วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

ข่าวมอนิเตอร์ประจำวันที่ 24 เมษายน 2552

ที่มา ประชาไท

การเมือง

ทักษิณโผล่ไลบีเรีย สนลงทุน สานสัมพันธ์แอฟริกา

ไทยรัฐ - สถานีวิทยุ สตาร์ เรดิโอ ของไลบีเรีย ในแถบแอฟริกาใต้ รายงานเมื่อวันอังคาร (21 เม.ย.) ที่ผ่านมา ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย อยู่ในประเทศไลบีเรีย เพื่อสำรวจการลงทุน และความร่วมมือของไทยกับไลบีเรีย ระหว่างนั้น อดีตนายกฯ ทักษิณ ยังได้เข้าพบหารือ กับนายโจเซฟ เบาไค รองประธานาธิบดีของไลบีเรีย ด้วยสถานีวิทยุสตาร์ เรดิโอ ยังอ้างคำกล่าวของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่แจ้งกับรองผู้นำไลบีเรียด้วยว่า เขามีความตั้งใจอย่างแรงกล้าเพื่อให้ไทยมีความสัมพันธ์ที่ดี กับเหล่าประเทศแถบแอฟริกา

พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่า มีความสนใจในเรื่องน้ำมัน , การทำเหมืองแร่ , เกษตรกรรม , สัมปทานธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม และสลากกินแบ่งรัฐบาล ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เดินทางถึงไลบีเรีย ในช่วงเช้าของวันอังคาร ตามเวลาท้องถิ่น และมีแผนการจะเดินทางต่อไปยังไอวอรี โคสต์ รวมถึงประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา ในวันพุธ รายงานข่าวยังระบุอีกว่า รองประธานาธิบดีเบาไค ของไลบีเรีย ได้แสดงความยินดีต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ และได้เจรจาหารือกัน รวมทั้งเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไลบีเรีย ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยแร่ธาตุ

สำหรับประเทศไลบีเรียตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตก ของทวีปแอฟริกา ปกครองในระบอบประชาธิปไตย แบบสาธารณรัฐ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศ และผู้นำฝ่ายบริหาร ทั้งนี้ ประเทศไทยและไลบีเรีย ได้สถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างกันเมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2510

ปชป.ตามลากคอจักรภพชี้เข้าข่ายกบฏ

ไอเอ็นเอ็น - น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายจักรภพ เพ็ญแข แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศเคลื่อนไหว โดยใช้กองกำลังติดอาวุธว่า เป็นเรื่องละเอียดอ่อน โดยรัฐบาลต้องร่วมมือกับมิตรประเทศเพื่อติดตามตัว นายจักรภพ กลับมา แม้ว่า นายจักรภพ จะไม่มีศักยภาพพอ ที่จะตั้งกองกำลังติดอาวุธได้แต่ที่ผ่านมา ก็เคยเป็นกระบอกเสียงให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลประมาทไม่ได้ ทั้งนี้ เห็นว่าการกระทำของ นายจักรภพ เข้าข่ายเป็นกบฏต่อราชอาณาจักร รัฐบาลควรให้ตำรวจสากลติดตามตัว เพราะเป็นเรื่องของความมั่นคง อย่างไรก็ตาม น.พ.บุรณัชย์ ปฏิเสธ ไม่ทราบว่า นายจักรภพ ไปหลบหนีอยู่ที่ใด

พธม.พร้อมขึ้นวิทยุชุมชน 9 จังหวัดเหนือล่างเชื่อตั้งเสร็จปลุกการเมืองใหม่ได้เต็มพื้นที่

ASTV ผู้จัดการรายวัน - น.ส.จีรนันท์ อินทสุรวงศ์ (เจ๊นัน) แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจ.นครสวรรค์ กล่าวถึงความพร้อมในการเปิดสถานีวิทยุชุมชนแต่ละจังหวัดของพันธมิตรฯเหนือล่าง ว่า ได้จัดเตรียมพื้นที่ก่อตั้งสถานีวิทยุชุมชน หลังหาคลื่นวิทยุชุมชนที่ว่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วใน 9 จังหวัด โดยใช้ทุนจากการขายบัตรคอนเสิร์ตการเมืองครั้งที่ 3 ที่สนับสนุนตั้งวิทยุชุมชน 1 จังหวัด 1 คลื่น เพื่อถ่ายทอดสัญญาณ ASTV การเมืองใหม่ กระจายให้ครอบคลุมทุกอำเภอทุกตำบลในเหนือล่าง

เบื้องต้นจะใช้เครื่องส่งระบบ FM กำลังสูง (700 วัตต์) แรงส่งรอบทิศทาง 30 กิโลเมตร มูลค่า 120,000 บาท ที่รอการจัดซื้อจากส่วนกลาง ไปติดตั้งใน 9 จังหวัดๆ ละ 1 แห่ง ซึ่งจะทำให้ในบางจังหวัด มีสถานีวิทยุชุมชนในเครือข่ายพันธมิตรฯมากกว่า 1 แห่ง

เจ๊นัน กล่าวอีกว่า คลื่นวิทยุชุมชนพันธมิตรฯเหนือล่าง จะมีคลื่นความถี่แตกต่างกันตามคลื่นความถี่ที่ว่างอยู่ โดยมีเป้าหมายถ่ายทอดสัญญาณ FM ครอบคลุมให้มากที่สุด

สำหรับจังหวัดนครสวรรค์ ได้ก่อตั้งคลื่นวิทยุชุมชนแห่งใหม่ที่ใช้ทุนพันธมิตรฯ ลงที่อำเภอเมืองนครสวรรค์ 1 สถานี จากเดิมที่มีสถานีวิทยุชุมชนที่ถ่ายทอดสัญญาณ ASTV อยู่แล้ว คือ อำเภอพยุหะคีรี อำเภอลาดยาว และ อำเภอหนองบัว รวมทั้งหมด 4 สถานี เรียกว่าเกือบครอบคลุมทั้งจังหวัดแล้ว

