ที่มา thaifreenews
บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ก็ประสบผลสำเร็จเป็นอย่างดี สำหรับการชุมนุมที่สนามหลวง เมื่อวันเสาร์ที่ 31 มกราคม 2552 ที่ผ่านมา กลุ่มเสื้อแดงสามารถรวมกำลังกันได้มากกว่า 50,000 คน จำนวนคนเกินครึ่งหนึ่งของสนามหลวง ซึ่งหากใครคำนวณจำนวนคนด้วยหลักการง่ายๆ คือ หากรู้ว่าพื้นที่ที่คนชุมนุมกันมีกี่ตารางเมตร แล้วหาความหนาแน่นของจำนวนคนต่อตารางเมตร ก็สามารถประมาณการจำนวนคนได้
พื้นที่สนามหลวงปัจจุบันสามารถใช้ Google Earth คำนวณได้ ซึ่งมีพื้นที่ 66 ไร่ ครึ่งหนึ่งคือ ประมาณ 30 ไร่ หรือ 48,000 ตารางเมตร จำนวนที่ยืนหรือนั่งครึ่งสนามหลวงก็ประมาณได้ว่า 1.5-2 คน ต่อตารางเมตร ดังนั้นเมื่อคืนนี้มีคนไปชุมนุมกันครึ่งหนึ่งของสนามหลวง น่าจะประมาณได้คร่าวๆว่า เกิน 50,000 คนขึ้นไป
จำนวนคนขนาดนี้ ท่ามกลางการสะกัดกั้น การต่อต้าน รวมทั้งการก่อกวนของกลุ่ม "เพื่อนเนวิน" ที่เคยเป็นพันธมิตรของคนเสื้อแดง นับว่า เป็นการชุมนุมที่ประสบผลสำเร็จอย่างยิ่ง ฝ่ายตรงข้าม คือ "กลุ่มอำมาตยาธิปไตย" จะได้ตระหนักเสียทีว่า จำนวนคนที่ไม่พึงพอใจ ต่อการปกครองของพวกเขาเพิ่มจำนวนขึ้นมาก และไม่ลดลง การพยายามโฆษณาชวนเชื่อทำลายกลุ่มคนเสื้อแดง ไม่มีผลต่อการทำลายการรวมตัวของคนเสื้อแดงแต่อย่างใด
ก็อย่างที่ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วว่า ประชาชนได้เลือกข้างไปเรียบร้อยแล้ว และการขัดแย้งครั้งนี้มันไปไกลเกินกว่าทักษิณมากแล้ว หากฝ่ายอำมาตย์ยังติดยึดอยู่แล้วว่า "คนเสื้อแดงสู้เพื่อนายใหญ่" คนเสื้อแดงทำเพื่อทักษิณ วันที่โดนประชาชนเอากิโยตินตัดศีรษะ ก็ยังคงไม่รู้ตัวว่า นี่คือการลุกขึ้นต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ ต่อสู้กับการทำให้ทุกคนเป็นไพร่ ประชาชนได้ประกาศความเป็นไท และต้องการเจตจำนงเสรี กำหนดใจตัวเอง โดยไม่ต้องมีพี่ใหญ่ Big Brothers หรือ คุณพ่อผู้หวังดี คอยมาชี้นำให้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร ประชาชนโตแล้ว และต้องการตัดสินใจด้วยตนเอง
เมื่อวานนี้ การชุมนุมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอาวุธ และปราศจากความรุนแรง และเมื่อได้เดินทางไปถึงบริเวณทำเนียบรัฐบาล ประมาณตีหนึ่ง กลุ่มมหาประชาชนเสื้อแดงก็ได้สลายตัวกลับ เพราะได้บรรลุเป้าหมายแล้วคือ “การแสดงแสนยานุภาพและโชว์พลัง” ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะยึดทำเนียบรัฐบาลเหมือนที่กลุ่ม พธม.เคยทำ
กลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนมากเหมือนกันที่รู้สึกคับข้องใจว่า ทำไมพวกเราทำอะไรไม่ได้ พวกเราทำได้แค่นี้หรือ ทำไมเราไม่บุกเข้าไปยึดทำเนียบ ทำไมเราไม่ชุมนุมยืดเยื้อเพื่อขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ออกไป เหมือนที่ “กลุ่มพันธมิตรหรือคนเสื้อเหลือง” เคยทำ ในการชุมนุมขับไล่รัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คนเสื้อแดงหลายคนพยายามที่จะ “ก็อบปี้วิธีการของพันธมิตร” มาทำบ้าง โดยไม่ประเมินว่า แม้พันธมิตรจะชุมนุมขนาดนั้น มีตัวช่วยมากมาย มีเจ้าของม็อบที่มีอิทธิพลยิ่งใหญ่ของประเทศ พันธมิตรก็ไม่สามารถไล่รัฐบาลได้สำเร็จ ที่รัฐบาลล้มลงไป เพราะการใช้อำนาจตุลาการวิบัติ ดำเนินการโดยผู้มีอิทธิพลต่างหาก
หากคนเสื้อแดงดำเนินการอย่างเดียวกับพันธมิตร ผลย่อมออกมาไม่เหมือนกันแน่ ทหารไม่ได้อยู่ข้างเรา ตุลาการไม่ได้อยู่ข้างเรา และที่สำคัญที่สุดคือ “เราไม่ใช่พวกมีเส้น” เราเป็นไพร่
ดังนั้น สำหรับผมแล้ว การต่อชุมนุมประท้วง เป็นกระบวนการให้การศึกษาประชาชน สร้างความตื่นตัวให้กับประชาชน ให้ตระหนักถึงสิ่งที่เรากำลังต่อสู้ และแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ว่า คนที่อยู่ตรงข้ามพวกเขามีมากมาย
การแพ้ชนะทางการเมืองในเกมนี้อยู่ที่สนามเลือกตั้ง คนที่ตัดสินอยู่ที่ประชาชนในสนามเลือกตั้ง แม้จะโดนบิดเบือนไปบ้าง แต่คนที่บิดเบือนก็ต้องใช้ต้นทุน ศรัทธามากมายไปแลกเอากับการโกงประชาชน ยิ่งใช้บ่อยศรัทธายิ่งสูญสิ้นไป สุดท้ายพวกเขาอยู่ได้ ด้วย “ศรัทธา” เท่านั้น เพราะที่จริงแล้วพวกเขา “ไม่มีประโยชน์ต่อประชาธิปไตย” เป็นองค์กรที่เป็น “ใส้ติ่งของสังคม” แต่ที่ยังอยู่ได้ในหลายประเทศทั่วโลก เพราะสามารถสร้างศรัทธา ถึงการมีประโยชน์ต่อสังคม หากเป็นปรปักษ์ต่อสังคมแล้ว สุดท้ายก็ถูกทำลายไปจนได้
การที่จะทำให้ประชาชนหลายสิบล้านคนลงคะแนนให้ ต้องไม่ใช่การ Cheating การโกง หลอกลวง หากไม่มีของจริงอยู่แล้ว หมู่ประชาชนที่ลงคะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน ย่อมไม่มีทางถูกหลอกได้หมดสิ้น
พวกเขากล้าฝืนมติมหาชนในการอุ้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ เพราะพวกเขาคิดว่า เมื่อการเลือกตั้งมาถึงพวกเขาสามารถหลอกประชาชนทั้ง 30 ล้านคน (เฉพาะคนที่มีสิทธิลงคะแนน) ได้ต่อไป ด้วยเทพนิยายปกรณัมย์ จักรๆ วงศ์ๆ ทั้งหลาย แต่หาทราบไม่ว่า คนศตวรรษที่ 21 จะมีสักกี่เปอร์เซนต์ที่หลงในนิยายน้ำเน่าเหล่านั้น ที่เขาไม่มีปฎิกริยาในช่วงเวลาที่ผ่านมา เพราะไม่ได้ทำอะไรเป็นปฎิปักษ์ต่อพวกเขามากกว่า แต่ปี 2552 สถานการณ์เป็นตรงกันข้าม ศรัทธาที่เป็น “เสาค้ำจุนหลัก” จึงพังทลายลงไปอย่างรวดเร็ว
