ที่มา thaifreenews
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ผมไม่ได้สนใจการตั้งรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เลย ไม่สนใจติดตามว่าใครจะดำรงตำแหน่งอะไร โควต้าใครเป็นอย่างไร สำหรับผมแล้วนี่มันคือ การเอาหนังประวัติศาสตร์ยุคปี 2530-2540 มาฉายซ้ำเป็นการเมืองยุคหนัง period ไป
เราก็เห็นตัวแสดงดั้งเดิมยุคตั้งแต่นายชวน หลีกภัย เคยขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ด้วย งูเห่า รวมทั้งเป็นรัฐบาลผสมที่เต็มไปด้วยโควต้า และเราจะเห็น ยุคบุฟเฟ่ต์คาร์บิเนต ที่เคยหายไปตั้งแต่ยุคนายกรัฐมนนตรีทักษิณ ชินวัตร ย้อนยุคมาโชว์ให้คนรุ่นใหม่ดูอย่างเต็มตัว
รัฐบาลนี้ เกิดขึ้นมาด้วยการฉ้อฉลต่ออำนาจของประชาชน ทั้งตุลาการ กองทัพ และฝ่ายศักดินาต่าง ๆ เพื่อที่จะรักษาอาณาจักรดั้งเดิมโบราณของตนเอาไว้ในศตวรรษที่ 21 ให้ได้ พวกเขาใช้ "เครือข่าย" คอนเน็กชั่นทั้งหลายที่เพียรสร้างกันมาอย่างยาวนาน เพื่อฝืนกับกระแสโลก ฝืนกับ Paradigm ที่เปลี่ยนไปแล้วของประชาชนให้ได้
เชื่อเถอะว่า เราจะเห็นการ โปรประกันดา กันอย่างถี่ยิบ เพื่อมอมเมาประชาชนที่ตื่นแล้วให้กลับไปนอนใน Matrix ต่อไป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะทำหน้าที่เหมือนพระเอกลิเก เรียกน้ำตาจากแม่ยกต่อไป
เชื่อผมเถอะว่าสภาพแห่งการหลอกลวงนี้คงอยู่ไม่ได้นาน ไม่มีสิ่งใดที่จะฝืนกระแสวิวัฒนาการของมนุษย์ไปได้
ที่จริงคนไทยเราพัฒนาก้าวข้ามสิ่งเหล่านี้มาแล้ว หลังปี 2540 เราพัฒนาไปจนถึงมีรัฐบาลพรรคเดียว (แม้จะไม่พรรคเดียวจริง แต่มีพรรคใหญ่มาก ทำให้พรรคอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบ) มีนายกรัฐมนตรีที่เข็มแข็ง และทำลายระบบโควต้าไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว เราพัฒนาการเกือบถึงขั้นที่นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จะนำระบบ Primary Vote หรือการเลือกตั้งหยั่งเสียงมาใช้กับพรรคไทยรักไทย เพื่อใช้เฟ้นหาตัวผู้สมัครที่เป็นตัวแทนของประชาชนจริงๆ แล้ว
เราพัฒนการถึงขั้นมีรัฐสวัสดิการหรือ Welfare บางส่วนเสียด้วยซ้ำ เช่น การรักษาพยาบาลฟรี (ไม่ใช่สังคมสงเคราะห์แบบบัตรอนาถา แต่เป็นสิทธิของประชาชน) แม้ระบบ Welfare แบบเต็มรูปแบบยังไม่เกิดขึ้น ก็เป็นเพียงเพราะว่า "ระดับรายได้ของประเทศไทย" ยังไปไม่ถึงต่างหาก แต่หากรัฐบาลนายกฯทักษิณ อยู่ตามที่คาดการไว้ คาดว่าระบบสวัสดิการจะพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความสามารถในการหารายได้เข้าประเทศของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านนี้อยู่แล้ว
อยู่ ๆ ฟ้าก็ผ่าลงมา หมุนประเทศไทยกลับไปสู่ยุคปี 2530-2540 เกิดระบบงูเห่า ระบบโควต้า เกิดการเมืองยุคเสื่อมกลับคืนมาอีก การเมืองที่อยู่ได้ด้วยความฉ้อฉลประชาชน การโฆษณาชวนเชื่อลมๆ แล้งๆ มอมเมาประชาชน
ที่จริงผมไม่ค่อยรู้สึกเซ็งอะไรมากนักกับการเกิดขึ้นของรัฐบาลฉ้อฉลของนายอภิสิทธิ์ เพราะผมถือว่านี่คือการพักยก ไหลทวนย้อนกลับในช่วงเวลาสั้นๆ ของประวัติศาสตร์ ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ตามมา
อาณาจักรแห่งความหลอกลวง ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางอยู่ได้นาน ต้องล่มสลายอยู่ดี
