วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

"ทุน"หาย"หัวจ่าย"พัง "เพื่อไทย"เข้าขั้น"ไอซียู"

ที่มา มติชน



ทันทีที่ได้สัมผัสเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนที่ 27 "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" ดูเหมือนจะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติภารกิจสำคัญที่สุด คือการสลายอิทธิพลทางการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในทันที

ด้านหนึ่ง แฝงมาในรูปแบบของ "นโยบายประชานิยม" ซึ่งรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ไม่รังเกียจรังงอนเหมือนตอนที่ยังเป็น "ฝ่ายค้าน" ซ้ำยังแสดงความพร้อมในการต่อยอด เพื่อมัดใจชาวรากหญ้ามากขึ้น

ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการทำให้เห็นว่าไม่ใช่เพียง พ.ต.ท.ทักษิณคนเดียวเท่านั้น ที่สามารถบริหารนโยบาย "ประชานิยม" ให้ประสบความสำเร็จได้

อีกด้าน ถือเป็นหน้าที่ของ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ที่รู้จักเส้นสนกลใน และยุทธวิธีการเคลื่อไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นอย่างดี โดยจะรับบทเป็นผู้เผด็จศึกด้านมวลชนในพื้นที่ภาคอีสาน

ดังนั้น เมื่อระฆังยกแรกดังขึ้น "บุญจง วงศ์ไตรรัตน์" รมช.มหาดไทย อดีตแกนนำคนเสื้อแดงโคราช จากเพื่อนเนวิน ก็เปิดฉากต่อยสกัด ด้วยการสั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคอีสาน รายงานความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงละเอียดยิบ เพื่อหาหนทางบล็อคการเคลื่อนพลของกองทัพมดเข้ากรุง สมทบกับกลุ่มความจริงวันนี้ที่ประกาศชุมนุมใหญ่วันที่ 28 ธันวาคม

แตกต่างกับ "เพื่อไทย" ที่ดูเหมือนว่ายังไม่หายจากอาการช็อค ที่ถูก "วิ่งราวอำนาจรัฐ" ไปต่อหน้าต่อตา เพราะขณะนี้ภายในพรรค "แตกยับ" จนแทบจะไม่เหลือชิ้นดี

แม้ทันทีที่ "เพื่อไทย" รู้ตัวว่าจะต้องเป็น "ฝ่ายค้าน" ครั้งแรก "พ.ต.ท.ทักษิณ" จะโฟนอินเข้ามาปลุกใจ "181 ส.ส." ให้ฮึกเหิมและต้องการชิงอำนาจคืนกลับมาจาก "พรรคประชาธิปัตย์" ทุกวิถีทาง

ซึ่งวันนั้น "เยาวภา วงศ์สวัสดิ์" ถึงกับประกาศเป็นแม่งาน "จัดยุทธศาสตร์การต่อสู้ในฐานะฝ่ายค้าน" ใหม่ทั้งระบบ อย่างจริงจัง

ครั้งแรกได้วางเป้าหมายการต่อสู้ไว้ที่ "การยุบสภา" ในเวลาอันรวดเร็ว โดยใช้การเคลื่อนไหวของ "กลุ่มคนเสื้อแดง" ที่จะรับบท "ฝ่ายค้านนอกสภา" เพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลในทุกวิถีทาง

โดยเฉพาะการนัดชุมนุมใหญ่ 28 ธันวาคม เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา ในวันที่ 29-30 ธันวาคม และหาก "ย้ายสถานที่ประชุมรัฐสภา" หรือ "เลื่อนวันประชุม" จะต่อยอดด้วย "ส.ส.เพื่อไทย" ที่จะรับลูก ด้วยการบอยคอตไม่เข้าร่วมประชุม

ที่สำคัญคือมีการพูดคุยกันไปถึง หมัดเด็ด-หมากสุดท้าย ที่จะใช้เผด็จศึก "รัฐบาล ปชป." ด้วยการให้ "ส.ส.เพื่อไทย" ลาออกยกพรรค ที่จะถูกงัดออกมาใช้เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายใหญ่