กลุ่มคนเสื้อแดงจะต้องสร้างเครือข่ายและรณรงค์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง ด้วยการจัดชุมนุมอย่างสงบ พัฒนาผู้นำประชาชน สนับสนุนให้มีการตั้งกลุ่มประชาธิปไตยกลุ่มต่าง ๆ ทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด และหากมีการชุมนุมใหญ่ ก็อาจมีหลายเวที ตามแกนนำของแต่ละกลุ่ม เพื่อเป็นการพัฒนาความหลากหลายของผู้เคลื่อนไหว และผู้นำประชาชน และเป็นการให้ประชาชนได้เรียนรู้ถึงการเคลื่อนไหวทางการเมือง และการปลุกเร้ามวลชน ซึ่งเมื่อพัฒนาต่อไปกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ก็จะเข็มแข็ง เป็น Cells หน่วยย่อยที่เชื่อมโยงกันด้วยอุดมการณ์ประชาธิปไตยเท่านั้น แต่การดำเนินการ ไม่จำเป็นต้องมีคำสั่งมาจากใคร แต่ละกลุ่มมีอิสระในการเคลื่อนไหวในหมู่ของตนเอง หากมีกิจกรรมใหญ่ แกนนำของกลุ่มย่อมมีช่องทางที่จะประสานติดต่อกันเอง จากเว็บบอร์ดต่างๆ ในดอินเตอร์เน็ตที่มีมากมาย ดังนั้นการระดมพลจึงไม่ยากนัก
ส่วนการโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผมไม่อยากให้ใส่ใจหรือตั้งความหวังไว้กับเรื่องนี้มากนัก เพราะรัฐบาลที่พิกลพิการนี้ย่อมอยู่ไม่ได้นานด้วยตัวเองอยู่แล้ว และภายใต้ “กระแสวิกฤติทางเศรษฐกิจโลก” ที่เศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมเริ่มเข้าสู่ภาวะหดตัวแล้ว และจะรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม คนจะตกงาน วิกฤตการณ์ทางสังคมจะตามมา และวิกฤติครั้งนี้แรงกว่าปี 2540 เพราะเป็นขอบข่ายทั่วโลก และประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงแน่นอน เพราะเราอยู่ที่ส่วนหัวของพายุ และพายุลูกนี้เป็นอภิมหาวาตะภัย กว่าจะสงบกินเวลาไม่ต่ำกว่า 3-4 ปี
ไม่ต้องโค่นล้มรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ แม้จะมี พลังอันยิ่งใหญ่คอยอุ้มอยู่ ก็ไม่อาจทานทนอยูได้ ยิ่งฝืนมติของประชาชน ยิ่งพังลงอย่างรวดเร็ว
การปฎิวัติสังคมทั่วโลก การลุกฮือขึ้นของประชาชนในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา แม้แต่การปฎิวัติของคณะราษฎร์ในปี 2475 (ค.ศ.1932) ก็เกิดจากการจุดฉนวนมาจาก วิกฤติเศรษฐกิจโลกปี 1929 (The Great Depression) กลายเป็นสาเหตุให้คนลุกฮือขึ้นต่อต้านการปกครองที่ไม่ชอบธรรม และไม่มีธรรมทั้งสิ้น
วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2008 แล้ว ผมเชื่อว่าจะส่งผลกระเทือนต่อโครงสร้างของสังคมไทยถึงรากฐานทีเดียว เพราะแผ่นดินได้สะเทือนล่วงหน้ามา 3 ปีแล้ว สถานการณ์ที่เริ่มเป็นฉนวนได้ลุกลามไปมากแล้ว
โชคดีของคนไทยที่พอพายุมาถึง พวกศักดินาอำมาตยาธิปไตยได้อุ้มนายมาร์กขึ้นรับกับพายุพอดี
ผลร้ายของวิกฤติการณ์ครั้งนี้ คนที่อุ้มนายมาร์กต้องรับกรรมไปทั้งหมด
เมื่อพายุผ่านไป จะทิ้งเอาไว้แต่ท้องฟ้าที่สดใส ฟ้าใหม่ที่ประชาชนมีเสรีภาพ และเป็นไทอย่างสมบูรณ์