ส่วนแกนนำพันธมิตรฯภาคเหนือตอนล่างใน 8 จังหวัด ที่มีความประสงค์ก่อตั้งสถานีวิทยุชุมชนแห่งใหม่ในเขตอำเภอเมืองสุโขทัย อำเภอเมืองอุตรดิตถ์ อำเภอเมืองพิจิตร อำเภอเมืองกำแพงเพชร อำเภอเมืองตาก อำเภอเมืองพิษณุโลก เป็นที่ชัดเจนแล้ว มีเพียงอำเภอหนองฉาง จ.อุทัยธานี และเพชรบูรณ์ เท่านั้นที่ล่าสุดกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องสถานที่ ผู้ดำเนินการ

ทั้งนี้ เนื่องจากบางพื้นที่ อาจจะต้องมีการตรวจสอบที่มาที่ไปของผู้ที่เสนอตัวเป็นผู้ดำเนินการก่อตั้งสถานีก่อน ทั้งเรื่องอุดมการณ์ที่แท้จริง ความสัมพันธ์ทางการเมืองในพื้นที่ ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า บางจังหวัด มีกลุ่มคนในเครือข่ายนักการเมืองในซีกไทยรักไทย พลังประชาชนเดิม ที่แปรสภาพเป็นพรรคเพื่อไทยในขณะนี้ แฝงตัวเข้ามาเสนอตัวเป็นผู้ดำเนินการก่อตั้งสถานีเครือข่ายของพันธมิตรฯด้วย

ขวัญชัยออนแอร์วิทยุชุมชนคนรักอุดรฯ อีกรอบ

ไทยรัฐ - ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (23 เม.ย.) ว่า เมื่อเวลา 15.00 น. ที่สถานีวิทยุชุมชนคลื่นคนรักอุดร 97.5 เมกกะเฮิร์ต ชุมชนหนองเหล็ก ซ.9 เทศบาลนครอุดรธานี นายขวัญชัย สาราคำ หรือ ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร ได้นำอุปกรณ์เครื่องส่งวิทยุสำรองมาติดตั้ง เพื่อทำการออกอากาศใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ตำรวจกองปราบปราม ได้เข้ามาตรวจยึดเครื่องส่งเดิม พร้อมอุปกรณ์ จำนวน 17 รายการ เมื่อวันที่ 16 เม.ย โดยมีการทดสอบสัญญาณด้วยการถ่ายทอดสัญญาณเสียง การประชุมร่วม 2 สภา ที่ถ่ายทอดสดจากสถานีโทรทัศน์รัฐสภา

นายขวัญชัย เผยว่า เมื่อรัฐบาลได้สั่งการให้ตำรวจกองปราบ นำหมายศาลมายึดเครื่องส่งกับอุปกรณ์การออกอากาศไปหมด ตนจึงจำเป็นต้องหาเครื่องส่งสำรองมาทำการออกอากาศ เพราะจะต้องมีการสื่อสารถึงสมาชิกชมรมคนรักอุดรกว่า 3 แสนคน ที่มีความอึดอัด ความเครียดมันก่อตัวเพิ่มมากขึ้น ซึ่งตนได้สั่งซื้อเครื่องส่งใหม่ ที่จะต้องใช้เงินอีกกว่า 3 แสนบาท ทำให้ในวันที่ 25 เม.ย.นี้ ตนจะจัดเวทีที่สนามทุ่งศรีเมือง เพื่อให้สมาชิกชมรมคนรักอุดรมาลงขันกันซื้อเครื่องส่งใหม่ ในการออกอากาศสื่อสารถึงสมาชิกทุกคน

"ส่วนรูปแบบของการจัดรายการนั้น ก็เป็นปกติ เรามีจุดยืนแบบนี้มาถึง 3 ปีกว่า เราคงไม่เปลี่ยนแนวทางของเรา ที่เรียกร้องประชาธิปไตย หาความยุติธรรม รัฐบาลอย่าทำแบบปากอย่างใจอย่าง เราชุมนุมบนพื้นฐานของกฎหมายรัฐธรรมนูญตามมาตรา 63 เราไม่มีอาวุธ ไม่มีความรุนแรง จะชุมนุมในที่สาธารณะในสนามทุ่งศรีเมือง ไม่เคยสร้างความวุ่นวายให้กับบ้านเมือง นอกจากครั้งที่ปิดถนนหน้าศาลากลาง และที่สี่แยกบายพาสขอนแก่น ที่ตำรวจกำลังจะออกหมายจับ ซึ่งก็พร้อมจะไปมอบตัว" นายขวัญชัย กล่าว

นายขวัญชัย กล่าวอีกว่า ส่วนการออกอากาศใหม่ครั้งนี้ หากจะมองว่าตนยุยงปลุกปั่นให้มีการชุมนุมหรือไม่ คงต้องถามนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีว่า วันนี้คุณเลือกปฏิบัติใช่หรือไม่ ทำไมเอเอสทีวี (ASTV) และสถานีวิทยุอีกหลายร้อยคลื่นที่อยู่ฝ่ายเสื้อเหลือง ออกอากาศปลุกระดมสารพัด แต่รัฐบาลไม่เคยไปดำเนินการกับคลื่นเหล่านี้ แต่กลับมาจ้องคลื่นของคนเสื้อแดงเพียงไม่กี่คลื่น โดยคลื่นของวิทยุชุมชนคนรักอุดร ขอยืนยันว่าได้ตรวจสอบข้อมูลก่อนทำการออกอากาศก่อนทุกครั้ง ไม่เคยพูดจาจวบจ้วงสถาบันเบื้องสูง และไม่ทำลายความมั่นคงของประเทศ จะมาปิดสถานีไม่ได้

ปธ.คนรักอุดรรับทราบข้อหาปิดถนนมิตรภาพ

ไอเอ็นเอ็น - พล.ต.ต.พัฒนี ศิริวัฒนี ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า จากการเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาของ นายขวัญชัย ไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร และ นายยงยุทธ คงปฏิมากร แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ขอนแก่น ตามหมายเรียกของตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น ข้อหาปลุกระดม กีดขวางการจราจร และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน ภายหลังที่กลุ่มคนเสื้อแดง ได้มีการปิดล้อม สถานีวิทยุโทรทัศน์ NBT ขอนแก่น และการปิดถนนมิตรภาพ ที่สี่แยกบ้านกุดกว้าง จังหวัดขอนแก่น โดย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดขอนแก่น กล่าวว่า ในเบื้องต้น นายขวัญชัย และ นายยงยุทธ สารภาพทุกข้อกล่าวหา และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเต็มที่ ขณะที่แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง ขอนแก่น 5 คน ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการออกหมายเรียก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ดำรงไขก๊อกทิ้งซีอีโอไทยคม รอเลิกฉุกเฉินปลุก ทีวีเสื้อแดง

