่งเสริมคนดี (รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา หามจั่วก็หนักนะ)

ข่าวจากสื่อ

บทความจากสื่อ

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

โถ ค.อ.ป-รวย

ที่มา Voice TV

 ใบตองแห้ง Baitonghaeng



ใบตองแห้ง Baitonghaeng

VoiceTV Staff

Bio

คอลัมนิสต์อิสระ


อ่านรายงานฉบับเต็มของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการ ปรองดองแห่งชาติ (คอป.)  แล้วผมก็อุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “โถ ค.อ.ป-รวย” (ก็ใช้เงินไปตั้ง 65 ล้านบาท เหลือ 11 ล้านบาท ฮิฮิ)

ที่โวยอย่างนี้ไม่ได้บอกว่ารายงานฉบับนี้เป็นเท็จ หรือบิดเบือนเสียทั้งหมด ตรงข้าม รายงานบางส่วนสรุปความจริงได้ค่อนข้างกระจ่างแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อ 2.3 ข้อค้นพบเฉพาะกรณีในการตรวจสอบเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือน เมษายน-พฤษภาคม 2553 ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้ชุมนุมเกือบทั้งหมดเสียชีวิตเพราะกระสุนที่ยิงมาจากทางฝ่าย ทหาร

แต่ปัญหาอยู่ที่การนำเอาความจริงดังกล่าวมาตีความ โดยละเลยความรับผิดชอบของรัฐบาล และ ศอฉ.ผู้ออกคำสั่ง “ขอคืนพื้นที่” และ “กระชับพื้นที่”

รายงานบางส่วนเหมือนจะ “ดูดี” เช่น กล่าวถึงสาเหตุของปัญหา โดยวิพากษ์วิจารณ์หลักนิติธรรมตั้งแต่คดีซุกหุ้นมาจนถึงรัฐประหารตุลาการภิ วัตน์ แต่มีคำถามว่าเหตุใด จึงให้น้ำหนักกับคดีซุกหุ้น คดีฆ่าตัดตอน มากกว่ารัฐประหาร และการตัดสินยุบพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน ซึ่งตามมาด้วยการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ทำให้มวลชนเสื้อแดงโกรธแค้นเพราะถูกปล้นอำนาจ จึงลุกฮือ

ยิ่งกว่านั้น ส่วนที่ชวนให้ร้อง “ป-รวย” ที่สุดคือ เหตุใด อ.คณิต ณ นคร จึงหันมาเรียกร้องให้ทักษิณ “วางมือ” แต่ผู้เดียว เหตุใด อ.คณิตจึงไม่เรียกร้อง “ชนชั้นนำ” อีกฝ่าย ตุลาการ ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ ตลอดจนพรรคประชาธิปัตย์ และพันธมิตรฯ ให้ “วางมือ” หรือ “ลดราวาศอก” ลงบ้าง

ย้ำว่านี่เป็นความเห็นส่วนตัว อ.คณิตนะครับ ไม่อยู่ในรายงาน แถมยังขัดกับรายงานที่พยายามชี้ว่า “ผิดทั้งคู่” แต่ประธาน คอป.เอามาแถลงขโมยซีน มันจึงเป็นอะไรที่ “ป-รวย” มาก

1.ความจริงเรื่องชายชุดดำ

ผมไม่เคยตะแบงเรื่องชายชุดดำ เพราะเขียนมาตั้งแต่หลังเหตุการณ์แล้วว่าชายชุดดำมีจริงในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ส่วนช่วงระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม ก็มี “กองกำลัง” คุ้มกันเส้นทางขนส่งเสบียงเข้าสู่ม็อบที่บ่อนไก่ ผมเคยระบุด้วยซ้ำไปว่า นอกจากกลุ่มมือยิงเอ็ม 79 ที่ถูกมองว่าเป็นลูกน้องเสธแดง รอบๆ ม็อบยังมีมาเฟียทหารนอกราชการ นักเลงในสังกัดเจ้าพ่อย่านประตูน้ำ ซึ่งเข้ามาเกี่ยวข้องคละกันไปแต่ละเหตุการณ์ (แต่ใครจะเป็นชายชุดดำในเหตุการณ์ไหนก็ไม่สามารถยืนยันได้)

ฉะนั้นผมจึงเห็นว่า รายงานของ คอป.ข้อ 2.3 ที่สื่อเอาไปตีปี๊บว่า “ชายชุดดำมีจริง” นั้นกลับเป็นตรงกันข้าม เพราะรายงาน คอป.ส่วนที่มาจากการพิสูจน์หลักฐานและงานนิติวิทยาศาสตร์ ระบุชัดเจนว่า “ชายชุดดำ” ไม่ได้ยิงใส่มวลชนเสื้อแดง แม้แต่ในเหตุการณ์วันที่ 10 เมษายน ที่พรรคประชาธิปัตย์และ ศอฉ.กล่าวหาว่า “ชายชุดดำ” เป็นผู้ยิงใส่ทั้งสองฝ่าย คอป.ก็ชี้ว่าผู้ชุมนุมเสียชีวิตจากกระสุนที่ยิงมาจากฝ่ายทหารต่างหาก ผู้สื่อข่าวญี่ปุ่นก็ถูกทหารยิง

เหตุการณ์วันที่ 19 พฤษภาคม ที่ผู้สื่อข่าวอิตาลีเสียชีวิต คอป.ก็ระบุว่ายิงมาจากทางทหาร เช่นเดียวกับการลอบสังหารเสธแดงประเดิมปฏิบัติการ “กระชับพื้นที่” ก็ยิงมาจากตึกสูงที่ทหารควบคุม หรือพลทหารที่ถูกยิงเสียชีวิตที่อนุสรณ์สถาน คอป.ก็ชี้ว่าฝ่ายเดียวกันเข้าใจผิด

คอป.ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตจาก “ชายชุดดำ”  9 คนเท่านั้นคือ ทหาร 6 คน ตำรวจ 2 คน และประชาชนกลุ่มคนรักสีลม 1 คน เกือบทั้งหมดมาจากการยิงเอ็ม 79 ยกเว้นกลุ่ม พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม 4 คนที่ระบุว่าเสียชีวิตเพราะระเบิดมือเอ็ม 67

แม้อันที่จริงจะรู้สึกว่า คอป.รวบรัดไปหน่อยในการสรุปว่าผู้ขว้าง เอ็ม 67 คือ “ชายชุดดำ” (ซึ่งเห็นอยู่คนละด้าน) แต่ถ้าถือข้อสรุปอันนี้ก็แปลว่าผู้ชุมนุมเกือบทั้งหมดจากที่เหลือ 83 ศพ เสียชีวิตจากการยิงของทหาร (คอป.ระบุว่ามีบางศพเสียชีวิตจากกระสุน .22 แม็กนั่มที่ทหารไม่มีใช้ แต่ก็สงสัยว่าอาจเป็นชาวชุมชนบ่อนไก่ที่ไม่พอใจผู้ชุมนุม)

ฉะนั้นที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวว่าทหารไม่ได้ยิงใคร หรือที่พรรคประชาธิปัตย์พยายามกล่าวอ้างว่า ผู้ชุมนุมเสียชีวิตเพราะชายชุดดำ “ยิงกันเอง” จึงถูกจับเท็จด้วยรายงาน คอป.ที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ตั้งมานี่เอง

รายงาน คอป.ชี้ชัดว่า ผู้เสียชีวิต 8 รายที่เสียชีวิตที่สี่แยกคอกวัว 5 รายที่หน้าโรงเรียนสตรีวิทยา และช่างภาพญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 10 เมษายน ผู้เสียชีวิต 22 รายที่บริเวณศาลาแดง สีลม บ่อนไก่ 20 รายที่ถนนราชปรารภ ดินแดง อนุสาวรีย์ชัย ระหว่างวันที่ 13 ถึง 18 พฤษภาคม และผู้เสียชีวิต  4 ศพบนเส้นทางกระชับพื้นที่ถนนราชดำริ พร้อมช่างภาพอิตาลี และ 6 ศพที่วัดปทุม เกือบทั้งหมดถูกยิงโดยกระสุนสงครามที่วิถีกระสุนมาจากฝ่ายทหาร

แม้กรณี 6 ศพที่วัดปทุมจะอ้างว่ามีการต่อสู้ ตั้งข้อสงสัยว่า 2 ใน 6 เป็นผู้ใช้อาวุธยิงต่อสู้ทหาร (ซึ่งรายละเอียดคงมีผู้ถกเถียงต่อไป) แต่รายงาน คอป.ก็ชี้ว่า 3 ใน 6 คือ “น้องเกด” นายอัครเดช ขันแก้ว นายมงคล เข็มทอง ถูกยิงระหว่างจะเข้าไปช่วยผู้บาดเจ็บ

นอกจากนี้ คอป.ยังวิเคราะห์ภาพถ่ายทหารยิงปืนที่บ่อนไก่ โดยผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศชี้ชัดว่าไม่ใช่กระสุนยาง แต่เป็นกระสุนจริง

ผมจึงเห็นว่ารายงาน คอป.ข้อ 2.3 สรุปความจริงในภาพรวมได้ชัดเจนว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ถูกทหารยิง แม้อาจมีข้อโต้แย้งเฉพาะกรณี แต่ปัญหาอยู่ที่ คอป.เอาข้อมูลเหล่านี้ไปวิเคราะห์ต่ออย่างไร

2.ยอมรับการตัดสินใจของ ศอฉ.?

ปัญหาคือ จากข้อเท็จจริงในข้อ 2.3 คอป.จงใจตอกย้ำข้อ 2.4 “พฤติการณ์ของคนชุดดำที่ใช้ความรุนแรงและอาวุธสงคราม โดยปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ชุมนุม” ทั้งที่เนื้อความก็มีอยู่ในข้อ 2.3 แล้ว เมื่ออ่านทั้งสองข้อเชื่อมกัน รู้สึกได้ว่า คอป.พยายามบอกว่าถ้าไม่มี “ชายชุดดำ” เข้ามาช่วย ผู้ชุมนุมก็คงไม่ตายมากขนาดนี้

เช่น กรณีที่สี่แยกคอกวัว หรือหน้า ร.ร.สตรีวิทยา ถ้าชายชุดดำไม่ยิงใส่ทหาร ทหารก็คงไม่ยิงใส่ผู้ชุมนุม ถ้า พล.ต.วลิต โรจนภักดี ไม่บาดเจ็บ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ไม่เสียชีวิต ทหารก็คงไม่สับสนจนยิงประชาชนตาย

สรุปว่าชายชุดดำไม่ได้ยิงเสื้อแดงหรอก แต่เข้ามาปะปนทำให้ทหารยิงเสื้อแดง (เป็นงั้นไป)

ที่จริงผมก็เข้าใจได้นะ ทหารก็ปุถุชน มีความกลัว มีความตกใจ โดนยิงใส่ก็ยิงตอบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเพื่อนตาย นายตาย แต่การยิงใส่บริเวณที่มีผู้ชุมนุมหนาแน่น เพียงเพราะเห็น “ชายชุดดำ” ถืออาวุธอยู่ไม่กี่คน คอป.จะโทษว่าเพราะเมริงนั่นแหละ ชายชุดดำ เมริงผิด อย่างนั้นหรือ

หรือในการกระชับพื้นที่ราชประสงค์ คอป.ก็พยายามบ่งบอกว่า เพราะชายชุดดำทำให้ทหารชุลมุน สับสน หวาดกลัว จนยิงคนชุดแดงตายเป็นเบือ (ที่บ่อนไก่ถ้าไม่เผายางรถยนต์จนทัศนวิสัยมืดมัว ทหารก็คงไม่ยิงผิด)

ถามว่าเหตุการณ์ระหว่างวันที่ 13-19 พฤษภาคม มีคนเห็นชายชุดดำชัดเจนที่ไหนบ้าง โอเค ที่บ่อนไก่ นั่นออกมาดวลกับทหารซึ่งหน้าเลย (พื้นที่ตรงนี้เชื่อกันว่าเป็นมาเฟียทหารนอกราชการ) นอกนั้นก็มีผู้ที่ซุ่มยิงเอ็ม 79 ออกมาจากสวนลุมพินี และผู้ที่ยิงเอ็ม 79 ประปรายทางราชปรารภ ดินแดง

แต่ถ้าดูรายงานข้อ 2.3.9 การเสียชีวิตที่ศาลาแดง สวนลุม บ่อนไก่ และ 2.3.10 การเสียชีวิตที่ราชปรารภ ดินแดง แม้อ้างคำบอกเล่ามีคนเห็นชายชุดดำ แต่ตอนที่ผู้ชุมนุมถูกยิงเสียชีวิต ก็ไม่ได้มีชายชุดดำอยู่ใกล้ๆ เลยนี่ครับ เช่น รายงานการเสียชีวิตของนายชาติชาย ซาเหลา, การเสียชีวิตของนายกิตติพันธ์ ขันทอง, นายบุญทิ้ง ปานศิลา, นายสมาพันธุ์ ศรีเทพ, นายอำพล ชื่นศรี, นายชาญณรงค์ พลศรีลา, นายอุทัย อรอินทร์ บนถนนราชปรารภ คอป.ก็ชี้ว่าทิศทางยิงมาจากทหาร โดยไม่ได้บอกว่ามีชายชุดดำอยู่ในหมู่ผู้ชุมนุมเหมือนวันที่ 10 เมษายน

เช่นเดียวกับการเสียชีวิตของนายธันวา วงศ์ศิริ, น.ส.สัญธนา สรรพศรี, นายมนูญ ท่าลาด, นายชาญณรงค์ พลศรีลา และช่างภาพเนชั่นถูกยิงบาดเจ็บ ก็ยืนยันว่าทหารยิง โดยไม่ได้มีชายชุดดำอยู่แถวนั้น

หรือท่านจะโทษว่าเป็นความผิดของชายชุดดำที่ทำให้ทหารประสาทแดกซ์ เห็นอะไรไหวๆ ยิงหมด

โอเค ผมเห็นด้วยว่าถ้าทหารเข้าขอคืนพื้นที่ หรือกระชับพื้นที่ แล้ว นปช.ไม่ต่อต้าน นั่งพับเพียบให้จับ ก็คงไม่มีใครตาย แต่ไม่แน่ใจว่าถ้า นปช.ต่อต้าน โดยไม่มีชายชุดดำ มีแต่บั้งไฟ ระเบิดปิงปอง หรือปืนสั้น แล้วจะไม่มีใครตายจริงหรือ

อย่าลืมว่าก่อนชายชุดดำโผล่มาในตอนค่ำวันที่ 10 เมษายน มีผู้ชุมนุมตายไปแล้ว 1 ราย คือนายเกรียงไกร คำน้อย ทหารใช้รถสายพานหุ้มเกราะปิดล้อมถนนราชดำเนิน ใช้ ฮ.ทิ้งแก๊สน้ำตา

เหตุใดจึงไม่ย้อนคิดบ้างว่าถึงไม่มีชายชุดดำ การตัดสินใจใช้กำลังทหารขอคืนพื้นที่ หรือกระชับพื้นที่ มันก็นำมาซึ่งความรุนแรงอยู่แล้ว อย่าสรุปง่ายๆ เพียงว่าเพราะปี 2552 ไม่มีชายชุดดำจึงไม่รุนแรง การปะทะกันของทั้งสองฝ่ายในปี 2553 ต่างยกระดับขึ้น อาทิเช่น มวลชนเสื้อแดงมีการจัดตั้งกันล้อมปลดอาวุธทหาร ทำให้ทหารเองก็หันมาใช้ทั้งโล่ กระบอง อาวุธกระสุนจริง

คอป.ไม่ได้วิเคราะห์วิจารณ์ตรงนี้เลย ว่าการตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุมที่ผ่านฟ้า ถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ การตัดสินใจกระชับพื้นที่ราชประสงค์ สมควรแก่เหตุหรือไม่

คอป.ตกประเด็นใหญ่ จึงเขียนรายงานเสมือนยอมรับว่าการตัดสินใจของ ศอฉ.ถูกต้องชอบธรรมแล้ว

ถ้าเราย้อนลำดับเหตุการณ์ นปช.ชุมนุมที่ผ่านฟ้าตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม แล้วแยกไปยึดราชประสงค์วันที่ 3 เมษายน รัฐบาลซึ่งยอมให้ชุมนุมที่ผ่านฟ้ามาตลอดประกาศว่าการชุมนุมที่ราชประสงค์ผิด กฎหมาย ถัดมาวันที่ 7 เมษายน อริสมันต์นำม็อบปิดล้อมรัฐสภา มีบางส่วนบุกเข้าไปข้างใน รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทันที แม้การกระทำของอริสมันต์และแกนนำไร้สติชุดนี้ ถูกคัดค้านและประณามจากแกนนำอื่นๆ รวมทั้ง พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาในขณะนั้น

ศอฉ.ประกาศปิดพิเพิลแชนเนล ซึ่ง คอป.ระบุว่า สมาคมนักข่าวฯ เองก็ยังคัดค้าน (จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ฮิฮิ) วันที่ 9 เมษายน นปช.หมื่นกว่าคนบุกไทยคม ปลดอาวุธทหารด้วยสองมือเปล่า แต่มอบอาวุธคืนทั้งหมด (ซึ่งต่างจากเหตุการณ์วันรุ่งขึ้น ที่ นปช.ไม่ยอมมอบอาวุธคืน จะเพราะอะไร ก็ไม่มีใครวิเคราะห์ อาจเป็นได้ว่า เป็น นปช.กลุ่มที่คุมไม่อยู่ หรือเป็นเพราะมวลชนตระหนักว่าจะถูกล้อมปราบแล้วก็คิดเอาอาวุธไว้ต่อสู้)

นั่นเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ นปช.ซึ่งทำให้รัฐบาล “เสียหน้า” จำได้ไหมคืนนั้น อภิสิทธิ์ออกทีวี แสดงท่าทีแข็งกร้าว ทำนองว่าจะ “เอาคืน” แล้ววันรุ่งขึ้น ศอฉ.ก็ส่งทหารออกมาจากกองทัพภาคที่ 1 ขอคืนพื้นที่ผ่านฟ้า ทั้งที่ปัญหาอยู่ที่ราชประสงค์

ข้ามมาที่การกระชับพื้นที่ วันที่ 13-19 พฤษภาคม ก่อนหน้านั้นวันที่ 4 พฤษภาคม ภายหลังการเจรจา แกนนำ นปช. ยอมรับแผนปรองดองของรัฐบาล ซึ่งตกลงจะยุบสภาเลือกตั้งใหม่วันที่ 15 พฤศจิกายน แต่แกนนำ นปช.แตกกันเอง วีระ มุสิกพงศ์ ถอนตัว  วันที่ 10 พฤษภาคม แกนนำที่เหลือตั้งแง่ ให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ มอบตัวด้วย วันที่ 11 นายสุเทพไปมอบตัวที่ดีเอสไอ แต่ นปช.ไม่ยอม ให้ไปมอบตัวที่กองปราบ แล้วก็แถลงในช่วงเย็นพาลไม่ยอมรับเงื่อนไข

วันรุ่งขึ้น ศอฉ.ประกาศตัดน้ำตัดไฟ ปิดเส้นทางเข้าออกทันที แล้ววันที่ 13 ก็ประกาศปิดล้อมพื้นที่อย่างสมบูรณ์ แล้วค่ำวันเดียวกันเวลา 19.00 น.เสธแดงก็ถูกสังหารเป็นประเดิม

ถามว่าการเจรจาสามารถดำเนินต่อไปได้หรือไม่ การแก้ปัญหาการเมืองด้วยการเมือง ยังทำได้หรือไม่ ผมไม่ได้บอกว่า นปช.ถูก เพราะตอนนั้นผมก็เรียกร้องว่าควรยุติการชุมนุม นักวิชาการนักประชาธิปไตยที่เคยสนับสนุน ก็เรียกร้องให้ยุติการชุมนุม กระแสการเมืองในขณะนั้น หลังจากบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ หลังพลิกกลับไม่ยอมรับแผนปรองดองของรัฐบาล นปช.ซึ่งเหลือกำลังเพียงไม่กี่พันคน ก็ “พ่ายแพ้ทางการเมือง” โดยสิ้นเชิงแล้ว หากรัฐบาลขึงพืดต่อไปอีกไม่เกิน 7 วัน นปช.ก็ต้องยอมยุติม็อบ

แต่เหตุใด ศอฉ.จึงตัดสินใจใช้กำลัง (และอย่าลืมว่าระหว่างที่เจรจา ศอฉ.ก็ประดังทั้งผังล้มเจ้า ข้อหาก่อการร้าย โดยไปขอหมายจับแกนนำฐานก่อการร้าย วันเดียวกับที่ นปช.ยอมรับแผนปรองดอง)

การสังหารเสธแดงเป็นดาบสองคม ในทางยุทธวิธีทหาร อาจมองว่าไม่มีเสธแดงเสียคน การกระชับพื้นที่คงง่ายขึ้นเยอะ แต่ในทางการเมือง เสธแดงเป็นที่รักของมวลชน จึงทำให้เกิดความโกรธแค้น ตอบโต้ และมองว่ารัฐบาลกำลังจะใช้ความรุนแรงเข่นฆ่าพวกเขา

3.ศอฉ.ไม่ผิด ทหารผิด

ในข้อ 2.6 “การใช้กำลังและอาวุธในการควบคุมฝูงชนและการสลายการชุมนุม” คอป.อุตส่าห์ตีตารางเปรียบเทียบคำสั่ง ศอฉ. กับการปฏิบัติที่แตกต่างจากมาตรฐาน ซึ่งสรุปได้ว่า ทหารไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งที่ให้ใช้กำลังเพียงเพื่อระงับยับยั้งเหตุเท่า นั้น ศอฉ.ให้แยกแยะผู้กระทำความผิด แต่ทหารกลับใช้กระสุนจริงยิงในแนวระนาบที่มีผู้ชุมนุมอยู่ทั่วไป ซึ่งเป็นเหตุให้ผู้ชุมนุมเสียชีวิตและบาดเจ็บจำนานมาก โดยผลการชันสูตรศพ ไม่พบว่าผู้เสียชีวิตมีอาวุธหรือเป็นภัยร้ายแรง

นี่รวมทั้งกรณีใช้ปืนยิงรถตู้ ทำให้นายพัน คำกอง เสียชีวิต ซึ่งศาลชี้แล้วว่าเสียชีวิตจากปฏิบัติการของทหาร

แต่ คอป.สรุปเพียงว่าเมื่อ ศอฉ.มอบหมายภารกิจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการแล้ว ไม่มีการติดตามตรวจสอบประเมินผลการปฏิบัติ นอกจากการรายงานตามลำดับชั้น ทั้งที่มีระยะเวลาปฏิบัติงานเกือบสองเดือน ระบบข่าวกรองทหารไม่มีส่วนสนับสนุนการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ ต้องหาข่าวเอง ซึ่งบางครั้งก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

บลาๆๆ ฟังเหมือนดีแต่แปลว่า ศอฉ.แค่บกพร่องฐานประมาทเลินเล่อเท่านั้น (ขับรถประมาททำให้คนตาย 92 ศพ รอลงอาญา)  ซึ่งผมเห็นว่าไม่ใช่ การที่ ศอฉ.อนุญาตให้ใช้กระสุนจริง ให้มีพลแม่นปืนซุ่มยิง (ไม่ใช่สไนเปอร์) ให้ยิงได้เมื่อเห็น “ชายชุดดำ” ให้ใช้ปืนลูกซองยิงต่ำ เมื่อมวลชนบุกเข้าหา ฯลฯ แล้วสั่งให้ทหารเข้าไปสลายการชุมนุม เป็นคำสั่งที่เล็งเห็นผลได้ว่า ในสถานการณ์ตึงเครียด สับสน ในช่วงเวลากลางคืน ในภาวะอารมณ์ที่อาจโกรธแค้น หวาดกลัว ฯลฯ ทหารก็อาจเห็นผู้ชุมนุมที่ไม่มีอาวุธ หรือมีแต่ไม่ใช่อาวุธร้ายแรง กลายเป็น “ชายชุดดำ” ไปได้

เช่นกรณีนายชาติชาย ซาเหลา ที่ถูกยิงระหว่างถ่ายกล้องวีดิโอในเวลากลางคืน หรือแม้แต่กรณีที่ทหารยิงกันเองตรงอนุสรณ์สถาน (จำได้ไหมตอนนั้นสื่อโจมตีกระหน่ำว่า นปช.ยิง)

การออกคำสั่งเช่นนี้ผู้รับผิดชอบ ศอฉ.ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายการเมือง จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะคุณเล็งเห็นผลอยู่แล้วว่าจะทำให้มีคนตาย แต่กลับเลือกใช้กำลังโดยออกคำสั่งปลายเปิด ให้อำนาจตัดสินใจกว้างเมื่อเห็นว่าตัวเองจะมีอันตรายจากชายชุดดำ ผลก็คือ ไม่มีชายชุดดำตายซักคน มีแต่ชาวบ้านตาย

4.ลืมบริบท 2 มาตรฐาน

ข้อ 2.5 “ข้อค้นพบเกี่ยวกับพฤติการณ์การชุมนุมฯ” คอป.พยายามชี้ว่าการชุมนุม นปช.ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ตำหนิตั้งแต่การเทเลือดว่ามีผลทางจิตวิทยาให้ผู้คนหวาดกลัว เป็นสัญลักษณ์ความรุนแรง และสร้างความกังวลต่อการจัดการด้านสาธารณสุขที่ต้องป้องกันไม่ให้เลือดไหล เข้าสู่ระบบน้ำสาธารณะ (เลือดสกปรก!)

