ที่มา มติชน
โดย จตุพร พ่วงทอง
"อยากเรียกร้องว่าตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอเป็นตำแหน่งสำคัญ เพราะต้องทำคดีปราบปรามผู้มีอิทธิพล การพูดหรือให้สัมภาษณ์อะไรที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในตำแหน่งอธิบดี เสมือนเป็นการสร้างความไม่เกรงกลัวให้เกิดกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่"
กว่า 10 เดือนที่ "พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง" นั่งกุมบังเหงียน "กรมสอบสวนคดีพิเศษ" หรือดีเอสไอ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของรัฐบาลถึง 3 ชุด
พลันที่อำนาจรัฐเปลี่ยนมือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้นำรัฐบาล ก็เกิดกระแสข่าวย้าย พ.ต.อ.ทวี พ้นเก้าอี้อธิบดีดีเอสไอ ออกมาเป็นระลอก
แต่จนถึงขณะนี้ข่าวลือก็เป็นเพียงข่าวลือ จะเป็นจริงเมื่อไหร่คงต้องเฝ้าดูว่าหากย้ายจริง รัฐบาลจะอ้างเหตุผลอะไรมาอธิบายกับสังคมถึงความชอบธรรม
ซึ่ง "มติชน" มีโอกาสสัมภาษณ์ "พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง" ถึงความในใจ รวมถึงนโยบายที่ดำเนินการช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีสาระสำคัญดังนี้
นโยบายปราบปรามผู้กระทำผิดตาม พ.ร.บ.การเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือฮั้วประมูล ที่วางไว้ บรรลุเป้าแค่ไหน
- ผลการปราบปรามอยู่ในขั้นที่น่าพอใจและได้ผลักดันตั้ง ศูนย์การปราบปรามการฮั้วประมูล หรือการทุจริตเงินภาครัฐขึ้นมาอย่างเป็นระบบ มีข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมเป็นทีม ซึ่งทางคณะทำงานแบ่งประเภทการฮั้วประมูลออกเป็น 2 ลักษณะ ฮั้วประมูลแบบแห้ง คือ ดำเนินคดีหลังจากมีการฮั้วประมูลโครงการต่างๆ เสร็จสิ้นแล้ว และฮั้วประมูลแบบสด คือ เข้าตรวจสอบโครงการที่คาดว่า จะมีการจัดซื้อจัดจ้างเกิดขึ้น โดยจะแบ่งตามพื้นที่ และแบ่งตามกระทรวง
ขณะนี้คดีฮั้วประมูลอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนจำนวนมาก ทางดีเอสไอต้องร่วมกับหลายหน่วยงาน เช่น สำนักงบประมาณ เพราะแต่ละปี สำนักงบประมาณจะวางแผนว่าจะตัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานใดบ้าง กรมบัญชีกลางที่ทำหน้าที่จ่ายเงิน และหน่วยงานภาคเอกชนอื่นๆ ที่ทำคดีฮั้วประมูล ขณะนี้ดีเอสไอมีกลุ่ม แก๊ง ที่เข้าข่ายกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูลจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม คดีการฮั้วประมูลบางส่วนที่ดีเอสไอยังทำไม่เต็มที คือการเปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิด ถ้าพบว่ามีการกระทำผิดชัดเจนต้องปรับเป็นเงิน 50 เปอร์เซ็นต์ ของโครงการ เช่น ถ้าโครงการดังกล่าวมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ผู้กระทำผิดต้องเสียค่าปรับ 500 ล้านบาท ตอนนี้อยู่ระหว่างการจัดระบบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูงขึ้น ถือเป็นการป้องกันการฮั้วประมูลอีกขึ้นหนึ่ง สำหรับคดีฮั้วประมูลส่วนใหญ่ ที่ดีเอสไอเข้าดำเนินการจับกุม เรื่องจะถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพราะมีเจ้าหน้าที่รัฐร่วมทุจริตกับภาคเอกชน บางครั้งก็ล่าช้ากำลังหาแนวทางร่วมกับ ป.ป.ช.ว่า คดีที่มาถึง ป.ป.ช.จะทำอย่างไร ไม่ให้คดีค้างอยู่ที่ ป.ป.ช.เป็นเวลานาน เพราะขณะนี้มีหลายคดีอยู่ในขั้นตอนของ ป.ป.ช.
