วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แดง หัก แดง ศึก"สลาย-ช่วงชิง"มวลชน ชี้อนาคต"ทักษิณ-กลุ่มเพื่อนเนวิน"

ที่มา มติชน



วิเคราะห์

จู่ๆ การที่ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี โผล่ไปพบนายขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร และสมาชิกชมรม ที่สถานีวิทยุชุมชนคนรักอุดร เอฟเอ็ม 97.5 เมกะเฮิร์ตซ์ ซอยหนองเหล็ก 9 เทศบาลนครอุดรธานี เมื่อวันที่ 25 ธันวาคมนั้น

ย่อมไม่ใช่การไปเยี่ยมยามถามข่าวกันธรรมดา อย่างแน่นอน

หากแต่น่าจะเป็นการเยี่ยม ในยามที่นายขวัญชัย แกนนำคนสำคัญของกลุ่มเสื้อแดง ประกาศว่า "คนรักอุดรฯ" ไม่สะดวกที่จะไปกรุงเทพฯเพื่อร่วมชุมนุมที่ท้องสนามหลวง ในวันที่ 28 ธันวาคม เพราะสมาชิกชมรมติดงาน "ปีใหม่"

ซึ่งฟังดูก็มีเหตุผล

แต่ก็เป็นเหตุผล ในท่ามกลางกระแสข่าวกลุ่มเสื้อแดงกำลังอยู่ในภาวะของการถูกแยกสลาย

ด้วยเหตุนี้ นายสมชายที่บอกว่า อยู่ว่างๆ ก็รีบขึ้นมาเยี่ยม ดีกว่าอยู่คนเดียวที่จะเหงาไปเปล่าๆ นั้น ด้านหนึ่งก็สะท้อนให้เห็นว่า อดีตนายกรัฐมนตรีได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนรักอุดรฯ

และนายสมชายก็คงสบายใจกับคำพูดของนายขวัญชัยที่ว่า "ข่าวที่ว่าผมถูกซื้อตัว แล้วมีสมาชิกไม่เข้าร่วมชุมนุมที่กรุงเทพฯนั้น ขอยืนยันว่าไม่เกี่ยว แต่ลูกหลานจะกลับมาเยี่ยมช่วงเทศกาลปีใหม่ เลยไม่สะดวกที่จะไปกรุงเทพฯ"

อันเป็นการยืนยันว่า คนรักอุดรฯซึ่งเป็นแกนนำเคลื่อนไหวที่เอางานเอาการของกลุ่มเสื้อแดง ยันยืนเคียงข้างตนเอง พรรคเพื่อไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ปันใจไปให้คนอื่น

เหตุที่ นายสมชายต้องการคำยืนยันนี้ ก็อาจสืบเนื่องแต่มีกลุ่มคนเสื้อแดงโผล่ไปให้กำลังใจนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ จ.นครราชสีมา และไปให้กำลังใจนายประจักษ์ แก้วกล้าหาญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ จ.ขอนแก่น

เป็นการให้กำลังใจท่ามกลางการกล่าวหาจากคนในฟาก พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า คนเหล่านี้ซึ่งสังกัดกลุ่มเพื่อนเนวิน "หักหลัง" นาย

นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นว่า "คนเสื้อแดง" ไม่เป็นเอกภาพ

และมีความพยายามในการดึงเอามวลชนเสื้อแดงไปเป็นพวกของตนเองอีกด้วย

ซึ่งนั่นย่อมเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ใกล้ชิด ไม่สบายใจอย่างแน่นอน

เพราะนั่นย่อมเท่ากับเป็นการสูญเสียฐานมวลชนสำคัญของตัวเองไป

จึงทำให้ หลังจากนี้เราคงได้เห็นภาพคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ ออกตระเวนเยี่ยมเพื่อผูกใจคนเสื้อแดงกันถี่ยิบ

อย่างไรก็ตาม ก็คงเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยอยู่พอสมควรกับการดำรงความเป็นเอกภาพไว้ในกลุ่มคนเสื้อแดง

