วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

ตกงาน-แบงก์ทิ้ง โรงตึ๊งดุจเทพเจ้า

ที่มา ไทยรัฐ

ข้อมูลจากเว็บไซต์หนึ่ง ... ช่วงนี้ธุรกิจโรงรับจำนำทั้งในจีนและฟิลิปปินส์ ล้วนคึกคักไปด้วยจำนวนลูกค้าทุกชนชั้น ที่แห่กันขนข้าวของมีค่าและเครื่องใช้ในบ้านไปจำนำ

ในเว็บไซต์ได้ยกตัวอย่างชีวิตจริงของ นายจาง นักธุรกิจใหญ่เป็นถึงเจ้าของบริษัทเหล็ก ในมณฑลเจ้อเจียง ทางตะวันออกของจีน ซึ่งออกมาสารภาพอย่างเปิดอกว่า นาทีนี้เขาจำเป็นต้องพึ่งพาบริการจากโรงรับจำนำ เพื่อให้ธุรกิจของตนเดินหน้าต่อไปได้

จางบอกว่า สาเหตุที่ทำให้เขาจำต้องบากหน้าไปพึ่งโรงรับจำนำ เป็นเพราะช่วงนี้ภาวะสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ ตกอยู่ในสภาพตึงตัว ธนาคารหลายแห่งไม่ยอมปล่อยเงินกู้ให้นักธุรกิจ ทำให้นักธุรกิจจีนจำนวนไม่น้อย ต้องหันไปพึ่งพิงแหล่งเงินทุนจากโรงจำนำแทน

ฮวงจิง ผู้ช่วยผู้จัดการโรงรับจำนำ Oriental Pawn นครเซี่ยงไฮ้ บอกว่า เวลานี้แบงก์หลายแห่งในจีน ปฏิเสธปล่อยเงินกู้ให้กับนักธุรกิจ ทำให้โรงรับจำนำซึ่งมีเงินทุนมากพอที่จะ ปล่อยกู้ระยะสั้น ให้แก่ลูกค้า กลายเป็นขุมทรัพย์ทางเลือกใหม่

ฮวงจิงบอกว่า ทรัพย์สินที่บรรดาเถ้าแก่ และหลงจู๊ที่เมืองจีน พากันขนไปจำนำ และจำนองไว้กับทาง โอเรียลตัล พอนมีแทบทุกชนิด

แม้แต่เจ้าของบริษัทผู้แทนจำหน่ายรถยนต์รายหนึ่ง ที่เซี่ยงไฮ้ เงินสดขาดมือ ล่าสุดเพิ่งตัดสินใจนำอพาร์ตเมนต์ของตนไปจำนอง เพื่อแลกกับวงเงินเครดิต 4 ล้านหยวน ต่อลมหายใจให้กับธุรกิจ

ประสบการณ์อับโชคทำนองนี้ ไม่ได้เกิดเฉพาะกับนักธุรกิจที่จีน

แถวย่านมากาตี กลางกรุงมะนิลา ศูนย์กลางการเงินของฟิลิปปินส์ ก็มีทั้งนักธุรกิจ ที่ขนเอาเพชรนิลจินดา ภาพเขียนติดฝาผนัง และสมบัติเก่าอีกหลายอย่าง ไปฝากไว้กับโรงตึ๊งชื่อดังกลางเมืองหลวง อย่าง อาเจนเซีย เดอ เอ็ม เปโนส เดอ มากาตี

ตามรายงานระบุว่า สาเหตุที่ทำให้โรงรับจำนำ หรือ PAWN SHOP ในฟิลิปปินส์ มีความคึกคักเป็นพิเศษในช่วงนี้ ก็มาจากเหตุผลเดียวกันกับที่เมืองจีน และทุกแห่งในโลกเวลานี้

นั่นคือ เศรษฐกิจย่ำแย่ ธนาคารพาณิชย์พากันส่ายหัว ไม่ยอมปล่อยกู้ให้ภาคธุรกิจ จะปล่อยกู้ให้ก็ต่อเมื่อผู้กู้ มีสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือไปค้ำประกันเท่านั้น

ชั่วโมงนี้ โรงตึ๊งที่ฟิลิปปินส์ จึงมีทั้งนักธุรกิจระดับไฮเอนด์ ที่ไม่ได้ล้มละลาย แต่ประสบปัญหาเงินช็อต หรือขาดมือระยะสั้น ทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่อง ต้องการนำเงินสดไปหล่อลื่น เช่น นำไปจ่ายเงินเดือนให้พนักงานในบริษัท

ทำให้เวลานี้ธุรกิจรับจำนำในฟิลิปปินส์ ผุดขึ้นราวดอกเห็ด ประมาณไม่ต่ำกว่า 14,000 แห่ง โดยแต่ละปีโรงรับจำนำเหล่านั้น มีสต๊อก หรือวงเงินรับจำนำหมุนเวียน ไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านเปโซ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 7,400 ล้านบาท