ไทยโพสต์ - นายดำรง เกษมเศรษฐ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 เม.ย.คณะกรรมการ (บอร์ด) เห็นชอบให้ลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและบอร์ด มีผลวันที่ 13 พ.ค.นี้ เพราะหมดความท้าทาย หลังจากทำงานกับบริษัทมาถึง 17 ปี 9 เดือน อย่างไรก็ดี การลาออกไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง การปิดการแพร่ภาพของสถานีดีสเตชั่น 100%

"หากผู้ใดเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ถ้ารัฐบาลสั่งก็ต้องดำเนินตาม เพราะความปลอดภัยของพนักงานและทรัพย์สินของบริษัทเป็นสิ่งสำคัญ" นายดำรงกล่าว

ส่วนสถานีดีสเตชั่นจะกลับมาออกอากาศได้ในช่วงเวลาใดคงคาดการณ์ไม่ได้ เพราะดาวเทียมเป็นเครื่องมือออกอากาศ ถ้าผู้ใดมีใบอนุญาตก็ต้องแพร่ภาพให้ผู้ประกอบการนั้นๆ ไม่มีหน้าที่เข้าไปดูแลเนื้อหาที่แพร่ภาพของสถานี แต่ขณะที่อยู่ในสถานการณ์การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลมีอำนาจก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็พร้อมเปิดทางให้ดีสเตชั่นแพร่ภาพตามปกติ เพราะถือเป็นผู้มีใบอนุญาต

นอกจากนี้ การวิดีโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการตัดสินใจในครั้งนี้ 100% ด้วย เพราะบริการดังกล่าวเป็นบริการดาวเทียมที่มาจากนอกประเทศ ไม่เกี่ยวกับไทยคม ซึ่งการลาออกครั้งนี้ไม่ได้ติดต่อกับอดีตนายกฯ เพราะติดต่อไม่ได้และไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน ส่วนกรณีนายกฯ จะใช้ดาวเทียมดวงใดเพื่อเผยแพร่วิดีโอลิงค์นั้น คงบอกไม่ได้

สำหรับการบริหารงานที่คิดว่าลำบากที่สุดเป็นเรื่องการมีผู้ส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่ม ทั้งผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ผู้ถือหุ้นรายย่อย พนักงาน ลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาฐานะประธานกรรมการบริหารพยายามทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อผลประโยชน์ของบริษัท สร้างความสมดุลให้ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด ส่วนการตัดสินใจในครั้งนี้บอร์ดทักท้วงหรือไม่นั้นคงไม่สามารถตอบแทนบอร์ดได้

นายดำรงกล่าวอีกว่า ได้ปรึกษาเรื่องการลาออกกว่า 1 เดือน เพราะธุรกิจ 3 สายงานประกอบด้วยธุรกิจดาวเทียม บริการโทร.ต่างประเทศและบริการอินเทอร์เน็ตกำลังไปได้ดี จึงเป็นโอกาสที่บอร์ดจะคัดสรรหาบุคคลใหม่ อีกทั้งธุรกิจโครงสร้างหลักยังมีผู้บริหารที่เข้มแข็งและสามารถดูแลต่อไปได้

ส่วนการหาดาวเทียมเพื่อแทนดาวเทียมไทยคม 1 ที่หมดอายุปลายปีนี้และไทยคม 2 ที่หมดอายุกลางปีอยู่ระหว่างเจรจากับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ซึ่งคาดว่าคงเป็นการเช่าดาวเทียมมากกว่าการสร้างดาวเทียมดวงใหม่ เนื่องจากบริษัทต้องระมัดระวังเรื่องการลงทุนในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ โดยที่ผ่านมาบริษัทลงทุนสร้างดาวเทียมทั้ง 5 ดวง กว่า 29,000 ล้านบาท และการเช่าดาวเทียมนั้น รัฐบาลยังคงได้ส่วนแบ่งรายได้เช่นเดิม

ซึ่งธุรกิจไอพีสตาร์จะถึงจุดคุ้มทุนและมีกำไรได้ในปีนี้ เนื่องจากธุรกิจบรอดแบรนด์มีอัตราเติบโตรวดเร็วมาก 30% ต่อปี และบริษัทสามารถเข้าดำเนินธุรกิจบรอดแบรนด์ในประเทศกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งหมด 12 ประเทศ ล่าสุดได้รับใบอนุญาตทำธุรกิจในอินโดนีเซีย

ก่อนหน้านี้เกิดเหตุจราจลกลางกรุงในวันที่ 13 เม.ย.โดยมีการปลุกระดมจากสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมดีทีวี ซึ่งถ่ายทอดวีดีโอลิงค์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งรัฐบาลได้พยายามตัดสัญญาณเพื่อปิดสถานีทีดีวีหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ได้ผล สุดท้ายเข้าตัดสัญญาณที่สถานีดาวเทียมไทยคม ขณะที่มีกระแสข่าวว่านายดำรงมีความขัดแย้งภายในบอร์ดมาเกือบ 1 ปีแล้ว

ปชป.แถลงจับโกหก"เพื่อไทย" 9 เรื่อง ในอภิปรายประชุม2สภา

มติชน - นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และนายศุภชัย ใจสมุทร โฆษกพรรคภูมิใจไทย ร่วมแถลงที่รัฐสภา เมื่อเวลา 17.25 น. วันที่ 23 เมษายน โดยนพ.บุรณัชย์กล่าวว่า ได้วิเคราะห์ว่าแนวทางการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติในการประชุมร่วม 2 สภา พบว่า ได้เปลี่ยนแปลงแนวทางจากการหาออกให้สังคม กลายเป็นความพยายามโกหก ใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่า เป็นนายกฯมือเปื้อนเลือด จากการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุม โดยมีการโกหกในสภาทั้งหมด 9 เรื่อง คือ