คอป.ตำหนิการชุมนุมที่ตั้งการ์ดของตัวเอง ตรวจค้นอาวุธ ควบคุมตัวและทำร้ายเจ้าหน้าที่ ตำหนิการปราศรัยของแกนนำที่มีเนื้อหาส่งเสริมความรุนแรง (ให้พื้นที่ยืดยาว และชี้ว่าผิดกฎหมายอาญาด้วย) จากนั้นก็ระบุว่า นปช.ใช้ความรุนแรงในการบุกไปสถานที่ต่างๆ เช่น บุกรัฐสภา บุกไทยคม (คอป.ชี้ว่าแสดงพฤติกรรมเหยียดหยามศักดิ์ศรีเจ้าหน้าที่ทหาร คือให้คุกเข่า ปลดอาวธ ยกมือไหว้ราษฎร) กรณีวันที่ 10 เมษายน คอป.ก็ชี้ว่า มีพฤติการณ์ใช้ความรุนแรง ต่อสู้ขัดขวาง และประทุษร้ายเจ้าหน้าที่

“เมื่อเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมโล่ กระบอง แก๊สน้ำตา อาวุธปืนลูกซอง และปืนเล็กกล เข้ามาสลายการชุมนุม... มีผู้ชุมนุมจำนวนมากได้เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ โดยใช้สิ่งเทียมอาวุธและอาวุธประดิษฐ์ เช่น ระเบิดเพลิง เข้าทำร้ายเจ้าหน้าที่ทหาร บางคนใช้อาวุธมีดและปืนไม่ทราบชนิด” (รายงานหน้า 168)

เมื่อมีผู้เสียชีวิตแล้ว เวทีปราศรัยยังยั่วยุให้ผู้ชุมนุมระดมเข้าไปช่วยผู้ชุมนุมในจุดปะทะ โดยแกนนำไม่ได้ห้ามไม่ได้บอกให้ผู้ชุมนุมถอย

พี่น้องเอ๊ย แบบนี้แปลว่าถ้าทหารตำรวจจะเข้ามาสลายการชุมนุม เราก็ไม่ควรต่อสู้ขัดขวาง ปล่อยให้เขายึดทำเนียบยึดสนามบินคืนแต่โดยดี

ใช่-พี่น้องเอ๊ย ผมกำลังจะบอกว่า รายงาน คอป.ไม่ได้กล่าวถึงพฤติการณ์ของพันธมิตรเลย พฤติการณ์ที่ใช้ความรุนแรงบุกยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ปิดล้อมหน้ารัฐสภา ครั้นถูกตำรวจสลายการชุมนุมโดยปืนยิงแก๊สน้ำตาซึ่งทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัส และมีผู้เสียชีวิต (ที่จนบัดนี้ก็ยังถกเถียงกันว่าใช่แก๊สน้ำตาหรือเปล่า) พันธมิตรก็ขับรถชนตำรวจ (รอลงอาญา) ผู้ติดบัตรการ์ดพันธมิตรใช้ปืนยิงตำรวจ (บอกว่าเป็นบัตรหมดอายุ ไม่ใช่การ์ดตัวจริง)

เปล่า ผมไม่ได้บอกว่าพันธมิตรทำได้ นปช.ก็ทำได้ หรือ นปช.ทำถูกแล้ว ผมเห็นด้วยว่านี่ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบ นี่เป็นการชุมนุมที่มีผู้ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง แต่ถ้าไม่กล่าวถึงการชุมนุมของพันธมิตรเป็นบริบท ก็เท่ากับตัดตอนประวัติศาสตร์ เพราะการก่อตัวเป็นเสื้อแดง เกิดหลังพันธมิตรปิดล้อมรัฐสภา คนเสื้อแดงล้นหลามไปร่วมรายการความจริงวันนี้ที่เมืองทองธานี ด้วยความคับแค้นโกรธเกรี้ยวต่อกระแสสังคม 2 มาตรฐาน ชนชั้นนำ สื่อ นักวิชาการ บุคคลสาธารณะ (รวมทั้งบางคนที่เข้ามาเป็นกรรมการ คอป.) ให้การปกป้องพันธมิตร การชุมนุมของ นปช.จึงเป็นปฏิกิริยาเลียนแบบสะท้อนกลับ มาตั้งแต่ปี 2552 แล้ว

คอป.ต้องถามตัวเองด้วยว่า ถ้าเห็นว่าคำสั่งสลายการชุมนุมของ ศอฉ.ถูกต้อง ชอบธรรม เหมาะสม ย้อนอดีตไปแป๊บๆ คอป.จะสนับสนุนให้รัฐบาลสมัคร สมชาย ใช้ทหารสลายม็อบยึดหน้ารัฐสภา ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน หรือไม่ (ขี้เกียจขุดแถลงการณ์เก่าๆ ขึ้นมาประจาน ใครมั่งที่โวยวายจะเป็นจะตายทั้งที่ปี 51 ตำรวจใช้ปืนยิงแก๊สน้ำตา แต่ปี 53 ทหารใช้กระสุนจริง)

ย้ำว่าผมไม่ได้บอกว่าการเคลื่อนไหวของ นปช.เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญตามวิถีประชาธิปไตย แต่หาก คอป.จะสรุปเช่นนั้นก็ควรย้อนวิพากษ์การเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ควบคู่เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน เพื่อเตือนสติสังคมไปพร้อมกัน

นอกจากนี้ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ปรากฏว่าพันธมิตรลอยนวล แต่มวลชนเสื้อแดงติดคุกระนาว แค่เข้าร่วมการชุมนุมก็ติดคุก 6 เดือนฐานฝ่าฝืน พรก.ฉุกเฉิน บางคนถูกยิงบาดเจ็บนอนโรงพยาบาลยังถูกล่ามตรวน

คอป.ไม่ได้กล่าวถึงความอยุติธรรมในแง่นี้ให้ชัดเจน มีสรุปสั้นๆ แต่ไม่ชี้ให้เห็นภาพการกวาดจับมวลชนหลายร้อยคน ตั้งข้อกล่าวหาเกินเลยไม่ให้ความยุติธรรม ไม่ให้ประกันตัว ถูกเลือกปฏิบัติ อยู่ในฐานะผู้ด้อยโอกาสในการสู้คดี เพราะสถานการณ์หลังวันที่ 19 พฤษภาคม แกนนำถูกจับ หรือหนี เครือข่ายแตกกระสานซ่านเซ็น ศอฉ.ใช้อำนาจกึ่งเผด็จการ ปิดกั้นสื่อ กาง “ผังล้มเจ้า” กวาดจับผู้คนไปทั่ว สร้างบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว แม้แต่เด็กชูป้ายเห็นคนตายที่ราชประสงค์ ก็ยังถูกจับ

5.ข้อเสนอเนียนๆ

ในส่วนรากเหง้าของปัญหาและข้อเสนอแนะ คอป.แถลงออกมา “ดูดี” คือโทษทั้งสองฝ่าย ทั้งการใช้อำนาจโดยมิชอบของรัฐบาลทักษิณ และรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ แถมใช้คำใหญ่อย่าง “กลุ่มทุนใหม่” “กลุ่มทุนเก่า” “แนวคิดแบบเสรีนิยมและแนวคิดความเป็นพลเมือง” ตรงข้ามกับ “วัฒนธรรมแบบไพร่ฟ้า” “ประชาชนระดับรากหญ้า” ขัดแย้งกับ “ชนชั้นนำ”

โอ้ ท่านยังเสนอให้แก้มาตรา 112 ด้วยนะครับ ก้าวหน้าสุดๆ

แต่อ่านไปอ่านมาก็ไม่แน่ใจว่า คอป.สรุปดี หรือทำให้ตัวเอง “ดูดี” กันแน่ เพราะพูดแบบ “เพลย์เซฟ” บางเรื่องก็ใจไม่ถึงจริง แถมทัศนะยังเป๋ไปเป๋มา

คอป.พูดถึงรากเหง้าของปัญหา ย้อนตั้งแต่คดีซุกหุ้นทักษิณว่า “หักดิบกฎหมาย” ไม่ผิดหรอกครับ ผมก็เห็นว่าคดีซุกหุ้นมีการช่วยเหลือกัน (โดยชนชั้นนำเองนั่นแหละช่วยทักษิณ) แต่อ่านทั้งหมดแล้วผมรู้สึกว่า คอป.ให้น้ำหนักกับเรื่องนี้มากกว่าการวิพากษ์รัฐประหาร ซึ่งเป็นการล้มล้างอำนาจอธิปไตย ล้มกฎหมายสูงสุด ล้มระบอบ ไม่ใช่แค่หักดิบ คอป.ให้น้ำหนักกับคดีซุกหุ้นมากกว่าการใช้อำนาจตุลาการเข้ามาจัดการความขัด แย้งทางการเมือง ใช้องค์กรอิสระเปลี่ยนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

ถ้าบอกว่าทักษิณผิด เพราะใช้ระบอบประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือ ในการใช้อำนาจโดยมิชอบ แสวงผลประโยชน์ รัฐประหารตุลาการภิวัตน์ก็ผิดยิ่งกว่า เพราะไปล้มล้างระบอบ และบิดเบือนอำนาจจนไม่ยึดโยงกับประชาชน ปัญหามันจึงยุ่งเหยิง แก้ไขไม่ได้ จนเกิดความขัดแย้งรุนแรง นองเลือด อย่างที่เห็น

คอป.ให้พื้นที่อย่างมากเพื่อวิพากษ์คดีซุกหุ้น ขณะที่พูดถึงรัฐประหารตุลาการภิวัตน์เพียงผ่านๆ พูดถึงคดียุบพรรคไทยรักไทย คดีสมัครทำกับข้าว คดียุบพรรคพลังประชาชน ในเชิงอรรถ พูดถึงการตั้ง คตส.มาเอาผิดทักษิณ แต่ไม่ยักพูดถึงคำพิพากษา “ไม่ทุจริตแต่ติดคุก” ไม่ยักพูดถึงคำพิพากษา “ได้ประโยชน์ไม่สมควรต้องยึดทรัพย์” ทั้งที่เป็นคดีสำคัญกระทบความเชื่อมั่นในหลักนิติธรรม

ลองไปอ่านกันดูในข้อ 3.3 จะเห็นว่า คอป.เอาปัญหาในยุคทักษิณและยุครัฐประหารมาปนกันมั่วหมด แทนที่จะชี้ชัดเป็นขั้นตอนว่าฝ่ายหนึ่งได้อำนาจมาตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว เหลิงอำนาจ อีกฝ่ายหนึ่งก็ล้มประชาธิปไตยเสียเลย ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ถ่ายโอนอำนาจไปให้ตุลาการกุมอำนาจอธิปไตยเหนือประชาชน

เช่น 3.3.3.4 ความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรม ท่านพูดถึงคดีซุกหุ้น แล้วข้ามมารัฐประหารออกประกาศ คปค.เพิ่มโทษกรรมการบริหารพรรคย้อนหลัง ตั้ง คตส. และมาตรา 309 จากนั้นก็วกไปฆ่าตัดตอน การแทรกแซงองค์กรอิสระ ผลประโยชน์ทับซ้อน พรก.ฉุกเฉินที่ออกในยุคทักษิณ แล้วก็การที่นักกฎหมายยอมรับประกาศคณะปฏิวัติเป็นกฎหมาย

3.3.3.5 เป็นเรื่องตุลาการภิวัตน์ 3.3.3.6 เป็นเรื่องแทรกแซงองค์กรอิสระ (ยุคทักษิณ) โดยไม่แยกแยะว่าการแทรกแซงองค์กรอิสระเป็นปัญหาโครงสร้างในระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่รัดกุมพอ แต่ตุลาการภิวัตน์ขัดหลักประชาธิปไตยไปเลย

อ่านแล้วรู้สึกยังกะท่านจับฉ่าย เอาบทวิพากษ์ทั้งสองฝ่าย ที่น่าจะหยิบยืมมาจากที่โน่นที่นี่ใส่ๆ เข้าไป แต่มี agenda อยากด่าคดีซุกหุ้นเป็นพิเศษ (ย้ำว่าผมเห็นด้วย คดีซุกหุ้นเป็นการหักดิบกฎหมาย แต่หักดิบกฎหมายเพื่อเอาใจกระแสสังคม ที่ตอนนั้นใครๆ ก็อยากให้ทักษิณเป็นนายกฯ ตั้งแต่หมอเสมมาถึงสนธิ ลิ้ม ขณะที่คดียุบพรรค เป็นการหักดิบอำนาจประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การเมืองขัดแย้งแบ่ง 2 ฝ่ายแล้วเอาตุลาการมาหักดิบ คดีซุกหุ้นจึงไม่ส่งผลเสียทันที เพราะกระแสสังคมเฮโล แต่คดียุบพรรคเกิดปฏิกิริยาตอบโต้รวดเร็ว รุนแรง)

บางข้อแทนที่จะชี้ชัดก็พูดกำกวม เช่น 3.3.3.8 “การสร้างการรับรู้ว่ากระบวนการยุติธรรมมีสองมาตรฐาน” ตกลงมันสองมาตรฐานจริงหรือเปล่า หรือเป็นเพราะการสร้างการรับรู้ จึงทำให้เกิดความรุนแรง

3.3.3.14 “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 และประเด็นการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ” ท่านพูดแต่ว่าคนบางส่วนมีทัศนคติทางลบ แล้วก็บอกว่าทั้งตัวรัฐธรรมนูญและความพยายามแก้ไขทำให้เกิดปัญหา เออ แล้วจะเอาไง

ครั้นมาถึงข้อเสนอแนะ จากที่พยายามให้ “ดูดี” วิพากษ์ทั้งสองฝ่าย ข้อเสนอกลับคลุมเครือ ไม่ชัดเจน และชิ่ง

โดยเฉพาะข้อ 5.6 การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านบอกว่าปัญหาขัดแย้งเป็นผลจากรัฐธรรมนูญ 2550 ที่มาจากรัฐประหาร แต่ก็ห่วงว่าการแก้ไขอาจทำให้เกิดความขัดแย้งบานปลาย จากนั้นก็เรียกร้อง 1,2,3 ว่าอย่าเพิ่งแก้ เรียกร้องรัฐบาล รัฐสภา พรรคการเมือง ว่าการแก้รัฐธรรมนูญต้องสอดคล้องหลักนิติธรรม หลักความเป็นกฎหมายสูงสุด ฯลฯ

อ้าว แล้วรัฐธรรมนูญ 2550 สอดคล้องกับหลักนิติธรรมหรือเปล่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้อำนาจขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับหลักความ เป็นกฎหมายสูงสุดหรือเปล่า

ถ้า คอป.มีความกล้าหาญสักหน่อย ทำไมไม่เรียกร้องอีกฝ่ายด้วยละครับ เรียกร้องประชาธิปัตย์ พันธมิตร สื่อ สลิ่ม ตุลาการ ฯลฯ ว่าอย่าขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน ช่วยกันร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยได้มากที่สุด

อย่างนั้นสิ จะเป็นพระเอกตัวจริง

ส่วนเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์และมาตรา 112 เป็นข้อเสนอที่เกือบจะปรบมือให้ (ถือว่าดีที่สุดภายใต้ข้อจำกัดทางสถานะของ คอป.) แต่ก็ขาดอีกนิดคือ ท่านควรจะเรียกร้องประชาธิปัตย์ พันธมิตร สื่อ สลิ่ม ให้มาก ว่าอย่าปลุกกระแสคลั่งเจ้ามาขัดขวาง ให้ร้ายป้ายสี รวมทั้งท่านน่าจะประณาม ศอฉ.ด้วยว่าการออก “ผังล้มเจ้า” เล่เก๊ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน คือชนวนเหตุหนึ่งที่ทำให้ยิ่งรุนแรง

อ้อ อุตส่าห์แถลงซะขนาดนี้แล้ว หวังว่าคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมายที่ อ.คณิตเป็นประธาน จะรับเป็นเจ้าภาพ ระดมทุกฝ่ายมาช่วยกันแก้ไขมาตรา 112 เสียเลยนะครับ

6. พระเอกผิดคิว

ผมก็ไม่เข้าใจว่า อ.คณิตโผล่มาแย่งซีนคณะกรรมการด้วยการเปิดความในใจ เรียกร้องให้ทักษิณเสียสละ วางมือ ฯลฯ เพื่ออะไร เพราะนอกจากชิงพื้นที่สื่อ ท่านยังทำลายประเด็นที่ คอป.พยามสรุปให้ “ดูดี” มาทั้งหมด

เห็นด้วยไม่เห็นด้วยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เห็นชัดๆ ว่าไม่ใช่กาลเทศะ เพราะ คอป.พยายามวิพากษ์ทั้งระบอบทักษิณและรัฐประหารตุลาการภิวัตน์ แต่ตัวประธานเป็นผู้หลักผู้ใหญ่กลับมาเรียกร้องให้ทักษิณวางมือ แล้วก็กลายเป็นพาดหัวสื่อที่จ้องอยู่แล้ว

อ้าว! ทักษิณผิดข้างเดียวงั้นหรือ ไหนบอกว่าการตั้ง คตส.มาตรวจสอบทักษิณทำให้เกิดความเคลือบแคลงหลักนิติธรรม

ท่านอาจบอกว่าเป็นการเรียกร้องให้เสียสละ เลียนแบบรัฐบุรุษ อย่าง อ.ปรีดี อ้าว ถ้าอย่างนั้นทำไมท่านไม่เรียกร้องให้อภิสิทธิ์เสียสละ ยุติบทบาทบ้างล่ะ เพราะอภิสิทธิ์ก็ถูกเกลียดชังเหมือนกัน ในฐานะผู้ใช้อำนาจปราบปรามการชุมนุมเมื่อปี 53 ทำไมท่านไม่เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์เสียสละบ้างล่ะ ให้ทหารเป็นกลาง ไม่มีประวัติพัวพันรัฐประหาร ไม่เอียงข้างทักษิณ มาเป็นผู้บัญชาการทหารบก

คือถ้าจะเรียกร้องให้กันเสียสละ มันก็เรียกร้องได้ทั้งนั้นละครับ สมมติเช่น เรียกร้องพลเอกเปรมเสียสละ ท่านถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังรัฐประหาร เพื่อรักษาสถาบัน ท่านควรยุติบทบาท ลาออก ย้ายจากบ้านสี่เสาไปอยู่กระต๊อบที่สงขลา ฯลฯ เรียกร้องพลเอกสุรยุทธ์เสียสละ เพราะท่านเคยเป็นไปนายกฯ ให้ คมช.ท่านควรลาออกจากองคมนตรี ไปบวชเป็นพระธุดงค์ตามความใฝ่ฝัน ฯลฯ

ถามว่าให้ทักษิณยุติบทบาทคืออะไร ก็ยังไม่ชัดเจน ให้กล้ำกลืนความรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม เลิกต่อสู้ ยอมแพ้ อยู่เมืองนอกตลอดชีวิต ให้น้องสาวเป็นนายกฯ อีก 7 ปี หรือให้ถอนตัวออกจากการเมืองทั้งตระกูลชินวัตร ให้ยุบพรรคเพื่อไทย ให้เลิกโฟนอินอาจพอไหว แต่จะให้เลิกเกี่ยวข้องกับมวลชน ให้คนเสื้อแดงตัดทักษิณออกจากสารบบ ฯลฯ เอาขนาดนั้นไหม

มันคือความเกี่ยวพันที่แยกออกจากกันไม่ได้ ทักษิณคิดว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม มวลชนรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความยุติธรรม ถูกปล้นอำนาจ จึงต่อสู้ร่วมกัน แล้วท่านจะบอกทักษิณเสียสละ ยอมแพ้เสีย ให้อีกฝ่ายชนะ แล้วจะได้ค่อยๆ คืนสู่ความสงบอย่างนั้นหรือ มวลชนยอมหรือ

ผมก็อยากให้ทักษิณยุติบทบาทนะครับ แต่ถ้าผมเรียกร้องก็จะบอกว่าคืนประชาธิปไตยให้ประชาชน คืนความยุติธรรมให้ประชาชนและทักษิณ เคลียร์ทุกสิ่งด้วยการลบล้างผลพวงรัฐประหาร คดีความทั้งหลายนับหนึ่งใหม่ จากนั้นจึงให้ทักษิณวางมือ ทั้งครอบครัวเลิกเกี่ยวข้องการเมือง ยกพรรคเพื่อไทยให้เป็นของมวลชนไป โดย “ชนชั้นนำ” อีกฝ่ายก็ต้องวางมือเลิกเกี่ยวข้องแทรกแซงการเมืองการปกครองเหมือนกัน

ส่วนข้อเรียกร้องที่สองของ อ.คณิต ยิ่งเลอะเทอะไปใหญ่ ที่บอกให้รัฐบาลทำเรื่องหักดิบกฎหมายให้กระจ่างชัด ทั้งคดีซุกหุ้น ฆ่าตัดตอน กรือเซะ ตากใบ โดยเนื้อหาไม่ได้เลอะเทอะ เพราะเป็นเรื่อง “หักดิบกฎหมาย” จริง แต่ฟังแล้วงงงวยว่าทำไมท่านเรียกร้องฝ่ายเดียว ทำไมท่านไม่เรียกร้องตุลาการ ทหาร ชนชั้นนำอีกฝ่าย ให้ทำเรื่องหักดิบระบอบประชาธิปไตยให้กระจ่างชัดด้วย

ผมก็ไม่รู้ว่า อ.คณิตมีปมอะไรหรือเปล่า อยากลบปมที่ตัวเองเคยเข้าไปร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย อย่างนั้นหรือ แต่การเรียกร้อง “อะไรๆ ก็ทักษิณ” ได้ทำลายส่วนที่มีสาระมีคุณค่าของรายงาน คอป.ที่พยายามจะ “เป็นกาง” อย่างสุดชีวิต จนผู้คนมองข้าม ไม่สนใจ และเอาไปเป็นประเด็นการเมืองเพื่อเข่นฆ่ากันเช่นเคย

                                                                                                ใบตองแห้ง
                                                                                                19 กันยายน 2555
........................................


19 กันยายน 2555 เวลา 19:16 น.

