วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2552

สาปภูษา สาปประชาธิปไตยไทย

ที่มา ประชาไท

มุกดา ตฤณชาติ

สถานการณ์ทางการเมืองไทยปัจจุบันที่แบ่งออกเป็นฝักฝ่าย และมีฝ่ายหนึ่งถูกกระทำ ถูกกดทับ มีแต่ความอึดอัด คับแค้น ชวนให้ผู้เขียนนึกไปถึงละครเรื่องสาปภูษา ที่เพิ่งลาวิกช่อง 3 ไปหมาดๆ ว่ามีความละม้ายคล้ายคลึงกับสถานการณ์ทางการเมืองอย่างน่าประหลาด

เจ้าสีเกดตัวเอกของเรื่องซึ่งเป็นวิญญาณพยาบาทคอยเฝ้าทำร้ายใครๆ นั้น ดูไปแล้วเป็นตัวแทนของชนชั้นล่างที่ถูกกระทำในทุกทาง หรือในสถานการณ์ปัจจุบันก็คือกลุ่มคนเสื้อแดงและแนวร่วมประชาธิปไตยทั้งหลายที่ถูกกด ถูกประณามว่าโง่เง่า เป็นนักเลือกตั้ง ติดประชานิยม นิยมทักษิณ หมิ่นสถาบันฯ ต่างๆ นานาสารพัด และแทบจะไร้เครื่องมือใดๆ ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม

ขออนุญาตเล่าเรื่องสาปภูษา บทประพันธ์ของพงศกร อย่างย่อๆ สำหรับผู้อ่านที่ไม่เคยติดตามดูให้พอมองเห็นภาพคร่าวๆ

เจ้าสีเกดเป็นลูกหลานของเจ้าทางลาวที่ประกาศแยกตัวเป็นอิสระจากรัฐไทย เมื่อการดังกล่าวล้มเหลว จึงถูกกวาดต้อนมาไทยในฐานะเชลย พระบิดาถูกประหารชีวิต ส่วนตัวเจ้าสีเกดนั้นมีชีวิตอยู่อย่างเป็นที่ดูถูก หยามเหยียดว่าเป็นลูกกบฏ ที่ก่อความวุ่นวายให้กับชาติบ้านเมือง

เจ้าสีเกดได้พบรักกับหม่อมเจ้าทัด และตกเป็นภรรยาอย่างไม่ถูกต้องตามประเพณี ความรักครั้งนี้เป็นความหวังของเจ้าสีเกดว่าจะได้รับความรักจากชายที่รัก และได้รับการยกย่องอย่างสมเกียรติสมฐานะราชนิกุล แต่แล้วการณ์กลับผิดจากที่คาดหวังไว้ ไม่นานชายทัดก็ได้พบรักใหม่กับหม่อมเจ้าหญิงฉาย และได้รับการสนับสนุนจากผู้หลักผู้ใหญ่ให้แต่งงานกัน

เจ้าสีเกดพยายามทุกทางที่จะได้แต่งงานเป็นเมียเอกของท่านชายทัด แต่ชายทัดกลับปลอบประโลมว่าจะแต่งให้เป็นเมียรอง สุดท้าย เมื่อหมดหนทางและรู้ว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ เจ้าสีเกดจึงตัดสินใจ ทำคุณไสยจนชายทัดรับเข้าไปอยู่ในบ้าน แต่แล้วก็ถูกจับได้ เจ้าสีเกดต้องโทษประหาร ซึ่งการประหารจะมีขึ้นหลังจากเจ้าสีเกดคลอดลูกแล้ว โดยหญิงฉายจะรับลูกไปเลี้ยง ส่วนผ้าห่มไหมปักทองที่เจ้าสีเกดเพียรปักเพื่อใช้ในงานแต่งงานของตนกับท่านชายทัด ก็จะต้องยกให้หญิงฉายใช้ในงานแต่งงาน

ด้วยความเคียดแค้น และหยิ่งในศักดิ์ศรีของตน เจ้าสีเกดจึงได้ผนึกคำสาปแช่งลงในผืนผ้า และผูกคอตายพร้อมลูกในท้องในคืนที่ปักผ้าเสร็จ จากนั้นวิญญาณของเจ้าสีเกดก็ตามอาฆาตพยาบาทชายทัดและหญิงฉายไม่ให้ได้แต่งงานกันทุกชาติภพ