นโนบายปราบปรามการบุกรุกป่า ที่ดินสาธารณะคืบหน้าแค่ไหน
- ช่วงที่เข้ามารับตำแหน่งได้ประสานไปยังหน่วยงานของรัฐที่มีที่ดินอยู่ในความดูแลเพื่อตรวจสอบว่ามีพื้นที่ของรัฐทั่วประเทศเท่าไหร่ พบว่ามีที่ดินกว่า 6 ล้านไร่ ถูกบุกรุก และในจำนวน 6 ล้านไร่ มีการออกเอกสารสิทธิประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ ส่วนใหญ่เป็นจังหวัดพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันและบางส่วนดีเอสไอดำเนินการตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ และบางส่วนเป็นคดีที่มีการร้องเรียน
ซึ่งแนวทางการทำงานดีเอสไอได้ร่วมกับภาคประชาชน โดยให้ประชาชนมาเป็นอาสาสมัครป้องกัน ทรัพยากรธรรมชาติ ด้วยการทำโครงการให้ความรู้เกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิ และให้ประชาชนร่วมสอบสวน ในฐานะที่ปรึกษา เช่น โครงการตรวจสอบข้อมูล ส.ค.1 ของหมู่ 10 ต.โคกกลอย อ.ตะกั่วทุ่ง จ.พังงา มีการตรวจสอบ 89 ราย ซึ่งปัญหาที่ตรวจพบเช่น เอกสาร ส.ค.1 ต้นฉบับหาย บางรายไม่รู้ว่าที่ดินเคยมีเอกสาร ส.ค.1 และจำนวนที่ดินมีมากกว่าตามที่แจ้งใน ส.ค.1 เป็นต้น ซึ่งต้องการให้ชาวบ้านเข้าใจว่า ส.ค.1 ที่มีอยู่นั้นเป็นของจริงหรือของปลอม เพราะมีการออก ส.ค.1 ซ้ำซ้อน ทางดีเอสไอกับกรมที่ดินจะร่วมมือกันแก้ไข
นอกจากนี้ยังพบขบวนการซื้อขายที่ดินโดยคนต่างชาติ ซึ่งเปิดบริษัทซื้อขายที่ดินในประเทศโดยให้คนไทยถือหุ้นบางส่วน แต่นำที่ดินไปซื้อขายกันในต่างประเทศ ไม่ต้องเสียภาษี ทำให้ประเทศไทยสูญเสียรายได้จำนวนมาก ขณะนี้ตรวจพบกว่า 10 เรื่อง
ที่ดินบางแปลงที่บุกรุกมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่บางคนพยายามให้ออกเอกสารสิทธิ เพราะจากการสอบสวนพบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาประเมินขายแปลงละ 20-30 ล้านบาท และบางแห่งมีการบุกรุกที่พื้นที่ของรัฐอย่างชัดเจน แต่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถทำอะไรได้ต้องส่งเรื่องให้ดีเอสไอเข้าไปดำเนินคดี เช่น ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต มีหลายแปลง บางแปลงนำไปสร้างที่จอดเรือของบริษัทเอกชน
เอาผิดอย่างไร กับนักปั่นหุ้น เบียดบัง ยักยอก หรือไซฟ่อนเงิน ในบริษัทในตลาดหลักทรัพย์
- ทำงานร่วมกับสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ซึ่งทาง ก.ล.ต.จะส่งบัญชีรายชื่อบุคคลมาให้ 50 คน ที่ต้องสงสัยเข้าข่ายปั่นหุ้นให้ตรวจสอบ ก็ตั้งคณะทำงานขึ้นมา 1 ชุด เพื่อเฝ้าระวังและตรวจสอบทุกมิติของกลุ่มบุคคลดังกล่าว เช่น คดีบริษัท เอสอีซีซี จำกัด ดีเอสไอเข้าไปร่วมตรวจสอบหาหลักฐานตั้งแต่ต้นถึงแม้ว่าผู้ต้องหาหนีไปต่างประเทศก็ตาม สำหรับคดีปั่นหุ้นที่ดีเอสไอดำเนินการคิดว่ามีประสิทธิภาพและนำไปสู่การลงโทษจำคุกและปรับกว่า 6,000 ล้านบาท คือคดีทีพีไอ และตอนนี้ได้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น
