วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ได้โอกาสดีด้วยซ้ำไป


อีกคิวหนึ่งตามโปรแกรมฟื้นกระแส กู้คะแนนศรัทธา ล่าสุด “ลุงหมัก” นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ต่อสายนัดแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล รับเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารกลางวันที่โรงแรมปริ๊นซ์พาเลซย่านหลานหลวง

จูนเครื่อง ตั้งลำสู้ร่วมกันใหม่

ภายหลังจากที่มีสัญญาณผ่านมาทางนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ สายตรง “นายใหญ่” ออกมาจี้ “ลุงหมัก” ให้รีบหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อปรับท่าทีการทำงาน

ผ่านมา 3-4 เดือนมีแต่กระพี้การเมือง หาสาระแก่นสารไม่ได้

มิหนำซ้ำยังทำท่าจะออกทะเล ตั้งแต่ยุทธศาสตร์รื้อรัฐธรรมนูญที่พรรคร่วมรัฐบาลพูดกันคนละทิศคนละทาง พรรคพลังประชาชนทำท่าจะลุยเดี่ยว

สุดท้ายฝืนไม่ไหวต้องถอยกลับไปตั้งหลักใหม่

ไหนจะเรื่องการรับมือกับม็อบพันธมิตร ที่ “ลุงหมัก” ตั้งท่าชงเองกินเอง ฮึ่มๆจะลุยม็อบโดยไม่ปรึกษาหารือเพื่อนร่วมรัฐบาล

ถึงขั้นที่ “ป๋าเหนาะ” นายเสนาะ เทียนทอง หัวหน้าพรรคประชาราช ออกมาประกาศดังๆออกอากาศ พรรคร่วมรัฐบาลไม่ขอร่วมรับผิดชอบใดๆกับพรรคพลังประชาชน

หากมีการใช้กำลังสลายม็อบโดยไม่คุยกันก่อน

พรรคร่วมรัฐบาลออกอาการ พร้อม “ชิ่ง” ถ้าถึงห้วงนาทีคับขัน

คิวนี้ “ลุงหมัก” เลยต้องเรียกมาตั้งราคาค่างวดกันใหม่ ให้เครดิต เพิ่มความสำคัญกับเพื่อนทางการเมืองที่จะกอดคอลุยดงแข้งกันต่อไป

เคลียร์สนิมเนื้อในซะก่อน

นายกฯพลิกมาดปรับท่าทีศิลปินเดี่ยว เล่นบทซื้อใจพรรคร่วมรัฐบาล

และอีกโปรโมชั่นที่เปิดออกมาซื้อใจกองเชียร์ ตามโปรแกรมฟื้นกระแสกู้คะแนนนิยม

ล่าสุด “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เดินหน้าเปิดโปรโมชั่น “ประชานิยม” รอบใหม่

โครงการแจกคูปองให้ประชาชนคนยากจนนำไปใช้ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค

บรรเทาความเดือดร้อนในห้วงวิกฤติน้ำมันแพง ค่าครองชีพถีบตัวสูงขึ้น

แถมยังมีโครงการเปิดขายถังแก๊สเอ็นจีวีเอื้ออาทรในราคาถูกให้กับประชาชนผู้ใช้รถที่ต้องการเลิกใช้น้ำมันหันไปใช้แก๊สแทน

รัฐบาลตั้งหลัก ปั่นผลงานสู้แรงเสียดทานทางการเมืองเต็มที่

และก็ถือเป็นการลากเกมกลับเข้ามาสู่เวทีสภาตามวิถีทางที่ควรจะเป็น

กับคิวที่สมาชิกวุฒิสภาทั้งลากตั้งและเลือกตั้งร่วมกันล่ารายชื่อเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไป เพื่อให้คณะรัฐมนตรีแถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่มีการลงมติ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 161

แม้ดูจากหน้าตา ส.ว.ส่วนใหญ่ที่ร่วมลงชื่อในญัตติจะเน้นไปที่สายแนวร่วมม็อบพันธมิตรฯและใกล้ชิดกับฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์

ประกอบกับเนื้อหาในญัตติที่ซัดกันแรงๆ ประเภทระบุกันโต้งๆ

“ครม.บริหารงานส่อไปในทางล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหาร และมีข้อสงสัยว่าบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาล มีการโยกย้ายข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม แทรกแซงตัดตอนกระบวนการยุติธรรม” สำนวนไม่ได้แตกต่างไปจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน

โดยอาการเหมือนตั้งท่าไล่ขย่มรัฐบาล

แต่ถ้าฟังกันแบบเอาเหตุเอาผล มันก็น่าจะเป็นไปตามที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา ออกตัวให้เลยว่า

“ผู้ยื่นมีเจตนาให้รัฐบาลรู้ว่า ขณะนี้มีวิกฤติปากท้องประชาชน”

เอาเป็นว่า แม้แต่คนฝ่ายรัฐบาลเอง “สิงห์เหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย ยังแสดงความขอบคุณ ส.ว.ที่เป็นแบบอย่างที่ดีในระบอบประชาธิปไตย เพราะการยื่นญัตติในสภา เป็นเรื่องที่รัฐบาลชี้แจงได้

ดีกว่าไปประท้วงตามถนนที่รัฐบาลไม่มีโอกาสชี้แจง

แปลงวิกฤติเป็นโอกาสได้เนียนเลย.

ทีมข่าวการเมือง รายงาน