แต่ด้วย "ปัจจัยทางการเมือง" ที่จำกัด ในขณะที่สถานการณ์ที่ "เพื่อไทย" เพลี่ยงพล้ำทางการเมือง ส่งผลให้ "กระสุนดินดำ" ที่จะเอามาถมใช้กับการเคลื่อนไหวต่อสู้...ฝืดเคือง ไม่เพียง "ขุมทรัพย์" ของ "นายใหญ่" ที่เคยเป็น "หัวจ่าย" หลัก ไม่สามารถหมุนเวียน ขับเคลื่อน "เพื่อไทย" ได้เท่านั้น แต่ "ทุน" หลักสำคัญๆ ที่เคยหยิบยืมกันมาใช้-จ่าย แทนได้ในช่วงที่ยังเป็น "รัฐบาล" ก็เริ่มสลับขั้วไปอยู่กับ "ประชาธิปัตย์"

ดังนั้น "ทุนหลัก" ที่เหลืออยู่ จึงมีเพียง "คนในตระกูลชินวัตร" เท่านั้น ที่ยังเป็นเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่ "หล่อเลี้ยง" สาวกได้เป็นครั้งคราว

ซึ่งการที่ "นายใหญ่" ไม่สามารถส่งน้ำเลี้ยงเข้ามาได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ "บิ๊กตระกูลชินฯ" ที่ยังเป็น "กระเป๋าตังค์" อยู่เริ่ม "คำนวณจุดคุ้มทุน" ของ "ปัจจัย" ที่ต้องจ่ายออกไป โดยเฉพาะกับการเคลื่อนไหวรูปแบบต่างๆ ได้ส่งผลให้ "ยุทธศาสตร์" ที่วางเอาไว้จะต้องสะดุด จนแกนนำหลายคนไม่พอใจและภายในเริ่มไร้เอกภาพ

เพราะแผนที่เคยวางเอาไว้ว่าจะปิดล้อมอาคารรัฐสภา เพื่อจะขัดขวางการแถลงนโยบาย เกิดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน โดย "เจ้าแม่วังบัวบาน" ที่เกรงว่าเงินที่ลงทุนไปอาจจะสูญเปล่า หากไม่สามารถเผด็จศึกรัฐบาลได้ และมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงกะทันหัน โดยตั้งเป้าหวังจะเผด็จศึกรัฐบาลในระหว่างการแถลงนโยบาย ด้วยยุทธการณ์ดึงเสียงสนับสนุนพรรคเพื่อไทยกลับ จึงต้องเปลี่ยนกระบวนยุทธ์ทั้งหมดใหม่ โดยให้ "ส.ส." เข้าร่วม "แถลงนโยบายรัฐบาล"

แต่ด้วยสถานการณ์ภายในพรรคที่ฝืดเคืองและการต่อสู้ที่ยาวนาน ได้ทำให้ "แกนนำคนสำคัญ" เริ่มทำใจและเบื่อหน่ายการต่อสู้ ที่แทบจะมองไม่เห็นโอกาสชนะ

"อดีตบิ๊กไทยรักไทย" ที่เคยมีบทบาทวางแผนร่วมกับ "พ.ต.ท.ทักษิณ" เริ่มแตกกระสานซ่านเซ็นกันไปคนละทิศละทาง แม้แต่ "รุ่น 2" ที่เคยอยู่ร่วม "พลังประชาชน" ก็ไม่อยากแสดงบทบาทจะมีผลกระทบกับตัวเองและครอบครัว จน "บุคลากรระดับมันสมองทางการเมือง" ที่จะเข้ามาช่วย "จัดทัพถล่ม ปชป." น้อยลงไปทุกที ซึ่งส่งผลต่อความหวังที่จะใช้ "เวทีแถลงนโยบาย" เอาชนะ "ประชาธิปัตย์"

แม้วันนี้ "เพื่อไทย" จะทุ่มไม่อั้นในหาแสวงหา "ข้อมูลหลักฐาน" และ "หมัดเด็ด" ที่จะน็อค "ประชาธิปัตย์" แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่มีอะไรแตกต่างไปจาก "หลักฐานการหนีทหาร-การปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิ" และ "ประชุมจัดตั้งรัฐบาลที่ ร.1 รอ."

หาก "เพื่อไทย" ยังเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกระยะ บทพิสูจน์ทางการเมืองขณะนี้ อาจมีผลลัพธ์ออกมาว่าการตัดสินใจสลับขั้วของ "เพื่อนเนวิน" นั้น คือ สิ่งที่ถูกต้อง