เรื่องนี้ในทางพุทธอาจจะสอนได้ถึงเรื่องกฎแห่งกรรม ผู้อ่านอาจจะเห็นเจ้าสีเกดน่าสงสาร แต่ก็ไร้สติ ไม่รู้จักทำใจให้ยอมรับความจริง และยึดมั่นในศักดิ์ศรีจนเกินไป

แต่หากมองให้พ้นจากกรอบศีลธรรมเดิมๆ นี้ จะเห็นได้ว่า เจ้าสีเกดนั้นต่อสู้เพื่อสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตน

เจ้าสีเกดอาจจะหลงรักท่านชายทัด ใจอ่อนยอมตกเป็นเมียง่ายๆ แต่เมื่อทอดถูกทิ้ง จึงร้องทวงถามความรัก และศักดิ์ศรี สิ่งที่ชายทัดมอบให้เป็นเพียงตำแหน่งเมียรอง ขณะที่ผู้รักประชาธิปไตยถูกอภิสิทธิ์ชนข่มขืนครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหาร ยุบพรรค ล้มรัฐบาล สถาปนารัฐบาลอภิสิทธิ์ ในการเรียกร้องประชาธิปไตยที่ปราศจากการแทรกแซงของอภิสิทธิ์ชน อันแสดงถึงการเคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของประชาชน สิ่งที่ได้รับมีเพียงแค่ รัฐธรรมนูญ 50 (ฉบับอำมาตย์) เศรษฐกิจพอเพียง และเช็ค 2,000 บาท

สิ่งเดียวที่เจ้าสีเกดมีคือ มารยาหญิง และเธอก็ใช้เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เธอต้องการ เมื่อไม่ได้ผล ไร้หนทางต่อสู้ และสถานการณ์บีบบังคับ เธอจึงจำต้องใช้วิธีการที่ผิดกฎหมายและศีลธรรม

อำนาจที่ฝ่ายประชาธิปไตยมีคือ เสียงข้างมาก แต่กลับถูกปฏิเสธแล้วปฏิเสธอีก นำมาซึ่งการชุมนุมของคนเสื้อแดงนับแสนเพื่อสำแดงอำนาจในที่สุด หากแต่เหล่าอภิสิทธิ์ชนก็ยังเมินเฉย ความอึดอัด คับแค้นใจของผู้ชุมนุมนำไปสู่การปิดถนนโดยที่แกนนำไม่สามารถควบคุมได้ พวกเขาเลือกใช้วิธีการที่รู้อยู่เต็มอกว่าคนทั่วไปยอมรับไม่ได้ด้วยเหตุผลเดียวคือ ทนไม่ไหวแล้วโว้ย ทำไม (มึง) ไม่ฟังเสียงประชาชน (กู) บ้าง

แต่แล้ว นอกจากจะไม่ฟังเสียงประชาชนที่ออกมาสู่ท้องถนนทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดแล้ว รัฐบาลโดยการหนุนหลังของกองทัพ เครือข่ายอำมาตย์ และประชาชนผู้มีใจสมยอมต่ออภิสิทธิ์ชนเหล่านี้ ยังยัดข้อหา ใช้ความรุนแรง ก่อการจลาจล และนำกำลังทหารพร้อมอาวุธสงครามเข้าสลายการชุมนุมอย่างชอบธรรม ท่ามกลางเสียงเชียร์และปรบมือ รัฐบาลทำดีแล้ว อดทนได้อย่างดี โดยไร้การไตร่ตรองว่าความรุนแรงทั้งในเชิงโครงสร้างและทางกายภาพนั้นเริ่มต้นจากฝ่ายรัฐ ซึ่งควรจะต้องรับผิดชอบด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกับความผิดถึงขั้นประหารชีวิตของเจ้าสีเกด ที่ไม่มีฝ่ายใดลงโทษชายทัด กลับส่งเสริมให้แต่งงานกับหญิงฉายต่อไป