อับดุลสุโก ดินอะ: กรณีทำงานวันศุกร์ ณ ชายแดนใต้

ที่มา ประชาไท

 



ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ  ผู้ทรงเมตตากรุณาเสมอ ขอความสันติสุขจงมีแด่ศาสฑูตมุฮัมมัด ผู้เจริญรอยตามท่านและสุขสวัสดีแด่ผู้อ่านทุกท่าน

เมื่อ วันศุกร์ที่ 28 กันยายน เหตุการณ์ร้านค้าในพื้นที่ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส ส่วนใหญ่เริ่มหยุดขายของในวันศุกร์ หลังจากสื่อต่างๆรายงานว่า มีใบปลิวข่มขู่ในช่วงก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะมีการเชื่อมโยงเหตุระเบิด ที่เทศบาลตะลุบัน อำเภอสายบุรี  กับใบปลิว ให้ประชาชนหยุดทำงานวันศุกร์
จา การเริ่มหยุดค้าขายของคนในพื้นที่ครั้งนี้ แสดงว่า คนในพื้นที่ไม่มั่นใจในกลไกและอำนาจรัฐที่จะคุ้มครองพวกเขาได้ ถึงแม้จะมีการพยายามกระตุ้นให้ประชาชนเปิดร้าน

มีการวิเคราะห์ว่า การหยุดทำงานวันศุกร์เกี่ยวข้องกับวันสำคัญทางศาสนาอิสลามซึ่งความเป็นจริง ในหลักศาสนามิได้ห้ามทำงานวันใดวันหนึ่งตายตัวเพียงแต่ ว่าวันศุกร์เป็นวันที่มุสลิมจะต้องไปละหมาดวันศุกร์ ที่มัสยิดประจำชุมชน

การ ละหมาดวันศุกร์เป็นหน้าที่มุสลิมทุกคน(เฉพาะผู้ชาย) จะต้องละหมาดที่มัสยิดของชุมชน (อยู่ระหว่างเวลาประมาณ 12.15-13.15) ไม่อนุญาตให้ประกอบอาชีพใด และกระทำสิ่งใดนอกจากศาสนกิจดังกล่าวด้วยความตั้งใจ และจิตใจที่บริสุทธิ์เท่านั้น อันเนื่องมาจาก อัลลอฮฺได้ดำรัสในคัมภีร์อัลกุรอานความว่า

"โอ้บรรดาผู้ศรัทธาทั้ง หลาย เมื่อได้ยินเสียงเชิญชวนการทำละหมาดวันศุกร์ (อะซาน) ก็จงรีบเร่งไปสู่การรำลึกถึงอัลลอฮฺ และจงละทิ้งการค้าขายเสีย นั้นเป็นการดีสำหรับพวกท่าน" (อัลกุรอาน 62 : 9)

ในโองการนี้ยังแสดง ให้เห็นว่าเมื่อถึงเวลาละหมาดวันศุกร์ทุกคนจะต้องละทิ้งทุกกิจกรรม แต่จะต้องไปประกอบศาสนกิจทันที เพราะการประกอบศาสนกิจดังกล่าวดีกว่าทุกกิจกรรม

ในโองการต่อจากนี้ หนึ่งโองการมีภูมิหลังการประทานโองการของพระเจ้าต่อศาสนฑูตมุฮัมมัดว่า ในขณะที่ท่านศาสนฑูตกำลังให้ธรรมเทศนาก่อนละหมาดนั้น จู่ๆ มีกองคาราวานสินค้าบรรทุกเครื่องบริโภค ของชายผู้หนึ่งผู้มีนามว่า ดะฮียะฮฺ อัลกัลบีย์ มาจากประเทศซีเรีย กอปรกับชาวเมืองมะดีนะฮฺขณะนั้นประสบความหิวโหย และเครื่องบริโภคมีราคาแพง ทำให้ชาวเมืองที่กำลังฟังธรรมเทศนาได้วิ่งกรูไปที่คาราวานสินค้าด้วยความเคย ชินเหมือนวันปกติ ปล่อยท่านศาสนฑูตแสดงธรรมเทศนาและเหลือผู้ร่วมฟังเพียง 12 คน ดังนั้น อัลลอฮฺจึงประทานโองการนี้ เพื่อตักเตือนอัครสาวกศาสดาต่อพฤติกรรมหลงผิดดังกล่าว และเปรียบเทียบ การละหมาดและระลึกถึงพระองค์นั้นดีกว่าการละเล่นและการค้า เพราะพระองค์นั้นเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพที่แท้จริง เพราะอัลลอ์ได้โองการความว่า   “และเมื่อพวกเขาได้เห็นการค้าขายและการละเล่น พวกเขาก็กรูกันไปที่นั้นและปล่อยเจ้า(ศาสนฑูตมุฮัมมัด) ยืนอยู่คนเดียว จงกล่าวเถิด โอ้ศาสนฑูตมุฮัมมัด สิ่งที่มีอยู่ ณ อัลลอฮฺนั้นดีกว่าการละเล่นและการค้าและอัลลอฮฺนั้นทรงเป็นเลิศในหมู่ผู้ ประทานปัจจัยยังชีพ” (อัลกุรอาน 62 : 11) โปรดดู al-Zuhaili, Wahbah, 1991 : al-Tafsir al-Munir, Berut : Dar alfikr al-Muasorah, 22/195/196

แต่ เมื่อเสร็จการปฏิบัติศาสนกิจดังกล่าวทุกคนมีสิทธิที่จะออกไปประกอบอาชีพที่ สุจริตเพราะอัลลอฮ์ได้โองการต่อจากโองการที่ผ่านมาว่า “ ต่อเมื่อการละหมาดได้สิ้นสุดแล้วก็จงแยกย้ายกันตามแผ่นดินและจงแสวงหาความ โปรดปรานของอัลลอฮฺและจงรำลึกถึงอัลลอฮฺให้มากๆเพื่อพวกเจ้าจะประสบความ สำเร็จ”   (อัลกุรอาน 62 : 10)
                   
ไม่เพียงเท่า นั้นมุสลิมจะต้องละหมาดทุกวัน วันละ 5 เวลา(ประมาณเวลาละ 5-10 นาที ณ ที่ใดก็ได้) เพราะฉะนั้น การปฏิบัติศาสนกิจจึงมิได้เป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพ เพียงแต่ในวันศุกร์มุสลิมจะต้องใช้เวลามากหน่อย ในการประกอบศาสนกิจ  และจะต้องทำที่มัสยิดของชุมชนเท่านั้น
                  
ดังนั้น เราจะเห็นว่า ในชุมชนมุสลิม โดยเฉพาะมัสยิดกลางปัตตานี ยะลา และนราธิวาส เต็มไปด้วยข้าราชการ นักธุรกิจ ชาวบ้าน และคนทุกสาขาอาชีพไปร่วมละหมาด
                   
แต่ ที่เป็นปัญหาสักหน่อยคือ ข้าราชการมุสลิมเขาต้องรีบออกจากที่ทำงานเพื่อประกอบศาสนกิจก่อนเวลา 12.00 น. และรีบออกจากมัสยิดให้ทันที่ทำงานก่อนเวลา 13.00 น. ซึ่งเป็นเรื่องยากสำหรับข้าราชการมุสลิม ที่จะสามารถทำงานเต็มเวลา (08.30-12.00 น. และ 13.00-16.30 น. เพราะการละหมาดวันศุกร์ 12.15-13.15 น.)
                  
ดังนั้นหากเป็นไปได้การหยุดราชการในวัน ศุกร์น่าจะสอดคล้องกับวิถีชีวิตข้าราชการมุสลิมหรือการไปติดต่อราชการวัน ศุกร์ของชาวบ้านจังหวัดชายแดนภาคใต้
                
การหยุด ราชการวันศุกร์จึงเป็นเพียงทางออกหนึ่งในชุมชนมุสลิมเท่านั้น ในการแก้ปัญหาการประกอบศาสนกิจ แต่อีกหลายปัญหาที่เป็นเชิงระบบในการบริหารแผ่นดินทั่วประเทศที่มีความ สัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายของคน จังหวัดชายแดนภาคใต้กับทั่วประเทศ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องผ่านกระบวนชูรอ (ประชุมปรึกษาแบบมีส่วนร่วมตามทัศนะอิสลาม) และการประชุม ปรึกษาหารือกับทุกภาคส่วน ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อันนำไปสู่การส่งเสริมกระบวนการพูดคุยสันติภาพกับผู้เห็นต่างได้เป็นอย่างดี
             
ท้าย นี้ผู้เขียนขอประณามการระเบิดที่เทศบาลตะลุบันครั้งนี้และขอแสดงความเสียใจ อย่างยิ่งต่อทุกครอบครัวของผู้สูญเสีย และผู้ได้รับบาดเจ็บทั้งทางร่างกายและทางจิตใจจากเหตุการณ์นี้และทุก เหตุการณ์รุนแรงที่ผ่านมาที่ขาดซึ่งมนุษยธรรมทั้งจากภาครัฐหรือทุกกลุ่มที่ ปฏิบัติการ และขอเรียกร้องให้ผู้ก่อเหตุได้หยุดคิดพิจารณาถึงผลกระทบจากการใช้ความ รุนแรง ที่นำมาสู่ความสูญเสียต่อชีวิตและร่างกาย ตลอดถึงทรัพย์สิน ขณะเดียวกันผู้เขียน ขอเรียกร้องให้รัฐบาลกระจายอำนาจการปกครองที่สอดคล้องกับคนพื้นที่ บริหารความรู้สึกอธรรมด้วยกระบวนการทางยุติธรรมที่โปร่งใส  และแสวงหาทางออกทางการเมืองโดยการสร้างกระบวนการในการเปิดพื้นที่พูดคุยกับ ประชาชนในพื้นที่ และองค์กรภาคประชาสังคม เพื่อหาแนวทางสนับสนุนการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

ถึงไม่มีโครงการจำนำข้าว ต้นทุนทำนาก็เพิ่มขึ้นอยู่ดี

ที่มา ประชาไท

 

แน่นอนว่าการจำนำข้าวไม่ได้แก้ปัญหาชาวนาได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของภาครัฐที่จะหันมาสนใจเรื่องรายได้และปัญหาของ ชาวนา
 
แม้การรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้ชาวนามีรายได้เพิ่มมากขึ้นเนื่องจากราคาขายข้าวเพิ่มสูงขึ้น จะทำให้เกิดความวิตกกังวลในหมู่นักวิชาการและนักวิเคราะห์น้าจอทีวีว่า จะทำให้ต้นทุนการผลิตของชาวนาเพิ่มขึ้น เนื่องจากชาวนาต้องการจะผลิตข้าวให้ได้มากๆ เพื่อนำมาเข้าโครงการรับจำนำ
 
อย่างไรก็ดี ต้นทุนการผลิตข้าวที่เพิ่มขึ้นในขณะนั้น เกิดขึ้นตามเงื่อนไขของตลาดเสียมากกว่า เพราะเอาเข้าจริงแม้ราคาข้าวจะไม่เพิ่มขึ้น(โดยการจำนำข้าว) ราคาปุ๋ย-ยาก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว ชาวนาไม่ได้ใช้ปุ๋ยหรือยาเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิตอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่พวกเขาใช้ปัจจัยการผลิตเหล่านี้ควบคู่ไปกับการประเมินความคุ้มทุนของเขา ด้วย   นอกจากนั้น ต้นทุนการผลิตก็ยังเกี่ยวข้องกับค่าแรง ซึ่งแรงงานเป็นปัจจัยการผลิตที่หาได้ยากขึ้นทุกวัน
 
ที่นาในพื้นที่ วิจัย ต.หนองน้ำใหญ่ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา นั้นเป็นที่ลุ่ม ชาวนาส่วนใหญ่คือชาวนาเช่าไร้ที่ดิน สำหรับในส่วนของค่าเช่าที่ดิน ไม่ใช่แค่ราคาข้าวเปลือกที่เพิ่มสูงขึ้นเท่านั้นที่จะมีผลต่อค่าเช่าที่นา แน่นอนว่าเมื่อราคาข้าวจากนาสู่ลานรับซื้อเพิ่มขึ้น ย่อมดึงดูดใจชาวนาทั้งหน้าเก่าและหน้าใหม่ แต่การที่ที่นามีจำกัด คนที่มีอำนาจมากที่สุดก็คือเจ้าของที่นา ที่ย่อมรอโอกาสจากส่วนแบ่งของราคาข้าวที่เพิ่มขึ้นมาเป็นธรรมดา
 
แต่การแข่งขันกันเองของชาวนาเช่าหน้าเก่ากับหน้าใหม่นี้ ยังต้องเผชิญกับปัญหาการเก็งกำไรจากนโยบายประกาศเช่าที่นาเป็นที่รองรับน้ำ ของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุทกภัย จากข่าวลือที่ออกมาเมื่อปลายปี พ.ศ. 2554 ที่ว่าอาจมีการเช่าที่นาในราคาสูงถึงไร่ละ 5,000 บ. นั้น เจ้าของที่นาบางรายถึงกับเปรยว่าจะไม่ให้ชาวนาเช่าที่นาเพื่อทำนาหนที่ 2 เพราะต้องการเก็บให้รัฐบาลเช่าแทน
 
 
 

ภาพดัดแปลง [1]
 
 
ความซับซ้อนในเรื่องนี้จึงกลายมาเป็นปัญหา ที่ทำให้ราคาเช่าที่นาในแถบ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา แพงกว่าใน จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นที่นาดีและทำนาได้เกือบจะ 3 ครั้ง/ปี ในขณะที่ที่นาแถบ อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา มีราคาขายต่ำมาก เนื่องจากเป็นที่ลุ่มมีน้ำท่วมขังนานถึง 4 เดือน (เป็นอย่างน้อย) ในแต่ละปี รวมทั้งมีปัญหาการขาดแคลนน้ำในหน้าแล้ง เพราะอยู่ปลายสุดของโครงการชลประทาน แต่กลับต้องเป็นที่รองรับน้ำเมื่อต้องมีการระบายน้ำในช่วงหน้าน้ำ
 
 
นอกจากนั้น สำหรับชาวนาแล้ว การเพิ่มจำนวนรอบการปลูกข้าวขึ้นอยู่กับสภาพน้ำเป็นสำคัญ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าข้าวเปลือกราคาแพงหรือถูก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าในปีนั้นๆ รัฐบาลจะใช้นโยบายการประกันราคาหรือนโยบายการรับจำนำ เพราะถ้ามีน้ำเพียงพอให้ทำนาได้ พวกเขาก็ทำ ถึงทำไม่ได้ในบางปีเพราะแล้งก็ยังพยายามจะหาน้ำมาทำ(ในกรณีเขตชลประทาน) หรือทำนารอฝน (นอกพื้นที่ชลประทาน)
 
ส่วนเรื่องคุณภาพข้าวที่มีความกังวลกันมากว่าชาวนาจะผลิตข้าวคุณภาพต่ำ จนอาจทำให้เกิดปัญหาต่อการส่งออกนั้น อันที่จริงในขั้นตอนที่ชาวนาเข็นข้าวไปขาย ผู้รับซื้อก็ย่อมมีการควบคุมคุณภาพข้าวและการตรวจวัดความชื้นอยู่แล้ว รวมทั้งยังมีข้อชวนสงสัยอีกว่าการปลอมปนข้าวหอมมะลิจนเป็นปัญหาเรื้อรังใน ตลาดข้าวนั้น เกิดขึ้นในขั้นตอนใดกันแน่ เกิดขึ้นในขั้นตอนการสีและบรรจุถุงขายเป็นข้าวสารส่งออกใช่หรือไม่ เช่นเดียวกับเวลาที่ชาวนาซื้อพันธุ์ข้าวมาปลูก ก็มักประสบปัญหาได้พันธุ์ข้าวที่เปอร์เซ็นต์ข้าวงอกต่ำบ้าง มีหญ้าปลอมปนบ้าง หรือไม่ใช่พันธุ์แท้ที่ต้องการบ้าง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ได้ถูกลดทอนจากนักวิชาการและนักวิเคราะห์หน้าจอทีวีให้เป็นความผิดพลาดของ ชาวนาแต่ฝ่ายเดียวทั้งสิ้น
 
ใช่ แค่จำนำข้าวมันยังไม่พอ
 
ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขต่อไป ควบคู่กับการปรับปรุงโครงการรับจำนำเข้าที่เข้าทางมากยิ่งขึ้น ต้องปรับขั้นตอนกลไกการปฏิบัติให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และป้องกันปัญหาทุจริตให้รัดกุม
 
มันยากที่ชาวนาและเครือข่ายในห่วงโซ่อุตสาหกรรมการผลิตข้าว (ที่ไม่ได้สัมพันธ์กันกับอุตสาหกรรมเคมีการเกษตรและปิโตรเคมี) อาทิ ชาวนารับจ้าง ผู้มีรถรับจ้างไถนา เกี่ยวข้าว เหล่านี้จะออกมาพูดต่อสาธารณะเพื่อปกป้องผลประโยชน์ที่พวกเขาได้จากโครงการ จำนำข้าว เพราะอย่างไรเสียเสียงของพวกเขาก็ไม่มีทางดังพอ ไม่ทรงภูมิมากพอ เท่ากับเสียงของพวกพ่อค้า ผู้ส่งออก นักวิชาการ และนักวิเคราะห์หน้าจอ ที่ไม่เคยผ่านความเสี่ยงของดินฟ้าอากาศและกลไกตลาดที่ใช้กดราคาข้าว ดังที่ชาวนาต้องเจออย่างจำเจซ้ำซากอยู่ชั่วนาตาปี
 
 
ภาพจากMaysaaNitto Org-home
 
 
หมายเหตุ: บท ความนี้สังเคราะห์ขึ้นจาก งานวิจัย "ดำรงชีวิตท่ามกลางความเสี่ยง :  การรับมือและการปรับตัวต่อภัยพิบัติของชาวนารายย่อยภาคกลาง กรณีศึกษาภัยน้ำท่วมและภัยจากเพลี้ยกระโดด"  โดย ชลิตา บัณฑุวงศ์ นิรมล ยุวนบุณย์ และ นันทา กันตรี  สนับสนุนทุนวิจัยโดย สำนักงานส่งเสริมการปฏิรูประบบ เพื่อคุณภาพชีวิต เกษตรกร ชุมชน และสังคม (สปกช.) เมษายน 2554
 
[1] ดัดแปลงข้อมูลจาก
 

สมบัติ จันทรวงศ์: ประชาธิปไตย VS ศีลธรรม ข้อถกเถียงเชิงปรัชญาแห่งยุคสมัย

ที่มา ประชาไท

 

สมบัติ จันทรวงศ์ อาจารย์ด้านปรัชญาการเมือง นำเสนองานวิจัยเรื่องประชาธิปไตยไทย: ปรัชญาและความเป็นจริง ขุดถึงราก ตั้งคำถาม ชวนถกเถียงประชาธิปไตยและศีลธรรม แถมท้ายด้วยการวิจารณ์จาก ปิยบุตร แสงกนกกุล จากนิติราษฎร์ และใบตองแห้ง คอลัมนิสต์ชื่อดัง

(26 ก.ย.55) ในการเสวนาเรื่อง “ความมั่นคงมนุษย์: ความมั่นคงทางการเมืองในกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคม ไทย” ณ ห้องประชุม 105 อาคารมหาจุฬาลงกรณ์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีการนำเสนองานวิจัย หัวข้อ “ประชาธิปไตยไทย : ปรัชญาและความเป็นจริง” โดย สมบัติ จันทรวงศ์  และการวิจารณ์โดยปิยบุตร แสงกนกกุล และอธึกกิต แสวงสุข หรือ "ใบตองแห้ง"

นำเสนองานวิจัย“ประชาธิปไตยไทย : ปรัชญาและความเป็นจริง”


สมบัติ จันทรวงศ์
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

เริ่มต้นด้วยการอ้างอิงคำพูดของนักรัฐศาสตร์เกี่ยวกับประชาธิปไตยไทย
"เรามีโครงสร้างประชาธิปไตย แต่ประชาชนยังมีความคิดในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์"
เกษียร เตชะพีระ 4 ก.พ.2555
"อย่างผมพูดจริงๆ นะครับ ผมไม่ค่อยสนับสนุนการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งมาอยู่ในวัฒนธรรมไทยแล้วเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอามา ต้องเอามาใช้แบบที่ว่าปรับให้เข้ากับวัฒนธรรม แต่จะปรับอย่างไรหาข้อสรุปไม่ได้ แต่ถ้าไปแข่งขันกันก็จะกลายเป็นกึ่งๆ การแทงพนัน และคนก็ไม่ค่อยนับถือการเลือกตั้ง ถ้าผมบอกว่าผมมาจากการเลือกตั้ง ทุกคนก็เฉยๆ แต่ถ้าบอกว่าผมมาโดยพระบรมราชโองการ ยอดเลย เพราะฉะนั้น เราไม่ได้นับถือการเลือกตั้งแบบนี้ น่าจะต้องเอามาคิดให้ปราณีต ผมว่านี่เป็นเรื่องทางวัฒนธรรม จะต้องปรับ จะต้องเอากลไกอื่นมาใช้กับสังคมไทย จะใช้ได้อย่างไร ได้แค่ไหน"
เอนก เหล่าธรรมทัศน์
เมืองไทยหลังขิงแก่ 1 หน้า 78-79
จากข้อสังเกตดังกล่าว ทำให้ตั้งคำถามว่าจริงๆ แล้วประชาธิปไตยในไทยต้องอธิบายตัวเองว่าทำไมระบอบประชาธิปไตยถึงควรเป็น ระบอบที่ชอบธรรม ทำไมคนที่มาจากการเลือกตั้งควรได้รับการยอมรับนับถือ เพราะถ้าคนไม่ยอมรับนับถือประชาธิปไตย เราจะมีปัญหามาก
เมื่อดูการเกิดของประชาธิปไตยในสังคมตะวันตกยุคใหม่ มีแรงต่อต้านโจมตีอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง งานของ David Spitz พูดถึงแนวคิดต่อต้านประชาธิปไตยว่ามีสองสำนักใหญ่ คือ
1) ประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะในทุกสังคมต้องมีชนชั้นผู้ปกครอง ซึ่งแยกเป็นสองทฤษฎีย่อย คือ หนึ่ง ชนชั้นผู้ปกครองเป็นความจำเป็นในการจัดองค์กร ไม่ว่าจะองค์กรเล็กหรือใหญ่ สุดท้ายอำนาจบริหารจัดการขึ้นกับคนเพียงไม่กี่คนทั้งนั้น โดยคนที่มีโอกาสมากในการเข้ามาจัดองค์กร โดยทั่วไปคือคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจสูงหรือมีคุณสมบัติเด่นบางอย่าง สอง ชนชั้นผู้ปกครองในฐานะการสมคบกันขึ้นสู่อำนาจ อธิบายว่าผู้ปกครองเป็นคนพิเศษ ซึ่งกระหายอำนาจ ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อำนาจ ดังนั้นประชาธิปไตยในฐานะที่มีคนจำนวนมากเข้าร่วมจึงเป็นไปไม่ได้
2) ประชาธิปไตยเป็นไปได้ แต่ไม่เป็นสิ่งที่พึงปรารถนา กลุ่มนี้มองว่าถ้าจะเอาคนที่จะเป็นผู้ปกครอง ต้องเอาคนที่ดีที่สุด ไม่เอาคนธรรมดา ดังนั้น กลุ่มนี้จะโยงกับความคิดเรื่องอภิสิทธิชน ซึ่งเป็นทฤษฎีเก่าแก่ สืบสายจากสมัยเพลโตที่มองว่า ประชาธิปไตยที่มองว่าทุกคนเท่าเทียมกันเป็นการฝืนธรรมชาติ เพราะธรรมชาติจัดให้คนไม่เท่ากัน ทุกสิ่งมีตำแหน่งแห่งที่ในลำดับชั้นอยู่แล้ว ประชาธิปไตยคือการทอนให้ทุกอย่างลงมาเท่ากันหมด มองที่ปริมาณอย่างเดียว ซึ่งเป็นเรื่องฝืนธรรมชาติ ยังไม่ต้องพูดว่าที่บอกว่าคนเท่ากันนั้นเท่ากันตรงไหน เราเห็นความไม่เท่ากันมากกว่าที่เท่ากัน
เพราะฉะนั้น กว่าที่ประชาธิปไตยจะพัฒนามาได้ ต้องใช้ความพยายาม มีพัฒนาการความคิดที่ยาวนาน ข้อกล่าวหาทั้งหลายเหล่านี้ยังมีอิทธิพลมากในสังคมไทย และยิ่งมีการพูดถึง "มวลมหาประชาชน" มากขึ้น ก็ยิ่งน่าหวาดเสียวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีตัวแปรเพิ่มขึ้นมาเมื่อเกิดศาสนาคริสต์ ทำให้คู่ต่อสู้เปลี่ยน ไม่ใช่แบบที่เพลโตบอกว่าเป็นคนที่รู้กับไม่รู้ แต่เป็นระหว่างพระมหากษัตริย์และพระ กับฝ่ายที่นับถือศาสนาคริสต์แต่ไม่ยอมรับอำนาจกษัตริย์ โดยกษัตริย์อิงคำสอนศาสนาคริสต์ อ้างว่าได้รับอำนาจพิเศษจากพระเจ้า คนทั่วไปมีหน้าที่เชื่อฟังกษัตริย์ กษัตริย์จะทำดีหรือชั่วก็ไปรับผิดชอบต่อพระเจ้าเอง
กรณีนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนก็อิงศาสนาคริสต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยกันทั้งคู่ พิสูจน์เชิงประจักษ์ไม่ได้

