วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ปชป.ปลดแอก? เลิกเป็นเบี้ยล่าง!

ที่มา บางกอกทูเดย์

บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่ถูกแย้มเอาไว้ล่วงหน้าว่า ให้ทุกคนรอฟังไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลอภิสิทธิ์ จะเป็นกลุ่มเสื้อแดง หรือประชาชนคนใดก็ตามได้ก่อให้เกิดการจับจ้องและติดตาม รวมทั้งการคาดเดาไปสารพัดว่า น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรืออาจจะเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้สื่อทุกฉบับไม่กล้าที่จะมองข้ามประเด็นนี้แน่นอนว่านี่คือกลยุทธ์ในทางการเมือง ที่ได้มาจากการสั่งสมประสบการณ์ในเชิงธุรกิจและการเคี่ยวกรำทางการตลาด รวมถึงการต่อสู้ทางการเมืองที่เข้มข้นเป็นการช่วงชิงประเด็นบนพื้นที่สื่อ ที่แม้แต่รัฐบาลเองก็ต้องยอมรับว่า กระแสความสนใจทั้งสื่อไทยสื่อเทศเทไปตรงจุดนั้นหมดว่า คือ อะไรกันแน่แต่ก็แน่นอนอีกเช่นกันว่า เซอร์ไพรส์ใดๆ ในโลกก็ตามเมื่อเปิดออกมาแล้วก็ย่อมหมดความเซอร์ไพรส์ แล้วตามมาด้วยนานาจิตตังของแต่ละบุคคลแนวคิดในการจะลงทุนทำโทรทัศน์ที่ครอบคลุมทั้งโลกอาจจะถึงร้อยช่อง โดยที่จะมีการทำช่องเพื่อประเทศไทยให้เป็นประโยชน์กับคนไทยอย่างน้อย 3 ช่อง คือ ช่องการศึกษา ช่องขายของ และช่องเกี่ยวกับเรื่องความยากจนหนึ่ง คือ เรื่องเกี่ยวกับสินค้าโอท็อป เพื่อให้เห็นและซื้อสะดวก สามารถสั่งซื้อได้สอง คือ การทำเรียลลิตี้ทีวี ถ่ายทำชีวิตคนจนและสาม คือ เรื่องการศึกษา จะหาครูติวหนังสือผ่านทางทีวีและสามารถโต้ตอบได้

แนวคิดนี้ถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ก็ได้หากมองกันที่เนื้อหา หรือจะไม่ถือเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ก็ได้สำหรับคนที่มีจุดยืนตรงข้าม ซึ่งก็มีหลายคนเหลือเกินในขั้วรัฐบาลที่ออกมาพูดทำนองว่า ไม่เห็นจะบิ๊กเซอร์ไพรส์ตรงไหน?ซึ่งทำให้สังคมไทยได้รับรู้ถึงวุฒิภาวะและความหมกมุ่นมืดดำ ในจิตใจของคนที่พูดเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนแต่สำหรับมุมมองของ บางกอกทูเดย์ บิ๊กเซอร์ไพรส์ของอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 26กรกฎาคมที่ผ่านมานั้น หากมองกันเฉพาะแค่เรื่องการจะทำทีวีครอบคลุมทั่วโลกนั้นแม้ว่าจะเป็นเซอร์ไพรส์ ก็เป็นเพียงแค่เซอร์ไพรส์อันดับ 2รองลงมาเท่านั้น!!!เพราะหากให้ลึกซึ้งและจับสัญญาณการเมืองด้วยใจเป็นกลางไม่เลือกสี ไม่เลือกฝ่าย และเห็นกับผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง เป็นเรื่องใหญ่ที่สำคัญที่สุดแล้ว ก็จะพบว่าบิ๊กเซอร์ไพรส์ที่แท้จริง ก็คือคำพูดและท่าทีระหว่างกันของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกรัฐมนตรีเริ่มแสดงให้เห็นถึงการที่รู้แล้วว่า หากยืนกรานขึงพืดสถานการณ์ทางการเมืองกันต่อไปเช่นนี้ไม่มีใครได้ ซ้ำประเทศชาติก็จะมีแต่เสียกับเสียสมานฉันท์จะเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ต้องเกิดจากหัวขบวนทางการเมืองระดับแกนกลาง ระดับแก่นเพราะระดับกระพี้ที่เข้ามาในแวดวงการเมือง เพียงเพื่อหวังเกาะกินผลประโยชน์นั้น ไม่มีวันที่จะสนใจถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของประเทศชาติบ้านเมือง มีแต่คิดฉกฉวยสถานการณ์เพื่อแสวงหาประโยชน์ใส่ตนเองเท่านั้นและบรรดาคนเหล่านี้ เชื่อเถอะว่าพร้อมที่จะพลิกและเปลี่ยนขั้วกลับมาเชลียร์ใครก็ได้ โดยไม่มีจุดยืนที่แท้จริงทางการเมืองดังนั้น การสื่อสารกันระหว่างนายอภิสิทธิ์กับ พ.ต.ท.ทักษิณทั้งการส่งข้อความอวยพรวันเกิด และตอบขอบคุณคำอวยพร

