วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2552

WHO เพิ่มระดับเตือนภัยไข้หวัดเม็กซิโก ระบาด 7 ชาติ ตายแล้ว 152 ครม. ตั้งคณะกรรมการระดับชาติเฝ้าระวัง

ที่มา ประชาไท

ASTVผู้จัดการรายวัน รายงานโดยอ้างอิงจาก เอเอฟพี/รอยเตอร์ ระบุ เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกยังคงแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวานนี้ (28) มีผู้ติดเชื้อที่ได้รับการยืนยันแล้วใน 7 ประเทศ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตในเม็กซิโก พุ่งเป็น 152 รายแล้ว ทางองค์การอนามัยโลก หรือ ฮู ประกาศยกระดับการเตือนภัยจากระดับ 3 เป็นระดับ 4 พร้อมระบุอาจจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอีก นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่สาธารณสุขโลกยอมรับว่า ไร้อำนาจที่จะสกัดกันการแพร่กระจายของเชื้อร้ายนี้

จากรายงานที่ได้รับจนถึงเมื่อคืนวานนี้ มี 7 ประเทศ แล้วที่มีการยืนยันว่า มีผู้ติดเชื้อไข้หวั ดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก ซึ่งเป็นสายพันธุ์ H1N1 และมีส่วนประกอบเป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่ในคน, หมู, และสัตว์ปีกผสมกัน ได้แก่ เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา แคนาดา สเปน อังกฤษ นิวซีแลนด์ และอิสราเอล

นอกจากนั้น ยังมีอีกอย่างน้อย 10 ประเทศที่ตรวจพบผู้ต้องสงสัยว่า อาจติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ คือ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ฮ่องกง ชิลี โคลอมเบีย ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ สาธารณรัฐไอร์แลนด์ เดนมาร์ก และสวีเดน

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตในประเทศอื่นยกเว้นแต่ในเม็กซิโก ซึ่งยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดของเม็กซิโกได้เพิ่มเป็น 152 รายแล้วเมื่อวานนี้ (28)

โฮเซ อังเฆล กอร์โดบา รัฐมนตรีสาธารณสุขของเม็กซิโก ออกมาแถลงยืนยันว่า ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดในประเทศ ได้เพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 152รายแล้ว และเชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตน่าจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ประชาชนอีกกว่า 1,995 คนซึ่งต้องสงสัยว่า ติดเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ดังกล่าวจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล สามารถกลับบ้านได้แล้วกว่าครึ่ง

อย่างไรก็ตาม กอร์โดบา ยอมรับว่า การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสชนิดนี้เข้าขั้นรุนแรงแล้ว โดยพบข้อมูลว่า การแพร่ระบาดได้ลุกลามกินพื้นที่ของ 10 รัฐ จากทั้งหมด 31 รัฐของประเทศแล้วในขณะนี้ และจำนวนผู้เสียชีวิตก็ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ทางการจำเป็นต้องสั่งปิดโรงเรียนทุกแห่งทั่วประเทศแบบไม่มีกำหนดจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น

องค์การอนามัยโลกยกระดับเตือนภัย

ทางด้านองค์การอนามัยโลก ได้ประกาศยกระดับการเตือนภัยไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก ที่กำลังแพร่ระบาดจากระดับที่ 3 เป็นระดับที่ 4 แล้ว

เคอิจิ ฟุกุดะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกออกมาเปิดเผยว่า ในขณะนี้มีความจำเป็นที่จะต้องประกาศเพิ่มระดับการเตือนภัยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์เม็กซิโกเป็นระดับที่ 4 จากทั้งหมด 6 ระดับ เนื่องจากทางองค์การอนามัยโลกเชื่อว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่าเชื้อไวรัสชนิดนี้ สามารถแพร่กระจายได้อย่างง่ายดายจากคนสู่คนแล้ว ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการประกาศเตือนภัยโรคระบาดถึงระดับที่ 4