ด้านหนึ่ง ภาวะของ "ม็อบไม่มีเส้น" ที่ทำให้กลุ่ม 3 เกลอ คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เคยใช้รายการความจริงวันนี้ ทางเอ็นบีทีเป็นกระบอกเสียง ในการตรึงแฟนๆ ต้องกระเด็นหลุดออกจากผังรายการอย่างกะทันและถาวร

ขณะเดียวกัน การที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่จู่ๆ ก็ออกมาประกาศรักคนอีสาน พร้อมทั้งให้นโยบายแก่หน่วยขึ้นตรงและผู้บังคับกองพัน ทั้งหลาย พยายามสลายเสื้อสีต่างๆ ให้เป็นสีเดียวกัน

ซึ่งแม้ฟังดูดี แต่สำหรับคนเสื้อแดง ซึ่งต้องใช้ความเป็นกลุ่มก้อนในการแสดงพลังทางการเมืองอย่างเข้มข้น ผิดกับกลุ่มคนสีเหลืองที่วันนี้ยังไม่จำเป็นต้องแสดงพลังอะไร

การที่มวลชนต้องอยู่ในเป้าหมายของการสลายสี กลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากและโดยตรงก็คงไม่พ้น "เสื้อสีแดง" ไปได้

ที่น่ากังวล และประหวั่นพรั่นพรึงยิ่งกว่านั้นสำหรับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือ การเคลื่อนไหวของกลุ่มเพื่อนเนวินที่รู้จักเส้นสนกลใน และยุทธวิธีการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงดีที่สุด เนื่องจาก "ตั้งมากับมือ" นั้น ได้ส่งสัญญาณชัดเจนที่จะแยกสลายกลุ่มเสื้อแดง

ไม่ว่าการที่ นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ได้ใช้อำนาจรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในภาคอีสาน ติดตามความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงที่จะมาชุมนุมท้องสนามหลวงในวันที่ 28 ธันวาคมและจะต่อเนื่องถึงการแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 29-30 ธันวาคม อย่างละเอียดยิบ รวมทั้งให้รายงานสถานการณืให้ทราบทุก 6 ชั่วโมง

ซึ่งก็คงมองเป็นอื่นได้ยาก นอกจากเป็น เก็บข้อมูลเพื่อรับมือ และยังเป็นการบล็อคการเคลื่อนไหวโดยอ้อม เพราะเมื่อมีการจับตาใกล้ชิดโดยกลไกรัฐ การเคลื่อนไหวก็ย่อมยากลำบาก และอาจจะถูกสกัดได้โดยง่าย

ขณะเดียวกัน "มวลชน" จัดตั้งเสื้อสีแดง ที่คุ้นเคยกับ "กลุ่มเพื่อนเนวิน" ไม่ว่าสมาคมรถตู้โดยสารต่างจังหวัดแห่งประเทศไทย ชมรมศาลาแท็กซี่มิเตอร์ บ.ข.ส. หมอชิต 2 ชมรมขับสามล้อ สมาคมผู้ขับขี่แท็กซี่สามล้อ กทม. กลุ่มผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง จู่ๆ ก็พากันตบเท้าออกมาโวยว่ามีคนแอบอ้างเป็นตัวแทนจากสมาคมไปชักชวนประชาชนให้ออกมาร่วมชุมนุม ในวันที่ 28 ธันวาคม ซึ่งไม่จริง

และยังยืนยันพวกกลุ่มตนเองไม่มีแนวคิดจะเคลื่อนไหวใดๆ ในช่วงเวลานี้ เพราะเห็นว่าบ้านเมืองเกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจ ควรจะให้โอกาสรัฐบาลได้ทำงาน

นี่ย่อมเป็นปรากฏการณ์ของ "สีแดง" เปลี่ยนเสียง ชัดเจนที่สุด

จึงไม่น่าแปลกใจที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ จะออกโรงถล่ม นายบุญจง อย่างหนัก ว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่สั่งให้ผู้ว่าราชการจังหวัดรายงานความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทุก 6 ชั่วโมง ทั้งที่ครั้งหนึ่งเคยยืนอยู่ข้างๆ เวทีคนเสื้อแดง