1.กล่าวหาว่ามีทหารทำร้ายผู้หญิงด้วยการจิกหัวที่บริเวณสามเหลี่ยมดินแดง

2.กล่าวหาว่ามีการนำศพของผู้เสียชีวิตไปเผาที่วัดสาครสุ่นประชาสรรค์

3.กล่าวหาว่ามีการนำศพขึ้นรถทหารเพื่อไปทำลายที่ จ.ลพบุรี และมีคนหนีออกจากรถมาได้

4.กล่าวหาว่าการที่กลุ่มเสื้อแดงเตรียมการก่อวินาศกรรมด้วยรถบรรจุแก๊สและถังแก๊สเป็นการสร้างสถานการณ์ของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ

5.กล่าวหาว่าทหารยิงกระสุนปืนจริงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ทั้งที่เป็นการยิงใส่รถเมล์ที่ขับพุ่งชนเจ้าหน้าที่เพื่อระงับเหตุ

6.กล่าวหาว่าสร้างสถานการณ์ในเหตุการณ์การรุมทำร้ายนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ที่กระทรวงมหาดไทย

7.กล่าวหาว่าทหารลากคนจากรถเมล์บริเวณหน้ากองทัพภาคที่ 1 แล้วยิงเสียชีวิต ทั้งที่ภาพเหตุการณ์ต่อเนื่องเห็นว่าชายคนดังกล่าวลุกขึ้นเดินได้

8.กล่าวหาว่ามีพระเสียชีวิต ทั้งที่ยังไม่มีการตรวจสอบ จึงเรียกร้องให้วัดที่มีพระภิกษุหายไปให้นำใบสุทธิมาแสดง และ

9.พยายามระบุว่าชาย 2 คนที่เสียชีวิตแล้วพบศพในแม่น้ำเจ้าพระยา ถูกกระทำโดยทหาร ทั้งที่แพทย์ชันสูตรว่าเวลาเสียชีวิตของชายทั้งสองเป็นช่วงหลังจากการสลายการชุมนุม ดังนั้นเมื่อสรุปประเด็นการอภิปรายแสดงให้เห็นว่าพรรคฝ่ายค้านโกหกและพยายามใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์เหล่านี้เพื่อผลทางการเมือง

วอนปธ.วุฒิ-วิปรัฐ-ฝ่ายค้านหาทางออกชาติ

คมชัดลึก - ที่รัฐสภา พล.อ.เอกชัย ศรีวิลาศ ผอ.สำนักสันติวิธีฯ สภาบันพระปกเกล้า พร้อมองค์กรสื่อ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในฐานะตัวแทน เครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทยได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน และนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ประธานวิปรัฐบาล เพื่อขอความร่วมมือในการสนับสนุนกิจกรรมของเครือข่ายฯ

เนื่องจากการรวมตัวของเครือข่าย เพื่อแสดงให้ผู้ที่กำลังขัดแย้งกันรับรู้ว่าคนไทยส่วนใหญ่ ไม่ยอมรับความรุนแรงไม่ว่าจะเกิดจากการการกระทำของรัฐหรือประชาชน และต้องการแสดงให้เห็นว่าการเคารพกฎหมายและเสรีภาพของผู้อื่นเป็นสำคัญ และจำเป็นต้องอยู่คู่สังคมไทยอย่างสงบสุข อย่างไรก็ตามขอให้ประธานวุฒิสภาได้ขอความร่วมมือกับ ส.ว.ทุกคนใช้เวทีรัฐสภาร่วมกันหาทางออกจากวิกฤติของประเทศอย่างสร้างสรรค์และวิธีสันติและเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา

สำหรับเนื้อหาในหนังสือนั้น ได้เชิญชวนทุกภาคส่วนของสังคมไทยแสดงออกร่วมกันดังนี้ 1.เชิญชวนทุกองค์กร ทุกบริษัท ห้างร้าน ส่วนราชการ หน่วยงานที่เห็นด้วยให้แขวนธงชาติหน้าบริษัท ห้างร้าน หน่วยงาน และบ้านที่อยู่อาศัย 2.ในวันที่ 4 พ.ค. 2552 เวลา 08.30 - 09.30 น. ขอเชิญให้ชุมนุมโดยสงบสันติหน้าองค์กร บริษัท ห้างร้าน และหน่วยงานของตนเอง โดยทุกคนถือธงชาติ 3.ขอความร่วมมือหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ สถานีโทรทัศน์ทุกช่อง สถานีวิทยุทุกแห่ง เคเบิลทีวีทุกแห่ง วิทยุชุมชนทุกแห่ง ช่วยกันเชิญชวนคนไทยร่วมกันรณรงค์ และ 4.ขอเชิญชวนให้จัดกิจกรรมต่างๆเพื่อสื่อสารสาระสำคัญว่า ประชาธิปไตยเห็นแตกต่างกันได้แต่ต้องไม่ใช้ความรุนแรง ประชาธิปไตยต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น สร้างความยุติธรรมและความเป็นธรรมในสังคมไทย ทำให้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์และไม่เลือกปฏิบัติ และสร้างความเป็นพลเมืองไทยที่มีสำนึกประชาธิปไตย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อหน่วยงานที่ร่วมยื่นหนังสือขอความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรมของเครือข่ายหยุดทำร้ายประเทศไทย ประกอบด้วย ภาควิชาการ ได้แก่ ประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง องค์กรสื่อ ได้แก่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย

องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ สมาคมอบต.แห่งประเทศไทย และสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย และภาคประชาสังคม ได้แก่ เครือข่ายนักวิชาการไม่เอาความรุนแรง คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม กลุ่มประชาชนผู้ไม่เอาสงครามกลางเมือง คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย ชมรมแพทย์ผู้ประกอบวิชาชีพแพทย์เพื่อประชาชน เครือข่ายประชาธิปไตยเห็นต่างกันได้แต่อย่าใช้ความรุนแรง สถาบันพระปกเกล้าฯ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้าฯ และเครือข่ายผู้หญิงเพื่อความก้าวหน้าและสันติภาพ

"พัชรวาท"รับตร.ภาค 3 150นายคุ้มกัน"สุวรรณภูมิ"

มติชน - นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 23 เมษายน ว่า การประชุมร่วม 2 สภา เห็นได้ชัดเจนว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ไม่สามารถชี้แจงกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก จ.นครราชสีมา บุรีรัมย์ และชัยภูมิ สวมเสื้อสีน้ำเงินไปกระทำการที่พัทยาได้เลย