การเผยแพร่ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ระบุว่า สิ่งที่ต้องการเนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 60 ปี คือ ต้องการเห็นความปรองดองเกิดขึ้นภายในประเทศรวมทั้งยังได้ขอบคุณนายอภิสิทธิ์ที่ได้กล่าวถึง ในรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯ อภิสิทธิ์ และขอเป็นกำลังใจในการแก้ปัญหาบ้านเมืองประเด็นสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ การเสนอตัวให้ความช่วยเหลือหากสามารถช่วยได้ขณะที่นายอภิสิทธิ์ก็พูดเช่นกันว่า การได้ทำงานตามอุดมการณ์ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใดก็ตาม ไม่รู้สึกกังวลใดๆ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต แต่ที่สำคัญก็คือขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณมีดวงตาเห็นธรรม จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความสุขมากขึ้นเป็นการสื่อสารที่ไม่ควรมองข้ามประเด็นลึก คือความสมานฉันท์ในอนาคตเพราะโดยใจความที่เป็นนัยยะที่ตรงกันอยู่ประการหนึ่งก็คืออยากให้ประเทศไทยกลับสู่ภาวะปรองดองโดยเร็ว ไม่ต้องทะเลาะกัน ควรเป็นสีธงไตรรงค์ ธงชาติไทยเหมือนกันนี่แหละที่บางกอกทูเดย์ถือว่าน่าจะเป็นบิ๊กเซอร์ไพรส์ที่แท้จริงสำหรับประเทศชาติเพราะต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์หรือพ.ต.ท.ทักษิณ ต่างก็มีแรงสนับสนุนด้วยกันทั้งนั้นดูแค่โพลล่าสุดของสำนักวิจัยเอแบคโพล มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ที่สำรวจเรื่องสภาวะเศรษฐกิจของสาธารณชนกับแนวโน้มความนิยมต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะเห็นว่าความนิยมชอบของประชาชนต่อ พ.ต.ท.ทักษิณยังมีอยู่ โดยที่มีประมาณร้อยละ 34.0ในขณะเดียวกันความนิยมในตัวนายอภิสิทธิ์เองแม้จะตกลงมาบ้าง จากช่วงที่เป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ แต่ก็ยังมีถึงร้อยละ 32.9

นั่นหมายความว่าหากการเมืองสามารถสมานฉันท์ 2 พรรคใหญ่คือ พรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยได้ ความนิยมของประชาชนก็จะรวมกันมากถึงร้อยละ 60-70 เลยทีเดียวในขณะที่กลุ่มพลังเงียบประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์เชื่อว่า หากเห็นบ้านเมืองสงบก็น่าจะเห็นดีด้วยแน่จะมีก็คือกลุ่มก๊วนการเมือง กลุ่มพลังกลุ่มสีที่เห็นแก่ประโยชน์ตนเองเป็นที่ตั้ง กับกลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อมอมเมาทางความคิดชนิดกู่ไม่กลับแล้วนั้น ซึ่งก็มีแค่ร้อยละ 4-5 ของประชาชนทั้งหมด ก็คงจะหมดอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชใดๆ ไปเองประเด็นนี้เป็นสิ่งที่ทั้งนายอภิสิทธิ์และ พ.ต.ท.ทักษิณควรจะต้องไตร่ตรองให้จงหนักที่สำคัญ เอแบคโพลได้มีการระบุชัดว่า มีปัจจัยที่ควรจะต้องพิจารณาอย่างน้อย 4 ประการประการแรก ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะระดับรากฐานของสังคมไทย ยังคงอยู่ในความยากลำบากเดือดร้อนประการที่สอง รัฐบาลอาจมีข้อจำกัดด้านบริหารจัดการที่ไม่ทันใจ ไม่เป็นเอกภาพ ไม่เป็นมืออาชีพ และข่าวความไม่โปร่งใสเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในโครงการต่างๆ ของรัฐบาลประการที่สาม ฝ่ายการเมืองน่าจะมีวิธีทำให้สาธารณชนรับทราบผลการดำเนินงานแก้ปัญหาอย่างกว้างขวางมากกว่านี้และ ประการที่สี่ แกนนำรัฐบาลบางส่วนกำลังมุ่งเน้นโจมตีพ.ต.ท.ทักษิณ มากเกินไป จึงเข้าทางที่ว่า ยิ่งตียิ่งได้รับความเห็นใจจากสาธารณชนมากขึ้นประเด็นเหล่านี้ นายอภิสิทธิ์ซึ่งวันนี้เป็นนายกรัฐมนตรีต้องหาทางสร้างความสมานฉันท์ที่แท้จริงให้เกิดขึ้นให้ได้ไม่อาจที่จะมองข้ามได้อย่าไปเดินหลงตามเกมบรรดาผู้ทวงบุญคุณทั้งหลายที่หวังเพียงผลประโยชน์และความสะใจเป็นอันขาด เพราะระยะเวลา 6 เดือนของการเป็นรัฐบาลร่วมกัน นายอภิสิทธิ์คงจะเห็นแล้วว่า