อย่างไรก็ตาม เกรกอรี ฮาร์เทิล ซึ่งเป็นโฆษกขององค์การอนามัยโลก ได้ออกมาเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (27) โดยยอมรับว่า องค์การอนามัยโลกอาจพิจารณาสั่งเพิ่มระดับการเตือนภัยเป็นระดับที่ 5 ได้อีก หากพบว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกสามารถทำให้เกิดการติดต่ออย่างรวดเร็วและในปริมาณมากระหว่างคนสู่คน

สายเกินไปแล้วที่จะจำกัดเขตการระบาด

เคอิจิ ฟุกุดะ ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกยืนยันว่า นานาชาติไม่สามารถจะยับยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกได้อีกต่อไปแล้ว

ฟุกุดะ ยอมรับว่า สิ่งเดียวที่นานาชาติจะทำได้ในขณะนี้คือ การหามาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากการแพร่ระบาดไม่ให้รุนแรงจนเกินควบคุมเท่านั้น

เขาเตือนด้วยว่า ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะต้องเตรียมรับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดที่อาจจะเลวร้ายมากยิ่งขึ้น และมีความเป็นไปได้ที่อาจต้องประกาศเพิ่มการเตือนภัยถึงระดับที่ 6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด หากเชื้อไวรัสชนิดนี้กลายเป็น โรคระบาดที่มีการแพร่ไปในวงกว้าง (pandemic) อย่างเต็มรูปแบบ และมีการแพร่กระจายจากภูมิภาคหนึ่ง ไปยังอีกหลายภูมิภาคของโลกในอัตราที่รวดเร็วและรุนแรง

ขณะเดียวกันเกรกอรี ฮาร์เทิล โฆษกขององค์การอนามัยโลก มองว่า ยังพอมีทางป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโกกลายเป็นโรคระบาดในวงกว้างเต็มรูปแบบได้ โดยประเทศต่างๆ ต้องช่วยกันหามาตรการป้องกันไม่ให้คนในประเทศของตนติดเชื้อ ส่วนถ้าประเทศใดมีผู้ติดเชื้อแล้ว ก็ต้องพยายามควบคุมผู้ติดเชื้อให้อยู่พื้นที่จำกัด และต้องให้การรักษาอย่างถูกต้องโดยเร็ว เนื่องจากการเคลื่อนย้ายของประชากรจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองหนึ่ง และจากประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่งในแต่ละวัน ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้การแพร่ระบาดลุกลามมากยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ตาม ฮาร์เทิล ระบุว่า การควบคุมการเคลื่อนย้ายของประชากรตามที่เขาแนะนำนั้น ไม่ได้หมายความถึงการที่ประเทศต่างๆ จะสั่งปิดพรมแดนหรือสั่งจำกัดการเดินทางของประชาชนแต่อย่างใด

ครม. ตั้งคณะกรรมการระดับชาติติดตามปัญหา

วันที่ 28 เม.ย.) เมื่อเวลา 12.55 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม.รับทราบการดำเนินงานของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในการดูแลปัญหาการแพร่ระบาดของไข้หวัดเม็กซิโก โดย ครม. เห็นว่าระบบการเฝ้าระวังจะต้องทำในลักษณะที่เชื่อมโยงได้ทุกหน่วยงานอย่างมีเอกภาพ จึงได้มีการมอบหมายให้พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการที่จะดูแลมาตรการการเฝ้าระวัง โดยทำงานประสานกับองค์การอนามัยโลก (WHO) และต่างประเทศ เพราะวิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือประเทศที่มีผู้ติดเชื้อควรจะต้องมีมาตรการดูแลป้องกันตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจในเรื่องการดูแลและเฝ้าระวังได้ง่ายขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า องค์การอนามัยโลกเพิ่มระดับของโรคไข้หวัดเม็กซิโกเป็นระดับ 4 รัฐบาลไทยจะเพิ่มมาตรการการเฝ้าระวังให้เข้มงวดขึ้นหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการติดตั้งเครื่องวัดอุณหภูมิร่างกาย (Thermo Scan) และกระทรวงสาธารณสุขได้เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ไว้แล้ว ซึ่งลักษณะการเฝ้าระวังจะใช้รูปแบบคล้ายกับช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก โดยจะมีคณะกรรมการเป็นผู้ดูแล และมีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และกระทรวงที่เกี่ยวข้องร่วมดำเนินงานด้วย นอกจากนั้นยังจะประสานกับองค์การอนามัยโลกเพื่อให้มาตราการต่างๆ สามารถดูแลตั้งแต่ต้นทาง ซึ่งจะทำให้การทำงานง่ายกว่า

ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีความจำเป็นที่รัฐบาลต้องประกาศห้ามประชาชนเดินทางไปประเทศเม็กซิโกหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เราจะให้ข้อมูลต่าง ๆ อย่างเต็มที่ว่าการระบาดขณะนี้มีที่ไหนอย่างไรบ้าง ซึ่งผู้โดยสารที่เดินทางกลับมาจากประเทศที่พบว่ามีการติดเชื้อและมีการระบาดของโรคนั้น ต้องมีการเฝ้าระวัง และเข้าสู่กระบวนการที่เข้มข้นมากขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหานี้จะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทยหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่ามาตรการของรัฐบาลนั้นต้องการให้คนที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทยมีความเชื่อมั่น และตราบเท่าที่ยังไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศไทยเราก็จะรักษามาตรฐานนี้ไว้เพื่อทำให้เกิดความมั่นใจได้ว่ามาประเทศไทยแล้วปลอดภัย

การบินไทยออกมาตรการ ป้องกัน

พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ สังขพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส สำนักเลขานุการ และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าววานนี้ (28 เม.ย.) ว่า การบินไทยได้ตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะวิกฤติ เป็นผู้รับผิดชอบในการออกมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เม็กซิโก และประสานงานหน่วยงานทั้งภายในและภายนอก โดยในส่วนของหน่วยงานภายใน ประสานให้แต่ละฝ่ายดำเนินการตามมาตรการ และประสานกับหน่วยงานภายนอกในการติดตามการออกมาตรการจากภาครัฐบาล เพื่อนำมาตรการมาปฏิบัติ รวมทั้งสรุปรายงานผลการดำเนินการ ให้ฝ่ายบริหารรับทราบ

สำหรับมาตรการหลักของการบินไทย จะคำนึงถึงมาตรการที่เกี่ยวข้อง กับการให้บริการผู้โดยสาร และการดำเนินการด้านสุขลักษณะ เพื่อให้มีการรักษาความสะอาดสูงสุด ในการให้บริการทั้งบนเครื่องบิน และการบริการภาคพื้นดิน โดยมาตรการต่างๆ จะเป็นมาตรการใกล้เคียงกับที่เคยใช้ปฏิบัติ ในคราวที่เกิดโรคระบาดซาร์ เมื่อปี 2546 และโรคระบาดไข้หวัดนกในปี 2547 ได้แก่ มาตรการในการคัดกรองผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออก และมาตรการการรักษาความสะอาด ในห้องผู้โดยสารบนเครื่องบิน ทั้งด้านอุปกรณ์ เครื่องใช้ในการบริการ และพนักงานที่ปฏิบัติงาน ซึ่งได้ผลดี และได้รับการชื่นชมจากองค์การอนามัยโลก (WHO)

ทั้งนี้ การบินไทยได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ดังนี้ คือ ได้มีมาตรการคัดกรองผู้โดยสาร ณ สถานีในประเทศกลุ่มเสี่ยง และสถานีกรุงเทพ, โดยจะสังเกตอาการของผู้โดยสารก่อนรับ Check-in และ Boarding Gate หากพบว่าผู้โดยสารมีอาการต้องสงสัย เช่น มีไข้สูง หายใจไม่สะดวก ไอ จาม และมีน้ำมูกมาก ให้แจ้งด่านกักกันโรคฯ ที่สนามบิน เพื่อตรวจอาการของโรคฯ อย่างละเอียด โดยตรวจดูใบรับรองแพทย์จากผู้โดยสาร (ในกรณีที่ผู้โดยสารยืนยันปฏิเสธ) ปฏิเสธการเดินทางสำหรับผู้โดยสาร เมื่อได้รับการยืนยันจากด่านกักกันโรคฯ รายงานสถานการณ์ให้ศูนย์ปฏิบัติการ

