วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ท่องเที่ยวฉบับ ‘แม้ว’ ‘แรง’ กว่าฉบับ ‘มาร์ค’

ที่มา บางกอกทูเดย์

ทั้งเข็น ทั้งผลัก ทั้งดัน ก็ยังไม่ค่อยจะ “ขึ้น”แม้รัฐบาลจะประกาศหยุดยาวยืด 5 วันรวด หวังให้ประชาชนคนไทยนี่แหละ “ควักเงิน” ใช้จ่ายด้วยการ “ท่องเที่ยว” ในประเทศไทยแต่รายได้ที่“หวัง ” ก็ยัง “แป้ก ” ส่งสัญญาณ “ร่อแร”หมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนเดิมเมื่อเส้นเลือดใหญ่ตีบตัน!! มันก็อ่อนแรงหมดกำลัง...หากหวังเอาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติก็คงต้อง “หงอย” คอตก!!เพราะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ออกฤทธิ์ซะจน “วิทยา แก้วภราดัย”รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กุมขมับ..แถม ครม.ทั้งแผงยัง “สกัด” ไม่อยู่คนไทยครึ่งประเทศต้อง “พึ่ง” ผ้าปิดปากปิดจมูก ป้องกัน “เชื้อโรค”อย่างไรก็ตาม ต้อง “ปรบมือ” ให้รัฐบาลที่สู้ไม่ถอย..สารพัดงัดมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวกันสุดฤทธิ์ล่าสุด!!! นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ยังใช้การประชุมผู้นำสมาชิกตระกูลแซ่อาเซียน +4 (จีนฮ่องกง ไต้หวัน มาเก๊า) ที่โรงแรมรามาดาถนนเจริญกรุง ส่งเสริมการท่องเที่ยวไปด้วย โดยแนะนำให้ผู้นำตระกูลแซ่ที่มาร่วมประชุมเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยก่อนบินกลับถิ่น และให้ผู้นำตระกูลแซ่เล่าความประทับใจให้ญาติพี่น้องที่บ้านฟัง เพื่อญาติพี่น้องผู้นำตระกูลแซ่จะสนใจและกลับมาเที่ยวในประเทศไทยอีกครั้ง..ไม่ได้อยากจะลูบหลังแล้วตบหัว!!

แต่ก็อดไม่ได้ ว่ากันง่ายๆ แบบบ้านๆ..“รัฐบาลกำลังทายาผิดที่ผิดทาง”วัด วัฒนธรรมไทย ทะเล ภูเขา โหมโรงกันเข้าไป..ประเทศไหนๆเขาก็มียิ่งเป็นเมือง 3 พิษ พิษหวัด พิษเศรษฐกิจ พิษการเมือง ระบาดอย่างนี้...ถ้าจะเที่ยวไม่จำเป็นต้องดันทุรังมาไกลถึง “ไทยแลนด์”จริงไหมล่ะ?ไม่ได้เชียร์ ไม่ได้ชม เพราะไม่ได้ค่าขนมสักบาทแต่บังเอิ๊ญ บังเอิญ “คนเขียน” อยากย้อนวันวานไปท่องเที่ยว“พักผ่อน” ใช้ชีวิตแบบวิถีดั้งเดิม!! แล้วต้องผิดหวัง เพราะท่องเที่ยวตามแบบฉบับวิถีดั้งเดิมหรือที่เราเรียกกันว่า “โฮมสเตย์” นั้นมันหงอยเหงา ขาดการดูแลหมดอารมณ์ สลดใจกันเลยทีเดียว...ทว่า ตอนแรกกลับ “โทษปี่โทษกลอง” ว่า เศรษฐกิจจากเมืองนอกมันพ่นพิษ..แต่เอาเข้าจริง..ชาวบ้านกลับบอกว่า “ขาดการสนับสนุน” ต่างหากล่ะ!!ย้อนกลับไปวันวานที่ “โฮมสเตย์” เรืองรองแม้จะสร้างรายได้ให้ชาวบ้านเพิ่มเพียงคนละ 1,000-2,000 ต่อครัวเรือนแต่มันก็เป็นรายได้ที่ทำให้ “ชุมชน” เข้มแข็งขึ้น..ในวงกว้างระดับประเทศ คือ เศรษฐกิจไม่ง่อยเปลี้ยเสียขาอย่างทุกวันนี้“โฮมสเตย์” กำลังนับถอยหลังถึงจุด “อวสาน”นับตั้งแต่สิ้นการบริหารของ “รัฐบาลทักษิณ”การท่องเที่ยวรูปแบบโฮมสเตย์ เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวพักผ่อนโดยเน้นการได้เข้าไปสัมผัสเรียนรู้วิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวบ้านในชนบทด้วยการไปพักอาศัยอยู่กินร่วมกับเจ้าของวัฒนธรรมในชุมชน เป็นโครงการที่แจ้งเกิดและเคยเรืองรองในยุครัฐบาลทักษิณเป้าหมายหลักของการสนับสนุน“โฮมสเตย์” คือ สร้างรายได้ให้ชาวบ้านส่งเสริมให้มีการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ธรรมชาติ และเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นบ้านเราอีกทั้งยังเป็นการ “ปูเสื่อ”ให้สินค้าโอท็อป “ผงาด” ขึ้นสู่ตลาดโลกในสมัยรัฐบาลทักษิณ “โฮมสเตย์” เกือบจะกลายเป็น“ฟันเฟือง” สำคัญในการผลักดันการท่องเที่ยวระดับประเทศเพราะทักษิณเขาวางแผนให้ไทย

เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนนอกเหนือจากเป้าหมายที่หวังว่าจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ชุมชน ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่ คือ ชาวฝรั่งเศสสเปน ออสเตรเลีย อเมริกาและญี่ปุ่นแม้รายได้เสริมที่ว่าจะเพิ่มขึ้นมาเพียงเดือนละ 1,000-2,000 บาทต่อครัวเรือน แต่ในสังคมชนบทนั้นถือเป็นน้ำเลี้ยงที่ช่วยให้พวกเขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพราะนอกจากรายได้ส่วนที่นักท่องเที่ยวไปพักและอยู่กินกับโฮมสเตย์แล้ว ชาวบ้านยังมีรายได้จากการนำวัตถุดิบในท้องถิ่นมาเพิ่มมูลค่า ผลิตหรือแปรรูปเป็นของฝาก ของที่ระลึก ขายให้นักท่องเที่ยวช่วยเพิ่มรายได้ให้อีกส่วนเมื่อมีการปฏิวัติยึดอำนาจ “รัฐบาลทักษิณ”!?!“โฮมสเตย์” ก็ถูก “ลืม” บ้างก็ถูก “ดอง” ขาดการเหลียวแลจากผู้บริหารประเทศ..แม้แต่โฮมสเตย์ทั้ง 36 แห่ง ที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานชี้วัดระดับชาติ(Home Stay Standard) ทั้งด้านที่พัก อาหาร ความปลอดภัยการจัดการ กิจกรรมท่องเที่ยว สภาพแวดล้อม ฯลฯ จากสำนักงานพัฒนาการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา...ก็ต้อง “หงอยเหงา” ไปตามๆ กัน“โฮมสเตย์” แม้จะไม่ใช่ “สถานที่ท่องเที่ยว” หรือ “รูปแบบ”ในใจของนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่แต่รายได้ที่เพิ่มขึ้น “นิดหน่อย” ให้ชาวชนบท มันคือการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของชาวบ้าน ซึ่งมีผลไปถึงระดับประเทศแนวทางที่รัฐบาลทักษิณวางไว้ตั้งแต่แรก หากทำได้มันก็คือรายได้ไทยแลนด์...ซึ่งมันยังดีกว่า “ลงทุน” ไปแล้วไม่ได้อะไรกลับคืนมาจมดิ่ง! กู่ไม่กลับ พอเถอะครับรัฐบาล ■