"อย่างไรก็ตาม คนเสื้อแดงในวันนี้อยู่ในฐานที่มั่น หากส่งสัญญาณเมื่อใดคนเหล่านั้นก็พร้อมทันที เพราะคนเสื้อแดงต่างมีความแค้นอยู่ในอก" นายจตุพรกล่าว

ด้าน พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่า ในการประชุมผู้นำอาเซียนที่เมืองพัทยา ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด (บก.ภ.จว.) สมุทรปราการ ต้องการกำลังมาช่วยเสริมที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แต่กำลังตำรวจจากพื้นที่ใกล้ๆ ไม่มี จึงนำกำลังจากกองบัญชการตำรวจภูธรภาค 3 (บช.ภ.3) มาเสริม โดยให้ดูแลความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

"จะแต่งเครื่องแบบก็อาจทำให้ผู้โดยสารที่อยู่ในสนามบินตกใจ เสียบรรยากาศ ก็มีรายงานมายังผมว่า จะหาเสื้อสีอื่นมาใส่กัน ผมก็ไม่ได้สอบถามรายละเอียด" พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า แต่หลังจากนั้นกำลังส่วนนี้จะไปที่อื่นหรือไม่ก็ต้องตรวจสอบอีกครั้ง ส่วนการปะทะกันของกลุ่มเสื้อแดงและเสื้อน้ำเงินนั้น ทราบว่า ทาง บช.ภ.2 มีการดำเนินคดีกับกลุ่มคนเสื้อน้ำเงิน แล้ว 3-5 คดี

พ.ต.อ.นิคม อินเฉิดฉาย รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ได้รับมอบหมายจาก ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์ นำกำลังตำรวจ 3 กองร้อย จำนวน 150 นาย ไปดูแลรักษาความปลอดภัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยตำรวจภาค 1 ประสานขอกำลังสนับสนุนมา เพราะเกรงว่ากลุ่มคนเสื้อแดงอาจเคลื่อนกำลังบุกไปที่สนามบินสุวรรณภูมิ

"ระหว่างนั้นเกิดการชุมนุมต่อต้านของกลุ่มคนเสื้อแดงที่พัทยา ผมได้รับการประสานจากตำรวจภาค 1 ขอสนับสนุนรถเครื่องเสียงที่เตรียมไว้เจรจาทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุม ซึ่งอยู่ในความดูแลของผมที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อนำไปเจรจากับม็อบเสื้อแดงที่พัทยา ผมพร้อมด้วยลูกน้อง 2 นาย จึงนำรถกระจายเสียงไปสนับสนุนที่พัทยา ส่วนกำลังตำรวจจากบุรีรัมย์ทั้ง 150 นาย ไม่ได้เดินทางไปด้วย ยังคงปฏิบัติหน้าที่เฝ้าดูแลความปลอดภัยที่สนามบินสุวรรณภูมิ" พ.ต.อ.นิคมกล่าว

ด้าน พ.ต.อ.บุญจันทร์ นวลสาย รอง ผบก.ภ.จว.สุรินทร์ กล่าวว่า ได้รับคำสั่งจาก บช.ภ.3ให้นำตำรวจปราบจลาจล 1 กองร้อย จำนวน 50 นาย เข้า กทม.ตั้งแต่ม็อบเสื้อแดงเริ่มชุมนุมจนเลิก โดยไปรักษาการณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ ตำรวจทุกนายแต่งเครื่องแบบเต็มยศ รายละเอียดต่างๆ ให้สอบถามไปที่ บช.ภ.3

มทภ.1 เน้นย้ำลูกหลานทหารปรองดอง และไม่ยึดติดสีใด

ไทยรัฐ - วันนี้ (23 เม.ย.) พล.ท.คณิต สาพิทักษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 เป็นประธานประกอบพิธี เนื่องในวันสถาปนากองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์ ค่ายไพรีระย่อเดช ต.ท่าเกษม อ.เมืองสระแก้ว ครบรอบปีที่ 29 และได้เป็นประธานมอบทุนการศึกษา 60 ทุน ให้กับนักเรียน ที่เป็นบุตรข้าราชการทหาร พัน 1 ร.12 รอ. ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และระดับปริญญาตรี รวม 135,500 บาท

ทั้งนี้ พล.ท.คณิต กล่าวว่า การใฝ่ศึกษาและรักษาระดับคุณภาพ จะทำให้เจริญก้าวหน้าในการดำรงชีวิต และการประกอบอาชีพ นอกจากจะมีเสรีภาพทางความคิด ตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังต้องรู้จักหน้าที่ความเป็นพลเมืองที่ดี เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องรู้จักปองดองสมัครสมานสามัคคี ไม่แสดงออกด้วยความรุนแรง นอกจากนี้ ลูกหลานทหาร ซึ่งเป็นองค์กรที่เข้มแข็ง จะต้องไม่ยึดติดกับสีใด นอกจากสีแห่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

นอกจากนี้ แม่ทัพภาคที่ 1 ยังได้ประกอบพิธีทางศาสนา เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กำลังพลที่เสียชีวิต ร่วมประกอบพิธีเบิกเนตรพระพุทธไพรีระย่อเดช พระพุทธรูปประจำหน่วย และปลูกไม้มงคล ณ ลานธรรม กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 12 รักษาพระองค์

บช.ภ.7 เตรียมพร้อมรับมือกลุ่มเสื้อแดงชุมนุม

ไทยรัฐ - ผู้สื่อข่าวรายงานวานนี้ (23 เม.ย.) ว่า ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาครได้จัดประชุมเตรียมความพร้อม กรณีที่มีข่าวว่า กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จะมาชุมนุมที่ จ.สมุทรสาคร โดยมีพล.ต.ท.ถวิล สุรเชษฐพงษ์ ผบช.ภ.7 นายวีระยุทธ เอี่ยมอำภา ผวจ.สมุทรสาคร พล.ต.ต.หาญพล นิตย์วิบูลย์ ผบก.ภ.จว.สมุทรสาคร และข้าราชการตำรวจในสังกัดภาค 7 ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม โดยภายหลังการประชุม พล.ต.ท.ถวิล กล่าวว่า ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของกลุ่มใด ตำรวจจะดูแลความเรียบร้อย ให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย และจะไม่ตั้งด่านสกัดกั้นอย่างเด็ดขาด แต่จะตั้งจุดตรวจนอกเขตพื้นที่ปกติเพื่อตรวจค้นอาวุธไม่ให้ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่นั้น จะใช้ประมาณ 1,000 นาย จาก จ.สมุทรสงคราม นครปฐม และราชบุรี รวมทั้งจะไม่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุม อย่างแน่นอน ทั้งนี้ คาดว่า จะมีผู้ชุมนุมมาประมาณ 2,000-3,000 คน และเน้นย้ำไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรง โดยยึดกฎหมายเป็นหลัก

