วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2552

ยกระดับการต่อสู้ ชูธงประชาธิปไตย ใครหน้าไหนก็ไม่อาจทัดทานได้

ที่มา Thai E-News

โดย คุณเสือตัวที่ 6
ที่มา เวบไซต์ สยามรัฐ
3 มีนาคม 2552

การต่อสู้ทางการเมืองครั้งใหม่ ก็ล่วงเลยมาเป็นเวลา 1 สัปดาห์แล้ว ที่กลุ่มคนเสื้อแดง ได้นัดหมายรวมตัวกัน เพื่อ “ทวงถามประชาธิปไตย” อันเป็นอำนาจของประชาชนกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากถูกแย่งยึดด้วยกำลังจากกองทัพ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว

ด้วยการเปิดเกมของฝ่ายค้านในสภาฯ ปฏิบัติการขย่มรัฐบาลอย่างหนัก สร้างความบอบช้ำให้พรรคประชาธิปัตย์ แกนนำรัฐบาล ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะการเปิดแผลเก่าของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ด้วยข้อกล่าวหาอันมีมูลของฝ่ายค้าน ที่ดาหน้าถล่มรัฐบาล

ไม่ว่าจะเป็นการไม่เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร และการเข้ารับราชการในตำแหน่งอาจารย์ โรงเรียนนายร้อยอย่างลึกลับ ตอกย้ำด้วยความไม่ชอบธรรมของการก้าวเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้อย่างพิลึกพิลั่น ที่สำคัญก็คือ ข้อกล่าวหาในความไม่ชอบมาพากลในการรับเงินบริจาค 263 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ จากบริษัทแห่งหนึ่ง ที่วันนี้ยังไม่ชัดเจนในคำอธิบายของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง

ประเด็นข้อกล่าวหาต่างๆ แม้ว่าจะได้รับคำอธิบายจากรัฐบาลในสภาฯ ไปแล้ว แต่ทั้งหลายทั้งปวงในข้อกล่าวหาเหล่านั้น ได้สร้างรอยด่างให้พรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย ซึ่งมันได้ถูกใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกคนเสื้อแดง ให้เข้ามารวมพลใหญ่ในครั้งนี้ ที่ต้องการทวงถามความชอบธรรม และความเป็นธรรมในหลายๆ ประเด็น

แล้วยิ่งถูกเปิดโปง จากอดีตนายกฯทักษิณฯ ในวันที่สองของการชุมนุม แบบ “ดับเครื่องชน” ผู้มีบารมีทั้งหลายในสังคมไทยหลายๆ คน ตั้งแต่การโค่นล้มรัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตย และการไล่ล่าอดีตผู้นำรัฐบาลท่านนั้นอย่างไม่เป็นธรรม ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้กลุ่มคนเสื้อแดง มีพลังในการต่อสู้มากขึ้น

โดยยุทธศาสตร์ “ชูธงประชาธิปไตย” เป็นเป้าหมายใหญ่ของการต่อสู้ ที่ถูก “ยกระดับ” ให้เป็น “การต่อสู้ของปวงชนชาวไทยทุกคน” ในประเทศนี้ ที่รักความเป็นธรรม ความเสมอภาค และเสรีภาพทั่วหน้ากัน

การเปิดหน้ากากของพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามสร้างภาพของความยึดมั่นในหลักการ และความบริสุทธิ์ผุดผ่องตลอดมา ด้วยการชี้ให้สังคมเห็นว่า คนในพรรคการเมืองนี้ ก็มีความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน

แม้ไม่สามารถล้มรัฐบาลได้ แต่ก็นับว่าคุ้มค่า และบรรลุเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ที่ส่งให้กลุ่มคนเสื้อแดง กระหน่ำต่อ แล้วยิ่งได้รับข้อมูลเชิงลึกที่สังคมไทยได้จากอดีตนายกฯ ทักษิณ ในการวิดีโอลิงก์ ที่หน้าทำเนียบ ที่แฉให้เห็นเบื้องหลังของการยึดอำนาจโดยการ “สมรู้ร่วมคิด” กันระหว่าง ผู้นำกองทัพและชนชั้นนำในสังคม ตลอดจนขบวนการเผด็จการทั้งหลาย ทำลายล้างเขา ซึ่งเป็นคนที่ประชาชนมอบหมายด้วยฉันทามติ ด้วยการเลือกตั้งเข้ามา ให้ใช้อำนาจรัฐแทนปวงชน ตามระบอบประชาธิปไตย ทำให้อุณหภูมิทางการเมืองร้อนแรงขึ้นมาอย่างน่าสะพรึงกลัว

