วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เนวินเป็นคนหยาบกระด้าง ทำงานละเอียดไม่ได้ ออกมาต่อต้านฎีกา เสียต่ออำมาตย์มากกว่าดีแน่นอน

ที่มา thaifreenews

บทความโดย..ลูกชาวนาไทย



จากข่าวที่ผมเห็นในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐออนไลน์ ที่พรรคภูมิใจไทยออกมาขยับต่อต้านการถวายฎีกาของคนเสื้อแดงอย่างเต็มที่ ตามนี้

--------------------

“พรรค ภูมิใจไทยออกแถลงการณ์ต้านถวายฎีกา สั่งสมาชิกพรรคชี้แจงประชาชนอย่าเข้าร่วม ลั่นอย่ากดดันพระเจ้าอยู่หัว จี้ ทักษิณ สั่งหยุดดำเนินการแบ่งแยกประชาชนในชาติ...

วันนี้(28 ก.ค.)เวลา14.30น.พรรคภูมิใจไทย ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนเพื่อคัดค้าน กรณีการล่ารายชื่อประชาชน เพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รองหัวหน้าพรรค และนางพรทิวา นาคาศัย เลขาธิการพรรค ร่วมแถลง และได้มีการแจกสติ๊กเกอร์ข้อความว่าหยุดดึงฟ้าต่ำ หยุดทำหินแตก หยุดแยกประชาชน หยุดล่ารายชื่อถวายฎีกา ให้กับผู้เข้าร่วมประชุมทุกคน...”

-----------

ลักษณะของเนวิน มีนิสัยดั้งเดิมของเด็กช่างกลคือ เรื่องการใช้กำลังต่อยตี ยกพวกตีกันนี้ถนัด เป็นพวก โง่แต่ขยัน อาศัยลูกขยันเข้าสู้ เพื่อให้ได้ใจนายที่ตนเองรับใช้ เป็นคนชอบอาสานาย หรือแม้แต่นายมองไม่เห็นก็จะพยายามสร้างความเด่นให้นายเห็น ใช้ง่าย ไม่ว่าเรื่องใดก็รีบทำให้ทันที



คนแบบนี้หากได้นายดีก็ดีไป หากได้นายที่ใช้ไม่เป็นก็พังกันทั้งบ่าวและนาย

ตอนนี้เนวินกำลังหานายใหม่คือ อำมาตย์ พยายามทำงานทุกอย่างเพื่อให้เข้าตานาย ตั้งแต่การใช้ม็อบเสื้อน้ำเงินมาชนกับคนเสื้อแดง ซึ่งแม้ในทางยุทธวิธีจะได้ผลอยู่บ้าง คือ ทำให้เกิดการตีกันขึ้น แต่ผลลัพธ์ในทางยุทธศาสตร์นั้นไม่มีประโยชน์สักเท่าใด เพราะสงกรานต์เลือดแม้คนเสื้อแดงจะสลายการชุมนุม แต่ในด้านมวลชน คนเสื้อแดงหาได้อ่อนกำลังลงไม่ แต่เกิดเงือนไขความไม่พอใจต่อสถาบันอำมาตย์มากยิ่งขึ้น สร้างเงือนไขสงครามมากยิ่งขึ้น

ตอนนี้เนวินให้สมัครพรรคพวกออกมาต่อต้านการถวายฎีกาของคนเสื้อแดง ซึ่งคงไม่มียุทธศาสตร์ลึกซึ้งอะไรที่ คนอย่างนายเนวินจะสามารถทำได้นอกจากการกล่าวหาว่า ประชาชนที่ลงนามในฎีกาเป็นพวกไม่จงรักภักดีไปโน้น หรือไม่ก็ปลุกกระแส "ขวาพิฆาตซ้าย" โยงเรื่องการล้มล้างสถาบัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เกินเลย และอำมาตย์พยายามสร้างกระแสมากว่า 3 ปี แต่ยุคนี้ไม่ใช่ปี 2520 การสร้างกระแสแบบนี้มีแต่ข้อเสียต่อสถาบันเบื้องสูงมากกว่าข้อดี

การปลุกกระแสขวาพิฆาตซ้ายในปี 2552 ไม่มีทางสำเร็จไปได้ เพราะคนเสื้อแดงได้พัฒนาไปไกลทั้งในด้านแนวคิด เครือข่ายที่มีคนจำนวนมากนับสิบล้านคนเข้าร่วม ไม่มีเวทมนต์ใดๆ ที่จะทำให้คนหลายล้านเปลี่ยนใจจากจุดยืนของตนได้ ยิ่งสร้างกระแสยิ่งมีการปะทะ (ผมเชื่อว่าไม่มีการปะทะ เพราะภาคอีสาน ภาคเหนือ แดงทั้งภาค ไม่มีพื้นที่ให้อำมาตย์เล่น)