ด้าน ผวจ.สมุทรสาคร กล่าวว่า จังหวัดได้เตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และ อปพร. โดยจะประสานความร่วมมือกับตำรวจ อย่างเต็มที่ ส่วนข่าวที่ระบุว่า จะมีแรงงานต่างด้าวเข้ามาในกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ตนได้เน้นย้ำว่า จะไม่ให้เข้ามาโดยเด็ดขาดและในส่วนที่กลุ่มผู้ชุมนุมจะขอใช้สถานที่ราชการนั้น ได้มีการประสานมา แต่ตนไม่อนุญาต และเชื่อว่า การชุมนุมดังกล่าว คงไม่น่าหนักใจมาก เพราะการชุมนุมมีเวลากำหนด ระหว่างเวลาประมาณ 17.00 น.-23.00 น.ซึ่งคงจะไม่ยืดเยื้อแน่นอน

คุณภาพชีวิต

ดีเอสไอทลายแหล่งพักพิงโรฮิงยาเมืองตรัง

แนวหน้า - สืบเนื่องจากคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติให้กรณีการกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ชาวโรฮิงยาเป็นคดีพิเศษ ที่ 34/2552 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีกรมสอบสวน คดีพิเศษ และโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ และ พ.ต.อ. ดุษฎี อารยวุฒิ รองอธิบดีกรมสอบสวน คดีพิเศษ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ศูนย์ค้ามนุษย์ สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ได้ประสานงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพัฒนาสังคมจังหวัดตรัง กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 120/10 ถนนท่าปาป ตำบลบ่อน้ำร้อน อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง และได้ร่วมกันจับกุมบุคคลต่างด้าวชาวพม่า รวม 10 คน ได้แก่ นางเท่ นายปาย นายจอ นายเท่ นายนี นายทอง นายกู นายโจ นายโชะ และ นายกะลา ชาวโรฮิงยา 2 คน ได้แก่ นายนอบี อุสเซ็น หรือ แวจอนาย และ นายอามิด อุสเซ็น หรือ ซอนาย และคนไทย 1 คน คือ นางสุลัดดา ตุละ โดยกลุ่มบุคคลต่างด้าวกำลังจะถูกนำตัวไปเป็นแรงงานประมง โดยในเบื้องต้นได้แจ้งข้อหาต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองและให้ที่พักพิงกับบุคคลต่างด้าว (ตามพ.ร.บ. ตรวจคนเข้าเมือง) ตามลำดับ

ต่อมาเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ และพัฒนาสังคมจังหวัดตรัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ดำเนินการตามกระบวนการคัดแยกเหยื่อ พบว่าชาวโรฮิงยา 2 คน คือ นายนอบีอุสเซ็น หรือ แวจอนาย และ นายอามิด อุสเซ็น หรือ ซอนาย เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ ตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 จึงได้นำตัวเข้าบ้านพักฟื้นฟูที่จังหวัดสงขลา

ทั้งนี้ เป็นการสืบสวนของชุดสืบสวนส่วนคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ 1 สำนักกิจการต่างประเทศและคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศพบว่า มีขบวนการค้ามนุษย์ ซื้อขายชาวโรฮิงยา เพื่อนำไปเป็นแรงงานประมงที่อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง จึงได้สืบสวนและเข้าจับกุมหนึ่งในผู้ต้องหาเป็นคนไทยซึ่งเป็นเจ้าของบ้านที่ใช้ขังแรงงาน (ก่อนจะนำไปทำงานประมงเป็นเวลาครั้งละหลายเดือน) และผู้ต้องหาชาวพม่าอีก 1 ราย คือ นายกะลา เป็นนายหน้าที่ซื้อมาจากเรือประมงจังหวัดชุมพร โดยจะได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนขยายผลขบวนการค้ามนุษย์นี้ต่อไป และจะดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดอื่นๆ ที่พบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในอีกหลาย ๆ พื้นที่ของประเทศ

ฟ้องจุฬาฯละเมิดใช้GAT-PAT2

ไทยโพสต์- นายอำนวย สุนทรโชติ ประธานชมรมค่านิยมเพื่อสร้างชาติ เปิดเผยว่า นักเรียน 2 คนได้ยื่นฟ้องจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยต่อศาลปกครองจังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา ในคดีดำที่ 72/2552 เพื่อขอให้ยกเลิกองค์ประกอบที่จุฬาฯ ใช้ในการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาโดยวิธีรับตรงในปี 2553 ซึ่งใช้เกรดเฉลี่ย 5 ภาคเรียน 10% และคะแนนการวัดความถนัดทั่วไป (GAT) และคะแนนการวัดศักยภาพทางวิชาชีพ/วิชาการ (PAT) 90% โดยจุฬาฯ จะใช้ครั้งที่ 2 (สอบเดือนกรกฎาคม 2552) หรือครั้งที่ 3 (สอบเดือนตุลาคม 2552) ที่เด็กทำคะแนนได้ดีที่สุด

นายอำนวยกล่าวต่อว่า การกำหนดองค์ประกอบดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิและสร้างความไม่เท่าเทียมกันให้กับนักเรียนทั้งประเทศ โดยเด็กจะทิ้งห้องเรียนมุ่งกวดวิชาเพื่อให้จบเนื้อหาหลักสูตร ม.6 ก่อนที่จะสอบ นำมาสู่ปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน เพราะเด็กยากจนและอยู่ในชนบทจะไม่สามารถไปกวดวิชาจนมีความรู้จบ ม.6 ก่อนสอบได้ ต่างกับเด็กที่มีฐานะดีที่อยู่ในเมืองใหญ่ ซึ่งมีความพร้อมจะไปกวดวิชา ส่วนการใช้เกรดเฉลี่ย 10% มองว่าเป็นการสร้างความไม่เท่าเทียมกันระหว่างนักเรียนที่มาจากโรงเรียนที่กดเกรดกับนักเรียนที่มาจากโรงเรียนที่ปล่อยเกรด

