โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
ที่มา หนังสือพิมพ์การ์เดี้ยน
18 กุมภาพันธ์ 2552
หมายเหตุไทยอีนิวส์:บทความเรื่อง"ยุทธการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยไทย:ภายหลังรัฐประหาร สิทธิประชาธิปไตยถูกขยี้ ตอนนี้ได้เวลาเริ่มต้นตีโต้แล้ว"เขียนเป็นภาษาอังกฤษลงในหนังสือพิมพ์การ์เดี้ยนของอังกฤษ ไทยอีนิวส์เห็นว่าน่าสนใจจึงแปลเรียบเรียงให้ผู้อ่านได้พิจารณา โดยได้ใช้คำว่า"เซ็นเซอร์"ในบางคำที่เห็นว่าอาจหมิ่นเหม่ต่อกฎหมายของไทย อย่างไรก็ตามนี่เป็นทัศนะส่วนบุคคล ซึ่งไทยอีนิวส์ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยเสมอไป
เราต้องการตัดทอนบทบาทอิทธิพลของกองทัพในสังคม ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและตำรวจ และขยายเสรีภาพกับประชาธิปไตยจากกระบวนการความเคลื่อนไหวของชนชาวรากหญ้าออกไป และเราต้องการจะ(เซ็นเซอร์)อีกด้วย เนื่องจากถือเป็นอุปสรรคกีดขวางต่อเสรีภาพ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
เมื่อ5ปีที่แล้วการพัฒนาประชาธิปไตยเป็นไปอย่างก้าวหน้า โดยมีเสรีภาพในการแสดงออกต่างๆ เช่น สื่อสารมวลชนที่มีอิสระ และกิจกรรมของภาคประชาสังคม ขณะที่กระบวนการทางสังคมก็มีความเคลื่อนไหวรณรงค์ในการพัฒนาความเป็นอยู่เพื่อสิทธิประโยชน์ของคนยากจน แต่ทุกวันนี้ประเทศไทยกลับเดินไปบนหนทางระบบปกครองเผด็จการ
รัฐบาลปัจจุบัน นำโดยพรรคการเมืองที่ไม่สอดคล้องกับชื่อคือประชาธิปัตย์ ได้ขึ้นสู่อำนาจก็มีจุดกำเนิดจากการรัฐประหาร19กันยายน2549 เป็นรัฐบาลที่ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยความขี้ระแวง โดยการนำกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ(เช่นการหมิ่นประมาทกษัตริย์)มาบังคับใช้อย่างเข้มข้น มีการเซ็นเซอร์สื่ออินเตอร์เน็ต และสถานีวิทยุชุมชน แล้วก็ส่งเสริมประชนพลเมืองให้หันไปรับข้อมูลข่าวสารอีกด้านหนึ่ง
ประชาชนไทยถูกจับและโยนใส่คุก จากการติดตามสะกดรอยการเขียนความเห็นทางอินเตอร์เน็ต ส่วนสื่อโทรทัศน์กับหนังสือพิมพ์ก็ทำงานเป็นปี่เป็นขลุ่ยเข้าขากับกองทัพ ศาลถูกใช้ยังกับเป็นเครื่องมือของผู้เผด็จการ โดยการตัดสินให้ยุบพรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศโหวตเสียงเข้าสภา ผู้พิพากษาปกป้องตนเองด้วยการลงโทษจำคุกใครก็ตามที่บังอาจวิจารณ์ผลตัดสินคดีด้วยข้อหา"หมิ่นศาล" เช่นเดียวกับการวิจารณ์สถาบันฯที่มีได้อย่างจำกัด นี่เป็นการขาดความโปร่งใส และไร้ความรับผิดชอบต่อฐานะหน้าที่,ไม่มีความยุติธรรม,ไม่มีเสรีภาพในการพูด และปราศจากเสรีภาพของแวดวงวิชาการ
ในตอนต้นปี2550 ผมได้ตีพิมพ์หนังสือวิชาการขนาดสั้นๆชื่อ"การรัฐประหารเพื่อผู้มั่งมี" การเขียนนั้นมีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านการทำรัฐประหาร และชี้ถึงความเสื่อมถอยของประชาธิปไตยในไทย ผมได้วิจารณ์ว่าสิทธิมนุษยชนในระบอบประชาธิปไตยถูกละเมิดในรัฐบาลเลือกตั้งของทักษิณ และทักษิณต้องรับผิดชอบต่อการวิสามัญฆาตกรรมในสิ่งที่เขาเรียกว่าสงครามยาเสพติด และกรณีการปราบปรามรุนแรงต่อประชาชนมุสลิมใน3จังหวัดชายแดนภาคใต้ แต่ผมได้โต้เถียงว่าการทำรัฐประหารไม่ใช่ทางออก แล้วผมก็ถูกจับกุมดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วเราจะไปหาเสรีภาพในแวดวงวิชาการได้อย่างไร ในเมื่อจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่ผมเป็นอาจารย์สอนอยู่ นำหนังสือที่ผมเขียนนี้ไปแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินคดีกับผมซะเอง?
ผู้คนในสังคมไทยพากันสนับสนุนการรัฐประหาร19กันยายน นั้นรวมถึงนักวิชาการจำนวนมาก พวกเอ็นจีโอมากกว่าครึ่งหนึ่ง และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.)
พธม.มีการจัดองค์กรเอนเอียงไปทางลัทธิเผด็จการฟาสต์ซิสม์ เต็มไปด้วยบรรดาพวกคลั่งสถาบันกษัตริย์ พวกเขาพากันใส่เสื้อเหลืองและอยู่ภายใต้การอุปถัมภ์ของกองทัพ กับ(เซ็นเซอร์ )และเต็มไปด้วยพวกคลั่งชาติอย่างรุนแรง และเกือบเป็นเหตุให้เกิดสงครามกับเพื่อนบ้านกัมพูชา พวกเขาสร้างการ์ดเป็นกองกำลัง และใช้อาวุธอย่างเปิดเผยบนท้องถนน พวกเขาเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมที่ทำการรัฐสภา และเคลื่อนกำลังเข้ายึดสนามบินนานาชาติ2แห่ง โดยได้รับการหนุนหลังจากกองทัพและ(เซ็นเซอร์) รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยเวลานี้เป็นผู้สนับสนุนพธม. กระบอกเสียงของพธม.คือเครือผู้จัดการได้ปฏิบัติการออกล่าหัวนักวิชาการและนักกิจกรรมทางสังคมผู้มีคำถามต่อความตกต่ำของประชาธิปไตย
สงครามชนชั้นถูกเสี้ยมขึ้นระหว่างคนรวยกับคนจน แต่เป็นไปอย่างบิดเบี้ยว พวกเสื้อเหลืองนั้นถูกหนุนหลังโดยพวกทำรัฐประหาร พากันเกลียดความจริงข้อที่ว่าทักษิณชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นจากโครงการสุขภาพ30บาทรักษาทุกโรค และโครงการแก้ไขปัญหาความยากจนในชนบท พวกเขาเห็นว่าการเลือกตั้งในที่สุดพวกคนชนบทหน้าโง่ก็จะเลือกพวกของทักษิณให้ชนะเข้ามามีอำนาจอีก เลยพากันเรียกหา"การเมืองใหม่"กันขึ้น ซึ่งก็เป็นแนวทางที่ไม่เคารพต่อสิทธิเสียงของคนส่วนใหญ่ในประเทศ
ทักษิณนั้นไม่ได้เป็นนักสังคมนิยม แม้เขาถูกขับออกจากตำแหน่งและเผชิญวิกฤตมากมาย บรรดาชาวรากหญ้าเสื้อแดงต่างหากที่ได้พัฒนากระบวนความเคลื่อนไหวไปมากกว่าทักษิณเสียอีก ที่น่าประหลาดใจมากก็คือความเคลื่อนไหวไปสู่(เซ็นเซอร์)เนื่องจากทนเห็นกองทัพกับพธม.ลากเอาสถาบันกษัตริย์มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองไม่ไหว พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทรงมีพระราชดำรัสเลยสักครั้งที่จะต่อต้านการทำลายประชาธิปไตย พระองค์ท่านยังทรงโปรดให้พสกนิกรหมอบคลานอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ และในฐานะที่เป็นบุคคลที่ทรงร่ำรวยที่สุดของโลก พระองค์ท่านได้ทรงมีพระราชดำรัสสอนพสกนิกรผู้ยากไร้ให้ใช้ปรัชญา"เศรษฐกิจพอเพียง"แก้ไขปัญหาความยากจน ส่วนบรรดาชนชั้นนำของไทยต่างก็ซาบซึ้งในพระราชบุญญามารมีของในหลวงที่ขณะนี้ทรงพระชราภาพมากแล้ว ทว่าสยามกุฎราชกุมารดูจะไม่เป็นที่นิยมนัก
เราต้องการตัดทอนบทบาทอิทธิพลของกองทัพในสังคม ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมและตำรวจ และขยายเสรีภาพกับประชาธิปไตยจากกระบวนการความเคลื่อนไหวของชนชาวรากหญ้าออกไป และเราต้องการจะ(เซ็นเซอร์)อีกด้วย เนื่องจากถือเป็นอุปสรรคกีดขวางต่อเสรีภาพ และศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์