มองปัญหาการทำงานของบุคลากรในหน่วยอย่างไร
- ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ตั้งดีเอสไอขึ้นมา ผู้บริหารที่ผ่านมาๆ พยายามสร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านสอบสวนคดีพิเศษจริงๆ ตอนแรกก็โอนจากหน่วยงานสหวิชาชีพมาร่วมกันทำงาน ซึ่งต้องฝึกอบรมด้านสืบสวนสอบสวนให้บุคลากรเหล่านั้น เพื่อหาความจริงได้อย่างแท้จริง ทุกวันนี้ดีเอไอตั้งมาเป็นเวลา 5 ปี จำเป็นต้องสร้างมาตรฐานของพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะคนที่จะเข้าสู่มาตรฐานตำแหน่งพนักงานสอบสวนระดับ 8 ให้เป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง
ส่วนกรณีที่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอร้องเรียนว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแต่งตั้งพนักงานสอบสวน 8 นั้น ผมอยากให้มองว่าพนักงานสอบสวนระดับ 8 ต้องไปเป็นหัวหน้าของพนักงานสอบสวน เวลาทำงานระหว่างดีเอสไอกับพนักงานสอบสวนของตำรวจและ ป.ป.ช. ต้องเกิดความยอมรับ จึงจำเป็นต้องพิจารณาพิถีพิถัน คัดเลือกบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญจริงๆ เข้ามาดำรงตำแหน่ง
ที่ผ่านมามีตำแหน่งพนักงานสอบสวน 8 ว่าง 22 ตำแหน่ง มีเจ้าหน้าที่ผ่านเกณฑ์ เพียง 6 คน ส่วนคนที่ไม่ได้ต้องเร่งสั่งสมประสบการณ์การทำงาน หาความเชี่ยวชาญเพิ่มเติ่ม ผมอยากบอกว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจะอยู่ได้หรือไม่ได้ ต้องให้ความยุติธรรมกับบุคลากร ไม่สำคัญว่าคุณจะเคยเป็นตำรวจหรือไม่นั้นไม่สำคัญ หากต้องการเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ แล้วไม่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ไม่ผ่านเกณฑ์ก็ต้องไม่ได้ ผู้บริหารต้องใจแข็ง ถ้าผมยอมปล่อยไป เอาคนที่ไม่ผ่านเณฑ์มาเป็นพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ มันก็ไม่ใช่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ตอนนี้กำลังต้องทำแบบประเมินพนักงานสอบสวนที่เข้ามาในระยะแรก เพราะถ้าหากวันนี้คุณมาเป็นพนักงานสอบสวน 8 แล้วเขียนคำร้องขออนุมัติหมายจับกุมไม่ได้ สรุปสำนวนคดีไม่ได้ ต้องเปลี่ยนให้ไปทำหน้าที่อื่น ผมคาดว่าคงมีคนไม่พอใจอีกมาก แต่จำเป็นต้องเอามาตรฐานกลางเข้ามาประเมิน ไม่อยากนั้นองค์กรไม่พัฒนา
อยากให้ประเมินมาตรฐานของพนักงานสอบสวนแบบออกมาเป็นคะแนน
