วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แม้ท่านไม่พึงประสงค์ แต่ประวัติศาตร์จะมอบภารกิจผู้นำให้แก่ท่าน

ที่มา Thai E-News

โดย คุณระลึกถึง
ที่มา เวบบอร์ด พันทิปราชดำเนิน
24 กรกฎาคม 2552


วันนี้ เหตุการณ์ทางการเมืองได้ชี้ชัดแล้วว่า อนาคตประเทศไทยแยกไม่ออกจากอนาคตของหนุ่มใหญ่ ที่มีอายุครบ 60 ปี ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2552 ที่ชื่อว่า ..ทักษิณ ชินวัตร..

จากความเก่งกาจทางวิชาการและกล้าตัดสินใจ เป็นผลให้ พ.ต.ท ทักษิณ ชินวัตร ประสบความสำเร็จในการงานอาชีพด้านการสื่อสาร ในฐานะอัศวินคลื่นลูกที่3 สู่ความสำเร็จทางการเมืองในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย 2 สมัยติดต่อกัน ด้วยคะแนนเสียงบริสุทธิ์ท่วมท้นถึง 19 ล้านเสียง

ในฐานะอัศวินประชาธิปไตยได้กลายเป็นอันตรายต่อตัวทักษิณเอง จนหาแผ่นดินอยู่ไม่ได้ ด้วยเพราะเขาไม่เคยเฉลียวใจแม้แต่น้อยว่า ประเทศนี้มิได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ปกครองด้วยระบอบอำมาตยาธิปไตย

อำนาจที่แท้จริง มิได้อยู่ที่ประชาชน แต่อยู่ที่กลุ่มอำมาตย์ที่มีปากกระบอกปืนและปากกาเป็นเครื่องมือสำคัญ

"ผมพึ่งรู้ว่าประเทศนี้ไม่มีประชาธิปไตย"

ข้อสรุปที่ตกผลึกทางความคิดครั้งแรก ได้เปล่งออกจากปากทักษิณ ในการประชุมใหญ่พรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2549 หลังจากที่แถลงลาพักร้อนถาวร ที่ห้องโถงทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนวันที่ 4 เมษายน 2549 และตั้งพลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์ เป็นผู้รักษาการถาวร ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

ความรักที่ประชาชนมอบให้ จากความสำเร็จในการแก้ปัญหาหนี้สิน ไอ เอ็ม เอฟ ของประเทศไทย ที่คามาจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และประโยชน์สุขที่ประชาชนได้รับเต็มๆ ด้วยความประทับใจที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนทำให้มาก่อน

นับตั้งแต่กองทุนหมู่บ้าน หมู่บ้านละ 1 ล้านบาท,
30 บาท รักษาทุกโรค,
หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์(OTOP),
ผลงานการปราบปรามยาเสพติด ที่เด่นชัดโดนใจประชาชน

และล่าสุดที่สะกิดใจอำมาตย์มากที่สุด คือนโยบายแก้ความจนอย่างเป็นรูปธรรม

กรณีศึกษาอาจสามารถ ได้สร้างความอิจฉาและระแวงจับผิดในตัว พ.ต.ท. ทักษิณ จากเหล่าอำมาตย์ ผสมพรรคการเมืองฝ่ายค้าน จึงเข้มขั้นขึ้น

การผนึกกำลังโจมตีใส่ร้ายในข้อหาทางการเมืองมหาโหด ว่า "ไม่จงรักภักดี" ที่เป็นข้อหายอดนิยม ที่ทำลายคนดีๆ ไปมากต่อมากในประวัติศาสตร์ จึงเกิดขึ้น

จากฝีมือมหาอำมาตย์เอก ร่วมกับ พรรคประชาธิปัตย์ และกลุ่มอันธพาลทางการเมืองพันธมิตรจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรง และต่อเนื่อง

บทพิสูจน์ว่า พัฒนาการทางความคิดทางการเมืองของประชาชนไทย ได้หลุดพ้นจากวาทะกรรมที่เหล่าอำมาตย์กล่าวประณามเหยียดหยามมานานปี แล้วว่า โง่เง่า ลืมง่าย และไม่รู้จักประชาธิปไตยนั้น ได้สิ้นสุดลงแล้ว ด้วยเหตุการณ์ที่ยืนยันว่า ประชาชนไม่ตกอยู่ใต้อิทธิพลการโฆษณาชวนเชื่อของเหล่าอำมาตย์อีกต่อไป คือชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 จนถึงการเลือกตั้งซ่อม ที่สกลนครและศรีสะเกษ เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ...

ประชาชนรู้ทันระบอบอำมาตย์แล้ว...

ยิ่งวันนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ที่สื่อมวลชนตั้งฉายาว่า "รัฐบาลเทพประทาน" ได้เปิดเผยตัวเองอย่างล่อนจ้อนว่า ไม่เพียงแต่มีส่วนร่วมอย่างสำคัญ ในการก่อวิกฤตเศรษฐกิจ จากการร่วมก่อการจราจล ยึดทำเนียบและยึดสนามบินเท่านั้น ยังไม่มีความสามารถในการแก้วิกฤตเศรษฐกิจในขณะนี้ได้อีกด้วย

การเป็นรัฐบาล 4 ก. ของอภิสิทธิ์ คือ แก้ตัว , กู้เงิน , เก็บภาษี , และโกงกิน ยิ่งกระตุ้นต่อมการเรียนรู้ทางการเมืองของประชาชน ให้มีความแจ่มชัดอย่างสิ้นสงสัย ในความเลวร้ายของ ระบอบอำมาตยาธิปไตยที่ครอบงำสังคมไทยมาอย่างยาวนาน

