ที่มา มติชน
บทนำมติชน
ในที่สุด ความสมานฉันท์และความปรองดองของคนในชาติก็ได้พิสูจน์ด้วยกาลเวลาว่า ในรอบ 8 เดือนที่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เข้ามาบริหารประเทศไม่สามารถลดความขัดแย้ง แตกแยกในหมู่คนไทยได้ สิ่งที่นายอภิสิทธิ์แถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2551 ที่กระทรวงการต่างประเทศเป็นได้แค่เพียงถ้อยคำอันไพเราะ แต่หาได้นำไปสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลที่เป็นรูปธรรมไม่
หากย้อนกลับไปตรวจสอบจะพบว่า ในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลซึ่งนายอภิสิทธิ์ยืนขึ้นอ่าน ในเรื่องที่จะเริ่มดำเนินการในปีแรก ข้อ 1.1.3 ระบุว่า "เสริมสร้างความสมานฉันท์และความสามัคคีของคนในชาติให้เกิดขึ้นโดยเร็ว โดยใช้แนวทางสันติ รับฟังความเห็นจากทุกฝ่ายและหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในชาติในทุกกรณี รวมทั้งฟื้นฟูระเบียบสังคมและบังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ตลอดจนสนับสนุนองค์กรตามรัฐธรรมนูญให้มีส่วนร่วมในการสร้างความสมานฉันท์ ภายใต้กรอบของบทบาทอำนาจและหน้าที่ขององค์กร" แท้จริงแล้ว รัฐบาลยังไม่ได้ทำอะไรที่จะก่อให้เกิดการยอมรับจากฝ่ายที่ขัดแย้งและแตกแยกกันอยู่เลยแม้แต่น้อย แม้จะมีความพยายามอยู่บ้าง เช่น การเปิดประชุมร่วมรัฐสภาให้ ส.ส.และ ส.ว.มาอภิปรายในเหตุการณ์ "สงกรานต์เลือด" จนต่อมาได้ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยมีตัวแทนจากทุกพรรคมาร่วมเป็นกรรม แต่ผลการศึกษาก็เป็นได้แค่ตัวอักษรในกระดาษที่วางไว้บนโต๊ะ ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์จะเห็นความสำคัญแล้วนำมาปฏิบัติแต่อย่างใด
ในทางตรงกันข้าม หลังจากเหตุกาณ์ "สงกรานต์เลือด" ผ่านพ้นไป จวบจนมาถึงวันนี้นับเวลาได้เกือบ 5 เดือน ดูเหมือนความขัดแย้ง แตกแยกกลับเพิ่มทวีไปมากกว่าเดิมหลายเท่า ความไม่คืบหน้าในการดำเนินคดีกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ดอนเมืองและสุวรรณภูมิ ฯลฯ ที่คนเสื้อแดงมองว่าเป็น 2 มาตรฐานก็ยังเปรียบเสมือนเมฆดำที่ปกคลุมสังคมไทยจนสร้างความรู้สึกนึกคิดของคนเสื้อแดงที่ปฏิเสธรัฐบาลและโครงสร้างอำนาจอธิปไตย การล่ารายชื่อประชาชนคนเสื้อแดงได้ 3.5 ล้านคนทูลเกล้าฯถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้พระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับกลายเป็นเงื่อนไขใหม่ที่ตอกล่มให้รอยร้าวฉานในหมู่คนไทยบาดลึกยิ่งขึ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า "บ้านเมืองเรากำลังล่มจม เพราะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร.." ควรจะทำให้คนไทยได้สติแต่ก็ดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
การชุมนุมของคนเสื้อแดงในบ่ายวันที่ 30 สิงหาคม ณ ลานพระบรมรูปทรงม้าก่อนจะไปล้อมทำเนียบรัฐบาลเพื่อกดดันให้นายอภิสิทธิ์ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ได้ถูกรัฐบาลนำ พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรมาใช้เพื่อสกัดกั้นและขัดขวางการชุมนุมดังกล่าว การใช้มาตรการทางกฎหมายซึ่งถือเป็น "ไม้แข็ง" ในการรับมือกับคนเสื้อแดง แต่ถ้าหากแกนนำคนเสื้อแดงและมวลชนไม่กลัวการถูกตั้งข้อหาหรือแม้แต่การใช้กำลังตำรวจ-ทหารที่กฎหมายให้อำนาจไว้อย่างเต็มที่ เพราะคนเสื้อแดงถือว่าการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญให้ความคุ้มครอง อีกทั้งคนเสื้อแดงมองเห็นว่า รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ขาดความชอบธรรมและไม่มีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นตามมาอาจเป็นความโกลาหล วุ่นวายของประเทศที่ไม่อาจจะแก้ไขได้ ขณะเดียวกัน การใช้อำนาจของรัฐบาลตาม พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะถูกตั้งคำถามว่า มีหลักเกณฑ์อย่างไร ชอบธรรมหรือไม่
เมื่อความสมานฉันท์ ความสามัคคีปรองดองไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้ในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็ต้องรอไปถึงรัฐบาลหน้าซึ่งจะต้องผ่านการเลือกตั้งไปก่อน ไม่มีใครตอบได้ว่า รัฐบาลหน้าจะประกอบไปด้วยพรรคไหน ใครเป็นนายกรัฐมนตรี จะสร้างความสมานฉันท์ได้หรือไม่ แต่สิ่งที่ตอบได้อย่างไม่ผิดพลาดก็คือ ความล่มจมของบ้านเมืองจะหนักหนาสาหัสกว่านี้เป็นหลายเท่า หากคนไทยยังขัดแย้ง แตกแยกกันอยู่เช่นนี้