สิ่งที่ก้าวหน้าอย่างหนึ่งที่ผมตระหนักแล้วคือ ประชาชนได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว ก็อย่างที่ผมเคยเขียนไว้หลายครั้งว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยครั้งนี้ “ เกิดขึ้นที่รากฐานของระบบ” คือ ประชาชนได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเลือกตั้งจาก การเลือกบุคคล เป็น “การเลือกพรรค” แล้ว การหมุนทวนระยะสั้นๆ ในช่วงรอยต่อ ที่ยังไม่มีประชามติของมหาชนออกมา ก็เป็นเพียง การสาธิตให้ประชาชนดูเท่านั้นว่า ระบบการเมืองแบบนายอภิสิทธิ์ นี่มันเลวร้ายขนาดไหน
ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่า “กองทัพไทย” ไม่มีพลังอำนาจเพียงพอในการทำรัฐประหาร และประชาชนกลุ่มเสื้อแดงได้พัฒนาการขึ้นจนถึงขั้นที่จะต่อต้านอำนาจของกองทัพได้แล้ว
ผมรู้อีกอย่างหนึ่งว่า “อำนาจดั้งเดิมแห่งจารีตประเพณี” ได้เสื่อมโทรมจนถึงที่สุดแล้ว แม้ฉากหน้าจะดูราบเรียบ แต่แท้ที่จริงแล้วประชาชน “รอเวลาหนึ่ง” อยู่เท่านั้น และเวลานั้นก็ใกล้มาแล้วด้วย และผมรู้อีกว่า ในสามปีของวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ อำนาจจารีตได้ ทำลายตนเองลงไปแทบหมดสิ้น พวกเขายังเหลือสายใยที่เปราะบางเพียงเล็กน้อย กับช่วงเวลาอันสั้นๆ เท่านั้น
ส่วนอำนาจตุลาการ แม้จะฝืนมติมหาชนได้ แต่ระบบ “ศาล Kangaroo court” ที่ไม่ยึดมั่น และตั้งอยู่ในหลักนิติธรรม และใช้หลักการพิพากษาแบบ “เชื่อได้ว่า” คำตัดสินต่างๆ ไม่สนใจพยานหลักฐาน นอกจาก “ความเชื่อของตุลาการ” นั้น ระบบเช่นนี้ ไม่เคยดำรงตนในโลกสมัยใหม่ได้ เพราะมันฝืนกับธรรมชาติของอำนาจตุลาการที่ต้องเที่ยงธรรม เมื่อไม่เที่ยงธรรม เกียรติยศและศักดิศรี ก็ไม่มีเหลืออีกต่อไป
ดังนั้น ช่วงเวลานี้จึงเป็นแต่เพียงระยะไหลย้อนทวนของระบบดั้งเดิม ก่อนการพัฒนาการเข้าสู่ระบบใหม่เท่านั้น
“ฝ่ายประชาธิปไตย” ชาวเสื้อแดงหลายคนมีอาการท้อแท้ สิ้นหวัง เซ็ง ผมคิดว่าเป็นธรรมชาติของการต่อสู้มาอย่างยาวนาน เมื่อสถานการณ์ไม่ได้เป็นดั่งใจ ก็อาจรู้สึกล้า สิ้นหวังบ้าง
แต่ผมคิดว่าฝ่ายประชาธิปไตยเราไม่ได้สิ้นหวังแต่ประการใด สถานการณ์ต่างๆ ทางสังคมยังเป็นใจให้กับเรา เป็นใจให้กับการเปลี่ยนแปลง
แต่ผมอ่านประวัติศาสตร์มาเยอะ ผมรู้สัจจธรรมข้อหนึ่งว่า “จักรวรรดิที่กำลังเสื่อมโทรม” นั้น ไม่มีทางล้มลงในวันเดียวแน่ แม้มันจะเสื่อมโทรมลงอย่างไร มันก็ยังคงมีพลังอำนาจอยู่ในระดับหนึ่งที่แน่นอน ดังนั้นจงอย่าใจร้อน จักรวรรดิชั่วร้ายที่เรากำลังต่อสู้อยู่นี้ “ล่มสลายลงอย่างแน่นอน” เพียงแต่ทอดระยะเวลา ต่อลมหายใจออกไปได้ช่วงสั้นๆ อีกระยะหนึ่งเท่านั้น พวกเขาต้องรวมพลังทุกอย่างที่มี รักษาจักรวรรดิอันเสื่อมโทรมนี้เอาไว้ จะทำได้นานสักเท่าใด
ยุคก่อนอาจใช้เวลา 20-30 ปี แต่นั้นเป็นเวลาในยุคโบราณที่เดินช้า เท่ากับความเร็วของม้า และคนเดินเท้า แต่ยุคศตวรรษที่ 21 เวลาเดินเร็วเท่ากับสัญญาณอินเตอร์เน็ต ดังนั้นระยะเวลาที่จักรวรรดิอันชั่วร้ายนี้จะล่มสลายลง ต่ำกว่า 5 ปีอย่างแน่นอน ที่จริงมันมีเวลาบอกอยู่แล้ว ทุกคนต่างก็รู้ในใจของตน แต่คงพูดไม่ได้
หน้าที่ของฝ่ายประชาธิปไตยตอนนี้คือ “การแจกยาเม็ดสีแดง” ปลุกคนที่กำลังหลับไหลใน Matrix ให้ตื่นขึ้นมา ตอนนี้คนตื่นขึ้นมาเยอะแล้ว แต่รอถึง “มวลวิกฤติ” หรือ รอให้ “ลิงตัวที่หนึ่งร้อย” ตื่นขึ้นมาก่อน เมื่อนั้น ลิงทั้งฝูงจะตื่นขึ้นพร้อมกัน
ผมเชื่อว่าตอนนี้ลิงตัวที่เก้าสิบกว่า ตื่นขึ้นแล้ว