วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

อย่าไปสนใจการรุกด้านมวลชนของ พธม. มากนักเลยครับ ผมไม่ค่อยให้ราคานักหรอกครับ

ที่มา thaifreenews

บทความโดย..ลูกชาวนาไทย



ผมไม่ได้เขียนบทความเสียนาน เพราะรู้สึกว่ามันไม่มีประเด็นทางการเมืองอะไรมากนัก ก็แค่ด่ากันไปด่ากันมา ประเด็นที่ผมให้ความสนใจช่วงนี้ เป็นประเด็นทางเศรษฐกิจมากกว่า เพราะผมรู้ว่า มรสุมทางเศรษฐกิจครั้งนี้ใหญ่หลวงกว่าที่คนไทยตระหนักมากนัก และมรสุมทางเศรษฐกิจ จะเป็นตัวกระตุ้นที่สำคัญที่เป็นจุดเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างใหญ่โต ในจุดที่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของประวัติศาสตร์

ตอนนี้ยิ่งฝ่ายโน้นเคลื่อนไหว ทำอะไรมาก ก็จะเป็นสาเหตุหรือปัจจัยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่คุมไม่ได้มากกว่า

ช่วงนี้มีข่าวว่า พธม.รุกหนักทางด้านมวลชน ไปต่างจังหวัด สร้างความวิตกกังวลให้คนเสื้อแดงบางคนค่อนข้างมาก ยิ่งมีข่าวว่ามีการรุกไปที่อุดร เพื่อโจมตีฐานที่มั่นฝ่ายเสื้อแดง มีการตั้งเวทีประชันกัน เหมือนกับว่า หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยึดหัวหาดได้แล้ว จะทำให้ชนะสงคราม

ผมคิดว่าเป็นความวิตกกังวลที่เกินไป บางคนมองแต่ปัญหาทางยุทธวิธี มองภาพในมุมแคบมากกว่า ที่จะประเมินสถานการณ์ในภาพรวมทั้งระดับสากล และระดับประเทศ มองแต่เพียงการต่อสู้กันในเวทีเล็ก ซึ่งคำกล่าวในทางตำราพิชัยสงครามเรียกว่า เป็นการมองการปะทะกันของกองกำลังแต่ละฝ่ายในจุดเล็กๆ มากกว่าที่จะมองภาพรวมของสงคราม รวมทั้งสถานการณ์ทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ รวมทั้งบรรยากาศของอุดมการณ์ทางการเมือง




สำหรับผมแล้วไม่ได้วิตกกังวลอะไรกับการเคลื่อนไหวทางด้านมวลชนของ พธม.มากมายนัก เพราะคนพวกนี้ไม่ได้มี "อุดมการณ์ทางการเมือง" ที่น่ากลัว จนต้องถึงกับมาวิตกว่า พวกเขาอาจแย่งชิงมวลชนไปได้

ที่จริง พธม. โด่งดังขึ้นมาได้ในช่วงสองสามปีนี้ ไม่ได้เป็นความสามารถในการขยายงานด้านมวลชนมากมายนัก แต่เป็นเพราะ "การต่อต้านอำนาจรัฐ โดยมีคนมีบารมีหนุนหลัง" และเคลื่อนไหวได้โดย ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายหรืออะไรทั้งสิ้น คนพวกนี้ไม่ได้มีจำนวนมากมายอะไรนัก แต่ไม่มีใครกล้าปราบ ภาพจึงดูน่ากลัวสำหรับคนที่ไม่ได้วิเคราะห์ให้ถ่องแท้

มวลชนหลักของเขาที่ใช้ต่อสู้กับรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ล้วนแต่เป็น “กลุ่มจัดตั้ง” ทั้งสิ้น เช่น สันติอโศก หรือกลุ่มพนักงานรัฐวิสาหกิจ รวมทั้งการขนคนมาช่วยของพรรคประชาธิปัตย์จากภาคใต้

หากวิเคราะห์องค์ประกอบของมอบ พธม.แล้ว จะเห็นได้ว่า ไม่น่ากลัวเลย ในการรุกด้านมวลชน

ฝ่ายเสื้อแดงเสียอีก ที่มีมวลชนหลากหลายเข้ามาร่วมด้วย ในทางการเมือง น่ากลัวกว่าเสื้อเหลืองเยอะ เพราะนี่คือ ของจริง ไม่ใช่ม็อบมีเส้น แบบ พธม.

ตอนนี้คนพวกนี้ ได้อำนาจรัฐแล้ว พวกเขาจะปฎิเสธว่ามาร์กไม่ได้เป็นคนของพันธมิตร ก็คงทำได้แต่คงไม่มีใครฟัง เงื่อนไขในการขยายมวลชนของพวกเขาจึงไม่มี ที่จริงก็ขยายไม่ได้อยู่แล้ว ความผิดพลาดอะไรของมาร์ก ก็คือความผิดพลาดของคนพวกนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยต่อไปนี้ ต้องประเคนใส่คนพวกนี้โดยตรง

อาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งที่ "หลงยุค" ไปเชื่อคนพวกนี้ แต่ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ของประเทศแน่นอน




คนพวกนี้ ออกไปชนบท จะเอาอะไรไปขายให้กับประชาชน ไปด่าทักษิณให้ชาวบ้านฟังอย่างนั้นหรือ จะเอาอุดมการณ์อะไรไปโปรประกันดา หลอกชาวบ้าน จะโฆษณาว่า "ทักษิณจะล้มราชบัลลังค์" หรือทักษิณจะเป็นประธานาธิบดี ผมว่าคนคงไม่สนใจเท่าไหร่แล้วเพราะคนพวกนี้กล่าวหาจนคนเบื่อจะฟังแล้ว