แนวคิด ‘เทวสิทธิ์’ เป็นเรื่องสมมติ ‘ประชาธิปไตย’ ก็เรื่องสมมติเช่นกัน
ถ้า เรามองว่าทฤษฎีเทวสิทธิ์เป็นการอ้างตำนาน สิ่งที่ไม่เป็นจริง บุญญาธิการ บาปบุญ กฎแห่งกรรมที่มองไม่เห็น ประชาธิปไตยก็กำเนิดจากการสร้างขึ้นมาเช่นกัน โดยมีรากฐานจากสิ่งสมมติว่า ตามหลักตรรกะ ถ้ามีสังคมการเมือง รัฐบาล ต้องมีสภาพก่อนที่จะไม่มีสังคมและรัฐบาล ในสภาพนั้นทุกคนต้องเท่ากัน เพราะยังไม่มีอะไรกำหนด เรียกว่า "สภาพธรรมชาติ"
โดยสิ่งที่ทำให้มนุษย์เท่ากันคือ ความเสมอภาคในการปกปักษ์ชีวิตตัวเอง นั่นคือ ทุกคนมีศักยภาพที่จะฆ่าคนอื่นได้เท่ากัน เพราะฉะนั้น ในยามหลับ คนฉลาดอาจถูกคนโง่ฆ่าได้ คนแข็งแรงก็ต้องมีวันเผลอถูกคนอ่อนแอฆ่าได้ เพราะฉะนั้น หลักที่บอกว่ามนุษย์เท่ากันเริ่มต้นจากสิ่งที่ต่ำมาก คือ ความสามารถที่บอกว่าเราฆ่าคนอื่นได้ นี่กลายเป็นจุดเริ่มต้นของระบอบเสรีนิยมในปัจจุบัน คือเอาสิ่งที่ต่ำที่สุดของมนุษย์มาเป็นเกณฑ์บอกว่า เราเท่ากันเพราะเรามีสิทธิปกปักษ์รักษาตัวเรา ซึ่งมาจากสภาพธรรมชาติ  เหล่านี้ก็เป็นเรื่องสมมติ เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยต้องยอมรับว่ากำเนิดของตัวเองก็เป็นข้อสมมติ ไม่ใช่ของจริง
เมื่อถือว่ามนุษย์เท่ากัน สิ่งที่นอกเหนือจากความสามารถในการฆ่าคนอื่นก็คือเหตุผล มนุษย์มีเหตุผลเหมือนกัน ส่วนเกณฑ์ที่เข้ามาแทนพระเจ้าคือธรรม ชาติ เริ่มตั้งแต่สภาพธรรมชาติ มีการพูดถึงกฎแห่งธรรมชาติ สิทธิตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจได้ และผูกพันทุกคนเหมือนกันหมด เพราะเราจะยอมรับคนอื่นก็ต่อเมื่อเราคิดถึงตัวเอง ด้วยวิธีคิดแบบนี้พัฒนาไปสู่อำนาจในการปกครอง เพราะเมื่อไม่มีอะไรบอกว่ามนุษย์คนไหนเหนือกว่า จึงต้องอาศัยความยินยอม ทำให้ความชอบธรรมของรัฐบาลมาจากความยินยอมของประชาชนภายใต้เงื่อนไขบางอย่าง

ความสัมพันธ์ ประชาธิปไตย-การปฏิวัติ
ตรง นี้เองที่การเปลี่ยนจากสังคมจารีตสู่สังคมประชาธิปไตยอาศัยกรอบความคิด เรื่องสิทธิตามธรรมชาติและความเสมอภาคของมนุษย์ ซึ่งเป็นเรื่องสมมติ โดยมีชนชั้นนำเป็นผู้กระจายความคิดออกไป เพราะฉะนั้น การปกครองด้วยเสียงข้างมาก จึงเป็นรูปแบบการปกครองที่สอดคล้องกับคำสอนเรื่องสิทธิตามธรรมชาติ เพราะการยินยอมให้คนอื่นปกครองตัวเรา เป็นสิ่งที่มีเงื่อนไขตามมาเสมอ
มนุษย์ยอมสละสิทธิอำนาจธรรมชาติตามเดิมเพื่อมาอยู่ในสังคมการเมือง เพื่อมีสิทธิเสรีภาพตามกฎหมาย เป็นการยอมแต่ต้องมีเงื่อนไข ดังนั้นประชาธิปไตยจึงเกิดขึ้นพร้อมกับทฤษฎีการปฏิวัติ ว่าหากทำไม่ถูกเงื่อนไข ประชาชนสามารถถอนคืนได้ตลอด ความชอบธรรมที่รัฐบาลประชาธิปไตยได้มาไม่ใช่ได้แล้วได้เลย แต่ยืดได้หดได้ ซึ่งทุกรัฐบาลต้องตระหนัก
ข้อสมมติต่อมาคือประชาธิปไตยเริ่มจากการมองที่ปัจเจกบุคคลเป็นหลัก การรวมเอาปัจเจกบุคคลมารวมเป็นสังคมก็เป็นสิ่งสมมติ และสิ่งที่มักลืมกันก็คือการมองว่าการตัดสินใจโดยส่วนเดียวของประชาชนเป็น การตัดสินใจของเสียงข้างมาก ซึ่งแทนทั้งสังคม ทั้งที่นี่คือเรื่องสมมติ เพราะหากดูระบบเลือกตั้งประเทศ ไทย จะเห็นว่า ตามหลัก เขตเดียวคนเดียว อาจจะไม่ถึง 30% ของทั้งประเทศ แต่ตัดสินแทนทั้ง 63 ล้านคน เพราะฉะนั้น ข้อจำกัดของเสียงข้างมากจึงคือ ความถูกต้อง ความเป็นธรรมและยุติธรรม เพราะเสียงข้างมากเป็นทรราชได้เสมอ ดูได้จากประวัติศาสตร์อเมริกัน ช่วง 1776-1787 ว่าเกิดอะไรขึ้น คล้ายกับบางอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันด้วยซ้ำ ทั้งนี้ ไม่ขอลงรายละเอียดตรงนี้
สิ่งที่เปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นดูได้จากประวัติศาสตร์ช่วง 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมา โดยจะพูดถึงการปฏิวัติในอเมริกัน ฝรั่งเศส และไทย

แนวคิด “ความเท่าเทียม” ในอเมริกา และการกันศาสนาออกจากการเมือง
การ ปฏิวัติของอเมริกา ในปี 1776 เมื่อเกิดขึ้น มีผู้คนจำนวนมากแสดงความผิดหวังเพราะว่าไม่ได้ทำลายระบบทาส การกดขี่ผู้หญิงก็ยังอยู่ ช่วง 1776-1789 จริงๆ แล้วมีการต่อสู้ทางความคิดมาก่อนหน้านั้นนานพอสมควร ที่เรียกว่ายุคแห่งการรู้แจ้ง ยุคแห่งภูมิธรรมทั้งหลาย ซึ่งมาจากความคิดแหวกแนวในสมัยนั้น คือความคิดของ Spinoza ที่บอกว่าทุกอย่างในโลกเป็นอย่างเดียวคือ สสาร เพราะฉะนั้นมันไม่มีความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า จิตวิญญาณทั้งหลายเป็นเรื่องของสสารทั้งสิ้น เราต้องดูโลกอย่างที่มันเป็นจริง โดยเหตุผลของมนุษย์อาจจะไม่ใช่สิ่งซึ่งทรงพลังมากที่สุด แต่คือความอยากความปรารถนาของมนุษย์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นร่างกายกับจิตวิญญาณจึงไม่ใช่ของคนละส่วนกัน แต่เป็นส่วนเดียวกัน
มันก็เหมือนกับสสารซึ่งอยู่ภายใต้กฎการควบคุมทางฟิสิกส์อย่างเดียวกัน มนุษย์ทุกคนปรารถนาความสุขตามแบบของตัวเองเหมือนกันทั้งสิ้น ไม่มีใครมีสิทธิบอกว่าของใครดีกว่า เพราะฉะนั้นความรู้สึกทั้งหลายของมนุษย์ต้องไม่ถูกกดกั้น ความปรารถนาทางเพศต้องไม่ถูกถือว่าเป็นบาป หรือตำหนิว่าชั่วร้าย สังคมต้องยอมรับว่าไม่อาจนำมนุษย์ไปสู่คุณธรรมได้โดยการกล่อมเกลาให้มนุษย์ เป็นคนดี แต่สามารถมีพลเมืองดีได้โดยไม่ต้องมีคนดี เพราะฉะนั้นกติกาหลักจึงคือ ต้องสร้างกฎหมายบังคับทุกคนอย่างเท่าเทียม แล้วทุกอย่างจะดีเอง ศาสนาที่เป็นอยู่เกิดจากความกังวลของมนุษย์แต่ดั้งเดิม ศาสนาคริสต์ที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่านับถือ เพราะก็เป็นพันธมิตรที่ดีของสถาบันกษัตริย์ หลอกให้ประชาชนไปรบในสงครามและล้มตายจำนวนมาก เพราะฉะนั้น ทางออกของปัญหาความเสื่อมทรามของสังคมยุโรป จึงอยู่ที่การล้มล้างตำแหน่งอภิสิทธิ์และอคติทั้งปวง ทดแทนด้วยสังคมที่ยึดหลักของความเสมอภาค โดยอาศัยยุทธวิธีดังนี้ หนึ่ง โจมตีข้อผิดพลาด สอง ป่าวประกาศสัจธรรมให้โลกรู้ ขั้นตอนสำคัญแรกของการป่าวประกาศคือให้การศึกษาแก่สาธารณชนเสียใหม่ และล้มล้างศาสนจักรและรัฐบาล นี่คือเป้าหมายการต่อสู้ก่อนเกิดการปฏิวัติ 1789
โดยสรุป นักคิดยุคนั้นต้องการความเสมอภาค ทางเชื้อชาติ เสรีภาพในการใช้ชีวิต ในการแสดงออกอย่างสมบูรณ์ กันศาสนาจากการเมืองและการศึกษาโดยเด็ดขาด เพราะเชื่อว่าจะทำให้สังคมรู้แจ้งและประจักษ์ถึงประโยชน์

‘กลไกตลาด’ ช่วยแก้ปัญหาความเห็นแก่ตัวแทนศาสนา
ก่อน เกิดการปฏิวัติ 1789 ในฝรั่งเศส คนที่คิดแบบเดิมว่าล้มอำนาจกษัตริย์ แต่ไม่ต้องล้มสถาบันศาสนา มีความคิดว่าถึงมนุษย์จะเห็นแก่ตัว แต่ในที่สุดระบบตลาดเสรีจะช่วย คือ ในทางความคิดต้องเข้าใจงานของ John Locke  ที่เน้นเรื่องเสรีภาพ ความเสมอภาค แต่เสรีภาพ-เสมอภาคส่วนบุคคล ไม่พูดถึงส่วนรวม มี Adam Smith เข้ามาบอกว่าปล่อยให้เห็นแก่ตัวไป แต่กลไกของตลาดจะมีมือที่มองไม่เห็นทำให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมขึ้นมาเอง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สังคมยุโรปเปลี่ยนได้ทันใจ เพราะฉะนั้นจึงเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 แต่ก็จะเห็นว่าจบลงด้วยประหารผู้คนมหาศาล จนต้องคิดเครื่องมือกิโยติน เพราะประหารไม่ทัน และท้ายที่สุด คนคิดกิโยตินเองก็ถูกประหารชีวิต

2475 ประชาธิปไตยแหว่งวิ่น ชนชั้นนำไทยไม่ธรรมดา
สังคม ไทยมีความรู้เรื่องปฏิวัติฝรั่งเศสน้อยมาก โดยก่อน 2475 ไม่มีงานภาษาไทยที่พูดเรื่องปฏิวัติฝรั่งเศสเลย หลัง 2475 พบงานของพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ซึ่งเป็นเจ้าที่ชื่นชอบคณะราษฎร หลังจากนั้นมีอีกเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่ทำโดย อ.จรัล ดิษฐาอภิชัย เข้าใจว่าปัจจุบันยังคงมีน้อยเล่มอยู่
150 ปีหลังปฏิวัติฝรั่งเศส เกิด 2475 ในประเทศไทย ได้สอบถามจาก อ.นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง 2475 ว่าสมัยนั้นมีการพูดถึงหลักการความเสมอภาคของมนุษย์หรือไม่ ซึ่งได้คำตอบว่าไม่มี ส่วนตัวหาดูก็ไม่เจอ พูดง่ายๆ คือก่อนปฏิวัติฝรั่งเศส สนามความคิดที่ต่อสู้กัน คนซึมซับเข้าไปมหาศาล แต่ตอนเกิด 2475 ของประเทศไทย แทบจะไม่มีสิ่งนี้เกิดขึ้นเลย การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นน้อยมาก นี่คือสิ่งที่อธิบายว่าทำไม อ.เกษียรจึงบอกว่าเรายังคิดแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อยู่ ขณะที่เรามีโครงสร้างแบบประชาธิปไตย
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะชนชั้นนำของระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทยสามารถดัด แปลง ประนีประนอม อิทธิพลและผลกระทบของทางตะวันตกให้เข้ากับสังคมและประเพณีแบบเดิมของไทยได้ มากที่สุด เป็นเนื้อเดียวกัน แม้แต่พระพุทธศาสนาก็ถูกดัดแปลงให้เป็นเครื่องมือของรัฐในการส่งเสริมความ คิดแบบชาตินิยม แต่คณะราษฎรไม่ได้ทำตรงนี้ ทำไม่ได้ หรือไม่มีเวลาทำก็ไม่ทราบ เพราะฉะนั้นมันก็เลยขาดวิ่น

ประกาศฉบับหนึ่งคณะราษฎรกับหลักการที่หายไป
เคย ถกเถียงกับ อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ บอกว่าแถลงการณ์ของคณะราษฎร์ข้อที่หนึ่งเป็นคำประกาศอันยิ่งใหญ่ แต่ส่วนตัวมองว่า ไม่ยิ่งใหญ่ เพราะไม่มีอะไรที่เป็นหลักการเลย เป็นเรื่องเฉพาะทั้งสิ้น โดยเริ่มต้นบอกว่า "ตั้งแต่กษัตริย์องค์นี้..." ก็จบแล้วเพราะพูดถึงตัวบุคคลโดยเฉพาะ ไม่ได้พูดถึงหลักการโดยทั่วไป พูดง่ายๆ คือเมื่อนักรัฐศาสตร์มาดูเอกสารเหล่านี้จะตีความแบบเดียวกับที่ อ.ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ตีความว่า การเปลี่ยนแปลง 2475 กำหนดให้ความเป็นพลเมืองทำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน มันกลับหัวกลับหาง มันต้องความเป็นมนุษย์ที่มันเท่ากัน จึงทำให้เรามีสิทธิความเป็นพลเมืองเท่าเทียมกัน แต่ 2475 กลับบอกว่าทุกคนเป็นพลเมืองเท่ากัน จึงต้องเท่ากัน
ที่สำคัญ 2475 ไม่ได้ใช้ฐานทางศาสนาพุทธเลย นักวิชาการสายพระบอกว่าศาสนาพุทธอิงแอบกับสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด ไม่ได้มีส่วนเกื้อหนุนในทางประชาธิปไตยสักเท่าใดเลย  หากพูดว่าศาสนาพุทธพูดเรื่องความเสมอภาคนั้น ไม่เถียง แต่ความเสมอภาคของมนุษย์ในแง่ของโอกาสในการหลุดพ้น ไม่สามารถใช้อธิบายข้อผูกพันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยได้ มันคนละเรื่องกันกับกรณีของศาสนาคริสต์ เพราะฉะนั้น กระบวนการทางประชาธิปไตยไทย จึงไม่สามารถแจกแจงได้ว่าหลักการในทางทฤษฎีของประชาธิปไตยของตนนั้นคืออะไร
เมื่อหลายสิบปีก่อนได้รับเชิญไปพูดเรื่องรัฐธรรมนูญที่ฟิลิปปินส์ หลังโค่นมาร์กอสได้หนึ่งปี ได้แสดงความยินดีกับเขาและบอกว่าประชาธิปไตยมีสองหลัก คือ หนึ่ง หลักการทางทฤษฎี สอง หลักการทางปฏิบัติ สองหลักนี้ต้องไปด้วยกันและสอดคล้องกัน ที่สำคัญที่สุดคือ หลักการทางทฤษฎี โดยเปรียบเทียบกับผู้ชายผู้หญิงที่แต่งงานกันด้วยความรัก ความรักจึงคือหลักการทางทฤษฎี เมื่อต้องแบ่งงานบ้านกันทำ เป็นทางปฏิบัติ จะจัดแจงอย่างไรก็ได้ตราบเท่าที่หลักการทางทฤษฎีหรือความรักมั่นคง  แต่ถ้าเลิกรักกันเสียแล้ว แค่หยิบแก้วน้ำให้ยังไม่อยากหยิบเลย

สภาพเน้นการปฏิบัติ’เลือกตั้ง’ แต่ขาดรากทางปรัชญา
ใน สังคมไทย ตอนนี้กลับตาลปัตร คือเราให้ความสำคัญกับหลักการทางปฏิบัติ คือการเลือกตั้ง แต่ไม่พูดเรื่องหลักการทางทฤษฎีว่าเราเท่ากันตรงไหน เพราะถ้าพูดได้ว่าเราเท่ากันตรงไหน จะบอกได้ว่าเสรีภาพของเราควรจำกัดอยู่ตรงไหน ตรงนี้คือปัญหาใหญ่ และเราพลาดโอกาสเพราะ 2475 ไม่ได้คุยกันเลย

นิติราษฎร์ การป่าวประกาศสัจธรรม และเรื่องที่ทำไม่ได้ (ง่าย)
ความ พยายามที่จะนำมาคุยกันใหม่มาจากกลุ่มนิติราษฎร์ โดยแถลงการณ์ของนิติราษฎร์ฉบับที่ 1 เรียกตัวเองเป็นภาษาอังกฤษว่า Enlightened Jurists โดย Enlightened คือภูมิธรรม ยุคแห่งความรู้แจ้ง เมื่อไปดูในงานที่นิติราษฎร์ทำต่อๆ มาก็จะยิ่งเห็นชัดเจนว่า ถอดแบบจาก Enlightenment 1789 รวมทั้งยุทธศาสตร์ก็ออกมาในแนวเดียวกันคือ ชี้ความผิด และป่าวประกาศสัจธรรม แถลงการณ์ของ อ.วรเจตน์ก็ใช้คำของคานท์ เรื่องการกล้าแสดงปรีชาญาณเต็มไปหมด แต่ตรงนี้คิดว่ายังอยู่ในขั้นที่จะต้องต่อสู้กันต่อไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
ตัวเลขปี 2550 เรื่องคนรวยคนจนในประเทศไทย ประชากรไทยที่มีรายได้สูงสุด 20% มีส่วนแบ่งรายได้รวมกัน 54.9% ของทั้งประเทศ ส่วน 20% ของคนที่มีรายได้ต่ำสุด มีส่วนแบ่งรวมกัน 4.4%
การจะทำให้ประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศที่ต่างกันทางเศรษฐกิจขนาดนี้ไม่ ง่าย งานวิจัยไหนๆ ก็บอกว่า ยากที่จะเกิดประชาธิปไตยที่ยั่งยืนในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำขนาดนี้
กรณีการถือครองที่ดิน มูลนิธิสถาบันที่ดิน พบว่า ที่ดินในการครอบครองของประชาชนทั่วไป 120 ล้านไร่ มากกว่า 90% กระจุกตัวอยู่ในมือคนเพียง 10% เท่านั้น และ 70% ของที่ดินที่มีการถือครองถูกปล่อยไว้ให้รกร้างว่างเปล่า ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ถามว่ามีรัฐบาลไหนบ้างที่พยายามจะแก้ไขตรงนี้ หรือถ้าพยายามจะแก้จริงๆ จะทำได้สำเร็จหรือไม่ นี่คือคำตอบ

วัฒนธรรมใหม่ ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มี ‘จริยธรรม’  เน้นการไม่ตัดสิน
เพราะ ฉะนั้น มองว่า ในขณะที่การปฏิวัติด้านการเมืองโดยเฉพาะประเด็นเรื่องความเสมอภาคยังอยู่ใน ระดับของการก่อร้างสร้างตัว สิ่งที่ก้าวหน้ามากในสังคมไทยคือแนวรบด้านวัฒนธรรมหรือด้านสังคม คือแนวคิดที่สืบทอดมาจากนักคิดยุคการรู้แจ้งที่บอกว่า เหนืออื่นใด มนุษย์คือผู้มีสิทธิ สิทธิคือสิ่งที่มาก่อนแม้แต่สิ่งที่ดีงาม เพราะฉะนั้น หลักการใดก็ตามที่จะเป็นรากฐานในการกำหนดสิทธิของมนุษย์ จึงไม่ต้องพึ่งพาหรือผูกพันกับกรอบแนวคิดว่าด้วยชีวิตที่ดีแบบใดเลย วัฒนธรรมใหม่นี้คือวัฒนธรรมแห่งการปล่อยให้ทำได้ สำนึกเรื่องบาปบุญคุณโทษถูกแทนด้วยมโนทัศน์เรื่องความเจ็บป่วย คนทำชั่วทั้งหลายคือคนป่วยทั้งสิ้น ถ้ารักษาให้ถูกก็จะไม่ทำชั่ว สังคมยุคใหม่คือสังคมที่ไม่มีอะไรศักดิ์สิทธิ์เหลืออยู่เลย มีผู้นำทางวัฒนธรรมพูดว่าแม้แต่ความรักระหว่างพ่อแม่ลูกไม่ใช่เรื่องทาง ธรรมชาติ แต่เป็นเรื่องขนบประเพณี
ทุกวันนี้ไม่มีใครพูดเรื่องจริยธรรม เพราะจะถูกถามกลับว่า จริยธรรมของใคร เมื่อไหร่ ชนชั้นไหน เสื้อสีอะไร ความแตกต่างด้านจริยธรรมของผู้คนในสังคมมีฐานะไม่แตกต่างอะไรจากความแตกต่าง ด้านรสนิยม เฉกเช่นเดียวกับความแตกต่างเรื่องเครื่องแต่งกายหรืออาหาร ซึ่งเป็นความพอใจส่วนตัว ความก้าวหน้าในความคิดเรื่องอิสระเสรีดังกล่าวทำให้ขันติธรรมเป็นคุณธรรมสุด ยอดของสังคมไทยทุกวันนี้ คือต้องไม่ไปประเมินคุณค่าทางจริยธรรมของผู้อื่น

ศีลธรรมของพลเมือง (ไม่) จำเป็น ?
ทุก วันนี้ เรากำลังไปสู่จุดที่บอกว่าสัมพันธภาพทางศีลธรรม ก็เฉกเช่นเดียวกับสัมพันธภาพทางวัฒนธรรม ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวของมันเอง คือทุกคนต้องเคารพสิทธิของผู้อื่นที่จะตามใจตัวเอง มุมมองด้านจริยธรรมที่แท้จริงคือการปฏิเสธน้ำหนักของจริยธรรม หลายคนเรียกตัวเองว่าเสรีนิยม แต่ถ้าพูดแบบนี้ เท่ากับลืมคิดไปว่า กำลังบอกว่าประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องสนใจคุณธรรมของพลเมือง เพราะสิ่งที่จะทำให้ประชาธิปไตยดำรงอยู่ได้ ไม่ใช่คุณลักษณะที่ดีของพลเมือง แต่เป็นสถาบันทางการเมืองและสังคมทั้งหลายที่เป็นสถาบันเสรี ประชาธิปไตยเป็นเพียงแค่ระบบกฎหมายที่ทำให้ผู้คนที่มีต่างกันมากมายสามารถ อยู่รวมกันได้ นี่กลับไปสู่สภาพธรรมชาติแบบเดิม เราเป็นแค่ปัจเจกที่มาอยู่รวมกัน ทุกคนมีผลประโยชน์ของตัวเองไม่ขึ้นต่อกันและกัน และแลกเปลี่ยนกันโดยกลไกตลาดเสรี
คำถามคือว่าจริงๆ แล้วเป็นแค่นี้พอไหม เพราะถ้าเรายอมรับตรงนี้ ต้องย้อนกลับไปด้วยว่าแต่เดิม เราคิดว่าธรรมชาติของมนุษย์เปราะบางจึงต้องระมัดระวัง มีกฎกติกา ถ้าเช่นนั้น กรณีโฆษณาทางวิทยุรณรงค์ไม่ให้เด็กท้องก่อนแต่ง ทำไมเราต้องสนใจเรื่องนี้ หรือเรียกร้องให้ควบคุมตัวเอง เพราะคติเสรีนิยมบอกว่าเราต้องปล่อยตัวเอง ความอับอายต้องถูกทำให้หมดไป โดยมีผู้นำทางความคิดทางวัฒนธรรมบอกว่า เจตนาใดที่เคยถูกมองว่าผิดทำนองคลองธรรม ถามว่าลึกๆ ในใจอยากได้ใช่ไหม ถ้าอยากทำก็ทำไปเลย ถ้าไม่ถูกจับได้ นี่ไม่ต่างอะไรจากความสามารถในการฆ่า คือมองว่าทุกคนชั่วเหมือนกันหมด เพียงแต่ถูกจับได้หรือไม่ถูกจับได้