เทียบกับสถานการณ์โรงรับจำนำในไทยบ้าง กล้วย ดีวัน ผู้จัดการร้านทรงพล แถว ซ.พยอม 3 ประตูน้ำพระอินทร์ อ.วังน้อย พระนครศรีอยุธยา เปิดรับจำนำและค้าของเก่าจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้ามาได้ 2 ปีแล้ว บอกว่า

ช่วงที่เพิ่งเปิดกิจการใหม่ๆเมื่อปี 2550 แต่ละวันมีของมาฝากจำนำอย่างล้นหลาม ทั้งทีวีสี ตู้เย็น กล้องดิจิตอล และโทรศัพท์มือถือ

เสี่ยกล้วยบอกว่า ลูกค้าที่ไปใช้บริการกับเขา กว่าร้อยละ 80 เป็นหนุ่มสาวโรงงานจากนิคมอุตสาหกรรมนวนคร นิคมอุตสาหกรรมโรจนะ และนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค

จุดเด่นของโรงตึ๊งแห่งนี้ เป็นที่เลื่องลือในแง่การตีและให้ราคาทรัพย์จำนำ สูงกว่าโรงรับจำนำทั่วไปในละแวกเดียวกัน แต่ก็คิดดอกเบี้ยสูงกว่าโรงตึ๊งทั่วไปด้วยเช่นกัน

กล้วยยกตัวอย่าง ลูกค้าที่นำทรัพย์สินมาจำนำในราคา 1,000 บาท ภายใน 1 เดือน เขาคิดดอกเบี้ย 50 บาท และให้เวลาไถ่ถอนคืนไม่เกิน 37 วัน

หากพ้นกำหนด ยังไม่มาไถ่ หรือต่อดอกเบี้ย ถือว่าทรัพย์ชิ้นนั้น หลุดจำนำ ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของฝ่ายผู้รับจำนำทันที

เสี่ยกล้วยบอกว่า ช่วงที่เปิดร้านใหม่ๆ เมื่อปี 2550 เศรษฐกิจยังไม่เลวร้ายเท่านี้ เขาเคยมีสต๊อกรับจำนำเฉลี่ยเดือนละ 1 แสนบาท เป็นอย่างต่ำ

ทรัพย์จำนำกว่าร้อยละ 80 เป็นพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น ทีวีสี โทรศัพท์มือถือ กล้องดิจิตอล คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ตู้เย็น และนาฬิกาข้อมือ

ส่วนทองคำรูปพรรณ เขาบอกว่า ตัวเองตาไม่ถึง จึงไม่กล้ารับไว้

ช่วงนั้นเศรษฐกิจยังพอไปได้ ลูกค้ายังมีงานทำ ไม่ค่อยมีใครปล่อยให้ของหลุด มีปล่อยหลุดบ้างไม่ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ผิดกับเดี๋ยวนี้ โรงงานโละพนักงานออกกันรายวัน ลูกค้าของผมตกงานกันเป็นเบือ วงเงินรับจำนำต่อเดือนเลยร่วงลงเหลือแค่ 7-8 หมื่นบาท แต่สัดส่วนของหลุดจำนำพุ่งขึ้นเป็น 50 ต่อ 50

กล้วยบอกว่า นอกจากทรัพย์สินเบ็ดเตล็ด จำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ มีบ้างแต่ไม่บ่อยนัก ที่ลูกค้าคุ้นเคยกัน มีปัญหาเงินช็อตในช่วงสั้นๆ นำเล่มสมุดทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ พร้อมกับนำรถมาจอดทิ้งไว้เป็นประกัน

ถ้าเป็นคนคุ้นเคยกัน เอารถฮอนด้า เวฟ 125 ซีซี มาจอดและเอาเล่มมาทิ้งไว้ ผมให้ได้เต็มที่ 10,000 บาท คิดดอกเบี้ยเดือนละ 500 แต่รถต้องไม่ติดไฟแนนซ์นะ

เสี่ยกล้วยบอกว่า สินค้าฮอตฮิตที่มีคนนำไปจำนำกับเขามากที่สุด คือ ทีวีสี รองลงมา คือ โทรศัพท์มือถือ แต่เนื่องจากเดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือเป็นสินค้าที่ตกรุ่นง่าย เขาจึงต้องคิดอัตราดอกเบี้ยแพงกว่าสินค้าอย่างอื่น ประมาณเท่าตัว คือ ร้อยละ 10

เขาว่า เป็นที่น่าสังเกต ระยะหลัง เริ่มมีลูกค้ากลุ่มที่มีการศึกษาดี หรือเป็นถึงหัวหน้างานตามโรงงาน เริ่มนำ คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ไปจำนำกับเขามากขึ้น