เชื่อผมเถอะประเด็นนี้ ปลุกไม่ขึ้นแน่นอน ขนาดนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ถางทางไว้แล้ว ก็ยังปั่นกระแสไม่ได้

จะเอาแนวคิด เศรษฐกิจพอเพียง ไปโฆษณา ผมว่าแม้คนไทยจะ "รักในหลวงยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง" แต่คนไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะคนชนบทไม่ได้ชอบ เศรษฐกิจพอเพียง เพราะทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ ต้องอยู่อย่างแร้นแค้นต่อไป ผิดกับยุคทักษิณ ที่พวกเขาอยู่ดีกินดี ลืมตาอ้าปากได้ แม้คนจะรักในหลวงมาก แต่ก็ไม่พร้อมที่จะมีชีวิตอยู่อย่างพอเพียง ทุกคนอยากมีอยู่มีกิน มีเงินทองจับจ่ายใช้สอย ต้องการชีวิตที่สุขสบายทั้งสิ้น อุดมการณ์นี้ขายให้คนชนบทไม่ได้แน่นอน ที่เห็นพูดๆ กันมีแต่พวกร่ำรวยในเมืองเท่านั้นที่พูด เพราะไม่ต้องการให้คนชนบท ลืมตาอ้าปากได้มาแย้งทรัพยากรกับพวกตน เลยจะยัดเยียดเศรษฐกิจพอเพียงให้คนชนบท โดยอาศัย “ความรักในหลวง” มาใช้ประชาสัมพันธ์

แต่ผมคิดว่า เอาไปหาเสียงคงไม่มีคนเลือก อย่างมากเขาก็ฟังเงียบๆ ไม่กล้าค้าน เพราะความรักในหลวง แต่ก็คงไม่มีใครทำตาม ทุกวันนี้ไม่มีัใครกล้าวิจารณ์เศรษฐกิจพอเพียงมีแต่คนสรรเสริญ เพราะความรักในหลวง แต่ไม่ได้เห็นด้วยกับเศรษฐกิจพอเพียงเท่าใดนัก

ผมจึงไม่เห็นว่า พธม. ออกชนบท หรือทหารทุ่มงบเข้าไปชนบทเพื่อทำ ปจว. แล้วจะสามารถชักจูงชาวบ้านได้ เหมือนเมื่อ 20 ปีที่แล้วที่พวกเขา ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์แต่อย่างใด

ในสงครามต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ครั้งนั้น ชาวบ้านยังไม่รู้จักคอมมิวนิสต์ ทหารไปโปรประกันดาว่า คอมมิวนิสต์จะยึดไร่ ยึดนา ทำลายพระศาสนา ฆ่าพระ ชาวบ้านก็ต้องต่อต้านเป็นธรรมดา เพราะมันฝืนกับวัฒนธรรมของคนชนบทในยุคนั้น ยุคนั้นชาวบ้าน จบ ป.4 ก็ยังมีน้อยมาก

แต่ตอนนี้จะไปโปรประกันดาในชนบทว่า ระบอบทักษิณเลว ทั้งๆ ที่ชาวบ้าน เคยรับรู้ว่า ยุคทักษิณคือ ”ยุคทองของชาวบ้าน" ผมจึงไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อทหารหน้าโง่เหล่านั้นหรอกครับ แนวคิดล้าหลัง ยุทธวิธีตั้งแต่ยุคสงครามเย็น ที่ไม่ได้ปรับปรุงอะไรเลย เพราะมาจากทหารแก่ๆ ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น

ปัญหาตาสว่าง ก็เป็นประเด็นใหญ่ประเด็นหนึ่ง ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการโหมโปรประกันดา อย่างแน่นอนครับ เรื่องนี้ มันทำลายถึงรากฐานการรับรู้ของคนในจิตใต้สำนึก รุนแรงเกินกว่าที่จะมาบ่ายเบี่ยงกันด้วยคำพูดไม่กี่คำ หรือการโหมโปรประกันดา นี่ก็ต้องยกความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ให้กับน้องโบว์นะครับ

ผมว่าทหารประเมินวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ต่ำเกินไป ต่ำกว่านักเศรษฐศาสตร์อย่างผมมาก

ตอนนี้สื่อพยายามสร้างกระแสว่า ข้อมูลที่ ดร.โอฬาร ไชยประวัติ พูดขึ้นมานั้น ไม่จริง ดร.โอฬาร ไม่ได้อยู่ใกล้ข้อมูล โดยหารู้ไม่ว่า ดร.โอฬาร คือ รองนายกฯ สมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลหน่วยงานของรัฐได้แต่ต้นแล้ว และนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายก็ทราบดีว่าว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ ดร.โอฬารยกมาพูดนั้นจริงร้อยเปอร์เซนต์ทีเดียว จะสังเกตุได้ว่าสภาพัฒน์ฯ ไม่ได้ออกมาโต้แต่อย่างใด เพราะเขารู้ว่านั่นของจริง

สถานการณ์โดยรวมขณะนี้ ผมไม่ได้กังวลกับการเคลื่อนไหวของพวก พธม. ทหาร หรือกลุ่มอำมาตย์มากนัก

สิ่งที่ผมหวังมีอย่างเดียวคือ “ฝ่ายทักษิณ” หรือฝ่ายประชาธิปไตย อย่าเพิ่งเป็นรัฐบาลในระยะสองปีนี้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นซวยแน่นอน

ความล่มสลายทางเศรษฐกิจจะตอกย้ำความผิดพลาดของพวกอำมาตย์และคนที่อยู่เบื้องหลัง