วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

จำคุก-พิษบทความ "ปฏิญญาฟินแลนด์"

ที่มา ข่าวสด

ศาลสั่งจำคุก"ปราโมทย์ นาครทรรพ" พร้อมผู้บริหารน.ส.พ.ผู้จัดการ 1 ปี ปรับอีก 1 แสน คดีหมิ่นประมาท"แม้ว"กรณีเขียนบทความปฏิญญาฟินแลนด์ลงเว็บ ไซต์ผู้จัดการ แต่เคยสร้างคุณงามความดี อีกทั้งต้องการปกป้องสถาบัน และไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ให้รอลงอาญา 2 ปี "ปราโมทย์"เตรียมปรึกษาทนายยื่นอุทธรณ์ ขณะเดียวกันสั่งยกฟ้องคดี"สนธิลิ้ม"กับพวกจัดเสวนาปฏิญญาฟินแลนด์หมิ่น"แม้ว" ล้มล้างสถาบัน ชี้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 25 มี.ค. ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลพิพากษายกฟ้องคดีที่พรรคไทยรักไทย และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ที่ 1-2 ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย, นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีตส.ว.กทม., นายชัยอนันต์ สมุทวณิช, นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ และคอลัมนิสต์, บริษัทไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบดาวเทียม ASTV, นายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล, นายพชร สมุทวณิช, นายขุนทอง ลอเสรีวานิช กรรมการ บริษัท ไทยเดย์ฯ, บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), น.ส.เสาว ลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ ผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ.แมเน เจอร์ฯ ซึ่งศาลยกฟ้องในชั้นไต่สวน และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ ผู้ดูแลเว็บไซต์แมเนเจอร์ เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานหมิ่นประมาท และดูหมิ่น ด้วยการโฆษณา

สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 24-25 พ.ค.2549 พวกจำเลยจัดเสวนาเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์ครองเมืองของไทยรักไทย ซึ่งถ่ายทอดสดออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และเว็บไซต์ผู้จัดการ หมิ่นประมาทโจทก์ว่า ต้องการเปลี่ยนแปลงการปก ครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไปสู่การปกครองในระบอบทักษิณ โดยมุ่งหมายเข้าบริหารประเทศตามข้อตกลงปฏิญญาฟินแลนด์

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2549 พวกจำเลยจัดเสวนาวิชาการ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เรื่อง"ปฏิญญาฟินแลนด์ยุทธศาสตร์การเมืองไทยรักไทย" โดยนายเจิมศักดิ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ดำเนินรายการ ส่วนนายสนธิ, นายชัยอนันต์ และนายปราโมทย์ จำเลยที่ 1, 3 และ 4 เป็นผู้ร่วมเสวนา ซึ่งกล่าวว่าโจทก์ทั้งสองวางแผนยุทธศาสตร์ 5 ขั้นตอนในการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือการเป็นพรรคการเมืองใหญ่พรรคเดียวจัดตั้งรัฐบาลและมีผู้นำคนเดียว, การเปลี่ยนแปลงระบบราชการเป็นแบบซีอีโอ, การแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ, การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแปลงทุนให้เป็นสินทรัพย์ และการทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเพียงสัญ ลักษณ์ ขณะที่มีการเสวนา จำเลยที่ 1 ก็เป็นแกนนำพันธมิตรฯ ที่เคลื่อนไหวการขับไล่ทางการเมือง โดยการเสวนาของพวกจำเลยมีวัตถุประสงค์ต้องการให้เกิดการแบ่งฝ่ายในสังคม

ที่กล่าวหาว่าโจทก์ทั้งสอง คือกลุ่มที่คัดค้านการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทั้งที่จริงแล้วในการประชุมพรรคของโจทก์ทั้งสองไม่มีการกล่าวถึงข้อตกลงปฏิญญาฟิน แลนด์ และไม่เคยมีนโยบายตามข้อตกลงดังกล่าว แต่การที่เป็นพรรคการเมืองเดียวจัดตั้งรัฐบาลก็เป็นตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ที่ต้องการให้ฝ่ายบริหารมีความเข้มแข้งในการบริหาราชการแผ่นดิน เนื่องจากที่ผ่านมามีการยุบสภาบ่อยครั้ง ส่วนเปลี่ยนแปลงระบบราชการเพื่อทำให้ระบบราชการที่เคยมีขนาดใหญ่ มีขนาดเล็กลงเพื่อให้ความสะดวกรวดเร็วการบริการประชาชน และการแปลงสินทรัพย์เป็นทุนเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของประชาชน รวมทั้งการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในต่างประเทศก็ปฏิบัติมาแล้วเพื่อให้เกิดการแข่งขันเสรี โดยโจทก์ทั้งสองไม่เคยมีเจตนาในการคัดค้านสถาบันกษัตริย์

ศาลเห็นว่า การจัดเสวนาของจำเลยแม้จะมีการกล่าวถึงปฏิญญาฟินแลนด์ แต่ไม่มีการยืนยันว่าข้อตกลงดังกล่าวจะมีจริงหรือไม่ และโจทก์ทั้งสองเคยทำข้อตกลงดังกล่าวกับบุคคลใด โดยจำเลยเพียงแต่กล่าวถึงการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้มีอำนาจการบริหารในขณะนั้นเนื่องจากพวกจำเลยซึ่งเป็นนักคิด นักวิชาการ และสื่อมวลชนไม่เห็นด้วยกับแนวนโยบายดังกล่าว และเห็นว่าการบริหารราชการแผ่นดินของโจทก์ทั้งสองมีแนวโน้มที่จะทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหาย ซึ่งโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ประชาชนจะแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะมีผลกระ ทบต่อประชาชนและประเทศได้ โดยไม่ว่าโจทก์ทั้งสองหรือบุคคลใดจะมาเป็นรัฐบาลก็ย่อมจะถูกประชา ชนแสดงความคิดเห็นต่อนโยบายได้ แม้การกล่าว เสวนาของจำเลยจะใช้ถ้อยคำที่เกินเลยไปบ้าง แต่ก็เป็นไปในลักษณะของการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1-4 ไม่มีความผิด การกระทำของจำเลยที่ 5-9 และ 11 ก็ไม่เป็นความผิดไปด้วย พิพากษายกฟ้อง

ต่อมา ศาลอ่านคำพิพากษา คดีที่พรรคไทยรักไทย และพ.ต.ท.ทักษิณ โจทก์ร่วมยื่นฟ้องนายปราโมทย์, บริษัทแมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), น.ส. เสาวลักษณ์, นายขุนทอง และนายปัญจภัทร อังคสุวรรณ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐานหมิ่นประ มาทด้วยการโฆษณา, ดูหมิ่นด้วยการโฆษณา ซึ่งศาลมีคำสั่งยกฟ้องจำเลยที่ 3 ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง

ตามฟ้องโจทก์ระบุผิดจำเลยว่า เมื่อระหว่างวันที่ 17-25 พ.ค. 2549 จำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างวาระ โดยจำเลยที่ 1 เขียนบทความ "ยุทธศาสตร์ฟินแลนด์ : แผนการเปลี่ยน แปลงการปกครองไทย?" จำเลยที่ 2-5 นำไปตีพิมพ์เผยแพร่ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และเว็บ ไซต์ www.manager.co.th ทำให้โจทก์ที่ 1 และ 2 ให้เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าข้อความที่จำเลยที่ 1 เขียนบทความเรื่องรวม 5 ตอน ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเผยแพร่ในเว็บไซต์ ซึ่งบุคคลและประชา ชนทั่วไปสามารถหาอ่านได้อย่างทั่วถึง โดยจำเลยที่ 1 เขียนบทความทำนองว่าโจทก์มีนโยบายที่ต้องการทำ ลายระบบราชการไทย การสร้างระบบการเมืองพรรคเดียว และล้มล้างสถาบันเบื้องสูง และเบิกความยืนยันว่าแผนยุทธศาสตร์ฟินแลนด์มีอยู่จริง หากปล่อยให้ โจทก์ทั้งสองดำเนินการจนครบขั้นตอน อาจทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการปกครอง ซึ่งข้อมูลที่นำมาเขียนนั้นรับทราบมาจากนักวิชาการหลายคน แต่จำ เลยที่ 1 กลับไม่นำบุคคลเหล่านั้นมาเป็นพยานเบิกความ และไม่นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองกระทำการล้มล้างการปกครองแต่อย่างใด

นอกจากนี้ท้ายบทความยังเรียกร้องให้ประชาชนต่อต้านโจทก์ทั้งสองที่กำลังลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 2 เม.ย.2549 นั้นไม่ได้เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ตามหลักวิชาการ ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง

ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณามีหน้าที่กลั่นกรองเนื้อหาก่อนตีพิมพ์ ขณะเกิดเหตุมีความขัดแย้งทางการเมืองเป็นสองฝ่ายระหว่างผู้สนับ สนุนรัฐบาลและผู้คัดค้าน นำโดยแกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งมีนายสนธิ เป็น 1 ใน 5 แกนนำ และจำเลยที่ 4 เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เมื่อพิจารณาดูเนื้อหาการเสนอข่าวของจำเลยที่ 4 แล้วส่วนมากมีเนื้อหาโจมตีรัฐบาล เชื่อว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นและทราบว่าบทความดังกล่าวมีเนื้อหาดูหมิ่นโจทก์ทั้งสอง

พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 กระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา ม.329, 393 ประกอบ ม.83 เป็นความผิดกรรมเดียว ให้ลงโทษความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาอันเป็นหนักสุด ตามป.อาญา ม.90 ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และ 4 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 100,000 บาท แต่จำเลยที่ 1 เป็นนักวิชาการ และจำเลยที่ 4 เป็นนักหนังสือพิมพ์ เคยสร้างคุณงามความดีมาก่อน ที่กระทำผิดเพราะต้องการปกป้องสถา บันที่เคารพ ประกอบกับจำเลยที่ 1 และ 4 ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุก จึงให้รอลงอาญาไว้เป็นเวลา 2 ปี และให้จำเลยที่ 1 และ 4 ร่วมกันลงโฆษณาคำพิพากษาโดยย่อพอได้ใจความลงในหนังสือ พิมพ์ 5 ฉบับ เป็นเวลา 7 วัน ส่วนจำเลยที่ 2 และ 5 เป็นเพียงเจ้าของเว็บไซต์และผู้ดูแล ไม่มีส่วนกับการคัดเลือกบทความ พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษาแล้ว ทนายความของจำเลยที่ 1 และ 4 นำเงินสดจำนวนคนละ 100,000 บาท ชำระค่าปรับตามคำพิพากษา

นายปราโมทย์ เปิดเผยว่า จะปรึกษาทนายความเพื่อเตรียมยื่นอุทธรณ์เพื่อสู้คดีภายใน 30 วัน เนื่อง จากคดีที่ถูกพ.ต.ท.ทักษิณฟ้องก่อนหน้านี้และเป็นคดีที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน ศาลพิพากษายกฟ้อง โดยศาลมีดุลพินิจว่าตนแสดงความคิดเห็นโดยบริสุทธิ์ใจในฐานะนักวิชาการ อย่างไรก็ตามแม้ศาลจะให้รอลง อาญา 2 ปี ส่วนตัวไม่ได้รู้สึกอะไร เนื่องจากเป็นนักวิชาการมา 50 ปี เขียนบทความมาแล้วไม่ต่ำกว่า 50-60 บทความ หลังจากนี้จะยังคงทำหน้าที่นักวิชาการต่อไป

ด้านนายสนธิ กล่าวถึงคดีที่ตกเป็นผู้ต้องหา ร่วมกับแกนนำพันธมิตรฯรวม 21 คนข้อหาก่อความวุ่นวาย กรณีนำมวลชนปิดล้อมอาคารรัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ว่า วันที่ 30 มี.ค.นี้ พวกตนทั้ง 21 คนจะเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ยืนยันว่าจะไม่นำประชาชนไปปะทะกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่นัดชุมนุมปิดล้อมทำ เนียบรัฐบาลในวันที่ 26 มี.ค.นี้อย่างแน่นอน และเชื่อว่าการชุมชนของคนเสื้อแดงน่าจะยุติลงก่อนวันที่ 30 มี.ค. อย่างไรก็ดีส่วนตัวคิดว่าหากกลุ่มคนเสื้อแดงต้อง การได้ชัยชนะ จะต้องชุมนุมต่อเนื่องให้ได้ 194 วัน เพราะกลุ่มพันธมิตรฯต้องชุมนุมต่อเนื่องถึง 193 วันจึงได้รับชัยชนะ

ผู้สื่อข่าวถามถึงแนวคิดการจัดตั้งพรรคการเมืองพันธมิตร นายสนธิ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นการโยนหินถามทาง ล่าสุดตนสอบถามความคิดเห็นจากกลุ่มพันธ มิตรฯที่สหรัฐ ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับแนวทางนี้ อย่าง ไรก็ดีจะประชุมแกนนำพันธมิตรฯในวันที่ 24 พ.ค.นี้ เพื่อหาข้อยุติเรื่องนี้อีกครั้ง