พรรคร่วมรัฐบาล กลุ่มก๊วนการเมือง คนจากกลุ่มเสื้อเหลืองคนจากกลุ่มสีเขียว สีกากี ที่อาละวาดฟาดงวงฟาดงา จนทำให้ผลงานบวกของรัฐบาลไม่ปรากฏมีแต่ผลงานลบที่ทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายและเอือมระอานั้นระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา น่าจะมากเพียงพอให้นายอภิสิทธิ์ได้รู้ซึ้งกระจ่างว่า มีใครจริงใจเพียงใด...หรือว่าใครแสบสันต์แค่ไหนจนขนาดนี้แล้ว ยังมีความพยายามจะเอาให้ได้กับ โครงการโคตรรถเมล์ฝังเพชร 4,000 คัน ทั้งๆ ที่ประชาชนยี้กันสนั่นว่าราคาโคตรแพงระยับซะขนาดนั้น...ฉุดรั้งให้รัฐบาลเสียคะแนนป่นปี้แม้แต่ในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) คนนามสกุลเทือกสุบรรณ ก็แพ้ให้เห็นแล้วซ้ำยังลามไปถึงผลการเลือกตั้งนายก อบจ.สตูล ด้วย เพราะคะแนนอย่างไม่เป็นทางการ นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์หมายเลข 1 ได้รับเลือกตั้งเป็น นายก อบจ.สตูล ด้วยคะแนน77,417 คะแนน ทิ้งห่างอันดับ 2 คือ นายอามีน มันยามีนพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งได้แค่ 30,500 คะแนน แบบไม่เห็นฝุ่นแม้แต่ ปชป. ทีม 2 ที่ลงประกบ คือ นายมาวิน หลีเส็นก็ได้แค่ 4,260 คะแนนเท่านั้นทั้งๆ ที่นายอามีนมี นายธานินทร์ ใจสมุทร อดีตนายกอบจ.สตูล และอดีต ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ หนุนหลังแถมมี นายฮาชาลี ม่าเหร็ม ส.ส.สตูล และ นายสมัยเจริญช่าง ส.ส.กทม. ช่วยหาเสียงให้ขณะที่ นายมาวิน หลีเส็น ก็เป็นน้องภรรยาของน.พ.อสิ มะหะมัดยังกี ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบันและมี นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ไปช่วยหาเสียง แต่ก็ได้แค่อันดับสุดท้ายฉะนั้น นายอภิสิทธิ์ซึ่งเป็นทั้งนายกรัฐมนตรีและเป็น

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สมควรอย่างยิ่งที่จะต้องทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น…ผลงานของรัฐบาลจึงไม่มีไม่เกิดในสายตาประชาชนเกิดอะไรขึ้น...ความนิยมในตัวนายอภิสิทธิ์จึงได้ลดลงและเกิดอะไรขึ้น...พรรคประชาธิปัตย์ถึงพ่ายแพ้การเลือกตั้งในพื้นที่ภาคใตเป็นไปได้หรือไม่ว่า ประชาชนเอือมระอากับการแบ่งสีแบ่งฝ่ายเต็มทนแล้ว!!!หากพรรคประชาธิปัตย์จับมือกับพรรคเพื่อไทยได้ การเมืองจะสงบ สัมภเวสีทางการเมืองจะกระจัดกระจายเพียงแต่นายอภิสิทธิ์จะต้องกล้าตัดสินใจทางการเมืองไม่เป็นเบี้ยล่างของพรรคร่วมรัฐบาลอีกต่อไป เพื่อที่จะได้สร้างผลงานดีๆ ให้เกิดกับประเทศชาติซึ่งหากเห็นกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ จะต้องเอาคำเสนอตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ เก็บไปตรึกตรองให้หนักแล้วหาทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไปหากทำให้พรรคเพื่อไทยจับมือได้ หากขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณหยุดพักบทบาททางการเมืองได้ เอาแค่ 4-5 ปีก็เหลือเฟือแล้วที่จะทำให้ประชาธิปัตย์มีผลงานซึ่งสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทวง จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ตำแหน่งทางการเมือง แต่ทวงแค่ความยุติธรรมเท่านั้น...ดังนั้นหากใครก็ตามในพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นนายอภิสิทธิ์หรือบรรดาผู้อาวุโสอย่างเช่น นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติบรรทัดฐาน สามารถทำได้ก็จะได้รับการยกย่องอย่างแน่นอนการเมืองขณะนี้แรงจนถึงขนาด พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธยังต้องเอ่ยปากว่า ไม่อยากเข้ามาในวังวน สะท้อนชัดว่าตกต่ำถึงที่สุดฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่คนชื่อ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” จะต้องกล้าทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง ■