วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552

‘วิถีพุทธ’ กับปัญหาท้าทายสังคมไทย

ที่มา ประชาไท

สุรพศ ทวีศักดิ์

ความขัดแย้งและความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งที่นำไปสู่การแบ่งฝักฝ่ายของคนในสังคมออกเป็นฝ่ายเหลือง-แดง อย่างชัดเจนกว่าสามปีมานี้ เป็นปัญหาท้าทายสังคมไทยเป็นอย่างยิ่งว่าจะหา ทางออก กันได้อย่างไร

บทความนี้ เป็นความพยายามหนึ่งในการหาคำตอบต่อปัญหาท้าทายดังกล่าว โดยเสนอ วิถีพุทธ เป็นทางออกให้ลองพิจารณาร่วมกัน

ถ้าถามว่า วิถีพุทธคืออะไร? คำตอบที่น่าจะทำให้เรามั่นใจได้มากที่สุดคือคำตอบที่สอดคล้องกับสัจธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้คือ อริสัจ 4 จากความหมายของอริยสัจ 4 เราสามารถนิยาม วิถีพุทธ ได้ว่าคือ วิถีแห่งการประจักษ์แจ้งสัจจะ หรือ วิถีแห่งการทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งความจริงที่ต้องประจักษ์แจ้งหรือทำให้ปรากฏนั้น มีอยู่ 4 มิติหลักๆ คือ

1. ความจริงของทุกข์หรือปัญหาต่างๆ (ทุกขสัจจะ) เป็นความจริงที่เราต้องรู้หรือเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทุกข์หรือปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น คืออะไร มีขอบเขต และผลกระทบอย่างไร

2. ความจริงของสาเหตุแห่งทุกข์หรือปัญหาต่างๆ (สมุทัยสัจจะ) เป็นความจริงที่เราต้องรู้และแก้ไขให้ได้ หรือจัดการแก้สาเหตุที่แท้จริงของปัญหาให้ได้

3. ความจริงของความพ้นทุกข์หรือเป้าหมายของการแก้ปัญหา (นิโรธสัจจะ) เป็นความจริงที่เราต้องบรรลุถึง หรือทำให้เกิดความชัดเจนว่าเป้าหมายในการแก้ปัญหาคืออะไร ประโยชน์สุขที่แท้จริงที่เราต้องการคืออะไร

4. ความจริงของทางพ้นทุกข์หรือทางแก้ปัญหา (มัคคสัจจะ) เป็นความจริงของทางแก้ปัญหาที่เราต้องสร้างขึ้นและใช้ปฏิบัติเพื่อขจัดสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และบรรลุเป้าหมาย หรือประโยชน์สุขที่แท้จริง

ประเด็นสำคัญของวิถีพุทธตามหลักอริยสัจ 4 คือ ในการจะแก้ปัญหาได้สำเร็จ เราต้องรู้เข้าใจ สัจจะ หรือความจริงของปัญหา สาเหตุ เป้าหมาย และแนวทาง โดยมีวิธีปฏิบัติต่อความจริงแต่ละอย่างแตกต่างกันออกไป ความจริงของปัญหาจะต้องถูกระบุออกมาให้ชัดแจ้งว่าคืออะไร สาเหตุของปัญหาจะต้องถูกขจัดให้หมดไป เป้าหมายของปัญหาจะต้องบรรลุถึง และแนวทางแก้ปัญหาจะต้องสร้างขึ้นและใช้ปฏิบัติให้สามารถขจัดสาเหตุของปัญหาและบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้จริง

หากพิจารณาจากหลักคิดของวิถีพุทธดังกล่าว เราอาจได้คำตอบต่อปัญหาความขัดแย้ง ดังนี้

1. สังคมจะต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่าปัญหาขัดแย้งในเวลานี้คืออะไร เช่น ควรจำแนกว่า อะไรคือปัญหาของตัวบุคคล สถาบัน (สถาบันการเมือง สถาบันองคมตรี สถาบันทหาร สื่อมวลชนฯลฯ) อะไรคือปัญหาความไม่เป็นประชาธิปไตย ความไม่เป็นธรรม ฯลฯ ที่เชื่อมโยงเป็นเหตุปัจจัยกลายเป็นพลวัตแห่งสถานการณ์ความขัดแย้งอยู่ในเวลานี้ และปรากฏการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวมีผลกระทบด้านลบด้านบวกต่อสังคมโดยรวมอย่างไร แสดงถึงพัฒนาการประชาธิปไตย หรือจะเป็นจุดเปลี่ยนของสังคมการเมืองไทยโดยรวมอย่างไร