นายอำนวยกล่าวต่อไปว่า ดังนั้นจึงควรใช้ผลสอบ GAT และ PAT ครั้งที่ 4 ซึ่งสอบเดือนมีนาคม 2553 เพราะเด็กทุกคนจะจบหลักสูตร ม.6 พร้อมกัน และสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) เคยทำหนังสือแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรมายังตนว่าสามารถตรวจผลสอบเสร็จทันสำหรับการใช้ในระบบกลางการรับนิสิต นักศึกษา หรือแอดมิชชั่น ในปี 2553 แน่นอน ดังนั้นจึงควรใช้ผลสอบของ GAT และ PAT ครั้งที่ 4 แต่หากจุฬาฯ เห็นว่าจะไม่ทันกับการรับตรง ก็ควรที่จะจัดสอบเองโดยใช้เนื้อหาความรู้เฉพาะที่เรียนในเดือนตุลาคม จึงจะยุติธรรมกับเด็กทุกคน แต่หากไม่ต้องการให้เด็กสอบเยอะ ก็ควรต้องคุยกับ สทศ.และ สกอ.เพื่อแก้ปัญหาเรื่องการบริหารจัดการ ไม่ใช่ไปโยนบาปให้เด็ก

เศรษฐกิจ

ธปท.เชื่อปรับลดกรอบงบปี53ไม่กระทบลงทุน

ไอเอ็นเอ็น - นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า กรณีรัฐบาลได้ปรับลดกรอบงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 จากเดิมที่กำหนดไว้ 1.9 ล้านล้านบาท ลงมาเหลือ 1.7 ล้านล้านบาท คาดว่าจะไม่กระทบต่อการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลยังมีมาตรการการลงทุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจระยะที่ 2 ระยะเวลา 3 ปี วงเงินลงทุน 1.56 ล้านล้านบาท ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่งบประมาณโดยตรง แต่ยังมีเงินนอกงบประมาณที่กู้จากแหล่งต่างๆใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนผลจากการใช้เงินลงทุนจะได้ผลในระยะปานกลางหรือระยะยาวอย่างไรนั้น จะต้องไปดูรายละเอียดในแต่ละโครงการการลงทุนว่ามีแผนการลงทุนอย่างไรบ้าง

ส่วนกรณีที่ประเทศไทยถูกปรับลดอันดับเครดิตลงจากสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทั้ง เอสแอนด์พี และฟิทช์เรทติ้ง จากระดับเศรษฐกิจมีเสถียรภาพ ลดลงมาเป็นมุมมองเศรษฐกิจอยู่ในเชิงลบนั้น ในระยะสั้นยังไม่กระทบต่อไทยมากนัก หรือไม่ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมของไทยในต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น การทำให้ตราสารหนี้ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุน เนื่องจากเศรษฐกิจไทยขณะนี้ยังไม่ได้ต่ำกว่าระดับควรลงทุน รวมทั้งเศรษฐกิจไทยไม่ได้พึ่งพาเงินลงทุนจากต่างประเทศมากนัก และในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน นักลงทุนยังไม่ต้องการขยายการลงทุนไม่เข้ามามากนัก

เผยรายได้ท่องเที่ยวปีนี้ สูญถึงแสนล้านบาท

ไทยรัฐ - วันนี้ (23 เม.ย.) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด รายงานว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ซึ่งนำไปสู่การชุมนุมของกลุ่มต่างๆ และเมื่อเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในกรุงเทพฯ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ส่งผลกระทบให้ตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติของไทยในปี 2552 มีแนวโน้มถดถอยลงจากปี 2551 รุนแรงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้เดิม และมีแนวโน้มทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียรายได้ด้านการท่องเที่ยวจากนักท่อง เที่ยวต่างชาติคิดเป็นมูลค่าประมาณ 50,000-100,000 ล้านบาท จากประมาณการเดิม

สำหรับตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ถดถอยลงร้อยละ 16 ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีแนวโน้มถดถอยลงในอัตราประมาณร้อยละ 24 ในช่วงไตรมาสที่ 2? และชะลอการถดถอยลงมาอยู่ในอัตราร้อยละ 16 ช่วงไตรมาสที่ 3 ส่วนไตรมาสสุดท้ายซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวกลับมาขยายตัว เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปี 2551 ทำให้ตลอดทั้งปี 2552 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามายังประเทศไทยรวมทั้งสิ้นประมาณ 12.7 ล้านคน ลดลงร้อยละ 13 จากปี 2551 และสร้างรายได้ด้านการท่องเที่ยวเข้าประเทศคิดเป็นมูลค่าประมาณ 430,000 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17

ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว จำเป็นที่คนไทยทุกคนจะต้องร่วมมือสานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวเพื่อให้เกิดความ สงบสุขในประเทศอย่างแท้จริง และมีการประสานความร่วมมืออย่างจริงจังและต่อเนื่องระหว่างหน่วยงานของภาค รัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ที่จะเร่งชี้แจงสถานการณ์ที่เป็นจริงในปัจจุบันที่กลับสู่ภาวะปกติแล้ว และเชิญผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวและสื่อมวลชนจากนานาประเทศ ให้เดินทางมาสัมผัสแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วยตนเอง เพื่อความมั่นใจด้านความปลอดภัย อันจะส่งผลดีต่อการท่องเที่ยวของไทยทำให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเพิ่มพูนรายได้ด้านการท่องเที่ยวจำนวนมากเข้ามาช่วยเสริมเสถียรภาพ ทางเศรษฐกิจของประเทศได้ในที่สุด

