วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

บทความ: กะลาเผด็จการและแสงสว่างประชาธิปไตย

ที่มา Thai E-News

โดย ปูนนก
ที่มา เว็บบอร์ดประชาไท
29 ธันวาคม 2551

ผมได้ไปร่วมงานชุมนุมคนเสื้อแดงมาด้วยกันทั้งหมด 4 ครั้งคือ ที่สนามกีฬาราชมังคลากีฬาสถาน, วัดสวนแก้ว, สนามกีฬาศุภัชลาสัย และที่สนามหลวงในวันที่ 28 ธ.ค. ผมเชื่อว่าท่านใดที่ได้มีโอกาสเข้าร่วมการชุมนุมของคนเสื้อแดง ในแต่ละครั้งต่างก็จะได้รับความประทับใจ และตื่นเต้นกับภาพที่ได้เห็น..... ภาพของสีแดงที่แดงเถือกทาทาบไปทุกสนานที่ ที่มีการจัดให้มีการชุมนุม เป็นภาพที่อธิบายไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลยนอกจากว่า ประชาชนไทยต้องการให้ประเทศชาตินี้ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เสียที

วันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันที่คณะราษฎร์ ได้ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ให้ประเทศไทยมีการเปลี่ยนผ่านอำนาจปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิ์ราช (อำนาจปกครองโดยกษัตริย์) ให้มาเป็นระบอบประชาธิปไตย (อำนาจปกครองเป็นของประชาชน ผ่านทางตัวแทนและรัฐสภา) ประชาชนไทยได้ลิ้มรสของประชาธิปไตยแท้ ๆ อยู่เพียง 15 ปีเท่านั้น หลังจากการเกิดขึ้นของพรรคประชาธิปัตย์ในปี พ.ศ. 2490 ซึ่งเป็นพรรคที่เผด็จการอมาตย์ก่อตั้งขึ้น และด้วยความช่ำชองในเกมส์การเมืองทำให้การปฏิวัติประชาธิปไตยล่มสลายไปพร้อมกับข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง” ทำให้ท่านปรีดี พนมยงค์ ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศจนสิ้นชีวิตและนั่นคือจุดสิ้นสุดของรัฐบาลประชาชนประชาธิปไตยภายใต้จิตวิญญาณของคณะราษฎร์

นับจากวันนั้นเป็นต้นมาหลายสิบปีที่ประชาชนไทยถูกครอบงำทางความคิดว่า การปกครองด้วยเผด็จการอมาตย์คือ ประชาธิปไตยแบบไทย ๆ และคนไทยก็พึงพอใจกับการปกครองแบบนี้ เหมือนกบที่ถูกกะลาอันใหญ่ครอบเอาไว้ให้มองเห็นเพียงแค่โลกในกะลา และคิดว่านี่แหละคือโลกที่ดีที่สุดแล้ว จนกระทั่งท่านอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ได้เป็นผู้มาเปิดฝาครอบกะลาอันใหญ่นี้ออกมาให้คนไทยได้เห็นแสงสว่าง และโลกอันกว้างใหญ่ที่อยู่ภายนอกกะลา หลายสิบปีที่คนไทยถูกปกปิดอยู่ในความมืดของการปกครองเผด็จการอมาตย์

และทันทีเมื่อกะลาแห่งเผด็จการถูกเปิดออกในช่วงแรกด้วยสายตาที่ยังไม่ชินกับแสงสว่าง จึงทำให้คนไทยจำนวนมากจึงยังรับไม่ได้กับแสงสว่างแห่งประชาธิปไตยที่ได้รับ ดังนั้นในระยะแรก ๆ ทำให้ยังสับสนกับสิ่งใหม่ที่ได้รับอยู่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปความเข้าใจในประชาธิปไตยก็เกิดขึ้นกับคนไทยมากขึ้นและมากขึ้น ทำให้เกิดการเปรียบเทียบการปกครองทั้งสองแบบระหว่างประชาธิปไตยแบบเผด็จการอมาตย์ และประชาธิปไตยที่แท้จริงที่พวกเขาได้รับจากการปกครองในรัฐบาลท่านอดีตนายกทักษิณ ชินวัตร ว่ามีความแตกต่างกันเช่นไร

