เรื่องเล็กทำให้ใหญ่ เรื่องง่ายทำให้ยากคืองานถนัดของนักการเมือง
ดูเถอะ...รัฐบาล “นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ต้องไปกู้เงินอีกหนึ่งแสนล้านบาท เพื่ออัดฉีดพิเศษกลางปี
แจกเงินสดๆสองพันบาท ช่วยค่า ครองชีพให้ผู้มีรายได้น้อย 9 ล้านคน เป็นเงินหนึ่งหมื่นแปดพันล้านบาท ตามนโยบายอภิมหาประชานิยม
แจกฟรีๆเพื่อให้เอาเงินไปใช้จ่ายซื้อสินค้า เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้หมุนไปและหมุนไป!!
วันนี้ สภาฯอนุมัติเรียบร้อยรัฐบาลมีเงินพร้อมจ่ายแล้ว แต่ติดปัญหาจะจ่ายอย่างไร ให้คน 9 ล้านคน เอาเงินที่แจกฟรีไปใช้ซื้อสินค้าทันที
ตอนแรก รัฐบาลจะใช้วิธีโอนเงินสดออนไลน์เข้าบัญชีธนาคาร
แต่วิธีโอนเข้าบัญชีธนาคาร ถ้าผู้รับเงินไม่รีบถอนออกมาใช้ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจก็ไม่เกิดผลสำเร็จอย่างที่รัฐบาลต้องการ
ก็มีทางเลือกที่สอง คือจ่ายเป็นเช็คเงินสดใบละสองพันบาทผ่านแบงก์กรุงไทย เพื่อให้ผู้มีสิทธิ์ 9 ล้านคน เอาเช็คไปแลกเป็นเงินสดมาใช้จ่ายกันเอง
แต่การจ่ายเช็คเงินสด รัฐบาลต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเช็คเงินสด 15 บาทต่อใบ เช็คเงินสด 9 ล้านใบ รัฐบาลต้องจ่ายอีก 135 ล้านบาท
บวกค่าจัดส่งไปรษณีย์ฉบับละ 3 บาท อีก 27 ล้านบาท เท่ากับรัฐบาลต้องควักกระเป๋าอีก 162 ล้านบาทเชียวนะโยม
ถ้าเปรียบเทียบการจ่ายเช็คเงินสดกับการโอนเงินออนไลน์ ซึ่งรัฐบาลต้องจ่ายค่าโอน 5 บาทต่อคน
9 ล้านคน ก็เป็นเงิน 45 ล้านบาท ถูกกว่าจ่ายเช็คเงินสด 3 เท่าตัว แถมสะดวกกว่า รวดเร็วกว่า ตรวจสอบง่ายกว่าแน่นอน
แต่ยังมีทางเลือกใหม่ คือจ่ายเป็นคูปองให้เอาไปซื้อสินค้าแทนเงิน
เพื่อรับประกันความมั่นใจว่า เงินแจกฟรี สองพันบาทจะถูกเอาไปใช้ซื้อสินค้าโดยตรง
แถมยังมีโปรโมชั่นลดแลกแจกแถมพิเศษติดปลายนวม
การจ่ายเป็นคูปอง รัฐบาลต้องเสียค่าจัดพิมพ์คูปอง 9 ล้านใบ บวกค่าจัดส่งไปรษณีย์ อีก 3 บาทต่อคน
ประหยัดกว่าการจ่ายเช็คเงินสดและโอนเงินออนไลน์
“แม่ลูกจันทร์” เห็นว่า ถ้ารัฐบาลต้องการให้เงินช่วยค่าครองชีพแจกฟรีหนึ่งหมื่นแปดพันล้านบาท มีผลกระตุ้นเศรษฐกิจทุกบาททุกสตางค์
วิธีจ่ายเป็นคูปองช็อปปิ้งก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
แต่...แต่มีประเด็นที่รัฐบาลต้องระวัง 2 ประการ
คือ อย่าให้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มธุรกิจค้าปลีกขาใหญ่รายใดรายเดียว??
และถ้าจ่ายเป็นคูปอง สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ จะมีขบวนการพิมพ์คูปองปลอม
เพราะเรื่องการทำปลอมคนไทยถนัดมาก และยากที่จะป้องกัน ขนาดแบงก์พันปลอมยากที่สุด มันยังปลอมได้ แล้วคูปองใบละสองพันบาท ปลอมง่ายกว่าตั้งเยอะ มีเรอะจะรอดฝีมือ??
สรุปว่า ไม่ว่าจะเลือกวิธีการจ่ายเงินแบบไหน ก็มีทั้งข้อเสียและข้อดี
โดยส่วนตัว “แม่ลูกจันทร์” เห็นว่า การโอนเงินผ่านบัญชีไปถึงผู้ได้รับสิทธิ์แจกเงินฟรีทั้ง 9 ล้านคน เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และมีปัญหาน้อยที่สุด เสียค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด จาก 3 ทางเลือกที่เสนอมา
แต่โครงการอัดฉีดเงินแจกฟรีๆ ยังไม่มีช่องโหว่เท่านโยบายอัดฉีดช่วยเหลือคนตกงานห้าแสนคน รัฐบาลจะใช้งบเจ็ดพันล้านบาท ฝึกอบรมอาชีพเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ว่างงาน
โดยหลักการดี แต่ถ้าควบคุมไม่ดี ไม่มีการตรวจสอบชัดเจน จะเกิดรั่วไหลอย่างมโหฬาร
“แม่ลูกจันทร์” ฟันธงจะมีการทำบัญชีผี? มีการจัดอบรมปลอม? เบิกค่าวิทยากรสูงเกินจริง ฯลฯ ??
แหม...เงินเยอะๆอย่างนี้ แซ่บอีหลีอย่าบอกใคร.
“แม่ลูกจันทร์”