วันพฤหัสบดีที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2552

ใกล้ทางตัน

ที่มา มติชน

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย ฐากูร บุนปาน



พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกอาการ "เลือดเข้าตา" มากขึ้นทุกที

มีคำถามว่าอาการแบบนี้เกิดขึ้นเพราะขาดสติ เป็นการดิ้นรนเพราะรู้ว่าใกล้จะพ่ายแพ้

หรือยังรู้ตัวอยู่ทุกกระเบียดและเชื่อมั่นว่า วิธีการนี้จะนำพาไปสู่เป้าหมายที่ต้องการได้

การประเมินจากกลุ่มเพื่อนเนวิน ซึ่งถือว่าเป็นคนที่รู้ไส้รู้พุงกันดีมากที่สุดกลุ่มหนึ่ง เพราะเคยร่วมทำงานแบบนี้ด้วยกันมาก่อนก็คือ

อดีตนายกรัฐมนตรีมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าวันนี้ม็อบเสื้อแดง "จุดติด" แล้ว

ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพมหานครหรือต่างจังหวัด

ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลนั้น ฝ่ายเสื้อแดงยืนยันว่าเทียบ "จำนวนจริง" กันแล้ว จะมากกว่าสมัย "ม็อบเสื้อเหลือง" ถึง 2-3 เท่า

ตรงนี้ใกล้เคียงกับรายงานการประเมินโดยหน่วยข่าวของราชการ

และจะสามารถชุมนุมต่อไปได้ถึงสงกรานต์ หรือเลยจากนั้นไปอีก

เพราะเชื่อมั่นว่าถึงจะหยุดพักช่วงไป แต่หลังเทศกาลผ่านพ้นแล้ว ชาวเสื้อแดงพร้อมจะกลับรวมตัวกันอีก

จริงหรือไม่ ต้องให้ความจริงยืนยัน

แต่ที่ประเมินได้ก่อนอย่างหนึ่งก็คือ ถ้าม็อบเสื้อแดงยังไม่สลาย พ.ต.ท.ทักษิณก็จะปราศรัยเขย่ารัฐบาล เขย่าสถาบันต่างๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

และมีแนวโน้มด้วยว่า "ดีกรี" ของการพูดจาจะแรงขึ้น-แรงขึ้น

ไม่อย่างนั้นก็จืดตาย เอาม็อบไม่อยู่แน่ๆ

แต่คำถามมีอยู่ว่า แล้วฝ่ายที่เป็นศัตรูกับ พ.ต.ท.ทักษิณ (ซึ่งปัจจุบันกุมอำนาจรัฐอยู่ด้วย) จะยอมให้ขย่มเอา-ขย่มเอาอยู่ข้างเดียวหรือ

ไม่มีมือไม่มีไม้ ทำอะไรไม่ได้จริงหรือ

ถ้า "ไม่ได้ทำ" อะไรเลยในช่วงที่ผ่านมา อดีตนายกรัฐมนตรีจะกระเด็นออกไปอยู่ต่างประเทศได้อย่างไร

มีหนหนึ่งแล้ว จะมีสองสามตามมาไม่ได้หรือไร

การเมืองไทยจึงกลายเป็นภารตนิยายเรื่องรามเกียรติ์ รบกันอยู่นั่นแล้วไม่รู้จักจบ

รบกันไม่เลือกเวลาไม่เลือกเวที แม้กระทั่งในยามที่ปัญหาปากท้องสาหัสที่สุดเท่าที่ชั่วชีวิตของคนรุ่นนี้ประสบมา

เห็นความ "คลั่ง" พอๆ กันของคู่ขัดแย้งในเวลานี้แล้ว

ใจหนึ่งก็อยากจะให้รบกันขั้นแตกหักเสียให้รู้แล้วรู้รอดไป

ถ้าไม่ติดว่า รบกันทีไรคนเจ็บคนตายคือชาวบ้านที่เป็นไพร่พลทุกที ตัวใหญ่หรือคนชักใย หรือแม้แต่ตัวละครโรคจิตที่ป่วนเมืองไทยมา 30 ปี ก็เห็นยังอยู่ดีกินอร่อยกันอยู่ทุกคน

ครั้นจะพูดให้เขาเมตตาประชาชนเหมือนปากว่า ก็รู้แก่ใจว่าคงเป็นไปไม่ได้

เพราะถ้าเป็นคนดีกันขนาดนั้น เมืองไทยจะเป็นอย่างวันนี้หรือ

ทางเลือกสุดท้ายคือจะประคับประคองสถานการณ์ให้ผ่านจุดเดือดที่สุดไปได้อย่างไร

ไม่สมานฉันท์ แต่ขัดแย้งกันแบบสันติได้หรือไม่

ลดดีกรีความไม่พอใจ ด้วยการให้ความเป็นธรรมจริงๆ

ได้หรือไม่?