ที่มา บางกอกทูเดย์
จนถึงวันนี้นักเศรษฐศาสตร์ นักธุรกิจ นักวิเคราะห์ ก็ยังไม่มีใครกล้าฟันธงชัดๆ ว่า เศรษฐกิจฟื้นจริงๆ แล้วหรือไม่ โดย นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส กล่าวว่า ยังไม่สามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ได้ เพราะยังมีความไม่แน่นอนสูงโดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เพราะเอสเอ็มอีหลายแห่งยังมีปัญหาเรื่องการปล่อยสินเชื่อดังนั้น สถานการณ์ของเอสเอ็มอีในช่วง 5-6 เดือน ยังน่ากังวลรัฐบาลควรที่จะให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีให้ชัดเจน เพราะไม่เช่นนั้นอาจจะกระทบต่อการว่างงานให้เพิ่มขึ้น“ส่วนนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เห็นว่าการกำหนดทิศทางของประเทศในระยะยาว 5-10 ปี ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางเรื่องใด และมีแนวทางในการปฏิบัติอย่างไรเพื่อจะได้บรรลุเป้าหมาย” นายก้องเกียรติ กล่าวนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัยบล.ภัทร กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ติดลบร้อยละ 3.3 โดยยังต้องรอการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งคาดว่าคงต้องใช้ระยะเวลาอีกนานโดยต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสามารถบริหารจัดการการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด เพราะเชื่อว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ อาทิ อัตราการว่างงานและหนี้เสียมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น และราคาบ้านก็จะปรับตัวลดลงนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้และนายกสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนที่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นช่วงนี้ คาดว่า จะเป็นการเข้าลงทุนชั่วคราวเพื่อเข้ามาเก็งกำไรเท่านั้น ดัชนีราคาหุ้นไทยในปลายปีนี้มองว่ายังอยู่ที่ระดับ 550 จุด แม้ว่าที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยจะปรับขึ้นไปทดสอบสูงสุดที่ระดับ 630 จุด ในเดือนมิถุนายนก็ตามแต่เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังมีความผันผวน แม้ว่าจะดีขึ้นบ้างแต่อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในหลายประเทศในช่วงไตรมาส 2ก็ยังคงติดลบ ดังนั้น เป็นปัจจัยกดดันให้ตลาดหุ้นผันผวนต่อเนื่องโดยเฉพาะในไตรมาส 3 ดัชนีหุ้นไทยจะปรับลงอีก ■