ส่วนหนึ่งเป็นนักศึกษา ใช้ประกอบการเรียนและทำรายงาน อีกส่วนเป็นพนักงานระดับหัวหน้างาน ซึ่งเคยซื้อไว้ใช้เล่นเกม เห็นว่าช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ดี มีไว้ก็ไม่จำเป็น จึงขนมาจำนำแลกเป็นเงินสด

สรุปแล้วนาทีนี้ เสี่ยกล้วยบอกว่า น่าจะเป็นช่วงขาขึ้นสำหรับธุรกิจรับจำนำ ใครมีเงินหมุนเวียนต่อเดือนสัก 3-4 แสนบาท ก็สามารถทำธุรกิจแบบเขาได้สบายมาก

เทียบกับ สุวิมล วิโนทก ผู้ช่วยผู้จัดการสถานธนานุบาล สาขาเมืองชลบุรี เธอว่า ช่วงที่ทองคำราคาพุ่งขึ้นไปถึงบาทละ 16,000 กว่าบาท มีลูกค้าแห่ไปไถ่ถอนทองที่จำนำไว้ นำไปขายคืนให้แก่ร้านทองเป็นจำนวนมาก

จนระยะหลังมานี้ สต๊อกของสถานธนานุบาลชลบุรี ลดลงอย่างฮวบฮาบ

แต่ขณะเดียวกัน เกิดปรากฏการณ์ใหม่ เธอว่า การที่ลูกค้าแห่ไปไถ่ทองคืนจากโรงตึ๊งของเทศบาล เพื่อนำไปขายคืนให้ร้านทอง ทำให้บรรดาเจ้าของร้านทองในเมืองชลฯหลายรายตกอยู่ในสภาพทรุดหนัก ขาดเงินหมุนเวียนที่จะรับซื้อทองคืนจากลูกค้า

สถานการณ์นี้ทำให้ร้านทองหลายแห่ง ทยอยขนเอาทองรูปพรรณ น้ำหนักรวมคิดเป็นเงินมหาศาล นำกลับไปฝากจำนำไว้ที่สถานธนานุบาลฯ โดยยอมจ่ายดอกเบี้ย เพื่อแลกเงินสดออกมาใช้หมุนเวียนภายในร้าน

ปกติเรารับจำนำไว้ได้สูงสุด รายละไม่เกิน 5 แสนบาท แต่เพราะมีผู้นำทองไปขายคืนให้แต่ละร้าน คิดเป็นเงินหลายสิบล้านบาท ร้านทองแต่ละแห่ง จึงใช้วิธียกโขยงกันมาทั้งครอบครัว กระจายกันจำนำทองรายการละ 5 แสนบาท

สุวิมลบอกว่า เนื่องจากชลบุรีเป็นทั้งเมืองท่องเที่ยว และเมืองใหญ่ ช่วงเศรษฐกิจซบเซา จึงมีเจ้าของกิจการหลากหลายประเภท ที่พึ่งใครไม่ได้ ต้องหันมาพึ่งโรงรับจำนำแทน

นอกจากนี้ โรงรับจำนำทุกแห่งในเมืองชลฯ ยังต้องระแวดระวังลูกค้าอีกส่วน ที่แฝงตัวมาในคราบมิจฉาชีพ ออกตระเวนแหกตาโรงรับจำนำ ที่กำลังระบาดไปทั่ว

ตั้งแต่เศรษฐกิจไม่ดี มีคนตกงานกันมาก เราเจอมาแล้ว 3-4 ราย ส่วนใหญ่มารู้และตามจับได้ในภายหลัง แต่มีอยู่รายหนึ่ง จับได้คาหนังคาเขา พนักงานตรวจสอบของเรา ทดลองฝนดูกับหินลองทองตั้ง 3 รอบ ก็ยังเห็นข้างในเป็นเนื้อทองอยู่

แต่ยังเอะใจตรงที่น้ำหนักมากผิดสังเกต จึงขออนุญาตตัดสร้อยเพื่อพิสูจน์ ถึงได้รู้ว่าเนื้อในเป็นสร้อยเงินทั้งเส้น ชุบทองแท้มาหนาเตอะ

สุวิมลบอกว่า หลังจากถูกจับได้ และส่งให้ตำรวจดำเนินคดี ผู้ต้องหาสารภาพว่า เป็นอดีตช่างทำทองที่กรุงเทพฯ ตกงานกลับมาอยู่บ้าน ช่วงนี้ไม่มีจะกิน และไม่เหลือของอะไรให้จำนำ จึงตัดสินใจใช้ฝีมือและประสบการณ์เก่า แหกตาโรงรับจำนำ

สุวิมลทิ้งท้ายว่า

ยอมรับว่า เศรษฐกิจช่วงนี้ค่อนข้างสาหัส แม้ฟังจากที่ลูกค้าสารภาพแล้วรู้สึกเห็นใจ แต่คนผิด ก็ต้องว่าไปตามผิด”.