ที่มา thaifreenews
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นสากลว่าการปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยนั้น  เป็นการปกครองที่เหมาะสม และมีข้อบกพร่องน้อยที่สุดเท่าที่มีได้ในปัจจุบันนี้  การปกครองนั้นเป็นทฤษฎีแนวคิด,  เป็นปรัชญาความเชื่อ,  เป็นความศรัทธาที่นำไปสู่ภาคปฏิบัติ  ด้วยเหตุนี้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็มิได้แตกต่างไปจากเรื่องดังกล่าว   พัฒนาการของรูปแบบการปกครองในประวัติศาสตร์โลกนั้นได้ผ่านยุคสมัยมาตลอดหลายพันปี  ผ่านการลองผิดลองถูกในรูปแบบต่าง ๆ มากมาย    จากยุคสมัยผู้แข็งแรงที่สุดได้เป็นผู้ปกครอง  ผ่านมาถึงยุคที่มีความเชื่อในเรื่องเทพเ้จ้าอวตารมาปกครอง  และในที่สุดก็มาถึงยุคสมัยที่ใช้ความต้องการของกลุ่ีมชนทั้งหมดเลือกผู้ปกครองของตนเอง
สิ่งเหล่านี้ล้วนผ่านกาลเวลาอันยาวนานและยุคสมัยแห่งความขัดแย้งและความเจ็บปวดจากการต่อสู้  ทุกสิ่งล้วนเป็นการพัฒนามาจากประสบการณ์โดยตรงของผู้อยู่ภายใต้การปกครอง และความรู้ที่ได้เิพิ่มพูนขึ้นตลอดระยะสมัยที่ผ่านไปนับหลายพันปี  
คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประเทศไทยได้รับรูปแบบแนวคิดการปกครองระบอบประชาธิปไตยมาจากต่างประเทศ   การปกครองในรูปแบบนี้มิได้เกิดขึ้นจากพัฒนาการทางการเมืองการปกครองของคนในประเทศไทยด้วยตนเอง  ทำให้การเมืองการปกครองในประเทศไทยมีปัญหาอุปสรรคตลอดมา  หลังจากที่ได้มีการปฏิวัิติเพื่อเปลี่ยนแปลงที่จะปกครองในระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475
เหมือนการลอกข้อสอบที่นำเอาผลของคำตอบมาตอบ  แต่ไม่เคยทราบว่าวิธีทำให้ได้คำตอบนั้นว่าทำอย่างไร  ด้วยเหตุนี้เองประชาชนในยุคสมัยเมื่อ 70 กว่าปีที่แล้วนั้นจึงยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ “บ่มเพาะ”  จนเข้าใจถึงหลักการ,  ปรัชญาความคิด,  และรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง    กระบวนการความคิดที่กลายมาเป็นการกระทำ  ยังไม่ได้ผ่านมาจากประสบการณ์ตรงของชีวิตจากข่วงเวลานั้น  ประกอบกับในระยะเวลาดังกล่าวได้เกิดความขัดแย้งทางปรัชญาความคิดในการปกครองระหว่าง  “คอมมิวนิสต์ และประชาธิปไตย”  ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการพิสูจน์ด้วยกาลเวลา ว่าประชาธิปไตยเหมาะสมหรือดีอย่างไรสำหรับประเทศไทย ทำให้กระบวนการพัฒนาความคิดด้านการปกครองในเชิงประสบการณ์ตรงของประชาชนไทย  ไม่ได้รับการเสริมสร้างให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง   
อย่างไรก็ดี หลังจากที่กาลเวลาผ่านเลยไปมากกว่า 70 ปี  ประชาชนไทยจำนวนมากได้มีโอกาสเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น  การศึกษาพัฒนาขึ้น  ประชาชนรุ่นใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กับการพัฒนาประเทศอย่างก้าวกระโดดหลังจากทศวรรษที่ 70  เป็นต้นมา รวมทั้งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างครอบคลุมทั่วโลกเป็นไปอย่างรวดเร็ว  ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากพัฒนาความคิดด้านการปกครองในระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาก  จนเรียกได้ว่าขณะนี้  การปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้กลายเป็น   “มติมหาชน”  ของประชาชนไทยทั้งชาติไปแล้ว   และประชาธิปไตยที่ประชาชนต้องการหมายถึงประชาธิปไตยที่เป็นสากล  ที่สามารถรองรับความต้องการอันแท้จริงของประชาชนทั้งมวลได้  มิใช่ประชาธิปไตยที่มี   “ส่วนเกิน”  บางอย่าง  มาคอยบอกว่าประชาชนไทยต้องการสิ่งใดหรือไม่ต้องการสิ่งใด  โดยที่พวกเขาไม่ต้องคิดเอง