การเปิดเผยความ (ไม่) ลับ ของอดีตนายกฯ ทักษิณ ที่หน้าทำเนียบ พร้อมด้วยการปลุกเร้ามวลชนคนรักประชาธิปไตยให้ได้คิด และรวมพลังประชาธิปไตย เพื่อต่อสู้กับ “เผด็จการอำพราง” จึงมีความแหลมคม ลุ่มลึก และทำให้การชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาล และทวงถามประชาธิปไตยที่มีประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ จึงเต็มไปด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ของประชาชน ผู้โหยหาประชาธิปไตย ที่ไม่ใช่เรื่องธรรมดา

วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ ชนชั้นนำในสังคม ผู้มีอันจะกินทั้งหลาย และผู้นำกองทัพ จึงต้องเข้าใจใหม่ว่า การโค่นล้มอดีตนายกฯ ทักษิณ และตัวแทนของเขา ไม่ว่าจะเป็นอดีตนายกฯ สมัคร และอดีตนายกฯ สมชาย ตลอดจนพรรคการเมืองของเขา พรรคแล้วพรรคเล่า จึงไม่ใช่แค่การโค่นล้มคนและกลุ่มการเมือง ที่เป็นภัยต่อความมั่นคง (ของตน) เท่านั้น แต่มันถูกยกระดับให้เป็น การโค่นล้ม คนและพรรคการเมืองของประชาชน ฝ่าย “ประชาธิปไตย” ไปเสียแล้ว

ดังนั้น เป้าหมายการต่อสู้ของคนเสื้อแดงครั้งนี้ จึงมีความชัดเจน และเป็นสาธารณะมากขึ้น เพราะมันถูกยกระดับจากการต่อสู้เพื่อตัวบุคคล ที่มีคนชื่อ ทักษิณ ชินวัตร อันเป็นขวัญใจชาวรากหญ้า มาเป็นการต่อสู้เพื่อให้ได้มา ซึ่งประชาธิปไตยอันมีประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

ให้ขยายวงกว้างออกไปสู่คนสีใดๆ ก็ตาม ที่รักความเป็นธรรม ความเสมอภาค และเสรีภาพ มากขึ้น อย่างไม่มีขีดจำกัด แล้วยิ่งปวงชนคนรากหญ้าผู้ใฝ่หาประชาธิปไตย ได้เห็นความไม่เป็นธรรมในการปกครองของรัฐบาล และไม่มีความเสมอภาค ภายใต้กฎหมายเดียวกัน รวมทั้งการมีทีท่าว่า จะคุกคามเสรีภาพของปวงชนในการชุมนุม และแสดงความคิดเห็น ตลอดจนบรรดาขุนทหารทั้งหลาย ที่กำลังแสดงบทบาทอันหมิ่นเหม่ต่อการแทรกแซงทางการเมือง และโอเวอร์แอ็คชั่นในการป้องกันทำเนียบ จนบ้านเมืองร้อนแรงขึ้นในวันนี้

ก็ยิ่งทำให้ไฟแห่งการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจอธิปไตย กลับมาเป็นของปวงชน มีความเข้มข้น ทรงพลัง เต็มไปด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า ที่ถูกยกระดับให้มาเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเป็นหลักชัย ที่ใครหน้าไหนก็ไม่อาจทัดทานได้

ที่สำคัญขอให้ตระหนักว่า หาก คนเสื้อแดงและแนวร่วม สามารถช่วงชิงกระแสประชาธิปไตยมาครอบครองได้เป็นผลสำเร็จ อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วละก็

ใครหรือกลุ่มใดก็ตาม ที่ทำตัวแปลกแยก แตกต่างจากวิถีของคนกลุ่มเสื้อแดงผู้แสวงหาประชาธิปไตยแล้ว เขาเหล่านั้นก็จะถูกผลักไสให้เป็นพวกเผด็จการ ซึ่งยืนอยู่ตรงข้ามกับประชาธิปไตย

ที่แม้จะต้องต่อสู้กันอีกหลายยก แต่ท้ายที่สุด เผด็จการทั้งหลาย แม้จะมีพลังมากมายปานใด ก็จะต้องถูกทำลายลงอย่างย่อยยับ และได้รับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

เพราะ “พลังประชาธิปไตย” ที่ถูกยกระดับ มาให้เป็น “ธงชัยในการต่อสู้” ของประชาชนหนนี้ ยิ่งใหญ่กว่าที่คิด