ความลักลั่นของเสรีนิยมแบบไทยๆ 
ที นี้ ที่ตลกคือการเมืองไทยในปัจจุบัน จากการสำรวจของมูลนิธิเอเชียว่า สังคมไทยต้องการประชาธิปไตยแบบไหน ได้คำตอบว่า ต้องการให้ทุกคนมีส่วนในการปกครอง เมื่อถามต่อว่าสังคมไทยมีคนรวย เด่น มีการศึกษา ควรทำอย่างไร ได้คำตอบว่า เรียกร้องให้เอื้ออาทรคนระดับล่าง  ซึ่งมันขัดกัน ตามหลักการแล้ว สองอย่างไปด้วยกันไม่ได้ ถ้าต้องการเสรีนิยม ทุกคนเป็นตัวของตัวเอง คนรวยก็ควรอยู่ของคนรวย ไม่ต้องยุ่งกับคนจน เพราะอย่าลืมว่า ความเสมอภาคในโอกาสก็คือโอกาสที่ทุกคนจะไม่เท่ากันในตอนจบ
จากการสำรวจของมูลนิธิเอเชีย พบด้วยว่า ผู้คนส่วนใหญ่เรียกร้องให้รัฐแทรกแซงกลไกตลาดเสรีและเกื้อหนุนประชาชนมาก ขึ้นในด้านเศรษฐกิจ แต่อีกด้านคือสังคมและวัฒนธรรม ก็เรียกร้องให้รัฐเปิดกว้างมากขึ้น โดยเฉพาะเสรีภาพส่วนบุคคลในเรื่องครอบครัวและเสรีภาพทางเพศ ตรงนี้จะเห็นว่าเสรีนิยมในปัจจุบันเอาสองอย่างมาใส่ด้วยกันคือ หนึ่ง คติประโยชน์นิยม ประโยชน์ของคนหมู่มากเป็นตัวชี้นำ ฟังแล้วดูดี แต่มีเงื่อนไขนิดเดียวคือ ถ้าหากว่าสังคมหมู่มากบอกว่าห้ามฆ่าคน ไม่ได้หมายความว่าการฆ่าคนไม่ดีในตัวของมันเอง แต่หมายความว่าการไม่ฆ่าคนทำให้คนหมู่มากมีความสุข กลับกัน ถ้าการฆ่าคนทำให้คนหมู่มากมีความสุขก็อาจถูกต้องตามกฎหมายได้
เพราะฉะนั้น แนวคิดนี้มีข้อจำกัดของมัน ถ้าจะเอาศีลธรรมออกจากการเมือง คำถามคือ กฎหมายเพียงเพียงพอจริงหรือไม่ ส่วนตัวมองว่าไม่พอ เพราะกลไกของรัฐไม่เคยที่เพียงพอที่จะเอาคนมาลงโทษได้ ถ้าคนไม่กลัวกรรมจากการทำความผิด อย่างไรกฎหมายก็ไม่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเรานึกแต่จะใช้ตัวบทกฎหมายเป็นเกณฑ์อย่างเดียว อาจทำให้คนก่ออาชญากรรมร้ายแรง ยิ่งกว่า เพื่อหนีอาชญากรรมเบื้องต้น เช่น ขับรถฝ่าไฟแดง ตำรวจไล่จับ ถ้ามองว่าซิ่งทันก็หนีพ้น จึงซิ่ง แต่ก็ปรากฏว่าไปชนรถตู้แล้วคนตายเก้าคน เป็นต้น

ผิด !  เอาศีลธรรมออกจากการเมือง
เพราะ ฉะนั้น มองว่าการเอาศีลธรรมออกจากกฎหมายโดยสิ้นเชิงเป็นเรื่องที่ผิด แม้แต่เรื่องขันติธรรมที่พยายามบอกว่าต้องละเว้นจากการมีข้อวินิจฉัยทาง ศีลธรรมใดๆ ทั้งสิ้นนั้น คิดว่าไม่ถูก เพราะขันติธรรมที่แท้จริงคือการอดกลั้นต่อสิ่งชั่วร้ายบางอย่าง โดยฝืนกับความรู้สึกที่ไม่อยากอดทน เฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่เลวร้ายกว่าเท่านั้น เราอดทนอดกลั้นกับสิ่งที่ชั่วบางอย่างไม่ได้หมายความวาเราเห็นด้วยกับสิ่ง ที่ชั่วนี้ แต่เราอดทนเพื่อไม่ให้สิ่งที่เลวร้ายกว่ามันเกิดขึ้น หรือเราอดทนเพื่อสิ่งที่อยู่สูงกว่าต่างหาก
เพราะฉะนั้น การมีขันติธรรมจึงต้องมีวินิจฉัยเชิงศีลธรรมอยู่ด้วยเสมอ ว่าตรงไหนที่เราควรอดกลั้น หรือตรงไหนที่อดกลั้นไม่ได้ เพราะบางครั้งเราต้องปรามความเห็นที่ผิดเพื่อปกป้องรักษาความจริง แต่บางครั้ง เราต้องมีขันติธรรมต่อความเห็นผิดๆ เพื่อเห็นแก่สันติสุข ความจริงและสันติสุขเป็นของดีด้วยกันทั้งคู่แต่ไม่ใช่อย่างเดียวกัน การประนีประนอมในเรื่องหลักการศีลธรรมนั้นเป็นไปได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย
จากบทสนทนาระหว่างโสเครตีสกับยูไทโฟร โสเครตีสกล่าวว่า ถ้าเราเห็นไม่ตรงกันในเรื่องของขนาดของสิ่งต่างๆ ก็ควรยุติการเห็นไม่ตรงกันด้วยการวัด ตกลงกันเรื่องของน้ำหนักที่แตกต่างด้วยการชั่ง แต่การเห็นไม่ตรงกันที่เราไม่สามารถจะตกลงกันได้และทำให้เราเป็นศัตรูกันคือ เรื่องเกี่ยวกับความถูกผิด สูงส่ง ต่ำทรามและดีเลว เรากลายเป็นศัตรูกันเป็นเพราะเราเห็นแตกต่างกัน และไม่สามารถตกลงกันได้อย่างเป็นที่พอใจ

สังคมเห็นไม่ตรงกันเรื่องศีลธรรม การปกครองด้วยเสียงข้างมาก เป็นเรื่อง ‘เพ้อเจ้อ’
ถ้า เป็นความเห็นไม่ตรงกัน เป็นความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ ส่วนตัวไม่กลัวเท่าไหร่ เพราะยังมีทางตกลงกันได้ แต่ถ้าเป็นความเห็นไม่ตรงกันเรื่องศีลธรรม สำนึก จะเป็นปัญหาใหญ่ เพราะฉะนั้น สังคมปัจจุบันที่คนยอมรับว่าเป็นสังคมทุนนิยมเสรี ซึ่งปกติมีความแตกต่างทางผลประโยชน์และเศรษฐกิจเป็นตัวแบ่งแยกผู้คนอยู่แล้ว โดยผู้คนยังมีความคิดเรื่องศีลธรรมอย่างเดียวกัน ความแตกต่างในสังคมทุนนิยมนั้นยังพอทน แต่สังคมทุนนิยมเสรีแตกต่างกันทางฐานะ เศรษฐกิจ สังคม แล้วยังมีความแตกต่างในเรื่องว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรดีอะไรชั่วด้วยแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ก็อย่างที่เห็น คือต้องฆ่ากันให้ตายไปข้างหนึ่ง
ดังนั้นในสังคมแบบนั้น การปกครองโดยเสียงข้างมากเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ สังคมที่คนเห็นไม่ตรงกันเรื่องศีลธรรม การปกครองโดยเสียงข้างมากไม่มีประโยชน์ เพราะสิ่งที่แบ่งแยกเสียงข้างมากและเสียงข้างน้อยออกจากกัน จะมีความเป็นพื้นฐานหรือหนักแน่นยิ่งกว่าสิ่งที่รวมพวกเขาเข้าเป็นสังคม เดียวกัน ตัวอย่างที่ชัดที่สุดคือกรณีของอเมริกา ช่วงสงครามกลางเมือง ฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้มีสิ่งที่ร่วมกันหลายเรื่อง แต่พอประเด็นเรื่องทาสเข้ามา ทำให้ความเหมือนกันที่มีทั้งหมดหมดความสำคัญไปเลย  สังคมไทยตอนนี้ก็คล้ายๆ อย่างนั้น แต่เรามีทางเลือกว่าจะปล่อยคนดำให้หมดเลย หรือจะทำแบบค่อยเป็นค่อยไป

ถึงเวลาถกเถียงฟันธงทางทฤษฎี
เพราะ ฉะนั้น ถึงตอนนี้ประชาธิปไตยไทยต้องตัดสินใจ ต้องมีพื้นฐานทางทฤษฎีที่ชัดเจนฟันธงเลยว่ามันคืออะไร จะมาอ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ได้ จริงๆ ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ เพราะผู้นำความคิดปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นนักประวัติศาสตร์ พอเป็นนักประวัติศาสตร์การจะพูดถึงสิทธิตามธรรมชาติ กฎแห่งธรรมชาติ ความจริงที่เป็นนิรันดร์ พูดไม่ได้  นักประวัติศาสตร์ยอมรับตรงนี้ไม่ได้เพราะต้องไปตามเงื่อนไขทางสังคมและ เศรษฐกิจ แต่พอพูดถึงเงื่อนไขทางสังคมและเศรษฐกิจ ปัญหาก็เกิดขึ้นทันทีว่า ตกลงที่พูดอย่างนี้เพราะเงื่อนไขทางสังคมเศรษฐกิจทำให้พูดอย่างนี้ใช่ไหม ตกลงที่พูดมาเป็นสัจธรรม เพราะเงื่อนไขทางเศรษฐกิจทำให้เป็นแบบนั้น ต่อไปมันเปลี่ยนก็อาจทำให้มันเปลี่ยนไปอีก เพราะฉะนั้น จึงคิดว่า เราต้อง settle down พื้นฐานทางทฤษฎีตรงนี้ให้ชัดเจนว่ามันคืออะไร
ที่สำคัญอีกอย่างคือ เมื่อเราพูดถึงประชาธิปไตยในปัจจุบัน อยากให้เทียบว่า ตอน 2475 คณะราษฎรวิจารณ์ระบอบกษัตริย์เละเลย เพราะว่าได้เห็นสิ่งที่เป็นจริง แต่ประชาธิปไตยของคณะราษฎร์ยังอยู่ในแผ่นกระดาษ ยังมาไม่ถึง ความฝันย่อมสวยกว่าความจริงเสมอ แต่พอมาตอนนี้ จะพูดถึงประชาธิปไตยราวกับว่ามันสวยต่อไปไม่ได้ ต้องพูดจากความจริงในปัจจุบันว่าอะไรที่ไม่ดี ถ้าไม่พูดตรงนั้นด้วย จะเหมือนกับกำลังเพ้อเหมือนคนหนุ่มสาวที่มีความรัก

ประชาธิปไตยแบบภาวะตกหลุมรัก
ขอ จบด้วยข้อเขียนเรื่องความรักของคนหนุ่มสาว "ความรักของคนหนุ่มสาวเป็นอะไรบางอย่างที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น รุนแรง และหุนหัน ตราบเท่าที่ยังมีอารมณ์รักอยู่ มันฉุดดึงตัวตนของมนุษย์ทั้งตัวเข้าไปอยู่ใต้กระแสลม ห่าฝนและคลื่นกระแสไฟฟ้าของมัน ความรักเช่นว่าเป็นสิ่งที่ไม่สมจริง จากทัศนะมุมมองของสมัยใหม่ 9 ใน 10 ของสิ่งซึ่งคู่รักเห็นขณะที่พวกเขาจ้องมองตากัน เป็นสิ่งที่จินตนาการเอาเอง มันไปกันได้กับเหตุผลเฉพาะตราบเท่าที่เหตุผลไม่ได้ท้าทายภาพลวงตานั้น มันเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเป็นไปไม่ได้ เพราะคู่รักไม่มีสำนึกในเรื่องข้อจำกัดของตนเองเลย มันอาจนำไปสู่การเสียสละอำนาจที่มีได้ เพราะด้วยเหตุผลที่ไม่ตระหนักในเรื่องข้อจำกัดของตนเอง คู่รักจึงอยากจะทุ่มเทอย่างสุดตัวให้แก่กันและกัน ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเรื่องเห็น แก่ตัวอย่างสุดๆ เพราะในช่วงแรกรัก เขาอาจจะไม่ได้ยินอะไรอื่นเลย และหากว่าจะมีใครอื่นอยู่ด้วย คนอื่นๆ ก็ไม่สำคัญทั้งสิ้น แน่นอนว่าชายหรือหญิงที่ไม่เคยมีความรักนั้นก็เหมือนกับคนที่ยังไม่สมบูรณ์ แต่กระนั้นก็ตาม ความรักของหนุ่มสาวก็ไม่ใช่ทั้งหมดของความรักและโดยตัวมันเองแล้วก็ไม่ใช่ สิ่งที่สมบูรณ์โดยปราศจากเงื่อนไขใดๆ

"อุดมคติทางการเมืองของคน หนุ่มสาวมีลักษณะคล้ายความรักของคนหนุ่มสาวทั้งปวง ข้อแตกต่างที่สำคัญอยู่ตรงที่ว่า สิ่งที่ถูกรักไม่ใช่ตัวบุคคล เป็นอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่า เพราะฉะนั้นผลกระทบโดยรอบจึงใหญ่เป็นเงาตามตัว และโดยที่ความรักของคนหนุ่มสาวสามารถพัฒนาเป็นความรักของผู้ใหญ่ได้ อุดมคติทางการเมืองก็สามารถพัฒนาเป็นอุดมคติที่มีวุฒิภาวะได้เช่นกัน แต่ในทำนองเดียวกับที่ความรักของคนหนุ่มสาวมักจะจบลงที่ความผิดหวัง อุดมคติทางการเมืองก็มักจะแปรเปลี่ยนเป็นการมุ่งเยาะเย้ยถากถางหรือเสื่อม ถอยลงเป็นความบ้าคลั่ง มันไม่เพียงแต่จะแตกต่างจากความประเสริฐในทางการเมือง แต่มันจะกลายเป็นสิ่งที่เข้ามาแทนที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย มันสามารถทำให้คนหนุ่มสาวมีความใฝ่ฝันที่สูงส่งยิ่ง แต่กลับจะทำให้เขาต้องบาดเจ็บพิการแทน"
ขอให้เรามีความหวังว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยของเราจะพัฒนาเช่นเดียวกับ ความรักของหนุ่มสาวไปเป็นความรักของผู้ใหญ่ที่ยั่งยืนต่อไป และฝากถึงนักประวัติศาสตร์ว่าเวลาบอกว่า ประวัติศาสตร์หวนคืนไม่ได้ เป็นอุปมาอุปไมยที่มีพลังมาก ในทำนองเดียวกัน เข็มนาฬิกากระโดดข้ามไม่ได้ ต้องค่อยๆ ไป ถ้ามันหมุนหวนคืนไม่ได้ ก็วิ่งเร็วไปข้างหน้าไม่ได้เช่นเดียวกัน
อุดมการณ์นั้นจะมีรายละเอียดอย่างไรอาจยังไม่ปรากฏชัด แต่ขอให้หวังว่า จะได้พบกับประชาธิปไตยที่ไม่ปฏิเสธมิติของศีลธรรม ไม่ปฏิเสธความดีความชั่วว่ามีอยู่จริง ไม่ปฏิเสธความเป็นธรรมชาติของความรักและความเป็นธรรมชาติของครอบครัวมนุษย์ เพราะนั่นเป็นสถาบันหลักที่เป็นรากฐานทางการเมืองที่ใหญ่กว่า แต่อาจจะมีความเป็นธรรมชาติน้อยกว่า จึงต้องพึ่งพาวัฒนธรรมหรือความเห็นร่วมกันของมนุษย์มากกว่า
ขออย่าให้หลงผิดถึงขนาดว่าเพื่อจะต่อสู้กับสิ่งซึ่งไม่เป็นประชาธิปไตย เราก็เต็มใจที่จะทำให้ประชาธิปไตยที่จะก่อตัวขึ้นในอนาคต กลายเป็นประชาธิปไตยที่ตัดขาดจากศีลธรรมและธรรมชาติ เพราะนั่นจะไม่ใช่ประชาธิปไตยของมนุษย์แต่อาจเป็นผลผลิตของอะไรบางอย่างที่ วิญญูชนอย่างผมไม่อาจนับได้ว่าเป็นมนุษย์


 


วิจารณ์และแลกเปลี่ยนความเห็นต่อบทความที่นำเสนอ

ปิยบุตร แสงกนกกุล
อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสมาชิกคณะนิติราษฎร์

มีประเด็นวิจารณ์ 6 ประเด็น ได้แก่
1) กรณีที่บทความระบุว่า ความคิดของปัญญาชนสาธารณะที่พูดเรื่องประชาธิปไตยตอนนี้ออกมาทางปีก Radical Enlightment ตอนที่ทำนิติราษฎร์ขึ้นมา นั่งคุยเรื่องความคิดว่าจะสื่อสารกันอย่างไร ที่เสนอ Enlightenment ขึ้นมา เพราะคิดว่าสภาพสังคมปัจจุบันของไทย แม้ทางกายภาพดูเป็นสมัยใหม่ แต่ทางความคิดจิตใจยังไปไม่ถึงสมัยใหม่ เช่นนี้ ถ้าความคิดของนิติราษฎร์เป็นความคิดที่ radical หรือไปในทางที่สุดโต่งรุนแรง นั่นอาจหมายความโดยปริยายว่าสังคมไทยปัจจุบันยังไม่ถึงความเป็นสมัยใหม่ก็ ได้ เพราะแนวคิด Enlightenment เกิดในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ซึ่งเป็นการเขย่าของเดิม
2) เห็นด้วยว่า ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 มีโอกาสปูพื้นความคิดเรื่องประชาธิปไตยน้อยมากเมื่อเทียบกับปฏิวัติฝรั่งเศส มองว่าอาจเพราะชนชั้นกระฎุมพีไทยไม่โตเท่ากับชนชั้นกระฎุมพีช่วงการปฏิวัติ ฝรั่งเศส  1789 ซึ่งชัดมากว่า ระบอบเดิมนั้นไม่มีที่ให้คนพวกนี้ขึ้นไป ขณะที่ของไทยเป็นการระเบิดเพราะคนในระบบราชการเดิม โดยเฉพาะทหารชั้นกลางลงมา ดังนั้น การก่อตัวของ 1789 กับ 2475 จึงไม่เหมือนกันเสียทีเดียว
นอกจากนี้ ในแง่บุคลิกภาพส่วนตัว หากมองปรีดี พนมยงค์ ในฐานะมันสมองของคณะราษฎร จะเห็นว่าปรีดีไม่อินกับการปฏิวัติ 1789 เนื่องจาก หนึ่ง ช่วงที่ปรีดีเรียนที่ฝรั่งเศส ในช่วง 1920 เป็นช่วงสาธารณรัฐที่สาม ซึ่งการปฏิวัติฝรั่งเศสเคลียร์หมดแล้ว และพูดกันเรื่องสังคมนิยมและสวัสดิการต่างๆ โดยจะเห็นว่าปรีดีพูดถึงเรื่องภราดรภาพ สวัสดิภาพ ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ การกระจายความเสมอภาคทางรายได้
สอง จากคำนำของ อ.ปรีดี ที่เขียนในหนังสือเรื่องปฏิวัติฝรั่งเศสของพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา ระบุว่าการปฏิวัติฝรั่งเศส 1789 ไม่ใช่การปฏิวัติที่สมบูรณ์เพราะไม่ได้ทำเรื่องเศรษฐกิจ จนสุดท้ายมีการเสียชีวิต มีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้น จะเห็นชัดว่าปรีดีไม่ได้เชียร์การปฏิวัติ 1789 และเมื่อดูในกลุ่มคณะราษฎร ก็พบว่าแทบไม่มีใครเชียร์การปฏิวัติ 1789 เช่นกัน อาจมีเพียงเตียง ศิริขันธ์ ที่เขียนหนังสือ "หัวใจปฏิวัติฝรั่งเศส" ซึ่งก็ไม่ได้พูดเชิงวิธีคิด ปรัชญาการฟอร์มตัวของความคิดแบบ 1789 แต่พูดเชิงโรแมนติก ชื่นชมความเสียสละของการปฏิวัติและเล่าข้อเท็จจริงมากกว่า ขณะที่งานภาษาไทยอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิวัติฝรั่งเศส ที่วิเคราะห์เหตุปัจจัยมีน้อย มีเพียงใครทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่เท่านั้น  ดังนั้น การเปลี่ยนแปลง 2475 อาจเชื่อมกับการปฏิวัติ 1789 ได้นิดหน่อย แต่มันสมองขอคณะราษฎรไม่ได้รู้สึกถึง 1789 ในเชิงชื่นชมเท่าไหร่
3) ศีลธรรม ปัญหาของภาษาไทยคือพอแปลว่า ศีลธรรม แล้วไปเชื่อมกับศาสนาพุทธตลอด ถ้าศีลธรรมแปลจาก moral ซึ่งเป็นธรรมในทางปรัชญา ไม่น่าจะโยงกับศาสนาพุทธเท่าไหร่ แต่พอแปลเป็นภาษาไทย มันจะลากเข้าสู่พรมแดนของศาสนาพุทธตลอดเวลา
ที่ อ.สมบัติบอกว่าเป็นเทรนด์ว่าเมื่อพูดถึงศีลธรรม จะมีคำถามว่าศีลธรรมของใคร ทำไมต้องมีศีลธรรม จะบอกว่าพวกนี้วิจารณ์อย่างเดียวก็พูดได้ แต่ถ้าดูเหตุปัจจัยว่าทำไมเขาถึงเริ่มวิจารณ์ มองว่าเพราะมีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยคำว่าศีลธรรมไปโจมตีคนอื่นตลอดเวลา จึงเกิดการตั้งคำถามกลับ นอกจากนี้ การโจมตีแบบไม่เสมอภาค ประเภทที่ว่าพอเป็นฝ่ายตัวเอง การประเมินเรื่องศีลธรรมจะอ่อนลง ทำให้คนเริ่มตั้งข้อสงสัยกลับมาและวิจารณ์ว่าไม่ต้องมีศีลธรรมก็ได้
ปัญหาคือตกลงแล้วศีลธรรมคืออะไร ในยุคนี้ประเมินยาก เสนอว่าจำเป็นจะต้องมีสนามที่มีอิสระและเสมอภาคเป็นธรรมในการถกเถียงกันได้ แต่ตอนนี้ในสังคมไทย ยังหาสนามเช่นนี้ไม่ได้
4) เห็นด้วยว่าประชาธิปไตยโดยไม่มีหลัก เช่น บอกว่าเสียงข้างมากแล้วได้ตลอดนั้นไม่ถูกต้อง แต่จะสังเกตได้ว่า สังคมประชาธิปไตยหรือที่กำลังพัฒนาประชาธิปไตยจะเกิดปัญหาคล้ายกัน คือมีความขัดแย้งระหว่างองค์กร สถาบันการเมือง บุคคลต่างๆ ที่มีฐานจากการเลือกตั้ง กับองค์กร สถาบัน บุคคลต่างๆ ที่ไม่มีฐานจากการเลือกตั้ง ฝ่ายที่หนึ่งคือเสียงข้างมากในสภา รัฐบาลที่ประชาชนสนับสนุน อีกข้างคือ ศาล องค์กรอิสระ องค์กรตรวจสอบต่างๆ
แม้ว่าจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ แต่จะทำอย่างไรให้สองสิ่งอยู่ด้วยกันได้ คิดว่าต้องยืนพื้นก่อนว่าประชาธิปไตยแบบผู้แทน แบบเลือกตั้ง ต้องเป็นมาตรฐานขั้นต่ำ จากนั้นองค์กรที่มาตรวจสอบที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ต้องมีความชอบธรรมทางประชาธิปไตยพอสมควร เช่น หลังรัฐประหาร โผล่มา คนจะตั้งคำถาม จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้ามาจากรัฐธรรมนูญกำหนดแน่นอน ที่มาขององค์กรมีจุดเชื่อมกับประชาชนอยู่บ้าง ก็จะชอบธรรมทางประชาธิปไตยพอสมควรที่จะตรวจสอบองค์กรจากการเลือกตั้ง
5) ปัญหาพื้นฐานของสังคมไทย ที่ อ.สมบัติบอกว่าถ้าอยากเสนอไอเดียว่าประชาธิปไตยควรจะเป็นอย่างไร ควรต้องได้พูดออกมา ปัญหาคือทุกฝ่าย ปัญญาชนหรือคนส่วนใหญ่ที่อยากพูดเรื่องนี้พูดได้ไม่หมด ถ้าพูดได้หมดจะถกเถียงกันได้สนุกกว่านี้ การพูดได้ไม่หมดหมายความว่า สภาพสังคมไทยยังไม่มีสนามที่ฟรีและแฟร์ ถ้ามี สังคมประชาธิปไตยจะเดินหน้าไปได้ เช่นกรณีโสเครตีสกับยูไทโฟรเถียงกัน บางเรื่องไม่รู้ว่าใครถูกผิด แต่ถ้ามีสนามที่ว่า ก็จะได้เถียงและแสดงเหตุผลของตัวเอง
6) อุดมคติทางการเมือง-ความรัก ฝ่ายที่นำเสนอความคิดในทาง enlightenment มาทางประชาธิปไตย ถ้าเราบอกว่าพวกนี้เป็นพวกอุดมคติทางการเมือง ที่พยายามจะผลักดันกู่ร้องป่าวร้องประกาศให้คนมาสนใจและบอกว่าสิ่งที่เป็น อยู่เป็นสิ่งที่ผิดและมีสิ่งใหม่มาป่าวประกาศ ถ้าบอกว่านี่เป็นอุดมคติทางการเมืองคล้ายความรัก ก็ต้องเอามาใช้กับฝ่ายที่ครอบงำสังคมไทยในปัจจุบันอย่างพวกนิยมเจ้าเช่นกัน บางทีที่ทำไปก็กำลังกู่ร้องป่าวประกาศในนามของความรักเช่นกัน ดังนั้น ถ้าทั้งสองข้างต้องการรณรงค์ ก็จะกลับไปจุดที่บอกว่าต้องมีสนามให้เถียงกันได้
อนาคตของสังคมไทยจะเป็นอย่างไรจะเข้าสู่ย่อหน้าสุดท้ายที่ อ.สมบัติว่าหรือไม่ คิดว่า ปัจจุบันฝ่ายนิยมเจ้า ครอบงำรัฐไทยมาตลอดทั้งด้านอุดมการณ์ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเปลี่ยนผ่านไม่แน่เสมอไปที่จะบอกว่าฝ่ายที่กำลังนำเสนอสิ่งใหม่จะนำไปสู่ ความรุนแรงเสมอไป ตรงกันข้าม ถ้าฝ่ายที่กำลังครอบงำสังคมไทย รู้ว่ากำลังมีสิ่งใหม่และต้องการเปลี่ยนผ่านไปด้วยกัน แล้วเปิดโอกาสให้คุย ความรุนแรงจะไม่เกิดโดยอาจจะหาโมเดลที่สมดุลได้ แต่ถ้าข้างหนึ่งกำลังกู่ร้องป่าวประกาศ อีกข้างบอกว่าเดี๋ยวจะรุนแรง ให้หยุดเสีย ก็อาจกลายเป็นความรุนแรงขึ้นไปอีกได้
ดังนั้น กติกาพื้นฐานที่ให้พูดคุยได้ทุกเรื่องต้องเริ่มก่อน จากนั้น จะช่วยกันตอบได้เองว่าสังคมไทยจะเดินไปทิศทางใด