ศก.โลกปีนี้หดตัวรุนแรง ไอเอ็มเอฟฟันธง แนวโน้มต่อเนื่องถึงปีหน้า

ไทยรัฐ - สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (23 เม.ย.) อ้า ง กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) พยากรณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ว่า จะหดตัวลงอย่างรุนแรง และมีแนวโน้มต่อเนื่องถึงปีหน้า ไอเอ็มเอฟ ระบุว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะหดตัวลงร้อยละ 1.3 เนื่องจากวิกฤติการเงินที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงกว่าที่คาดไว้ อีกทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคก็ตกต่ำอย่างหนัก? ส่งผลให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยอย่างรุนแรง และมีอนาคตที่ไม่แน่นอน

สถาบัน แห่งนี้ประเมินด้วยว่าเศรษฐกิจโลกกำลังดำดิ่งลงสู่สภาวะถดถอยที่รุนแรง ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2? และเป็นครั้งที่ 3 แล้วในปีนี้ที่ไอเอ็มเอฟปรับลดการคาดการณ์เจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก? นอกจากนี้ยังได้ลดประมาณการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้าลงอีกเกือบ 1% ไอเอ็มเอฟเชื่อว่า เศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะเติบโตอย่างเฉื่อยเนือยเพียงร้อยละ 1.9

ไอเอ็ม เอฟ ระบุด้วยว่า เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา ในปีนี้จะหดตัวลงร้อยละ 2.8 ขณะที่เศรษฐกิจของประเทศญี่ปุ่นจะหดตัวลงถึงร้อยละ 6.2 ส่วนเศรษฐกิจของประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (ยูโรโซน) จะติดลบร้อยละ 4.2 เศรษฐกิจของประเทศอังกฤษจะติดลบร้อยละ 4.1 และ ของประเทศสหภาพรัสเซียติดลบร้อยละ 6.0 ขณะที่ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน และอินเดีย ไอเอ็มเอฟได้ปรับลดประมาณการเจริญเติบโตลงมาเหลือร้อยละ 6.5 และ 4.5 ตามลำดับ

ต่างประเทศ

เขมรเรียกเงินไทย 300 ล้าน ชดเชยยิงปืนใหญ่ใส่

ไทยรัฐ - หนังสือพิมพ์คอมเมอเชียล นิวส์ของจีน รายงานวันนี้ (23 เม.ย.) อ้างแถลงการณ์จากกองทุนเพื่อการพัฒนาเขมร (เคซีเอฟ) ระบุชาวกัมพูชาจำนวน147 ครอบครัว จากกว่า 260 ครัวเรือน ที่อาศัยอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ติดกับดินแดนพิพาทบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งได้รับผลกระทบจากกรณีทหารไทยและทหารกัมพูชายิงปะทะกันเมื่อวันที่ 3 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้ยื่นคำร้องขอเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทย โดยประเมินค่าเสียหายจากความรุนแรงดังกล่าวราว 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 42 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม กองทุนเคซีเอฟระบุรัฐบาลไทยควรจ่ายค่าเสียหายให้ชาวกัมพูชาไม่ต่ำกว่า 9 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 315 ล้านบาท สำหรับความบอบช้ำด้านสภาพจิตใจที่ถูกกระทำย่ำยียิงถล่มด้วยกระสุนชุดใหญ่ 2 ระลอก ทำให้บ้านเรือนราษฎรถูกไฟเผาไหม้เสียหายยับเยินหลายหลัง

ทั้งนี้ รายงานข่าวระบุ รัฐบาลกัมพูชาอ้างได้ทำเรื่องส่งมายังรัฐบาลไทยแล้ว อีกทั้งรัฐบาลกัมพูชาก็จำเป็นต้องปกป้องอธิปไตยของตนอย่างเหนียวแน่น เพราะทหารไทยรุกล้ำดินแดนกัมพูชาซ้ำแล้วซ้ำเล่าบริเวณที่เดิม

มะกันจะตั้งบก.ความมั่นคงทางไซเบอร์

ASTV ผู้จัดการรายวัน - เอเอฟพี - รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังวางแผนตั้งกองบัญชาการทหารแห่งใหม่ เพื่อปกป้องเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศ จากการถูกโจมตีในโลกไซเบอร์ เจ้าหน้าที่กลาโหมของสหรัฐฯผู้หนึ่งบอกกับเอเอฟพีเมื่อวันพุธ(23) ซึ่งเป็นการยืนยันรายงานข่าวของบรรดาสื่อก่อนหน้านี้

การริเริ่มของรัฐบาลสหรัฐฯครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนการยกเครื่องนโยบายความมั่นคงในโลกไซเบอร์ เพื่อป้องกันเครือข่ายคอมพิวเตอร์จากการถูกโจมตีโดยนักเจาะระบบคอมพิวเตอร์ (แฮคเกอร์) จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีนและรัสเซีย หลังจากมีรายงานว่าเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ควบคุมการจ่ายไฟฟ้าในสหรัฐฯ และข้อมูลเกี่ยวกับโครงการเครื่องบินขับไล่ เอฟ-35 เจเอสเอฟ ของกองทัพที่มีมูลค่าราว 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกเจาะระบบ

นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่ากระทรวงกลาโหมสหรัฐฯต้องใช้เงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ในการซ่อมแซมความเสียหายของระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจมตีในโลกไซเบอร์ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน

โดยรัฐบาลสหรัฐฯน่าจะเปิดกองบัญชาการดังกล่าวได้ในเร็วๆนี้ ส่วนตำแหน่งผู้บัญชาการนั้นน่าจะคัดเลือกมาจากนายพลระดับ 3ดาว(พลโท) แม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีรายงานว่าจะมอบหมายให้นายพลระดับ 4 ดาว (พลเอก) มาทำหน้าที่ดูแลหน่วยงานนี้ก็ตาม

นอกจากนั้น ยังมีข่าวว่าประธานาธิบดีบารัค โอบามา อาจตัดสินใจแต่งตั้งที่ปรึกษาพิเศษเพื่อดูแลทางด้านความมั่นคงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งจะเป็นผู้ที่รายงานขึ้นตรงต่อเขาเช่นกัน หลังสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนหนึ่งระบุว่า ถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะต้องมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูแลในเรื่องนี้เป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่า หน่วยงานของรัฐบาลอื่นๆ เช่น กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และสภาความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือเอ็นเอสเอ จะมีบทบาทอย่างไรในการดูแลความมั่นคงในโลกไซเบอร์ในอนาคต