ดังนั้น เรื่องจึงไม่จบลงเพียงแค่นี้ แต่กลับเป็นจุดเริ่มของความอาฆาตพยาบาทในจิตใจที่ไม่ยอมถูกกดขี่ของเจ้าสีเกด และติดตามไปทำลายชีวิตของชายทัด รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องอีกหลายชาติ ต่อการเมืองไทย ผู้เขียนเองก็เชื่อว่า ไม่จบเพียงแค่นี้ ความไม่เป็นธรรมที่กดทับต่อประชาชนผู้รักประชาธิปไตยมากขึ้นเรื่อยๆ จะยิ่งทำให้พวกเขาตื่น และตอบโต้ต่อผู้ปกครองรุนแรงยิ่งขึ้น แถมกระจายไปทั่วทุกพื้นที่

ชายทัด และผู้แวดล้อมกระทำผิดต่อผู้หญิงคนหนึ่ง สาเหตุหนึ่งนั้นด้วยความหลายใจของชายทัดเอง แต่อีกประการมาจากประเพณีที่เป็นกรอบของทัศนะที่ผิดพลาด ทัศนะที่ยกให้ชายเป็นใหญ่ และยกตนเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นของศักดินาไทย โดยเฉพาะต่อเชลยศึก ซึ่งสวนทางและไม่มีวันลงรอยกับความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีของเจ้าสีเกด จึงก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น หากแต่เมื่อมาเกิดในโลกสมัยใหม่ มองเหตุการณ์และปัญหาด้วยทัศนะแบบใหม่ ที่ให้ความเคารพในศักดิ์ศรีของผู้อื่นมากขึ้น ทาวิธซึ่งเป็นชาติใหม่ของชายทัด จึงยอมบวชตลอดชีวิตเพื่ออุทิศส่วนกุศลและมอบความรักที่บริสุทธิ์ใจให้กับเจ้าสีเกด วิญญาณอาฆาตที่ไขว่คว้าหาความรักของเจ้าสีเกดจึงสิ้นพันธะและไปสู่สุคติในที่สุด

ผู้เขียนเห็นว่า ปัญหาความขัดแย้งในการเมืองไทยก็ไม่อาจยุติได้ถ้าหากคู่ขัดแย้งยังคงมองผู้รักประชาธิปไตย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนชั้นล่างด้วยทัศนคติแบบเก่าของศักดินา ดูถูกว่าไร้การศึกษา ซื้อหาว่าจ้างได้ด้วยเงินหลักร้อยหลักพัน เรียกร้องหาประชาธิปไตยจอมปลอม ถูกยุยงปลุกปั่น แล้วปฏิบัติต่อพวกเขาประหนึ่งไพร่ฟ้าที่บังอาจลุกมาแข็งข้อต่อศักดินา ต่อให้ไล่จับแกนนำ ไล่ปิดสื่อ บิดเบือนข่าวสาร ต่อให้ยุบพรรคอีกร้อยพรรค รณรงค์ให้ทุกฝ่ายหยุดใช้ความรุนแรง หรือต่อให้โยนเงินสร้างประชานิยมอย่างเดียว โดยไม่แตะโครงสร้างการเมืองที่ไม่เป็นธรรม ก็ไม่อาจทำให้สังคมไทยสงบสุขได้อีกต่อไป หากแต่ยิ่งสวนทางกับจิตใจที่ต่อสู้เรียกร้องความเป็นธรรม รังแต่จะกด บีบ ให้ไร้ทางต่อสู้ และรอวันปะทุออกมาเป็นความรุนแรงยิ่งๆ ขึ้น

หนทางที่จะแก้ปัญหาได้คือ รัฐบาล กองทัพ อภิสิทธิ์ชน ประชาชนทั่วไปต้องมีทัศนคติแบบใหม่ที่เป็นประชาธิปไตย เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของประชาชนทุกคนในฐานะพลเมืองที่มีสำนึกทางการเมือง หยุดและไม่ยอมรับการแทรกแซงทางการเมืองใดๆ ถึงเวลาแล้วที่จะประชาธิปไตยไทยต้องพัฒนาไปด้วยน้ำมือประชาชน ซึ่งเริ่มได้ด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 50 และยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน มิเช่นนั้นแล้ว ประชาธิปไตยไทยคงจะต้องคำสาป และผู้รักประชาธิปไตยจะกลายเป็นวิญญาณอาฆาตคอยตามพยาบาททำลายล้างเหล่าอภิสิทธิ์ชนไปอีกนานแสนนาน