อธึกกิต แสวงสุข
คอลัมนิสต์นามปากกา “ใบตองแห้ง”

คง ไม่สามารถวิจารณ์เชิงปรัชญาประชาธิปไตยได้มาก แต่ขอพูดจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่จริงว่าเกิดอะไรขึ้น ที่ อ.สมบัติบอกว่า นิติราษฎร์กำหนดจุดยืนอยู่ในกลุ่มนักคิดภูมิธรรมหัวรุนแรงนั้น มองว่าต้องอธิบายปรัชญากับความเป็นจริง เวลาที่นิติราษฎร์เสนอข้อเสนอต่างๆ ปรัชญานั้นเป็นตัวหนึ่ง แต่ความจริงอาจจะเป็นอีกอย่างก็ได้ในทางปฏิบัติ เช่น ถ้านิติราษฎร์เสนอแก้มาตรา 112 มีคนถามว่าทำไมแรงจัง ส่วนตัวมองว่านี่คือทฤษฎี นิติราษฎร์ในฐานะนักกฎหมายเสนอแบบนี้ ส่วนจะแก้อย่างไรให้สมดุลได้ก็แก้กันไป หรือ กรณี สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล เสนอปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็เป็นหลักที่พูดตรงๆ แบบสมบูรณ์แบบ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสำเร็จในวันนี้ พรุ่งนี้ ทุกคนก็ยอมรับว่าต้องค่อยเป็นไป
ที่พูดอย่างนี้ เพราะในสังคมไทย ถ้าใช้คำว่าเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยแบบอำมาตย์มาตั้งนาน ตั้งแต่หลัง 14 ต.ค.16 โดยเฉพาะหลัง 6 ต.ค.19 ที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกฯ ที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยครึ่งใบ คิดว่าสังคมไทยอยู่ในสถานะที่อะลุ่มอะล่วยระหว่างขั้วอำนาจต่างๆ มาตลอด จะเรียกว่าประชาธิปไตยไหม ก็เป็นในระดับหนึ่ง คือไม่มีความขัดแย้งระหว่างขั้วอำนาจ มันมีการประนีประนอม มีการเฉลี่ยอำนาจซึ่งกันและกัน อาจเรียกว่าเดินทางสายกลางมาตลอด และขัดแย้งกันช่วง พ.ค.35 และยุคทักษิณ ชินวัตร
ช่วงที่เกิดปัญหา อำมาตย์ที่คิดว่าเดินสายกลางมาตลอด กลับยอมรับทางสายกลางนั้นไม่ได้ และกลับไปสู่ความ radical ใช้ความรุนแรง โค่นล้มฝ่ายตรงข้ามชนิดที่จะเอาให้เหี้ยนเตียน ซึ่งจริงๆ มันขัดกับธรรมชาติที่เขาเดินมา อธิบายแบบธงชัย วินิจจะกูล คือ มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง โดยที่ฝ่ายอำมาตย์มีอำนาจ แทรกแซง ดูแล ซึ่งในด้านหนึ่งสังคมไทย รับว่า มีการดูแลโดยธรรมอยู่บ้าง มีผลประโยชน์บ้าง ยอมรับกันได้  จนมาไม่อะลุ่มอะล่วยกับระบอบทักษิณ
ส่วนตัวใกล้ชิดกับ อ.วรเจตน์ ตั้งแต่ปี 48-49 ตอนปี 49 ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการหันคูหาเลือกตั้งหันหลังเป็นโมฆะ นั้น อ.วรเจตน์มองว่าตามหลักกฎหมายแล้วผิด แต่ก็เงียบเพราะเข้าใจว่า ถ้ากลับไปสู่การเลือกตั้งใหม่ เลือก กกต.ใหม่ ก็โอเค เพราะประชาธิปไตยทางหนึ่งก็คือการประสานความขัดแย้งด้วยการเลือกตั้ง ตั้งรัฐบาล การถ่วงดุลซึ่งกันและกัน เพราะฉะนั้น จึงไม่มีใครบอกว่า การเอาเงื่อนไขของการหันคูหามาล้มการเลือกตั้งมันไม่ถูก
ส่วนตัวเตรียมใจว่า ถ้าพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งแล้วจะมีการเอาอำนาจนอกระบบหรือมวลชนมาต่อ รองบีบไม่ให้ทักษิณเป็นนายกฯ ด้วยเหตุผลว่าไม่เหมาะสม ก็ยอมรับได้ เพราะยังอยู่ในกรอบของทางสายกลาง เพราะหลักประชาธิปไตยขั้นต้นคือไม่ทำลายความเห็นต่างที่เห็นชัดเจนในสังคม ไทย ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา มีการปลุกระดมขึ้นมาเพื่อทำลาย ความเห็นต่าง เรื่องศีลธรรม-คนดี ไม่ยอมรับการเลือกตั้ง บุกมาจากเหตุการณ์เฉพาะหน้า ทั้งที่ก่อนปี 49 เราไม่เคยขัดแย้งกันเรื่องทฤษฎีเหล่านี้เลย
มีคำถามสองข้อ คือ ปัญหาเกิดขึ้นแล้วเราถึงมาขัดแย้ง อย่างที่อ.สมบัติว่า หรือคนกลุ่มหนึ่งปั้นปัญหาขึ้นมา ทั้งที่เมื่อก่อนตัวเองก็ยอมรับประชาธิปไตยเลือกตั้ง พ.ค.35 ก็ชูการเลือกตั้ง แต่พอต้องการเอาชนะทางการเมือง ก็บอกว่าเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย เชื่อคนดี ศีลธรรม ขึ้นมา ปลุกความคิดกษัตริย์นิยมขึ้น ยกตัวอย่างว่า ก่อนยุครัฐบาลทักษิณ ในหลวงพระราชทานพระบรมราโชวาท มีการนำเสนอที่พอเหมาะพอควร  แต่พอยุคทักษิณ สื่อพาดหัวใหญ่มาตลอด หนังสือพิมพ์ยุคทักษิณเป็นต้นมาชูหนักมาก คล้ายกับเอาทุกอย่างมาใช้เพื่อเป้าประสงค์ทางการเมือง
เพราะฉะนั้น ความสับสนเรื่องอุดมการณ์ประชาธิปไตยนั้น ตั้งคำถามว่าสับสนจริงหรือแกล้งสับสน อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ว่ามีข้อถกเถียงจริง ก็มองว่ามีได้ เพราะเราก็มาถึงจุดที่ต้องถกเถียงกันว่าจะไปอย่างไรต่อ  ถ้าพูดแบบผู้สนับสนุนนิติราษฎร์ ก็สนับสนุนหลักการประชาธิปไตยว่าอยู่บนหลักความเท่าเทียมเสรีภาพ อาจไม่ต้องเกิดในพรุ่งนี้ก็ได้ แต่สิ่งที่ควรจะต้องเกิดคือการสร้างสมดุลแห่งอำนาจที่เกิดการยอมรับซึ่งกัน และกัน ขั้วอำนาจต่างๆ ยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกันได้ เพราะเมื่อก่อนประชาธิปไตยแบบอำมาตย์ มีแต่ผู้มาจากการเลือกตั้ง พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย ระบบราชการและฝ่ายอำมาตย์ แต่พอระบอบทักษิณมา ตามที่เกษียร เตชะพีระ พูดคือ กลุ่มทุนใหม่ คนชั้นล่าง คนชนบท ที่ฮือขึ้นมากับการเลือกตั้ง ก็ต้องมีการหาจุดสมดุลใหม่ของสังคม แต่อุดมการณ์ประชาธิปไตยสูงสุดก็จะเป็นเป้าหมาย แม้รูปแบบที่จะไปไม่ต้อง 100% แต่ขอให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้
3-4 เดือนนี้ เราอยู่ในปัญหาใหม่ว่าสังคมเริ่มยอมรับกลายๆ แล้วว่า รัฐประหารไม่ได้ ใช้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคไม่ได้ มองว่าต้องยอมให้รัฐบาลเพื่อไทยอยู่ยาว แต่จะอยู่แบบแย่ๆ ไม่เป็นที่ยอมรับ วิพากษ์ ย่ามใจ เหลิงอำนาจ ทุจริต แต่ความขัดแย้งจะทำให้รัฐบาลอยู่ต่อไป ซึ่งนี่เป็นจุดที่ก็อึดอัด เพราะไม่รู้จะไปอย่างไรต่อ อย่างเรื่องคอร์รัปชั่น บางครั้งไม่ได้พูดเพราะไม่แน่ใจว่าโจมตีเกินเลยไหม แต่ก็มีคนในพรรคเพื่อไทยเองเล่าให้ฟังว่ามีที่จริงหลายเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัญหาของสังคมไทยตอนนี้ คือ ผู้อยู่ตรงข้ามรัฐบาลพยายามทำทุกอย่างที่มากกว่าตรวจสอบรัฐบาล แต่เป็นการล้มรัฐบาลและล้มรากฐานของประชาธิปไตย เช่นพยายามจะยุบพรรคโดยศาลรัฐธรรมนูญ ฝ่ายเสื้อแดงรับไม่ได้ เกิดการต่อต้านมาก จนไม่ฟังว่าที่ตรวจสอบรัฐบาลนั้นจริงไหม บางที จริง แต่การที่ฝ่ายค้าน พันธมิตรฯ หรือสื่อ ให้น้ำหนักมากจนเห็นว่าต้อการยุบพรรค ล้มรัฐบาล กลับสู่ระบอบที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ทำให้ถูกต่อต้าน
เรื่องประชาธิปไตยกับศีลธรรม มองว่า ประชาธิปไตยไม่ได้ปฏิเสธศีลธรรม แต่ระยะเฉพาะหน้า อย่าเอาศีลธรรมมาปิดกั้นเสรีภาพ การแสดงความเห็น การวิจารณ์ ไม่ว่าในระบอบจารีตนิยมหรือ สังคมนิยม ถูกบอกว่าคนดีเท่านั้นถึงมีสิทธิพูด ซึ่งความจริงไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ถูกใช้ทั้งในป่าในความคิดแบบสังคมนิยม ตอนหลังเติ้งเสี่ยวผิงถึงบอกว่าแมวสีไหนก็จับหนูได้ เพราะถ้าเอาคนมีคุณธรรมมาบริหาร เศรษฐกิจก็คงไม่ไปไหน
อย่างไรก็ตาม ศีลธรรมแบบที่พูดไม่ได้บอกว่าคนเป็นชู้นั้นเป็นคนดี แต่ศีลธรรมขั้นต่ำของการอยู่ร่วมกันคือไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน ส่วนการจะว่าเขาถูกผิดดีเลวก็เป็นเสรีภาพ ไม่ได้หมายความว่ายอมรับพฤติกรรมแบบนั้นว่าดี แต่ยอมรับว่าไม่ได้เลวร้ายขนาดอยู่ในสังคมร่วมกันไม่ได้ และถ้าเขาทำบทบาทในสังคมเช่นเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี ตราบที่ไม่กระทบที่ทำงานก็ต้องยอมรับ
การดีไม่ดีเป็นมาตรฐานของคนที่จะคิดกันเอง เพราะมาตรฐานของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ซึ่งเรื่องนี้จะเกี่ยวพันกับการใช้ในตุลาการภิวัตน์ ซึ่งจะเห็นว่าหลายเรื่องเป็นเรื่องที่เรียกร้องทางคุณธรรมจริยธรรม เช่น กรณียงยุทธ ทางจริยธรรมแล้ว ควรจะลาออก แต่เรื่องกฎหมายไปเถียงกันอีกที แต่สังคมไทยพอเจอนักการเมืองไม่มีมารยาทก็พยายามไล่ ชนิดให้พ้นจากตำแหน่งหรือต้องติดคุก ซึ่งเรื่องนี้ลำบาก เพราะมาตรฐานศีลธรรมของคนไม่เท่ากัน

สมบัติ จันทรวงศ์
ถ้า ทุกคนเป็นพลเมืองดี สังคมต้องมีปัญหาแน่ ยกตัวอย่างกรณีเยอรมนีสมัยฮิตเลอร์ ถ้าทุกคนเป็นคนดี เคารพกฎหมาย ยิวก็คงตายหมด ดังนั้น ต้องเป็นคนดี ออกมาต่อต้านนาซี ทรยศประเทศชาติของตัวเองเพื่อมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีแต่คนที่เคารพกฎหมายอย่างเดียว มีปัญหาแน่นอน
มีอะไรบ้างที่ทำแล้วกระทบตัวคุณคนเดียวโดยไม่กระทบสังคม ความเชื่อส่วนตัวนั้นกระทบสังคมทั้งนั้น เช่น สำมะเลเทเมา มีลูกแล้วทิ้ง สังคมก็ต้องเลี้ยง ต้องเก็บภาษีเพิ่ม แต่จะแค่ไหน ความผิดของนักการเมืองบางอย่างไม่ควรจ้องจับผิดเขา เพราะเขาทำประโยชน์ได้มากกว่า แต่ขณะเดียวกันความผิดบางอย่างถ้ายอมรับได้ สังคมเจ๊ง เช่น ทุกวันนี้ คน 70% บอกว่านักการเมืองโกงได้ ตราบเท่าที่แบ่งบ้าง นี่เป็นความเสียหายเพราะส่งเสริมให้คนโกงได้
ภูมิธรรมแบ่งได้หลายสาย สิ่งที่นิติราษฎร์พยายามทำคือแบบฝรั่งเศส โจมตีข้อผิดพลาด ป่าวประกาศสัจธรรม นั้นยังไม่ถูกต้อง ถ้าจะแนะนำ อ.ปิยบุตร ต้องอ่าน The Prince เพราะ The Prince บอกว่าสิ่งที่ยากที่สุดที่นักการเมือง หรือผู้นำต้องทำคือ การเปลี่ยนแปลง การนำเอาสิ่งใหม่เข้ามาในสังคม ซึ่งยากเพราะคุณประโยชน์ของของใหม่ คนมองไม่เห็น แต่คนที่ได้ประโยชน์จากของเดิมมี จำนวนมากและพร้อมจะเป็นศัตรู คนที่จะเชียร์ต้องเชียร์ลับๆ ไม่กล้าออกมา เพราะกฎหมายอยู่อีกข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนที่จะนำการเปลี่ยนแปลง ตั้งใจดีอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องอ่านการเมืองเป็น เล่นการเมืองเป็น คิดเป็น วางแผนเป็น ซึ่งนิติราษฎร์ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะ
สอง ที่ต้องท้วงติงคือ เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่โดยไม่มีศีลธรรม อย่างทั้งสองท่าน (ปิยบุตร-อธึกกิต) ที่มาพูด ต้องแน่ใจว่าซื่อสัตย์สุจริต หมายความอย่างที่พูดจริงๆ ต้องทึกทักว่าท่านมีตรงนี้ก่อนไม่เช่นนั้น เราจะนั่งฟังท่านได้อย่างไร ดังนั้น คนที่บอกไม่ต้องเชื่อศีลธรรม เหมือนกับการที่ตนเองเป็นคนกรุงเทพฯ แล้วพูดว่า คนกรุงเทพโกหกทุกคน เชื่อได้ไหม นั่นก็ต้องยกเว้นตนเองคนหนึ่งสิ่งที่พูดถึงจะเป็นจริง เพราะฉะนั้นเราปฏิเสธเรื่องศีลธรรมไม่ได้ ยิ่งนักการเมืองที่มีอำนาจตัดสินใจต่อส่วนรวม ยิ่งต้องมีมากกว่าคนอื่น ถ้านักการเมืองผิดศีลข้อสามก็ต้องสงสัยว่า เขาจะไม่ผิดข้ออื่นด้วยหรือ ในเมื่อมีอำนาจเอื้อให้ทำได้ง่าย
สาม อย่าคิดว่ากระบวนการประชาธิปไตยเป็น Self correcting process กระบวนการประชาธิปไตยไม่มีอะไรที่บอกว่าจะแก้ไขความผิดพลาดของตัวเองได้ ไม่มีหลักประกันว่า ไปนานๆ แล้วทุกอย่างจะดีเอง ถ้าไม่วางแผน ไม่ออกแบบสถาบันไปช่วยอาจจะเละก็ได้
ยกตัวอย่างประเทศอังกฤษ มีการศึกษาว่า มีคนชั้นสูงซึ่งมีฐานะได้เปรียบ คนข้างล่างไม่มีเลย พรรคสังคมนิยมในอังกฤษพยายามเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ซึ่งไม่มีปรากฏในงานนิติราษฎร์หรือข้อคิดของเสื้อแดง นั่นคือ การปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้ลูกคนระดับล่างที่มีปัญญาไต่ขึ้นมาได้ เพราะความสามารถสติปัญญาเป็นสิ่งที่กระจายไปทั่ว แค่เอาเงินมาแจกร้อยชาติก็หมด แต่ไม่ทำให้คนเท่ากัน ถามว่า เห็นนโยบายการศึกษาของพรรคการเมืองไหนบ้างที่พูดเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นนี่เป็นเรื่องที่ชี้ว่าใครที่คิดอะไรอย่างจริงจัง
เราไม่เห็นวิสัยทัศน์นี้เลยในส่วนของคนที่บอกว่าป่าวประกาศการเปลี่ยนแปลง
2475 คือผลพวงการปฏิรูปการศึกษาของรัชกาลที่ 5 ถ้ารัชกาลที่ 5 ไม่ปฏิรูปการศึกษา คนอย่าง ปรีดี จอมพล ป. พระยาพหลฯ จะโผล่มาได้หรือ เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ของที่เกิดขึ้นทันทีทันใด ประชาธิปไตยไม่ใช่กระบวนการที่แก้ไขตัวเองได้ เพราะประวัติศาสตร์ชี้ให้เห็นว่าอาจไปทางไหนก็ได้ และไม่เห็นว่าเหลื่อมล้ำต่ำสูงที่แท้นั้นเป็นอย่างไร
เวลาพูดเรื่องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค มีข้อถกเถียงกันมากว่าควรมีข้อจำกัดหรือไม่ แนวคิดสมัยใหม่บอกให้ปล่อยเต็มที่ ส่วนตัวไม่เห็นด้วย กรณี The Innocence of Muslim เห็นได้ชัด อเมริกันบอกว่ามีอิสระจะพูดอะไรก็ได้ แต่หาเรื่อง มันทำให้เกิดความขัดแย้งมหาศาล ศาลสูงอเมริกาเองเคยตั้งธงไว้ว่า เสรีภาพในการแสดงความเห็น ถ้าแสดงความเห็นแล้วจะเกิดอันตรายที่ชัดเจนปัจจุบันทันด่วน ไม่มีสิทธิพูด เช่น พูดในโรงหนังว่าไฟไหม้ ทั้งที่ไฟไม่ไหม้ ไม่มีสิทธิพูด
เพราะฉะนั้น ข้อจำกัดของเสรีภาพในการแสดงออกอยู่ที่วัตถุประสงค์ว่า พูดเพื่ออะไร
ประชาธิปไตยที่เชิดชูความเสมอภาคและเสรีภาพในการแสดงออกต้องมีข้อจำกัด ทั้งในทางศีลธรรมและทางปฏิบัติ ประชาธิปไตยก็เป็น myth เป็นสิ่งซึ่งถูกสร้างขึ้น มีข้อสมมติเต็มไปหมด ทำให้ต้องจัดองค์กรเพื่อตรวจสอบและถ่วงดุล อย่าลืมว่าประชาธิปไตยของไทยเป็นแบบรัฐสภา ซึ่งโดยหลักการไม่ได้ตรวจสอบและถ่วงดุลที่เข้มแข็งเท่า แบบประธานาธิบดี เราจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ แต่ถ้ามีอยู่ ภายใต้ความกดดันแบบนี้ ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก มีคนถามว่าจะจบอย่างไร คุณถามคำถามผิด มันเพิ่งจะเริ่มต้น