สำหรับในมาตรการอากาศยานนั้น ได้ดำเนินการตรวจสอบ ทำความสะอาด และเปลี่ยนแอร์ฟิลเตอร์ ของระบบหมุนเวียนอากาศ ภายในเครื่องบินที่กลับมาจากประเทศที่มีความเสี่ยง ตามระยะเวลาอย่างเคร่งครัด โดยบริษัทฯ ได้ใช้ TRUE HEPA FILTER ซึ่งเป็นเครื่องกรองอากาศ ประสิทธิภาพสูงสุด สามารถดักจับอนุไวรัส และเชื้อโรค ได้ถึง 0.001 ไมครอน หรือ 99.999%ให้ดำเนินการพ่นสเปรย์ ECO TRU 1453 ฆ่าเชื้อ (Disinfecting Spray) ทั้งบริเวณห้องผู้โดยสาร และห้องนักบินในทุกเที่ยวบิน ที่บินกลับมาจากประเทศที่มีความเสี่ยง ให้ทำความสะอาดแบบ Deep Clean บนเครื่องบินเดือนละครั้ง และตรวจสอบ มาตรฐานความสะอาด 36 จุดที่ผู้โดยสารต้องสัมผัสร่วมกัน ก่อนออกเดินทางสำหรับมาตรการ

ส่วนการให้บริการบนเครื่องบินนั้น ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สำหรับนักบินและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินทุกๆ ปี ซึ่งได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลา 3-4 ปี พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินจะให้บริการแก่ผู้โดยสาร โดยไม่ให้ผู้โดยสารจับต้อง เครื่องมือ และอุปกรณ์บริการอาหารที่เป็นส่วนรวม โดยเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดภายในห้องน้ำระหว่างเที่ยวบินให้มากขึ้น หากพบว่าผู้โดยสารมีอาการต้องสงสัย ให้แยกห่างจากผู้โดยสารอื่นอย่างน้อย 2 แถวหน้า และ/หรือ 2 แถวหลัง (ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก) และแจ้งด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ ก่อนเครื่องบินลงจอด

พล.อ.อ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการป้องกัน และเฝ้าระวังสุขอนามัยของลูกเรือนั้น หากลูกเรือที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เมื่อออกจากเครื่องบิน ให้ใช้ช่องทางขาเข้าช่องทางเดียวกับผู้โดยสาร เพื่อรับการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายจากด่านกักกันโรค ในกรณีที่ลูกเรือมีอาการไม่สบาย และสงสัยว่าจะมีอาการติดเชื้อ ภายใน 7 วัน หลังกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงนั้น ให้พักการปฏิบัติงาน และส่งตัวเข้ารับการตรวจ ที่สำนักงานแพทย์ของบริษัทฯ และรอดูอาการภายในระยะเวลาที่กำหนด ก่อนปฏิบัติหน้าที่ภายหลังจากหายป่วย ให้รายงานตัวต่อ IM เพื่ออนุมัติการปฏิบัติหน้าที่ในเที่ยวบินต่อไป