แนวคิดในการปกครองของระบอบประชาธิปไตยมิได้มีสิ่งใดที่่ซับซ้อน  หรือเข้าใจยาก  เป็นแนวคิดง่าย ๆ ที่ยึดถือว่า  “มนุษย์ทุก ๆ คนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน”  โดยแนวคิดนี้ได้ขยายออกเป็นหลักการสำคัญที่ถือว่าเป็น  “แม่บท”  ของระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์  5  ประการคือ 
1. อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ( Sovereignty of People )    2. เสรีภาพบริบูรณ์ ( Full Freedom )    3. ความเสมอภาค ( Equality ) ทั้งความเสมอภาคทางกฎหมาย และความเสมอภาคทางโอกาส    4. ยึดหลักกฎหมาย ( Rule of Law )    5. รัฐบาลมาจากการเลือกตั้ง (Elected Government )
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยไม่มีใครเป็น  “ส่วนเกิน”   ทุก ๆ คนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน   แต่น่าเสียดายที่ประชาธิปไตยในประเทศไทยมิใช่เช่นนั้น   กลับมีผู้คนบางส่วนของสังคมคิดเอาเองว่าตนเองมีความสำคัญ  หรือมีคุณค่าสูงกว่าคนอื่น ๆ  โดยใช้สถานะทางสังคม,  โอกาส,  และอำนาจบารมี  ที่ตนเองมี  มาเป็นสิ่งที่ทำลายหลักการ และความต้องการของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยลงอย่างอย่างสิ้นเชิง  และเมื่อเป็นเช่นนั้นผู้ที่ได้ทำลายหลักการ การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เขาหรือพวกเขาก็ได้กลายเป็น  “ส่วนเกิน”  ของระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  แม้ว่าโดยแนวคิดแล้วประชาธิปไตยไม่มีใครที่เป็นส่วนเกิน  แต่สำหรับผู้ที่ขัดขวางพัฒนาการของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย  เขาเหล่านั้นก็คือ  “ส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย”   ที่นอกจากไม่มีประโยชน์แล้ว  ยังกลายเป็นโทษต่อประชาธิปไตยด้วยซ้ำ    
“ไส้ติ่ง”  เป็นอวัยวะที่เป็นส่วนเกินไม่มีความจำเป็นหรือประโยชน์ใด ๆ ต่อร่างกาย  แต่ร่างกายต้องมีเส้นเลือดไปหล่อเลี้ยงอวัยวะที่เป็นส่วนเกินนี้   ซึ่งถ้าอยู่ในภาวะปกติก็คงไม่มีอุปสรรคใด ๆ และคงอยู่ร่วมกันได้  แต่ถ้าวันใด  “ไส้ติ่ง”    เกิดอาการอับเสบเป็นพิษขึ้นมา ก็จะปวดท้องมากและอาจจะทำให้ถึงกับสูญเสียชีวิตได้  ดังนั้นจึงได้พบเห็นกรณีที่มีคนจำนวนมากไปผ่าเอาไส้ติ่งนี้ออกไปเสียก่อน  ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เกิดอาการใด ๆ เพื่อป้องกันมิให้เกิดอาการอักเสบขึ้นมาภายหลัง   
การปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น  ทุก ๆ คนต่างก็ได้รับสิทธิ, เสรีภาพ, หน้าที่  โดยเท่าเทียมกัน ประชาชนในสังคมต่างก็ให้การสนับสนุนเกื้อกูลกัน  และอยู่ร่วมกันภายใต้กฎหมายที่บัญญัติไว้เหมือน ๆ กัน   ดังนั้นผู้ใดกระทำตัวอยู่เหนือกฎหมาย,  ลอยอยู่เหนือประชาชนโดยอ้างบุญญาบารมี,  ความเคารพศรัทธา  ระเบียบประเพณีหรือสิ่งอื่นใดที่มิไ้ด้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของหลักคิดในเรื่องประชาธิปไตยแล้วละก้อ  คนผู้นั้นก็คือ  “ส่วนเกิน”   อันไม่พึงประสงค์ของระบอบประชาธิปไตยนั่นเอง   และส่วนเกินทุก ๆ ส่วนที่ไม่มีความจำเป็น  หรือ อาจจะเป็นโทษต่อร่างกายนั้น  จำเป็นจะต้องถูกกำจัดออกไป   ไม่วันใดก็วันหนึ่งอย่างแน่นอน
ปูนนก