และเป็นต้นเหตุของความทุกข์ยาก ยากจนของประชาชนมาตลอด เท่าที่ทุกคนจำความได้

คาถาอันทรงพลังในอดีตที่ว่า อำมาตย์แต่กลุ่มเดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้มีคุณธรรมและจริยธรรม และทุกครั้งที่ทำรัฐประหารนั้น ก็เพื่อเชิดชูคุณธรรมและจริยธรรมนั้น ได้หมดความศักดิ์สิทธิ์ลงอย่างสิ้นสงสัยแล้ว

ยิ่งกลุ่มสหภาพแรงงานรถไฟ ที่เป็นกำลังหลักภาคมวลชนของอำมาตย์ ในการโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยถึง 3 รัฐบาล (ทักษิณ-สมัคร-สมชาย) ได้แสดงบทบาทการเป็นอันธพาลทางการเมือง ด้วยการประท้วงหยุดเดินรถไฟทั่วประเทศ เมื่อ 22-23 มิถุนายน 2552 อย่างไร้เหตุผล ในภาวะที่ประชาชนต้องเดือดร้อนจนเลือดตาแทบกระเด็น จึงเป็นการตอกย้ำถึงความเลวร้ายหลอกลวงทางการเมือง ของระบอบอำมาตย์ ตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549 จนถึงปัจจุบันอย่างสิ้นสงสัย

กระแสเสื้อแดงที่เรียกร้องประชาธิปไตย และความเป็นธรรม หรือเนื้อแท้ คือการต่อต้านระบอบอำมาตย์ จึงเกิดขึ้นทั่วบ้านทั่วเมือง ทุกหัวระแหง กลายเป็นแดงทั้งแผ่นดินแล้วในขณะนี้

ประวัติศาสตร์ความโหดร้ายของระบอบอำมาตย์ ที่เคยเข่นฆ่านักเรียน นิสิตนักศึกษา เมื่อ 6 ตุลาคม 2519ยังเตือนความจำคนไทยไม่ลบเลือน ภาวะการณ์แดงทั้งแผ่นดิน ได้สร้างความรำคาญใจแก่เหล่าอำมาตย์เป็นอย่างมาก

สะท้อนออกที่คำกล่าวของ สุเมธ ตันติเวชกุล เมื่อปลายเดือน พฤษภาคม ที่ว่า "เดือนหน้า ยังจะชุมนุมกันอีกหรือ รำคาญแล้วนะ "

จึงเป็นสัญญาณที่บ่งบอก ของพยากรณ์สถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตได้ว่า การคิดสั้นของเหล่าอำมาตย์ ที่จะเข่นฆ่าประชาชน เพื่อระบบอำนาจใหม่ มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง

ภาวการณ์ปัจจุบันนี้บ่งบอกแล้ว ว่า จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางสังคมไทย ด้วยหลายภาวะวิกฤตที่กำลังโถมกระหน่ำมาพร้อม ๆ กัน คือ

ทั้งวิกฤตสงครามในภาคใต้ วิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสงครามการเมือง และวิกฤตศรัทธาต่อระบอบอำมาตย์

วันนี้ระบอบอำมาตย์ได้ข้อสรุปชัดเจนแล้วว่า ในวิถีการเลือกตั้งของระบอบประชาธิปไตยจอมปลอม ที่ อำมาตย์ได้เลี้ยงดูไว้ ดั่งสัตว์เลี้ยงในบ้านนั้น ไม่อาจจะเอาชนะใจประชาชนคนรากหญ้า ที่มีต่อสิ่งที่เรียกว่า "ระบอบทักษิณ" ได้แล้ว

เมื่อหลอกลวงไม่ได้ ก็ต้องปราบปราม หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องยอมประนีประนอมกับทักษิณ เส้นทางการเมืองมาถึงทางสองแพร่งแล้ว

แต่ด้วย ทิฎฐิมานะและความหลงในอำนาจแห่งระบอบอำมาตย์ ซึ่งใช้ได้ผลมาโดยตลอด ดูจะทำให้เส้นทางแห่งความประนีประนอม ดูจะตีบตัน

ภาพของทักษิณ จึงไม่มีทางหลีกเลี่ยง ที่จะเป็นเป้าหมายการทำลายของระบอบอำมาตย์

นับวันภาพการทำลายล้างทักษิณ อันเกิดจากอารมณ์เกลียดเป็นการส่วนตัวของ..ผู้สูงวัย แต่ต่ำด้วยวุฒิภาวะทางการเมือง ที่ได้นำประเทศชาติสู่หายนะ ยิ่งชัดเจนขึ้นและชัดเจนขึ้น ด้วยการตอกย้ำจากความล้มเหลวของรัฐบาล อภิสิทธิ์-เนวิน ที่พวกเขาโอบอุ้ม

ประชาชนสิ้นสงสัยแล้วว่า ความทุกข์ยาก อดอยาก เริ่มต้นจากใคร

ภารกิจทางประวัติศาสตร์แห่งการเปลี่ยนแปลง จึงตกอยู่บนบ่าของคนที่ ชื่อ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อันไม่อาจจะหลักพ้นได้

....แม้ไม่ประสงค์ แต่ไม่อาจปฎิเสธ....

(ที่มา : voice of TAKSIN (เสียงทักษิณ) ปีที่1 ฉบับที่1 20-30 กรกฎาคม 2552 หน้า 6-7 )