ชั่วโมงนี้ประชาชนไทยต่างก็เข้าใจและได้เห็นแล้วว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงที่เป็นของประชาชนนั้นคืออะไร หลังจากที่ถูกครอบงำทางความคิดมานานนับเป็นสิบปี.... การชุมนุมของประชาชนชาวเสื้อแดงในหลายครั้งหลายสถานที่ ได้เป็นการแสดงพลังอย่างล้นหลามที่ผ่านมานั้น ได้เป็นการเผยให้เห็นถึงความรู้สึกที่แท้จริงที่ถูกปิดกั้นอยู่ภายในและกำลังเดือดปะทุออกมาเป็นกำลังแรงอย่างไม่อาจปิดกั้นได้ น้ำพุแห่งพลังประชาธิปไตยกำลังเกิดการหลั่งไหลออกมาอย่างเกินกว่าจะควบคุมได้ ด้วยพลังแรงแห่งความต้องการประชาธิปไตย

การชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 28 ธ.ค. และจะต่อเนื่องไปอีกหลายวันที่จะถึงนี้ เป็นพลังบริสุทธิ์ของประชาชนไทยในยุคที่ความตื่นตัวเรื่องประชาธิปไตยกำลังท่วมท้นความคิดของคนไทยทั้งประเทศขณะนี้ คนนับแสนที่มาชุมนุมกันที่ท้องสนามหลวง อย่างบริสุทธิ์ใจด้วยความสงบและปราศจากอาวุธอย่างแท้จริง กำลังจะกลายเป็นคลื่นแห่งความต้องการอันรุนแรง ที่จะถาโถมเข้าใส่เผด็จการอมาตย์ที่ต้องการปิดประเทศและจะยึดครองอำนาจของตนเอาไว้โดยไม่สนใจความต้องการอันแท้จริงของประชาชน

เวลามันได้หวนย้อนกลับมาตั้งต้นที่ปี พ.ศ. 2475 อีกครั้งหนึ่งแล้ว ประชาชนในประเทศนี้จะต้องเลือกที่จะเดินไปทางใดทางหนึ่งระหว่างรักษาอำนาจเผด็จการอมาตย์เอาไว้ หรือเรียกคืนอำนาจประชาธิปไตยที่แท้จริงให้กับประชาชนอย่างสมบูรณ์ การเคลื่อนไหวไปชุมนุมที่หน้ารัฐสภาในวันพรุ่งนี้ จะเป็นปรากฏการณ์อีกครั้งหนึ่งที่ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยชาวเสื้อแดง จะแสดงให้เป็นประจักษ์พยานแก่โลกทั้่งโลกได้รับรู้่ถึงการชุมนุมโดยสงบสันติ และปราศจากอาวุธ ว่าเป็นเช่นไร

มีคำกล่าวว่า “ประชาชนเหมือนน้ำสามารถทำให้เรือลอยก็ได้ หรือจมเรือก็ได้” ถ้าเผด็จการอมาตย์ยังคงดึงดันจะยึดครองอำนาจเอาไว้ให้กับคนส่วนน้อยของชาติ ประชาชนก็จะกลายเป็นกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากที่จะจมเรือเผด็จการนี้ลงไปไำด้อย่างสิ้นเชิงแน่นอน

ปรากฏการณ์ชาวเสื้อแดงในชั่วโมงนี้ ทำให้เผด็จการอมาตย์ไม่มีทางเลือกอื่นอีกต่อไปแ้ล้ว ประชาชนตื่นขึ้นมาอย่างไม่อาจจะหยุดยั้งได้และจะกลายเป็นกระแสที่รุกลามไปทั่วทั้งประเทศในไม่ช้า ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนชาวไทยทุกคนต้องตื่นขึ้นมาเพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมของความเป็นคนไทย ที่ถูกเผด็จการอมาตย์ยึดครองเอาไปนานนับหลายสิบปี เวลานี้เป็นเวลาที่ประชาชนไทยจะเป็นผู้กำหนดการปกครองของชาติไทยด้วยตนเอง เราจะไม่ยอมให้ใครมาเป็นผู้กำหนด, มาเป็นผู้ครอบงำ, หรือแม้กระทั่งเป็นผู้ชี้ทิศทางให้แก่คนทั้่งชาติอีกต่อไปแล้ว....

พี่น้องทุก ๆ ท่านครับ เวลานี้คือเวลาของท่านที่จะก้าวออกจากกะลาเผด็จการ มาสู่แสงสว่างแห่งประชาธิปไตย และเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ท่านจะเป็๋นผู้เขียนด้วยตนเองว่า ท่านจะมีส่วนอะไรในการเปลี่ยนแปลงที่จะถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ในครั้งนี้ด้วย เพราะอีก 10 – 20 ปีข้า้งหน้า ท่านน่ะแหละที่จะต้องเป็นผู้เล่าเรื่องในเวลานี้ให้ลูกหลานของท่านในเวลานั้นได้ฟัง