- ถ้าประเมินแบบตัวเลข หากคะแนนเต็ม 10 ผมให้ 5-7 คะแนน โดยเฉลี่ย เพราะบางคนเก่งมากโดดเด่น บางส่วนต้องฝึกอบรม ตอนนี้มีพนักงานสอบสวนว่างงานแฝงอยู่จำนวนมาก แต่อย่าลืมว่าตำแหน่งพนักงานสอบสวนมีเงินประจำตำแหน่งเพิ่มพิเศษ เพราะกฎหมายต้องการให้ทำงานอย่างสบายไม่เข้าไปรับผลประโยชน์อื่นๆ เมื่อมีเงินเพิ่มพิเศษจำนวนมากก็มีความคาดว่าคนเหล่านี้ต้องเก่งและเชี่ยวชาญจริงๆ แต่มีพนักงานสอบสวนบางกลุ่ม ไม่ทำงาน บางคนไปช่วยราชการ เรียกว่าทำงานยังไม่ถึงระดับสมควรที่จะได้รับเงินประจำตำแหน่ง ผมจำเป็นต้องสร้างระบบประเมิน เกณฑ์การทำงาน เช่น ในรอบ 1 ปี พนักงานสอบสวนต้องทำงานทั้งปริมาณ และคุณภาพ และมีผลคืนประโยชน์ให้กับรัฐอย่างไร ที่ผ่านมา ลงนามข้อตกลงกับสำนักงบประมาณว่า จะคืนประโยชน์ให้กับรัฐจำนวน 25,000 ล้านบาท
แสดงว่าบุคลากรที่เข้าสู่ตำแหน่งพนักงานสอบสวนก็ไม่ง่าย
- ใช่ ไม่ง่าย เพราะที่ผ่านมามีตำแหน่งว่างถึง 22 ตำแหน่ง แต่มีคนสอบผ่านเพียง 6 คน ถ้าผมยอมให้ผ่านทั้งหมดก็ได้แต่ปัญหามันจะเกิดตามมา และไม่ตรงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย และถ้าผมยอมให้ผ่านองค์กรมันก็อยู่ไม่ได้
คิดอย่างไรที่สังคมมองว่าดีเอสไอเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สาขา 2
- ยศของตำรวจเป็นยศพระราชทาน อยากให้สังคมให้ความเป็นธรรมกับคนที่มียศนำหน้า ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือ ตำรวจ ที่มาอยู่ดีเอสไอ เพราะผมคิดว่าคนเหล่านี้ยอมสละเครื่องแบบแล้วมาเป็นข้าราชการพลเรือน เป็นการตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แต่หากจะมุ่งว่ามียศเป็นตำรวจแล้วถูกจำกัดโควต้า ผมไม่เห็นด้วย อยากให้มองที่ความรู้ความสามารถ เพราะรองอธิบดีทั้ง 3 คน ที่เป็นอดีตตำรวจก็ผ่านหลักเกณฑ์การประเมินตามระเบียบข้าราชการพลเรือน และทั้ง 3 คนมีคะแนนสูง อย่างไรตาม ตำแหน่งผู้เชี่ยวชายระดับ 9 หลายคนในดีเอสไอก็เป็นข้าราชการพลเรือนมาก่อน
อยากขอความเห็นใจให้คนมียศนำหน้า ไม่อยากให้มองว่าเป็นสำนักงานตำรวจแห่งชาติแห่งที่ 2 และดีเอสไอ มุ่งคุ้มครองสิทธิเสรีภาพประชาชน หลายคดีที่ดีเอสไอเข้าไปทำต้องยอมรับว่าเป็นภาระของอธิบดี โดยตรงที่ต้องคลี่คลาย จำเป็นต้องใช้พนักงานสอบสวนที่มีความเชี่ยวชาญลงไปทำ
คิดอย่างไร ที่ตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอหรือ ผบ.ตร.มักถูกมองว่าต้องเปลี่ยนตามรัฐบาล
- อยากบอกว่าตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอหรือ ผบ.ตร. เป็นตำแหน่งที่รัฐบาลต้องไว้วางใจ ซึ่งความไว้วางใจหรือไม่ไว้วางใจคงตอบไม่ได้ว่ารัฐบาลคิดอย่างไร แต่อยากเรียกร้องว่าตำแหน่งอธิบดีดีเอสไอเป็นตำแหน่งสำคัญ เพราะต้องทำคดีปราบปรามผู้มีอิทธิพลจำนวนมาก การพูดหรือการให้สัมภาษณ์อะไรที่ทำให้เกิดความไม่มั่นคงในตำแหน่งอธิบดี เสมือนเป็นการสร้างความไม่เกรงกลัวให้เกิดกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล คงไม่เหมาะสมเท่าไหร่ ซึ่งมันมีผลทางจิตวิทยา ตอนนี้คงทำได้เพียงใช้ศักยภาพทำงานตามอำนาจกฎหมาย หากมีการโยกย้ายเกิดขึ้นจริง คงไม่ได้หวั่นไหวอะไร..!!