ปิยบุตร แสงกนกกุล
ส่วน ตัวไม่ได้ปฏิเสธเรื่องศีลธรรม เพียงแต่ถ้าจะมีเกณฑ์วัดทางศีลธรรมต้องมาตรฐานเท่ากัน เช่น วัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้ แต่สถาบันการเมือง องค์กรสาธารณะทั้งหมดต้องถูกวัดด้วย
ประเด็นเสรีภาพ ข้อจำกัดที่ว่าจะไปกระทบอย่างอื่น ในทางกลับกัน ปัญหาอยู่ที่คนรู้สึกถูกกระทบหรือไม่ กรณีเรื่องตะโกนไฟไหม้ในโรงหนังนั้นชัดเจน แต่มีเรื่องบางเรื่องที่สังคมบอกว่าแบบนี้พอจะพูดได้บ้าง แบบนี้พูดไม่ได้ สุดท้ายมาตรฐานอดทนอดกลั้นมันจะแค่ไหน เพราะบางทีคนที่ทนไม่ได้เลย เราต้อง concern เขาตลอดเวลา จะสลับกันทนได้หรือไม่ การจะมีข้อจำกัดที่ชัดเจนอาจจะยาก

อธึกกิต  แสวงสุข
ประเด็น ศีลธรรม สังคมประชาธิปไตยขีดกรอบว่าสิ่งที่ผิดคือสิ่งที่กระทบต่อคนอื่น กระทบสิทธิของผู้อื่น แต่นอกเหนือจากนั้น ดีเลว คือเรื่องที่เราด่ากัน ถ้าไม่กระทบการอยู่ร่วมกันในสังคมก็ปล่อยให้เป็นเสรีภาพในการด่ากัน นั่นคือศีลธรรม
ยกตัวอย่างคดีทักษิณ ติดคุกสองปี คดีนี้ตามหลักเป็นพฤติกรรมไม่เหมาะสมของนักการเมือง มีความเคลือบแคลงสงสัยต้องตำหนิ ทางการเมืองถูกอภิปราย ถูกไล่ หรือปลดออกจากตำแหน่ง แต่ไม่ควรเป็นความผิดอาญา
เรื่องถูกผิดในสังคมควรมีสองระดับ หนึ่ง คือ ผิดกฎหมาย เช่น ทุจริต ขับรถชนคนตาย สอง มาตรฐานที่เรียกร้องสูงกว่าคนอื่น เช่น เป็นนักการเมือง พระ นักข่าว อาจารย์ ไม่ใช่ความผิดอาญา แต่ต้องถูกด่า


อภิสิทธิ์โต้ "มติชน-ข่าวสด" ยัน "ชายใจดำ" ตัวจริงอยู่ต่างแดน

ที่มา ประชาไท

 
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ปราศรัยที่ จ.ตราด โต้ปกมติชนสุดสัปดาห์ยัน “ชายใจดำ” อยู่ต่างแดน หลอกคนมาชุมนุม แล้วเอากองกำลังติดอาวุธมาป่วนจนทำให้ผู้ชุมนุม-ตำรวจ-ทหารเสียชีวิต แถมยังใจดำกับประเทศไทย ลั่นจะขอสู้เพื่อประชาชนคนไทย จะไม่ยอมให้ “ชายใจดำ” เอาชายชุดดำมาป่วนบ้านป่วนเมือง ทำลายโอกาสประเทศไม่จบสิ้น
เว็บไซต์พรรคประชาธิปัตย์ รายงานว่า เมื่อเย็นวานนี้ (29 ก.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เดินทางไปที่ ศูนย์หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ จ.ตราด เพื่อปราศรัยเวที “เดินหน้า ผ่าความจริง หยุดล้มรัฐธรรมนูญ – ออกฎหมายล้างผิดคนโกง”
ตอนหนึ่งของการปราศรัย นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ที่ทุกคนมาในวันนี้ จะรักผม หรือจะรักใครก็ตาม ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับว่าทุกคนที่มาที่นี่รักความถูกต้อง รักความเป็นธรรม และรักประเทศไทย เพราะที่เราจัดเวทีกันทุกวันเสาร์ และมายืนอยู่ตรงนี้เราไม่ได้มาพูดเรื่องการหาเสียงให้กับพรรคประชาธิปัตย์ เราไม่ได้แม้แต่จะมาขับไล่รัฐบาล แต่สิ่งที่เรามา เรากำลังเรียกร้องแทนพี่น้องคนไทย แทนประเทศไทยว่า รัฐบาลจะต้องอยู่บนความถูกต้อง อย่าเอาผลประโยชน์ของใคร คนใดคนหนึ่ง อย่าเอาผลประโยชน์ของพวกพ้อง อย่าเอาผลประโยชน์ของพรรค อย่าเอาผลประโยชน์ทางการเมือง ทางการเงิน มาอยู่เหนือผลประโยชน์ของส่วนรวม และชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้อง

อัดรัฐบาลใช้เงินเป็นแสนล้าน แต่น้ำยังท่วม ทำให้ประชาชนเป็นหนี้
“วันนี้เวทีนี้เช่นเดียวกัน ไม่ได้มาไล่รัฐบาล แต่มาเรียกร้องว่า จนถึงวันนี้รัฐบาลก็ยังไม่ได้เอาใจใส่ที่จะเข้าไปดูแลแก้ไขปัญหาให้กับพี่ น้องประชาชน ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ในกระบวนการประชาธิปไตย ต้องการและคาดหวังให้รัฐบาลเข้าไปแก้ไข”
วันนี้ผมมาที่นี่ ผ่านจังหวัดระยอง ผ่านจังหวัดจันทบุรี มาถึงที่นี่ ก็ต้องขอถือโอกาสนี้ครับ เพราะว่าปีที่แล้วได้มีโอกาสไปเยี่ยมพี่น้องชาวปราจีนบุรีซึ่งประสบกับปัญหา น้ำท่วม วันนี้ตอนออกมาก็ได้อ่านข่าวชัดเจนว่า พี่น้องชาวปราจีนบุรีประสบภัยเป็นรอบที่ 2 แล้ว ซึ่งท่านรองหัวหน้าพรรค อลงกรณ์ พลบุตร ได้รับมอบหมายจากพรรคฯ ให้เข้าไปในพื้นที่ไปเยี่ยมเยียนแล้วก็ได้ทำไปโดยร่วมกับอาสาสมัครจำนวนมาก ผมอยากให้พวกเราปรบมือเป็นกำลังใจให้พี่น้องชาวปราจีน ฯ ส่งใจ กำลังใจ ไปยังพี่น้องที่ประสบภัยน้ำท่วม
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์วิจารณ์โครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลว่า ปีนี้รัฐบาลใช้เงิน แสน 2 หมื่นล้าน โดยไม่ขอบอกรายละเอียดให้กับสภา ขอให้ไว้วางใจนายกฯ เอาเงินแสน 2 หมื่นล้านไปแก้ปัญหาน้ำท่วม ขอสภาว่ามีเงินอีก 6 หมื่นล้านให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ไว้ใช้ในการดูแลแก้ไขปัญหาที่เป็นเรื่องฉุกเฉิน จำเป็นเร่งด่วน และที่สำคัญที่สุดครับ ขอเงิน ขอไปกู้เงินอีก 3 แสน 5 หมื่นล้าน โดยไม่เข้าสู่ระบบงบประมาณปกติเพื่อจะไปแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
“วันนี้แสน 2 หมื่นล้าน ใช้หมดแล้ว 6 หมื่นล้านใช้หมดแล้วในนั้นใช้เป็นเรื่องน้ำท่วมอาจจะประมาณ 2-3 หมื่นล้าน และล่าสุดรายงานไปว่า 3 แสน 5 หมื่นล้าน อนุมัติไปแล้วประมาณ 3 หมื่น ถึง 5 หมื่นล้าน ใช้เงินไปแล้วประมาณพันกว่าล้าน สรุป 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เงินไปแล้วไม่ต่ำกว่าแสน 5 หมื่นล้านที่บอกว่าจะแก้ปัญหาน้ำท่วม พอมาถึงปีนี้เป็นยังไงครับ ... สุโขทัยท่วมแล้ว พิจิตร พิษณุโลก ท่วมแล้ว อยุธยาท่วมแล้ว ฝนตกหนักอีกหลายพื้นที่ทั้งในกรุงเทพฯ ทั้งในต่างจังหวัดท่วมแล้ว และที่ภาคตะวันออกของเรา ปราจีนฯ สระแก้ว ท่วมแล้ว พวกเราไม่ได้มาไล่รัฐบาลครับ แต่พวกเราต้องการคำตอบจากรัฐบาลว่า เมื่อไหร่จะเอาใจใส่ดูแลว่า เงินที่เอาของประชาชนไปจากภาษีอากร และจากที่ทำให้ลูกหลานเราต้องเป็นหนี้ 3 แสน 4 แสน 5 แสนล้าน เอาไปใช้ที่ไหนอย่างไร ทำไมสถานการณ์น้ำท่วมจึงไม่ได้แตกต่างจากปีที่ผ่านมา ในหลายจังหวัดในขณะนี้”
“นี่เป็นเรื่องหนึ่งซึ่งเรายังเรียกร้องอยู่ แล้วก็จะติดตามอย่างละเอียดว่า สรุปแล้วเงินเป็นแสนล้านหายไปไหน พวกผมเริ่มตรวจสอบกันแล้วครับ แล้วก็คงจะได้มีโอกาสนำเสนอต่อไปว่า ถ้าบริหารจัดการเงินแบบนี้ใช้ไม่ได้ มีทั้งการทุจริต ข้าราชการไปตรวจพบการทุจริต ถูกย้าย และมีการใช้จ่ายเงินซึ่งผมไล่ดูตามจังหวัดที่น้ำท่วมแต่ละจังหวัด บางจังหวัดไปเป็นพันล้าน ได้ไปหลายร้อยล้าน แต่ไม่ได้ทำให้สถานการณ์การบริหารจัดการน้ำดีขึ้น นี่เรื่องหนึ่งละครับที่เราบอกว่า เราไม่ได้ไล่รัฐบาล”

นโยบายจำนำข้าวเกษตรกรไม่ได้ประโยชน์ และจะเสียแชมป์ส่งออกข้าวให้เวียดนาม
นายอภิสิทธิ์วิจารณ์นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลด้วยว่า “นโยบายที่เคยมาให้คำมั่นสัญญาโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนส่วนใหญ่ของประเทศ คือพี่น้องเกษตรกร ถึงวันนี้เกิดอะไรขึ้น พี่น้องติดตามข่าวสารเห็นไหมครับ ตอนนี้มีเกษตรกรที่ต้องผูกคอตายเพราะเข้าโครงการจำนำข้าวแล้วไม่ได้เงิน แล้วเวลานี้ปัญหาโครงการจำนำข้าวชัดเจนมากขึ้นทุกวัน เกษตรกรไม่สามารถเอาข้าวไปจำนำได้ เพราะนโยบายนี้เก็บข้าวเข้าไปจนไม่มีที่จะเก็บแล้ว และนโยบายนี้ใช้เงินเป็นจำนวนหลายแสนล้านบาท และรัฐบาลก็พยายามผลักภาระไปให้ ธกส. ธนาคารต่าง ๆ ออกเงินไปก่อน แต่เขาก็ไม่ไหวแล้ว เพราะรัฐบาลไม่เอาเงินมาคืนเขาสักที”
“และที่สำคัญที่สุดในอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ครับ นอกจากข่าวที่ครึกโครมออกไปทั่วว่ามีนักวิชาการ ทนไม่ไหวแล้วบอกว่านโยบายอย่างนี้เจ๊งแน่ ขาดทุนปีละแสนล้าน มีการทุจริต คอร์รัปชั่นมากมาย เกษตรกรจำนวนมากก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า เราสูญเสียความเป็นแชมป์การส่งออกข้าว แล้วคนที่มาให้ข่าวที่ผมว่าคนไทยรู้สึกเจ็บมากที่สุดก็คือรัฐมนตรีของประเทศ เวียดนาม ที่เขาบอกว่าเขามั่นใจว่าจากนี้ไปในอนาคตเขาจะเป็นแชมป์ส่งออกข้าว และที่เขาเป็นแชมป์ส่งออกข้าว แซงประเทศไทยได้ เขาขอบคุณรัฐบาลไทยที่ใช้นโยบายจำนำข้าว นี่คือความเสียหายที่เกิดขึ้น”
นายอภิสิทธิ์กล่าวถึงปัญหาราคายางพาราตกต่ำด้วยว่า  นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ สัญญาไว้ตอนต้นปีว่าราคายางพาราจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 120 บาท แต่จนถึงวันนี้ก็ยังขยับไปไม่ถึงร้อย ใช้เงินไปแล้วหมื่น 5 พันล้าน ขออนุมัติจาก ครม.ไปอีก 3 หมื่นล้านครับ เราก็บอกนี่ต่างหาก ปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่ยากครับ ท่ามกลางการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนโยบายจำนำข้าวจากนักวิชาการในประเทศ ต่างประเทศ อาทิตย์ที่ผ่านมา มีเสียงมาจากแดนไกล จากคน 1 คน ที่บอกว่านโยบายนี้ต้องเดินต่อ อีก 2 ปี 3 ปี 4 ปี จะขาดทุนเท่าไหร่ก็ต้องเดินต่อ
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า “ให้จับตาดูว่าจะมีคนบางคนมีความสุขกับนโยบายจำนำข้าวที่รัฐบาลกลายเป็นเจ้า มือใหญ่ในการค้าข้าวและมีการแสวงหาผลประโยชน์กัน เพราะซื้อแพง ขายถูก ภาระเป็นของประชาชน แต่รั่วไหลตรงไหน ได้ประโยชน์กันตรงไหนเป็นของคนหยิบมือเดียว นี่คือสิ่งที่เราเรียกร้องว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง จะต้องแก้ไข”

อัดรัฐบาลยังคิดปรองดองจอมปลอม ล้างผิดทักษิณ
นอกจากนี้นายอภิสิทธิ์ ได้ปราศรัยว่า “เพราะจนถึงวันนี้ความพยายามเรื่องการปรองดองจอมปลอม คือการจะล้างผิดให้กับทักษิณ ในเรื่องการทุจริต ก็ยังคงเป็นเป้าหมายของรัฐบาลชุดนี้อยู่ ดูเหมือนจะเงียบไป แต่ไม่ใช่ เดี๋ยวคุณนิพิฏฐ์ (อินทรสมบัติ) จะมาเล่าให้ฟังว่า เขากำลังวางแผนทำโครงการที่เรียกว่าสานเสวนา ขอเงินไป 90 ล้าน เพื่อที่จะอ้างว่าไปทำประชาพิจารณ์ สานเสวนาแล้วสรุปว่าประชาชนสนับสนุนกฎหมายปรองดอง และการรื้อรัฐธรรมนูญ เพื่อเป้าหมายกลับไปที่เดิมครับ ล้างผิดให้กับคนโกง เราถึงต้องเอาความจริงเหล่านี้เล่าอย่างต่อเนื่อง กฎหมายปรองดอง 4 ฉบับ ยังอยู่ในวาระการประชุมสภา แล้วคุณทักษิณ และหลายคนส่งสัญญาณอยู่อย่างต่อเนื่องนะครับว่า ตอนนี้รอจังหวะ โดยบอกว่าเป้าหมายไม่เกินสิ้นปีนี้จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ และจะกลับมาประเทศไทย”
“พี่น้องยอมหรือเปล่าล่ะครับ เพราะถ้าพี่น้องยอม รับรองว่า ภายในสิ้นปีนี้เขาทำสำเร็จแน่ ถ้าพี่น้องบอกไม่ยอม แต่อยู่เฉย ผมก็ยืนยันว่า เขาทำสำเร็จแน่ แต่ถ้าไม่ยอมแล้วช่วยกันบอกต่อ ๆ ไปว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่สังคมจะยอม และต้องแสดงออกด้วยว่าไม่ยอม ผมยังเชื่อครับว่าเขาจะทำไม่สำเร็จ เราไม่ได้ห้ามคุณทักษิณกลับบ้าน กลับได้ แต่มารับโทษตามกฎหมายเสียดี ๆ ใช่มั้ยครับพี่น้องครับ (ผู้ฟังการปราศรัยตอบว่า - ใช่) นี่คือสิ่งที่เราเรียกร้อง และเรารู้ไงครับว่า ความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายปรองดองนั้น เขาจึงใช้ทุกวิธี”

ชี้รัฐบาลจะล้างผิดให้คนที่สั่งฆ่าประชาชนพ่วงคนโกง
“วันนี้หลังจากที่เขาพยายามมาหลายเดือนครับ ทำกระบวนการพยายามที่จะกดดันผม กดดันคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยอ้างว่าเหตุการณ์เมื่อปี 2553 จะต้องนำมาสู่การจับผม และคุณสุเทพ มาลงโทษ เขาต้องการกดดันบอกว่า ถ้าผมและคุณสุเทพ ไม่ยอมไปผ่านกฎหมายปรองดอง ซึ่งจะล้างผิดให้กับคนผิดในปี 53 ที่ผมเสียดายว่า พี่น้องเสื้อแดงไม่ได้ฟังนั้น ไม่ได้ฟังตรงนี้”
“กฎหมายที่รัฐบาลนี้กำลังทำนั้น กำลังจะล้างผิดให้ใครก็ตามที่ทำผิดในปี 53 จะสั่งฆ่าประชาชน หรืออะไรก็ตามที่คุณพยายามกล่าวหานั้น กฎหมายนี้ล้างผิดให้หมด เพราะเขาต้องการอย่างเดียว ทำอย่างไรก็ได้ให้ล้างผิดคนโกงไปด้วย เขาเลยกดดันมาโดยตลอด พยายามเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ แต่เขียนไม่ได้หรอกครับ ความจริงคือความจริง”
“เมื่อวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา ศาลได้ตัดสินอีก 1 คดีครับ ผมฟ้องคุณจตุพรอยู่ 4 คดี คดีแรกตัดสินไปแล้ว ศาลชั้นต้นตัดสินไปแล้ว คดีที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ คือคุณจตุพร กล่าวหาว่าผมกับคุณสุเทพ วางแผนฆ่าประชาชน อ้างว่ามีการประชุมกัน สุดท้ายศาลพิพากษาว่า สิ่งที่นายจตุพรพูด นายจตุพรคิดเอง ทำขึ้นมาเอง เพื่อที่จะยั่วยุ เพื่อที่จะปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชัง ศาลจึงลงโทษจำคุก 6 เดือน แต่ยังรอลงอาญา นี่คดีที่ 2 ผมก็จะอุทธรณ์ไปละครับ อุทธรณ์ไปว่า เนื่องจากศาลลงโทษคดีแรกไปแล้ว ก็ไม่น่าจะต้องรอลงอาญาในคดีนี้ ให้ติดคุกไปเลย”
“และผมจะต้องอุทธรณ์เพราะว่าในประเด็นที่ 2 ที่ฟ้องไปนั้น ศาลบอกว่าจตุพรหมิ่นประมาทที่มากล่าวหาผมว่าหนีการเกณฑ์ทหาร ใช้เอกสารเท็จ แต่เนื่องจากจตุพรเอาเอกสารมา ศาลบอกว่าเป็นการติชมได้ โดยสุจริตได้ โดยไม่ได้วินิจฉัยเรื่องข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ก็เลยยกฟ้องไป ผมก็จะอุทธรณ์ด้วย”

จวกแกนนำเสื้อแดงบิดเบือนประวัติศาสตร์ไม่หยุด ด้วยการเปิดคลิปตัดต่อเสียง
“แต่สิ่งที่ผมย้ำก็คือว่า คุณบิดเบือนประวัติศาสตร์ไม่ได้ และความพยายามบิดเบือนประวัติศาสตร์ไม่หยุดนะครับ เมื่อวันพฤหัสที่ผ่านมา ยังมีเสื้อแดงเอารถที่เปิดคลิปเสียงผม ตัดต่อเนี่ยครับ ที่อ้างว่าผมพูดว่าจะสั่งฆ่าประชาชน สร้างสถานการณ์นั้น ยังมาเปิดอยู่หน้าพรรคฯ ตอนนี้ผมรวบรวมหลักฐานไว้ครับ จริง ๆ ไม่อยากขึ้นศาลอีก แต่คงต้องเอาอีกซักคดีครับ งานนี้ เพราะผมไม่ต้องการให้มีการบิดเบือนความจริง”

จวกแกนนำเสื้อแดง เพื่อไทย เป็นโรคมองไม่เห็นชายชุดดำ
“แล้วเขาพยายามมากครับ ไม่ว่าจะเป็นแกนนำเสื้อแดง ไม่ว่าจะเป็นรองนายกฯ เฉลิม ไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอ ตอนหลังเป็นโรคที่พิสดารที่สุด ผมเคยได้ยินแต่คนที่ตาบอดสี คือไม่เห็นสีที่เป็นสี มองไปเหมือนลักษณะเป็นขาวดำ แต่เกิดโรคใหม่ขึ้น คือโรคไม่เห็นสีดำ ไม่เห็นชายชุดดำครับ เพิ่งเกิดขึ้นที่นี่ ในประเทศไทย เป็นกันมากก็โรคนี้ระบาดอยู่แถวพรรคเพื่อไทย ในหมู่แกนนำเสื้อแดง ระบาดอยู่แถวกรมสอบสวนคดีพิเศษ แล้วก็คงระบาดอยู่ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด กับมติชน”
ปฏิเสธ ไม่มีชุดดำ ไม่มีชุดดำ ชุดดำเป็นวาทกรรม แต่นับวันตอนนี้รายงานจากคนที่เขาเป็นกลาง เป็นอิสระ ความคืบหน้าในหลายคดี และการที่คนหลายคนทนไม่ไหว เอาหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มา จะเป็นภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และหลักฐานอื่น ๆ วันนี้ชัดเจนครับว่าชายชุดดำมีจริง และเราจะเดินหน้าต่อในการผ่าความจริงเร็ว ๆ นี้จะมี ผ่าความจริงตอนพิเศษว่าด้วยเรื่องชายชุดดำเป็นการเฉพาะให้ประชาชนทั้งประเทศ และคนเสื้อแดงได้รู้ว่า ที่สุดแล้วความสูญเสียที่เกิดขึ้นมาจากการวางแผนเอากองกำลังติดอาวุธ มาปะปนอยู่กับการชุมนุม เพื่อหวังให้เกิดการปะทะ การสูญเสีย การตาย แล้วมาใช้ประโยชน์ทางการเมือง อดใจรอสักนิดครับ”

จะออกหนังสือฉีกหน้ากาก ให้เห็นว่ามีคนสร้างเรื่องเท็จ และไม่มีการปรองดองอยู่ในใจ
นายอภิสิทธิ์กล่าวด้วยว่าจะออกหนังสือเล่มใหม่ เพื่ออธิบายเหตุการณ์ในปี 2552 และ 2553 “และในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันครับ ผมก็กำลังจะออกหนังสือเล่มใหม่ออกมา ที่จะเล่าถึงเหตุการณ์ทั้งในปี 2552 และ 2553 เพื่อที่จะฉีกหน้ากาก คนที่พยายามโกหกกล่าวเท็จ สร้างเรื่องตลอดเวลา แล้วชี้ให้เห็นว่า การปรองดองที่เขาพูดถึงนั้นมันไม่ได้มีอยู่ในใจของเขาเลย
วันอังคารที่ผ่านมา พี่น้องเห็นไหมล่ะครับ ที่กลุ่มคนที่ไปให้กำลังใจครูคนหนึ่ง ซึ่งเขาพยายามที่จะปกป้องสถาบันฯ ต้องมาเจอกับกลุ่มเสื้อแดง แล้วก็ปะทะกัน ตีกัน เลือดตกยางออกอีก ไหนล่ะครับ รัฐบาลที่มีนโยบายปรองดอง พูดอะไรบ้างที่บอกว่า จะพยายามหาทางไม่ให้ปัญหาอย่างนี้เกิดขึ้นอีก”

ชี้ ปชป.ถูกรังควาญมาตั้งแต่ปี 49 ถูกปาอิฐในปี 51 โดยที่ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ปี 53
“ไม่มีการพูดไปเลยครับว่าทำไมล่ะ ไม่ปล่อยให้คนที่เขาจัดกิจกรรมทางการเมือง ต่างคนก็ทำไป ไม่ใช่คุณตามไปรังควาญเขาไปทั่ว แล้วแกนนำเสื้อแดงคนหนึ่งมาบอกว่า ห้ามไม่ได้หรอก เพราะคนเสื้อแดง ทำเรื่องนี้เนื่องจากเจ็บแค้นผม กับคุณสุเทพ ที่ไปสั่งฆ่าประชาชน ผมบอกได้คำเดียวครับ โกหก”
“ทำไมโกหก ถ้าทั้งหมดเกิดจากการที่มีเหตุการณ์ปี 2553 ผมถามว่า ปี 49 ผมไปเปิดเวทีปราศรัยที่เชียงใหม่ เสื้อแดงมาไล่ตี พังเวที ขว้างของใส่อดีตนายกฯ ชวน หลีกภัย ใส่ผม มันเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ปี 53 ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้น ผมถามว่าปี 2551 ผมได้รับเลือกตั้งเป็นนายกฯ คุณองอาจนั่งรถออกมาจากสภา มีความผิดข้อเดียวคือเลือกผมเป็นนายกฯ เอาอิฐ เอาตัวหนอนปาใส่รถคุณองอาจ พยายามจุดไฟเผา ศาลตัดสินจำคุกไปแล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ปี 53 ซึ่งยังไม่ได้เกิดขึ้น ผมถามว่าปี 2552 ไปพังเวทีการประชุมอาเซียนที่พัทยา มันเกี่ยวอะไรกับเหตุการณ์ที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น ปี 53 แล้วที่มาทุบรถผมที่กระทรวงมหาดไทย สารพัดเหตุการณ์ ทำคนนางเลิ้งตายไป 2 คน ผมจึงสรุปคำเดียวว่าคุณโกหก”
และหยุดได้แล้ว ผมบอกว่าปล่อยให้คนฟังเรื่องโกหกมามาก พวกเราขอพูดความจริงบ้าง แล้วเราจะเอาความจริงเหล่านี้เปิดเผยอีก วันพฤหัสที่ผ่านมา คุณเฉลิมมาตอบกระทู้ถามคุณนิพิฏฐ์ถาม บอกกระบวนการยุติธรรมตอนนี้เป็นยังไง รัฐมนตรียุติธรรมอยู่ดี ๆ เอาตัวเองไปพยายามประกันตัวเจ๋ง ดอกจิก พยายามไปล็อบบี้คนที่เป็นอธิบดี หรือระดับนั้นในศาล กระบวนการยุติธรรมเป็นอย่างไร ดีเอสไอซึ่งเคยสอบเหตุการณ์ 10 เมษา ถึงขั้นรู้ตัวว่า ใครเป็นคนทำให้ พล.อ.ร่มเกล้า เสียชีวิต วันนี้ทำไมคดีเหล่านี้หายไป เฉลิมมาตอบ ถามคดีร่มเกล้า ตอบคดีนายพัน คำกอง แล้วก็ตอบไม่หมด ผมก็บอกว่า ตอบอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ เพราะที่ตอบก็พูดไม่ตรง กรณีนายพัน คำกอง ศาลเพียงแต่บอกว่า ในการชันสูตรเพื่อไต่สวนว่าตายเพราะเหตุใดนั้น ศาลเชื่อว่ากรณีที่เกิดการตั้งด่านแล้วมีรถตู้พยายามฝ่าด่านมา มีการยิงรถตู้ นายพัน คำกองนั้น วิ่งออกมาดูเหตุการณ์ เลยพูดง่าย ๆ ก็คือ โดนลูกหลงไปนั้นเกิดการเสียชีวิต แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่คุณเฉลิมบอก อันนี้เป็นเจตนาฆ่า แล้วคนเจตนาฆ่าคือผมกับคุณสุเทพสั่งให้ไปฆ่า ผมบอก ไม่ได้

ลั่นยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ขอให้ “นายใหญ่” มาเข้าด้วย
ผมยินดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เคยปฏิเสธ ถามคุณเฉลิมดีกว่าว่า นายใหญ่คุณน่ะ ทำไมไม่มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และยอมรับกระบวนการยุติธรรมบ้างล่ะครับ
ผมบอกเฉลิมไปแล้วงานนี้ห้ามมีไอ้ปื้ด เวลานี้มันจะมีไอ้ปื้ด ภาคพิศดาร ไอ้ภาคก่อนนั้นคนหนึ่งยิง แต่กลายเป็นไอ้ปื้ดยิง ภาคนี้จะบอกว่า ไอ้ปื้ดเป็นใครไม่รู้ยิง ไม่ต้องรู้ว่าไอ้ปื้ดเป็นใคร แต่เอาคนสั่งมาลงโทษ ไม่มีตำรากฎหมาย ไม่มีกระบวนการยุติธรรมที่ไหนในโลกทำอย่างนี้ แล้วสุดท้ายคุณเฉลิมก็เลยบอกว่า เอาละ ๆ เราไม่พูดเรื่องว่า เจตนาในมุมที่ว่าอยากให้เกิดขึ้น หรือว่าจงใจให้เกิดขึ้น แต่พูดบอกว่า ต้องเล็งเห็นผล ถ้าเล็งเห็นผลถือว่าเจตนา ก็ดีครับ เพราะในวันเดียวกันขณะนี้ผมเห็นแล้ว มติชน ข่าวสด เริ่มจะคลายอาการมองสีดำไม่เห็นแล้ว เปลี่ยนแนวใหม่บอก ไม่เป็นไร ชายชุดดำ มีก็มี แต่ไม่สำคัญเท่ากับ ชายใจดำ

บอกมติชน-ข่าวสด “ชายใจดำ” ตัวจริงคือผู้ที่หลอกคนมาชุมนุม แล้วเจอกองกำลังติดอาวุธป่วนจนเสียชีวิต
“แต่ว่าชายใจดำของมติชน ข่าวสด ผมบอกได้ มองผิดคนแล้ว ชายใจดำ ตัวจริง คือคนที่เล็งเห็นผลว่า เอาคนที่รักสนับสนุนตัวเองทางการเมือง หลอกเขามา บอกว่ามาชุมนุม เอากองกำลังติดอาวุธมายั่วยุ มาสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ให้กับเหตุการณ์บ้านเมือง จนผู้สนับสนุนเหล่านั้นเสียชีวิต นี่ชายใจดำ ตัวจริงอยู่ต่างแดน
“ใจดำกับผู้สนับสนุนตัวเองไม่พอ ใจดำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ที่ต้องมาเสียชีวิตในการปฏิบัติหน้าที่ไม่พอ ใจดำกับประเทศไทย ใจดำกับประเทศไทยในคำพูดที่ว่า ถ้าผมอยู่ไม่ได้ ก็อย่าให้คนอื่นอยู่ได้อย่างมีความสุข ชายใจดำ ตัวจริง”
“ถ้าหนังสืออย่างมติชน ข่าวสด เขียนเป็นเรื่องอื่น เรื่องชายใจดำ ไม่ต้องไปอ่าน อ่านก็ได้ แต่อย่าไปซื้อ ผมอยากจะย้ำครับ เรามาถึงจุดนี้แล้ว เราต้องชี้ให้เห็นชัดว่าสุดท้ายปัญหาทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากใคร และวันนี้อย่าเอาความใจดำกับประเทศ มากดดัน มาใช้เล่ห์ มาใช้อำนาจรัฐ มาใช้อำนาจเงิน เพียงเพื่อที่จะเอาเงิน 4 หมื่น 6 พันล้าน หรือจะเอาเรื่องของการที่ตัวเองถูกศาลตัดสินลงโทษแล้วล้างผิดไปง่าย ๆ เพราะเราไม่ยอมครับ พวกเราจะไม่ยอม แล้วก็จะปักหลักสู้ ผมยืนยัน และก็ยืนยันแทนคุณสุเทพ เพราะตอนนี้คุณสุเทพไม่อยู่ อาทิตย์หน้ากลับมาแล้ว ว่าจะกดดันพวกผมอย่างไร จะพยายามข่มขู่ คุกคาม จะเอาไปต่อรองอย่างไร ไม่เป็นผลหรอกครับ พวกผมสู้ต่อ เพราะผมไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง พวกเราสู้เพื่อประเทศไทย และประชาชนคนไทย”
“เราจะไม่ยอมให้ ชายใจดำ ที่เอา ชายชุดดำ มาป่วนบ้าน ป่วนเมือง ทำลายประเทศและทำลายโอกาสของประเทศไม่จบไม่สิ้น เราจะยืนยันว่าประเทศนี้จะอยู่บนความถูกต้อง ความเป็นธรรม และยึดมั่นผลประโยชน์ของส่วนรวมตลอดไป ใช่ไหมครับ”

วันศุกร์ชายแดนใต้ร้าง ร้านตลาดปิดเงียบผวาคำขู่

ที่มา ประชาไท

 
ร้านตลาดในชายแดนใต้ร้าง ผวาคำขู่ห้ามทำงานวันศุกร์ หวั่นซ้ำรอยเหตุคาร์บอมบ์สายบุรี เตือนระวังรถประกอบระเบิดหลุดเข้าเมืองยะลา นักวิชาการชี้เป็นการตอบโต้กรณีผู้เห็นต่างแสดงตัวต่อรัฐ

ผวาคำขู่ – ร้านค้าต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ต่างผากันปิดร้านหลังจากมีข่าวลือข่อขู่ไม่ให้เปิดกิจการในวัน ศุกร์ เช่นเดียวกับในพื้นที่จังหวัดยะลาและนราธิวาส จนทำให้ประชาชนได้รับความเดือนร้อน
ผู้สื่อข่าวโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ) รายงานว่า บรรยากาศทั่วไปในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี ในช่วงเช้าวันศุกร์ที่ 28 กันยายน 2555 ค่อนข้างเงียบเหงา เนื่องจากบรรดาพ่อค้าแม่ค้าพากันหยุดขายของ หลังจากมีข่าวลือถึงคำขู่ที่ห้ามประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นำสินค้ามาวางขายตามตลาดนัดในวันศุกร์ ตลอดจนห้ามการประกอบอาชีพอื่นๆ ที่เข้าข่ายต้องหยุดทำการด้วย
โดยข่าวลือดังกล่าว ระบุว่า หากใครไม่เชื่อหรือยังคงดำเนินการค้าขายจะไม่รับประกันความปลอดภัย บ้างก็บอกว่าจะถูกตัดใบหู หรือจะถูกดักยิง มากไปกว่านั้น อาจจะถูกวางระเบิด โดยยกกรณีเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่บริเวณชุมชนตลาดสดเทศบาล ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อวันศุกร์ที่ 21 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมากมาพูดกันอย่างกว้างขวาง เป็นเหตุให้ชาวบ้านหวาดกลัวไม่กล้าที่จะนำสินค้ามาวางจำหน่ายตามปกติ
ทั้งนี้ ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวโรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้กำลังตระเวนถ่ายรูปตามสถาน ที่ต่างๆในเขตเทศบาลเมืองปัตตานี โดยเฉพาะในย่านเศรษฐกิจ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาห้ามถ่ายรูป เนื่องจากได้รับการร้องขอจากเจ้าของร้านค้า เนื่องเกรงว่าอาจได้รับอันตรายหากมีการเผยแพร่ภาพถ่ายดังกล่าวออกไป โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่า ได้รับการแจ้งเตือนให้ระวังการก่อเหตุ จึงจำเป็นต้องเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัย
ไม่เพียงในเขตเทศบาลเมืองปัตตานีเท่านั้น ในพื้นที่ชุมชนรอบนอก รวมทั้งในอำเภอต่างๆ ในจังหวัดปัตตานี พ่อค้าแม่ค้า รวมทั้งร้านค้าส่วนใหญ่ปิดทำการ เนื่องเกรงว่าอาจจะไม่ได้รับอันตราย ในขณะที่มีโรงเรียนหลายแห่งในพื้นที่ ประกาศหยุดการเรียนการสอนด้วย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องเพิ่มการดูแลเฝ้าระวังมากขึ้น
ในส่วนของตลาดสดเทศวิวัฒน์ ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้างไดอาน่า มีการปิดเงียบทั้งตลาด มีแม่ค้าตั้งแผงขายปลาดุกกับผักสด และพ่อค้าขายเนื้อหมูมีแค่ 2 รายเท่านั้น
สำหรับบรรยากาศโดยทั่วไป มีเจ้าหน้าทั้งทหาร ตำรวจและอส.(อาสาสมัครรักษาดินแดน) ยืนรักษาความปลอดภัยตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะในบริเวณที่ยังบางร้านเปิดค้าขายตามปกติอยู่ บรรยากาศดังกล่าว เกิดขึ้นเช่นเดียวกับในพื้นที่ของจังหวัดยะลาและนราธิวาสที่พ่อค้าแม่ค้า ส่วนใหญ่พากันปิดร้าน เนื่องจากหวาดกลัวต่อคำขู่ดังกล่าวเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากการละหมาดวันศุกร์ในช่วงเวลาประมาณ 13.00 น.แล้ว ผู้ประกอบการร้านค้าบางส่วนได้เปิดร้านตามปกติ แต่ประชาชนบางส่วนโดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองปัตตานียังได้รับความเดือดร้อน อยู่ เนื่องจากมีร้านอาหารที่เปิดขายเพียงไม่กี่ร้าน ทำให้ประชาต้องยื้อแย่งกันซื้ออาหารและกับข้าว
เวลา 08.00 น. วันเดียวกัน ที่ตลาดสดพิมลชัย เทศบาลนครยะลา พ.อ.นพพร เรือนจันทร์ รองผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจยะลา และ พ.ท.ชลัช ศรีวิเชียร รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11 พร้อมกำลังทหารและอาสาสมัครทหารพราน ออกตรวจสอบการค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยมุสลิมในตลาดสดดังกล่าว พบว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของแม่ค้าชาวไทยมุสลิมต่างปิดร้านหยุดจำหน่ายสินค้า ทำให้บรรยากาศของตลาดสดดังกล่าวเงียบเหงากว่าปกติทุกวัน
วันเดียวกันที่บริเวณตลาดย่านธุรกิจในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วยนายอภินันท์ ซื่อธานุวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาสและคณะ เดินเท้าตรวจเยี่ยมให้กำลังใจผู้ประกอบการ ร้านค้าต่าง ๆ ในเขตเทศบาลเมืองนราธิวาส ที่ต่างพากันปิดร้านหลังจากที่มีข่าวลือออกมาว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุห้ามให้ร้าน ค้าโดยเฉพาะร้านมุสลิมจำหน่ายสินค้าในวันศุกร์
ผู้ประกอบการรายหนึ่งกล่าวว่า หลังจากมีกระแสข่าวลือดังกล่าวทำให้บรรดาผู้ประกอบการทั้งพุทธและมุสลิม เดือดร้อนอย่างหนัก ขาดรายได้ไปเป็นจำนวนมาก เพราะช่วงวันศุกร์ถือเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน ปกติจะมีผู้คนออกมาจังจ่ายซื้อของมากกว่าทุกวัน และตนเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าใครเป็นผู้สร้างกระแสข่าวลือนี้ เพราะไม่สามารถหาต้นตอของแหล่งที่มาได้ เพียงแต่เห็นเพื่อนผู้ประกอบการปิดร้านก็เลยปิดตามไปด้วย
แจ้งเตือนระวังคาร์บอมบ์ในเขตเมืองยะลา
พล.ต.ต.พีระ บุญเลี้ยง ผู้บังคับการสถานีตำรวจภูธรจังหวัดยะลา เปิดเผยว่า การข่มขู่ไม่ให้ขายของในวันศุกร์มีมาประมาณ 3-4 สัปดาห์แล้ว ซึ่งสัปดาห์นี้ส่งผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากเกิดเหตุระเบิดคาร์บอมบ์ที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานีในวันศุกร์ที่ผ่านมา ตนมองว่าเป็นเรื่องทางจิตวิทยา หากคนในพื้นที่ทำตามคำข่มขู่ของพวกเขา หมายความว่าพวกเขาสามารถท้าทายอำนาจรัฐได้ แต่ในเขตเมืองยะลาไม่พบการโปรยใบปลิวข่มขู่
พล.ต.ต.พีระ เปิดเผยอีกว่า ตนได้สั่งการให้สถานีตำรวจภูธรทุกแห่งของจังหวัดยะลา ประชาสัมพันธ์กับพ่อค้าแม่ค้าทั้งไทยพุทธและมุสลิมเชิญชวนให้ออกมาขายของใน วันศุกร์ตามปกติ แต่เมื่อถึงเวลาละหมาดวันศุกร์ก็ให้ไปละหมาด โดยอธิบายว่า การข่มขู่ดังกล่าวของผู้ก่อการเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งศาสนาอิสลามไม่ได้สั่งให้หยุดขายของในวันศุกร์
พล.ต.ต.พีระ เปิดเผยว่า ล่าสุดได้รับแจ้งจากหน่วยข่าวกรองว่า ในวันนี้คนร้ายได้นำรถยนต์ที่ประกอบระเบิดเป็นคาร์บอมบ์เข้ามาในเขตเทศบาล นครยะลา โดยมีข่าวว่าผู้ก่อการจะนำไปวางระเบิดที่ตลาดพิมลชัย ตลาดรถไฟและถนนสิโรรส จึงสั่งให้ประชาชนจอดรถบริเวณเกาะกลางถนน ห้ามจอดหน้าร้านค้า ซึ่งหากเกิดระเบิดจริง ก็จะไม่เกิดความเสียหายมากนัก พร้อมทั้งได้แจ้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวัง และสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาดูแลความปลอดภัยอย่างเต็มที่
พล.ต.ต.พีระ เปิดเผยอีกว่า ทั้งนี้ ตนได้สั่งการมีการตั้งด่านตรวจโดยการเอ็กซ์เรย์รถทุกคันที่ผ่านเข้ามาในเขต เมืองตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ผ่านมาแล้ว รวมทั้งได้ออกตรวจเส้นทางต่างๆ ที่รับผิดชอบโดยบูรณาการร่วมกับกองกำลัง อส. และกำลังทหารจากหน่วยเฉพาะกิจยะลาที่ 11
สำหรับตำรวจได้ตั้งด่านใหญ่ร่วมกับทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 11 ได้แก่ ด่านมลายูบางกอก ด่านท่าสาป ด่านสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี เส้นทางสายบ้านปาโด สายเนินงาม สายโกตาบารู แยกตือเบาะ แยกปรามะ สายบ้านโสร่ง
กอ.รมน.แจงเป็นการคุกคามเสรีภาพ-ผิดหลักศาสนา
ในวันเดียวกัน กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค 4 สน.) ออกหนังสือชี้แจงในกรณีนี้ว่า เพื่อเป็นการป้องกันการเข้าใจผิดในการนำหลักศาสนาอิสลามอันดีงามไปเบี่ยงเบน กระจายสู่ประชาชน อันก่อให้เกิดผลกระทบต่อการประกอบอาชีพตามปกติ อีกทั้งเป็นการคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพ การดำรงชีวิต และประกอบอาชีพของประชาชนผู้เป็นศาสนิกอื่น กอ.รมน.ภาค 4 สน.จึงขอชี้แจงมายังประชาชน ส่วนราชการ ผู้ประกอบการภาครัฐวิสาหกิจให้ได้รับทราบ ดังนี้
1.ดินแดนของประเทศไทยในทั่วทุกพื้นที่ ล้วนมีความยินดีต้อนรับบุคคลทุกเชื้อชาติ ศาสนา เข้ามาพักอาศัย หรือประกอบกิจทางศาสนาตามที่ตนเองมีความเลื่อมใสศรัทธา หากการเข้ามานั้นกระทำโดยถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นการกระทำที่มิได้มีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น
2.“การห้ามชาวไทยพุทธ-มุสลิม หรือเชื้อสายจีน ประกอบกิจการค้าในทุกวันศุกร์” มิใช่การห้ามที่เป็นไปตามหลักศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง โดยตามบทบัญญัติแท้จริงในหลักศาสนาอิสลามนั้นจะส่งเสริมสนับสนุนให้ชาว มุสลิมปฏิบัติธรรมให้เกิดบุญกุศล ด้วยการละหมาดใหญ่ และฟังธรรม อบรมให้จิตใจบริสุทธิ์ มุ่งสู่การประพฤติในสิ่งที่ดีงามในห้วงกลางวัน เวลาประมาณ 12.00-14.00 หลังจากนั้นมุสลิมทุกเพศ ทุกวัยสามารถใช้เวลาที่เหลือในวันศุกร์ประกอบกิจการส่วนตัว รวมทั้งประกอบกิจการที่ยังคั่งค้างอยู่ได้ตามปกติ
3.หลายประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น ประเทศในพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันตก หรือแอฟริกา มิได้ห้ามประชาชนประกอบกิจการในวันศุกร์ แต่ส่งเสริมให้ประชาชนคงปฏิบัติเฉพาะการมุ่งปฏิบัติธรรมให้เกิดผลบุญกุศล ด้วยการร่วมละหมาดใหญ่ และฟังธรรมตามเวลาดังข้างต้น โดยมิได้ห้ามมิให้ใช้เวลาที่เหลือในการประกอบกิจการส่วนตัว หรืออาชีพแต่ประการใด
4.การออกคำสั่งห้ามดังกล่าว ถือเป็นการข่มขู่ต่อประชาชน ที่นอกจากเป็นการคุกคามต่อสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยส่วนรวมแล้ว ยังถือเป็นการนำหลักธรรมของศาสนามาถ่ายทอดในทางที่ผิดเพี้ยน ก่อให้เกิดความเสียหายต่อหลักธรรมอันดีงาม ดังนั้น จึงขอแจ้งให้ประชาชนได้ร่วมปฏิบัติดังต่อไปนี้คือ
ประการที่ 1 ไม่ต้องปฏิบัติตามการข่มขู่สั่งห้ามมิให้ประกอบการค้าในวันศุกร์ เนื่องจากผิดหลักกฎหมาย และศาสนา
ประการที่ 2 ขอประชาชนได้รวมพลังต่อต้านไม่สนับสนุนกลุ่มบุคคลที่มิได้มีจุดมุ่งประสงค์ อันบริสุทธิ์ต่อศาสนา ประชาชน และสังคม ด้วยการยังคงให้ความสำคัญต่อการประกอบกิจกรรมทางศาสนา และสามารถประกอบกิจกรรมส่วนตัว หรือธุรกิจภายหลังจากเสร็จสิ้นการประกอบกิจกรรมทางศาสนา ดังเช่นประเทศมุสลิมทั่วโลกได้ถือปฏิบัติ จนเป็นที่รับทราบกันโดยทั่วไปแล้วจึงแถลงมาเพื่อทราบ

ชี้ตอบโต้กลุ่มเห็นต่างแสดงตัวต่อรัฐ
ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) กล่าวว่า การข่มขู่ดังกล่าว เป็นการต่อสู้ในทางการเมืองอย่างหนึ่งของขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชาย แดนภาคใต้ ในเชิงอัตลักษณ์ทางศาสนาและวัฒนธรรมของพื้นที่ และเพื่อแสดงให้เห็นว่ายังมีศักยภาพอยู่ หลังจากที่มีคนกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐได้ออกมาแสดงตัวต่อ รัฐ
ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังเป็นการตอบโต้กรณีที่รัฐออกมาบอกว่า ช่วงนี้พื้นที่เกิดเหตุรุนแรงมีเพียงแค่ 10 – 15 เปอร์เซ็นต์ อีกประมาณ 85 เปอร์เซ็นต์ไม่ใช่พื้นที่ที่มีเหตุรุนแรง แต่การข่มขู่ครั้งนี้ปรากฏว่า ทำให้ประชาชนกลัวไปทั้ง 3 จังหวัด มีพื้นที่ที่หยุดงานน่าจะมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์
ผศ.ดร.ศรีสมภพ เสนอด้วยว่า ประเด็นการข่มขู่ให้หยุดงานในวันศุกร์ ควรที่จะมีการพูดคุยในพื้นที่สาธารณะกันอย่างจริงจังว่า จริงๆแล้ว วันศุกร์เป็นอย่างไร มีความสำคัญอย่างไร แล้วตกลงจะเอาอย่างไร ซึ่งการข่มขู่ลักษณะนี้แม้ประชาชนจะทำตาม แต่ก็ไม่ใช่เพราะเห็นด้วย แต่ทำไปเพราะกลัว ซึ่งการทำตามลักษณะนี้ไม่มีความยั่งยืน เหตุที่กลัวเพราะรัฐไม่สามารถคุ้มครองประชาชนได้ ดังนั้นต้องมาคุยกันว่าจะเอาอย่างไร

ข่าวส่งเสริมคนดี

จำนวนผู้เข้าเยี่มมชม

link to affordable web hosting
Powered by web hosting provider .

สถิติการเข้าชม DMNEWS

eXTReMe Tracker