2. ต้องระบุสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา และตระหนักร่วมกันว่าจะต้องขจัดสาเหตุที่แท้จริงของปัญหานั้นให้ได้ เช่น การทุจริตของตัวบุคคล การแสดงบทบาทไม่เหมาะสมของบุคคลในสถาบันต่างๆ ระบบที่เป็นปัญหา หรือโครงสร้างอำนาจของสถาบันนั้นๆเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยและการสร้างความเป็นธรรมอย่างไร โครงสร้างอำนาจ/วัฒนธรรมทางสังคม เศรษฐกิจ การเมืองที่เป็นอยู่เป็นโครงสร้างที่ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรม และไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างไร ฯลฯ สาเหตุทั้งปวงของปัญหาจะต้องถูกแก้ไขอย่างจริงจังเป็นรูปธรรม

3. สังคมต้องมี อุดมการณ์ร่วมกัน ว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือความเป็นธรรมที่จะเกิดขึ้นหลังจากการแก้สาเหตุของปัญหา (ที่สำคัญๆ) ได้เสร็จสิ้นมี หน้าตา เป็นอย่างไร และตระหนักร่วมกันว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนสังคมของเราให้มีหน้าตาเป็นประชาธิปไตยที่มีความเป็นธรรมอย่างแท้จริง

4. มัคคสัจจะหรือทางแก้ปัญหาที่ถูกต้อง ถ้าเป็นปัญหาของตัวบุคคลที่ทำผิดกฎหมายไม่ว่าจะเป็นคุณทักษิณ องคมนตรี ทหาร บุคคลในรัฐบาล หรือในฝ่ายเสื้อเหลืองเสื้อแดงควรเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมใน มาตรฐานเดียวกัน หรือบางเรื่องหากจำเป็นต้องตั้ง คณะกรรมการอิสระ ที่สังคมยอมรับว่าเป็นกลางมากที่สุดขึ้นมาไต่สวนก็จำเป็นต้องทำ ส่วนโครงสร้างอำนาจหรือบทบาทหน้าที่ของสถาบันต่างๆที่เห็นว่าเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตย และโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองที่ไม่เป็นธรรมและไม่เป็นประชาธิปไตย ก็จำเป็นต้องนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาแก้ไขกันอย่างจริงจัง

ควรถือเป็น วาระแห่งการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย ที่ต้องร่วมกันทำ ความจริงให้ปรากฏ การบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตาม หลักนิติรัฐ และ ปรับรื้อ โครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรมต่างๆ พร้อมกับสร้าง วัฒนธรรมประชาธิปไตย ผ่านเวทีปฏิรูปการเมือง เวทีสาธารณะอื่นๆ กิจกรรมและการเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชน เวทีสื่อทุกประเภท รวมทั้งการปฏิรูปการศึกษาครั้งใหม่ที่ต้องเน้นการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางสังคมให้มากขึ้น

ปัญหาความยากจน สำนึกทางชนชั้น” “ความไม่เป็นธรรม ด้านต่างๆควรถูกทำให้เป็น ประเด็นสาธารณะ ที่จะช่วยให้สังคมเกิดความตระหนักรู้ร่วมกันอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เกิดการผลักดันนโยบายที่เป็นรูปธรรมในการแก้ปัญหาดังกล่าว

มรรคสัจจะตามวิถีพุทธที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา ซึ่งย่อลงเป็น ไตรสิกขา ศีล สมาธิ ปัญญา นั้น หากมองในเชิงประยุกต์กับปัญหาทางสังคมการเมืองในขณะนี้ ศีล ก็คือ กติกาที่เป็นธรรม ในการอยู่ร่วมกันซึ่งสังคมจะต้องร่วมกันสร้างขึ้นตามกระบวนการประชาธิปไตย สมาธิ คือ เจตจำนงร่วมที่แน่วแน่ทางสังคมที่ต้องการให้เกิดความเป็นธรรม ประชาธิปไตย (ที่ก้าวหน้าขึ้นหรือที่แท้จริง?) และสันติภาพ ปัญญา คือ การเข้าใจความจริงร่วมกัน ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้วยเหตุผลในสังคมที่มีเสรีภาพในการพูดความจริง และเคารพประชาชนในฐานะที่ทุกคนต่างเป็นมนุษย์ที่มีวิจารณญาณด้วยตนเองในการวินิจฉัยความจริง และ ถูก ผิด ดี ชั่ว

ที่กล่าวมานี้เป็นเพียง แง่คิด จากวิถีพุทธตามการตีความของผู้เขียน อาจถูกหรือผิดก็ได้ ไม่ใช่ สูตรสำเร็จเป็นเพียงการเสนอโดยหวังให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์แลกเปลี่ยนกันหลายๆด้าน เพื่อหา ทางออก ที่ดีกว่าและเป็นไปได้ให้กับปัญหาความขัดแย้งที่ท้าทายสังคมไทยอยู่ในขณะนี้