นวินมีบุคลิกภาพของการเข้าที่ไหน นายตายเรียบ ทำให้สถานการณ์ของฝ่ายนั้นเละลงมากกว่าที่จะส่งผลดี ดังนั้น ตอนนี้เนวินไม่มีทางเลือก เพราะถูกประชาชนในพื้นที่อีสานปฏิเสธ จึงมีแต่การ "แอบอิงสถาบัน" ที่เนวินคิดว่าเป็นไม้ขอนสุดท้ายที่จะยึดเกาะเมื่อใกล้จะจมน้ำเท่านั้น แต่เชื่อเถอะว่าเนวินจะทำให้ฎีกาของคนเสื้อแดงนี้ มีคนเซ็นมากกว่าเดิม

ผมคิดว่ากรอบความคิดของคนไทยในปี 2552 นี้แตกต่างจากเดิมในอดีตค่อนข้างมาก วิกฤติการณ์ทางการเมืองกว่าสามปีเข้าปีที่สี่ ทำให้ประชาชนเรียนรู้อย่างมาก และหลุดออกไปจากกรอบเดิมที่ครอบงำมากว่าครึ่งศตวรรษ ดังนั้นการใช้กรอบความคิดแบบเดิม เข้าสกัดการเข้าชื่อ ร้องเรียนของคนหลายล้านคน จะยิ่งสร้างความเสียหายต่อสถาบันเบื้องสูงมากกว่าเป็นเรื่องดี

ฎีกาของคนเสื้อแดงครั้งนี้ หากวิเคราะห์กันอย่างตรงไปตรงมา ถือว่าเป็นฎีกาทางการเมืองอย่างเต็มที่ และคนที่ลงนามในฎีกา ส่วนใหญ่ที่ผมพบคือ “ตั้งใจลงนามอย่างเต็มที่” มีการส่งพรรคพวกเพื่อนฝูงของตนมาขอกระดาษที่จะลงชื่อ และตั้งกลุ่มล่ารายชื่อกันเองแพร่กระจายไปทุกกลุ่มสังคมของคนเสื้อแดง คนลงชื่อถวายฎีกาต่างมีความเข้าใจทั้งผลได้ผลเสียของฎีกานี้ดี ไม่มีใครถูกหลอก ดังนั้น การชี้แจงของอำมาตย์ สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือ สร้างความโกรธแค้นไม่พอใจให้คนเสื้อแดงมากยิ่งขึ้น และมีคนที่เคยลังเลไม่ลงชื่อ ต่างก็รีบลงชื่อมากขึ้น

ในตอนแรกที่วีระ มุกสิกพงษ์เสนอเรื่องนี้ที่สนามหลวง คนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยจำนวนมาก แต่ไม่ได้ไม่เห็นด้วย เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสม รบกวนหรืออะไร แต่จำนวนมาก คิดว่ามันจะไม่ได้ผล ไม่อยากที่จะใช้วิธีการดั้งเดิมแบบนี้ (ที่จริงหากไม่มี ม. 112 ปิดปากไว้ จะทำให้เข้าใจอะไรได้มากกว่านี้ ม. 112 ในขณะนี้จึงมีผลเสียมากกว่าผลดี) แต่เมื่อกลุ่มอำมาตรยาธิปไตยศักดินา สั่นสะเทือนและอ่อนไหวต่อยุทธวิธีนี้ คนเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยกับฎีกาแต่แรก เลยกลับใจมาลงนามหลายล้านคน จากที่แรกที่ผมคิดว่าจะไม่ถึงล้านคน ตอนนี้ผ่านหลัก 3 ล้านคน ภายในเดือนเดียว

หากวิเคราะห์กันในได้แนวคิด เบื้องหลัง ผมว่าเรื่องฎีกานี้สั่นสะเทือนรากฐานเลยทีเดียว หากฝ่ายอำมาตย์มัวใช้แต่กรอบแนวคิดเดิม คนลงนามจะมากกว่านี้ มันสื่อว่า ประชาชนไม่กลัวอำนาจของอำมาตย์อีกไปแล้ว

ผมว่าอำมาตยาธิปไตย เสียเวลาที่จะไปต่อต้านฎีกา เพราะมีคนเซ็นชื่อนับล้านแล้วครับ ยิ่งต้านคนยิ่งลงชื่อมากขึ้นมากกว่าเดิม

ทางที่จะทำให้สังคมไทยสงบ พวกคุณต้องคิดถึงการเจรจาสันติภาพอย่างแท้จริงแล้วละครับ ยิ่งพยายามทำลายทักษิณ ผลสุดท้ายสถานะภาพของอำมาตย์ศักดินา แย่ลงกว่าเดิมไปเรื่อยๆ