วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

รีบร้อนถอนทุน อวสานเร็ว

ที่มา ไทยรัฐ


ภายหลังได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศสัญญาประชาคมกับคนไทยทั้งประเทศ โดยย้ำชัดเจนว่า

รัฐบาลนี้จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และจะเทิดทูนมิให้ผู้ใดทำให้สถาบันนี้ไม่อยู่เหนือความขัดแย้งในทางการเมือง ด้วยประการทั้งปวง

“ผมทราบดีว่าสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ไม่ปกติ เป็นวิกฤติ ประชาชนคนไทยมีความทุกข์ หน้าที่เบื้องต้นของผม คือการยุติการเมืองที่ล้มเหลว

ที่เป็นต้นเหตุของความขัดแย้ง แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แบ่งภาค แบ่งสี ที่เกิดขึ้นอยู่ในประเทศขณะนี้

ผมจะขจัดการเมืองที่ล้มเหลวออกไป และจะนำความสมัครสมานสามัคคีกลับคืนมา โดยอาศัยความยุติธรรมเป็นกระบวนการนำหน้า”

“วันนี้ประเทศไทยต้องมีความสามัคคี ขอยืนยันว่าผมจะทำงานให้กับคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเลือกผม หรือไม่เลือกผม ท่านจะเป็นใครก็ตาม หากไม่คิดร้ายกับบ้านเมือง ท่านไม่ใช่ศัตรูของผม”

“ทันทีที่รัฐบาลแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาจะได้นำเสนอแผนฟื้นฟูเศรษฐกิจ ที่ครอบคลุมทุกปัญหา ไม่ ว่าจะเป็นปัญหาของเกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน ภาคเศรษฐกิจต่างๆ ตั้งแต่อุตสาหกรรม การบริการ การท่องเที่ยว หรืออสังหาริมทรัพย์ และจะแก้ไขปัญหาระยะยาวที่เป็นปัญหาหมักหมมเรื้อรัง และเป็นปัญหากับการพัฒนาประเทศในอนาคต”

พร้อมทั้งยืนยันว่า จะใช้การทำงานพิสูจน์ความตั้งใจในการทำงานให้กับคนไทยทุกคน และใช้เป็นเครื่องพิสูจน์ทุกสิ่งทุกอย่าง

“เชื่อว่าถ้าได้รับความร่วมมือจากประชาชนทั้งประเทศ พลังของพวกเราจะทำให้ประเทศของเราผ่านพ้นวิกฤติไปได้ในครั้งนี้ และเราจะร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีให้กับลูกหลานของคนไทยทุกคน ผมมั่นใจว่าเราทำได้”

เน้นย้ำภารกิจรัฐบาล ยุติการแบ่งสี แยกฝ่าย สร้างความสามัคคี นำพาประเทศพ้นวิกฤติ

นอกจากนี้ นายกฯอภิสิทธิ์ยังกล่าวเป็นภาษาอังกฤษ สื่อสารไปยังนานาชาติ

โดยยอมรับว่า การชุมนุมประท้วงต่อต้านรัฐบาลชุดที่ผ่านมา ด้วยการปิดกั้นท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิ

ทำให้ภาพลักษณ์ของการเป็นดินแดนแห่งรอยยิ้ม ดินแดนแห่งเสรี และดินแดนแห่งโอกาส ถูกทำลาย เสียหายไป

พร้อมยืนยัน การกระทำเช่นนั้นเป็นเรื่องของอดีตจะไม่มีวันเกิดขึ้นมาอีกแล้ว

“ถือเป็นความตั้งใจอย่างยิ่งยวดที่จะฟื้นฟูภาพของประเทศไทย ซึ่งมิตรทั่วโลกเคยรู้จักมักคุ้นกลับคืนมาอีกครั้ง

และไม่เพียงต้องการยุติการประท้วงและการปะทะซึ่งกันและกัน ที่เคยทำให้ทั้งประเทศหวั่นกลัวตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา แต่ยังจะนำประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าทั้งในทางการเมืองและเศรษฐกิจอีกด้วย”

ส่งสัญญาณถึงต่างประเทศ จะนำความสงบและรอยยิ้มกลับสู่ประเทศไทย

ทั้งนี้ เมื่อประเมินจากปฏิกิริยาของสื่อต่างประเทศ ส่วนใหญ่ ขานรับในเชิงบวก มีความรู้สึกที่ดีต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทย

ในขณะที่ผู้นำประเทศมหาอำนาจอย่างจีน ได้ส่งสารแสดงความยินดีกับนายอภิสิทธิ์ที่ได้เป็นนายกฯคนใหม่ พร้อมยืนยันรัฐบาลจีนและประชาชนชาวจีนยังเน้นย้ำนโยบายที่เป็นมิตรกับไทย และจะพัฒนาความร่วมมือด้านต่างๆร่วมกันต่อไป

ประธานาธิบดีฝรั่งเศสส่งสารแสดงความยินดี ย้ำว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส จะกระชับยิ่งขึ้น และหวังว่าจะเห็นความสมานฉันท์ในไทย

ทางด้านเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศ ไทย ได้เข้าพบแสดงความยินดีกับนายอภิสิทธิ์ พร้อมทั้งแสดงความเห็นว่า เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะก้าวข้ามเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีตที่ผ่านมา เพื่อให้ชาวโลกมีความมั่นใจ

นานาชาติส่งสัญญาณตอบรับในทางบวก

ขณะเดียวกัน ภายในประเทศ ทั้งภาคสังคม ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม ก็ออกมาขานรับกันพอสมควร กับการที่นายอภิสิทธิ์สลับขั้วเข้ามาเป็นนายกฯ

เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยยุติปัญหาวิกฤติความวุ่นวายในบ้านเมืองได้

อย่างไรก็ตาม การที่นายกฯอภิสิทธิ์ได้ประกาศสัญญาประชาคม ในการที่จะเข้ามาแก้วิกฤติต่างๆของประเทศ

จะประสบผลสำเร็จอย่างที่ประกาศไว้ หรือไม่

ยังต้องรอพิสูจน์กันในภาคปฏิบัติ

ที่สำคัญ ลำพังนายกฯอภิสิทธิ์เพียงคนเดียวคงทำงานขับเคลื่อนให้ภาคปฏิบัติ เกิดผลสำเร็จไม่ได้

จำเป็นต้องขับเคลื่อนกันทั้งคณะรัฐบาล

เพราะประเทศชาติมีปัญหารออยู่มาก ถ้าเปรียบกับคนไข้ ก็เข้าขั้นสาหัส

เศรษฐกิจย่ำแย่ สังคมเกิดความแตกแยก การเมืองล้มเหลว

แน่นอน การที่จะแก้ไขให้พลิกฟื้นแบบรวดเร็ว คงเป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น จึงถือเป็นเรื่องที่ท้าทายนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ว่าจะนำรัฐนาวาลำนี้ ฝ่ามรสุมคลื่นลมไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

ล่าสุด จากโผคณะรัฐมนตรี รัฐบาลผสม 6 พรรค 1 กลุ่ม ที่ประกอบด้วย

พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อแผ่นดิน พรรคชาติไทยพัฒนา พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคภูมิใจไทย พรรคกิจสังคม และกลุ่มเพื่อนเนวิน ที่เปิดออกมา

พรรคประชาธิปัตย์ ได้ 17 ตำแหน่ง สำหรับตำแหน่งหลักๆ อาทิ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นรองนายกฯ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกฯ

นายกรณ์ จาติกวณิช เป็น รมว.คลัง นายกษิต ภิรมย์ เป็น รมว.การต่างประเทศ นายวิฑูรย์ นามบุตร รมว.การพัฒนา-สังคมฯ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม

นายไพฑูรย์ แก้วทอง รมว.แรงงาน นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รมว.วิทยาศาสตร์ฯ นายวิทยา แก้วภราดัย รมว.สาธารณสุข นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รมว.ศึกษาธิการ

โดยมีคนนอก 2 คน คือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็น รมว.กลาโหม และนายวีระชัย วีระเมธีกุล เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ

พรรคเพื่อแผ่นดิน ได้ 5 ตำแหน่ง สำหรับตำแหน่งหลัก นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง เป็น รมว.อุตสาหกรรม ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี เป็น รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศฯ

พรรคชาติไทยพัฒนา ได้ 4 ตำแหน่ง สำหรับตำแหน่งหลัก พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นรองนายกฯ นายชุมพล ศิลปอาชา รมว.การท่องเที่ยวฯ และมีคนนอก 1 คน คือ นายธีระ วงศ์สมุทร เป็น รมว.เกษตรฯ

พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา ได้ 2 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งหลัก นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล เป็น รมว.พลังงาน

พรรคภูมิใจไทย ได้ 2 ตำแหน่ง สำหรับตำแหน่งหลัก นางพรทิวา นาคาศัย เป็น รมว.พาณิชย์

พรรคกิจสังคม ได้ 1 ตำแหน่ง นายสุวิทย์ คุณกิตติ เป็น รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ

กลุ่มเพื่อนเนวิน ได้ 4 ตำแหน่ง โดยตำแหน่งหลัก นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็น รมว.มหาดไทย และนายโสภณ ซารัมย์ เป็น รมว.คมนาคม

หน้าเก่า หน้าใหม่ คละเคล้ากันไป

โดยเฉพาะในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ คนเก่าๆแก่ๆถูกสั่งให้นั่งพัก ปล่อยให้คนหนุ่มรุ่นใหม่เข้ามาแสดงฝีมือ

แม้ไม่ได้ดูกระทรวงหลักสำคัญทั้งหมด เพราะต้องแบ่งสรรไปให้พรรคร่วมรัฐบาล แต่ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลก็ต้องดูแลภาพรวมทั้งหมด

และเมื่อดูหน้าตาคนที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาลแล้ว ต้องยอมรับว่า

ไม่ถึงขั้นเฉียบเจ๋ง

แต่ก็ไม่ถึงกับขี้ริ้วขี้เหร่จนรับไม่ได้

ในส่วนรัฐมนตรีจากพรรคร่วมรัฐบาล ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างไปจากรัฐบาลชุดที่แล้ว ส่วนใหญ่ยังหนีไม่พ้นระบบโควตากลุ่ม

ที่สำคัญ เมื่อพรรคแกนนำต้องพึ่งเสียงจากพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อพลิกขั้วการเมือง ก็จะต้องเกรงใจกันเป็นธรรมดา พรรคร่วมรัฐบาลขอกระทรวงไหน ก็ต้องให้

เพราะถ้าไม่มีเสียง ส.ส.จากพรรคเหล่านี้มาสนับสนุน พรรคประชาธิปัตย์ก็คงไม่ได้เป็นรัฐบาล

มันคือความจำเป็น ที่เป็นข้อจำกัดทางการเมือง

แต่ก็ทำให้เสียงขานรับจากสังคมวูบลงไปพอสมควร

อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ไปรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯอภิสิทธิ์ ก็คงต้องพิสูจน์ ตัวเองด้วยการทำงาน

โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยแรงเสียดทาน และสารพัดวิกฤติที่รอการแก้ไข

ทำให้เกิดคำถามยอดฮิตตามมาว่า รัฐบาลชุดนี้จะอยู่ยืดหรือไม่

“ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ประเมินจากเสียงสนับสนุนในสภาฯ ในวันโหวตเลือกนายกฯ ฝ่ายรัฐบาลมี 235 เสียง

ในขณะที่ฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาราช รวมกับ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลที่เสียงแตกออกไป รวมกันแล้วมี 198 เสียง

รัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ 16 เสียง มีเสียงมากกว่าฝ่ายค้าน 37 เสียง

ยังไม่นับการที่พรรคร่วมรัฐบาลจะดึง ส.ส.บางส่วนที่เสียงแตกออกไปตอนโหวตเลือกนายกฯ กลับมาอยู่กับฝ่ายรัฐบาลเหมือนเดิม

ดังนั้น เรื่องเสียงสนับสนุนในสภาฯ ไม่น่าห่วง

ที่สำคัญ หลังจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 2930 ธันวาคมนี้ และเดินเครื่องบริหารประเทศ ขับเคลื่อนนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติอย่างเต็มตัวในช่วงหลังจากปีใหม่

ต้องรอดูว่าปฏิกิริยาจากสังคมทุกภาคของประเทศ จะให้การตอบรับมากน้อยแค่ไหน

แต่เหนืออื่นใด ในระหว่างการเดินหน้าบริหารประเทศ หากคุมกันไม่อยู่ ปล่อยให้มีพฤติกรรมทุจริตคอรัปชัน ถอนทุนโผล่ขึ้นมา

ก็อาจจะตกม้าตายได้ง่ายๆเหมือนกัน.

"ทีมการเมือง"