ด้านการใช้หน้ากากอนามัย (Surgical Mask) สามารถกระทำได้ เฉพาะผู้ที่มีอาการต้องสงสัย หรือเป็นไข้หวัด เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ แก่ผู้ร่วมงาน และผู้โดยสาร ให้ทิ้งหน้ากากอนามัย (Surgical Mask) ถุงมือ โดยแยกทิ้งต่างหาก และถือเป็นขยะติดเชื้อ ให้ล้างมือ และทำความสะอาดด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์ หรือน้ำผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อยๆ ทั้งนี้ ฝ่ายครัวการบินไทยได้นำโครงการพัฒนาคุณภาพวัตถุดิบทางการเกษตรและผลิตภัณฑ์จากสัตว์ ตามมาตรฐานคุณภาพ โดยระบบ Good Agricultural Practice มาใช้ในการคัดเลือกวัตถุดิบ ในการผลิตอาหารของครัวการบิน จึงมั่นใจได้ว่า วัตถุดิบที่นำมาประกอบอาหาร ได้รับการรับรองด้านสุขอนามัย นอกจากนี้ การบินไทยยังได้ประสานกับกรมปศุสัตว์อย่างใกล้ชิด ในการกำหนดมาตรการขนส่งหมู และผลิตภัณฑ์จากหมู เพื่อความแน่ใจในความสะอาด ก่อนที่จะนำมาบริการให้แก่ผู้โดยสาร

ทูตพาณิชย์ไทยเตือนนักธุรกิจ ระงับเข้าเม็กซิโกชั่วคราว

วานนี้ (28 เม.ย.) นายนภดล ทองมี ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเม็กซิโก ประเทศเม็กซิโก กล่าวถึงการระบาดของไข้หวัดใหญ่ในเม็กซิโกว่า นักธุรกิจไทยจะเดินทางมาเม็กซิโกในช่วงนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเดินทาง จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และเป็นที่ไว้วางใจได้ ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตไทยในเม็กซิโก ได้ส่งอีเมล์แจ้งคนไทยในเม็กซิโก ให้ระมัดระวัง และป้องกันตัวเอง และครอบครัวจากการติดเชื้อ โดยขณะนี้ สถานทูตไทยยังไม่ได้รับแจ้งว่า มีคนไทยติดเชื้อไข้หวัดดังกล่าว

สำหรับสถานการณ์ล่าสุดนั้น รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขเม็กซิโก ระบุว่า พบผู้ป่วยต้องสงสัยว่าติดเชื้อดังกล่าว กระจายไปยังรัฐอื่นๆ นอกเหนือจากรัฐ Edo de Mexico และกรุงเม็กซิโก ทำให้ต้องประกาศมาตรการฉุกเฉินเพิ่มเติม เช่น ประกาศให้โรงเรียนในกรุงเม็กซิโก หยุดการเรียนการสอน ไปจนถึงวันที่ 5 พ.ค.นี้ ให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าไปตรวจสอบตามบ้านพัก ร้านอาหาร และสถานที่ต่างๆ เพื่อควบคุม และป้องกันการแพร่กระจาย รวมถึงรัฐบาลได้สนับสนุนเงินงบประมาณ 450 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการต่อสู้กับการระบาดของไข้หวัด

นอกจากนี้ ยังได้ประกาศปิดสถานที่ท่องเที่ยว/ พิพิธภัณฑ์/ ห้องสมุดสาธารณะ รวมถึงขอความร่วมมือร้านอาหาร บาร์ ไนต์คลับ ให้ปิดทำการด้วย อีกทั้งยังประกาศงดงานเทศกาล/การแสดง/การแข่งขันกีฬาต่างๆ ที่เป็นการชุมชนของผู้คนจำนวนมาก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐบาลได้แจกหน้ากากสำหรับผู้โดยสาร ที่ท่าอากาศยานกรุงเม็กซิโก ท่ารถ และสถานีรถไฟใต้ดิน รวมทั้งสอบถาม และแจกแบบสอบถามให้กับผู้โดยสาร เพื่อตรวจสอบว่ามีบุคคลใดติดเชื้อ/มีความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือไม่ หากผู้โดยสารคนใดมีส่อว่าจะติดเชื้อ ต้องตรวจร่างกายก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เดินทางต่อ แต่ยังไม่ประกาศงดการดำเนินการของท่าอากาศยาน และการขนส่งมวลชน

ที่มา: http://www.thaigov.go.th, http://www.thairath.co.th, ASTV ผู้จัดการรายวัน