พร้อมทั้งแฉโพยว่า มีบุคคลลึกลับพยายามติดต่อทางโทรศัพท์ชวนแกนนำคนเสื้อแดง แกนนำวิทยุชุมชน และแกนนำชาวบ้านในต่างจังหวัดที่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับคนเสื้อแดงให้ไปพักผ่อนเก็บตัวกันที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงวันที่ 26 ธันวาคมเป็นต้นไป

แถมระบุตัวบุคคลลึกลับคนดังกล่าวด้วยว่า ชื่อ "ดิ่ง"

ซึ่งถือเป็นการเกทับของคนที่รู้ "ไส้ใน" กันและกัน อย่างไม่เกรงอกเกรงใจกันอีกแล้ว

นั่นย่อมสะท้อนให้เห็น ภาวะ "สีแดง" หัก "สีแดง" อย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม มีการมองว่า ศึกครั้งนี้ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจะเสียเปรียบอยู่หลายขุม

เพราะนอกจากถูกมัดมือมัดเท้า ไม่ให้มีกระบอกเสียงในสื่อรัฐอีกต่อไปแล้ว

พรรค "เพื่อไทย" ซึ่งเป็นแบ๊คหลังให้กับกลุ่มมวลชน ก็ยังไม่หายจากอาการช็อค กับการถูก "วิ่งราวอำนาจรัฐ" ไปต่อหน้าต่อตา

ภายในพรรคเพื่อไทยขณะนี้ "แตกยับ" แทบจะไม่เหลือขุนพลที่จะคอยคุมเกม

"ทุน" ที่จะเอามาใช้เคลื่อนไหวต่อสู้มีอาการสะดุด

ขณะเดียวกันแนวคิดก็ยังไม่เป็น "หนึ่งเดียวกัน" คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ บางส่วนเริ่มลังเลกับแผนปิดล้อมอาคารรัฐสภา เพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายว่าอาจจะสูญเปล่า หากไม่สามารถเผด็จศึกรัฐบาลได้

แถมยังเกรงจะถูกย้อนเกล็ด โจมตีว่ากลุ่มเสื้อแดงขัดขวางการทำงานของรัฐบาลให้กับประชาชน

เลยเกิดอาการพะวักพะวน และนำไปสู่การชะงักงัน ของปัจจัยสนับสนุนด้วย

สภาพเช่นนี้ ทำให้ "แกนนำเสื้อแดง" เริ่มแสดงท่าทีเบื่อหน่าย ไม่มั่นใจกับทิศทางที่จะก้าวเดินไปว่าจะเอาอย่างไร

ภาวการณ์ดังกล่าว ย่อมไม่เป็นผลดีกับพลังเสื้อแดง ที่ยึดมั่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างแน่นอน

เพราะมีโอกาสที่ถูกแยกสลาย สูง

ขณะเดียวกัน ก็อาจจะถูกกลุ่มเพื่อนเนวินใช้ความได้เปรียบ ทั้งในฐานะผู้กุมอำนาจรัฐ และอุ่นหนาฝาคั่งด้วยทุน ดึงมวลชนเสื้อแดงไปเป็นของตนเอง ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น จะเป็นอันตรายใหญ่หลวงสำหรับพรรคเพื่อไทยในอนาคต

การสูญเสียมวลชนในอีสาน ก็เหมือนการสูญเสียทั้งหมด

นี่จึงอาจทำให้ แกนนำพรรคเพื่อไทย และยังจงรักภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจจะต้องดิ้นรนอย่างสุดขีดเพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า มวลชนเสื้อแดงยังเป็นของตัวเอง

การชุมนุมในวันที่ 28 และต่อเนื่องไปจนถึงการแถลงนโยบาย วันที่ 29-30 ธันวาคม จึงน่าจับตามองว่าจะออกมาในรูปแบบใด

หากยังอุ่นหนาฝาคั่ง และสร้างแรงกดดันจนทำให้การแถลงนโยบายสะดุด ฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงพอเบาใจได้ระดับหนึ่งว่า ฐานมวลชน อย่างน้อยที่สุดก็ตอนนี้ยังเป็นของตัวเองอยู่

แต่ถ้าหาก การชุมนุม "ปลุกไม่ขึ้น" หรือ "ไม่มีพลังเพียงพอ" ก็น่าหวั่นใจ สำหรับอนาคตของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทยยิ่ง