วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

งบซื้ออาวุธ ‘ใจ’ วัด ‘ใจ’

ที่มา บางกอกทูเดย์

คงต้องถือว่าเป็นรัฐบาลที่“งานเข้า” มากอย่างยิ่งทีเดียวสำหรับรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรีระยะเวลาเพียงแค่ 7-8 เดือนที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ภายใต้การพลิกผันทางการเมืองด้วยการเปลี่ยนขั้วฉับพลันของกลุ่มก๊วนเพื่อนเนวิน ที่มีนายเนวิน ชิดชอบ ผู้ซึ่งถูกเว้นวรรคการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปีเป็นคนกำกับการแสดงโดยหวังว่า จะสามารถเป็นรัฐบาลได้อย่างราบรื่น แต่เอาเข้าจริง อ้อมกอดและรอยยิ้มระหว่างนายอภิสิทธิ์ และนายเนวิน ไม่ใช่

กำแพงชั้นดีทางการเมืองอย่างที่คิดหลายเรื่องเปลืองตัวด้วยกันทั้ง 2 ฝ่ายบางเรื่องประชาธิปัตย์เปลืองตัวและไม่น้อยเรื่องเลยที่กลุ่ม ก๊วนเพื่อน เนวิน ทำให้ประชาธิปัตย์เปลืองตัว เปลืองภาพของพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไปอย่างน่าเสียดายแต่ล่าสุด กรณีงานเข้าในเรื่องของการอนุมัติงบประมาณเพื่อจัดซื้ออาวุธนับหมื่นล้านบาท เป็นเรื่องที่เกิดจากภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ และนายอภิสิทธิ์ เองเนื่องจากจะต้องยอมรับความเป็นจริงก่อนว่าช่วงระยะเวลาก่อนหน้านี้เพียงแค่เดือนเศษๆสัมพันธภาพระหว่างรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์กับกองทัพและนายทหารใหญ่ต้องถือว่าอยู่ในภาวะหน้าสิ่วหน้าขวานกันเลยทีเดียวก่อนหน้านั้นอาจจะมีอึมครึมกันบ้าง กรณีของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งทางฝ่ายรัฐบาลมองว่า ยังให้ใจกับรัฐบาลไม่มากพออย่างที่รัฐบาลต้องการเพราะดันมีกระแสข่าวเรื่อง“กลุ่มอำนาจใหม่ 3 ป.” ออกมาตลอดเวลาว่าจะเป็นผู้มาแทนที่ หากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อยู่ไม่ได้แบบนี้จะให้มองหน้ากันสนิทได้อย่างไรอุตส่าห์เลี่ยงบาลีประชาธิปไตยที่แท้จริงมาซะขนาดนี้ จนได้เป็นรัฐบาลสมใจ จะให้ยอมเสียไปง่ายๆ ไม่มีทางแน่แต่สาเหตุใหญ่ที่สุดของอาการไม่อยากจะมองหน้ากันหากไม่จำเป็นนั้น มาจากการที่รัฐบาลเข้าไปให้ความสำคัญกับคดีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯซึ่งลุกลามบานปลายไปสู่การแต่งตั้งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติเล่นเกมกันขนาดที่ พล.ต.อ.พัชรวาทวงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ทนอยู่ไม่ได้ครบเกษียณต้องตัดสินใจยื่นใบลาออกจากตำแหน่งในที่สุดแต่เพราะเรื่องนี้บานปลาย มีคนเกี่ยวข้องเยอะ มีข้อมูลพิเศษ มีสัญญาณพิเศษประดังเข้ามากล่าวอ้างจนอื้ออึงไปทั้งสังคมไทยการแต่งตั้งผบ.ตร.คนใหม่ จึงไม่ง่ายอย่างที่นายอภิสิทธิ์คาดคิดแถมยังทำให้พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็น

พี่ชายแท้ๆ ของ พล.ต.อ.พัชรวาทไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจ็บลึกอยู่ในใจและทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ ซึ่งถูกมองเป็น1 ใน 3 ป. ย่อมต้องสะทกสะท้อนหัวอกไปด้วยเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่ช่วยได้ หากสังคมจะมองว่า เกิดรอยร้าวลึกๆ ระหว่างอำนาจรัฐบาลกับอำนาจทหารเกิดขึ้นแล้วไม่เช่นนั้น ข่าวลือในเรื่อง “ปฏิวัติ”คงไม่กระฉ่อนหลายรอบในระยะเวลาแค่1 เดือนที่ผ่านมาแน่ก็ขนาดที่ นายอภิสิทธิ์ ว่ามั่นใจมากๆในยามที่ต้องเดินทางไปประชุมต่างประเทศลึกๆ ยังร้อนๆ หนาวๆ เหมือนกันดังนั้นการที่จู่ๆ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีใช้ช่วงจังหวะที่นายอภิสิทธิ์ไปสหรัฐฯ และให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทน มีการอนุมัติงบฯ กว่าหมื่นล้านให้กลาโหมจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ย่อมสงสัยได้ว่า นี่คือ..การซื้อใจกันหรือไม่???นี่คือ..การขอคืนดี ลบรอยร้าวในใจหรือเปล่า???เพราะเหตุมันประจวบเหมาะเกินไปดูแล้วบังเอิญเกินไปเสียงสะท้อนจึงดังเป็นพิเศษ ชนิดที่นายอภิสิทธิ์ ต้องออกมาแก้ต่างว่า เรื่องดังกล่าวเป็นกรณีงบผูกพัน ถือเป็นเรื่องปกติในขณะที่นายสุเทพ มือจัดการทำแทนในเรื่องนี้ ยืนยันว่า การจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์หมื่นล้านบาท ให้กองทัพ-ตำรวจ เป็น 1 ใน 4โครงการ ที่ได้อนุมัติหลักการให้ก่อหนี้ผูกพันติดต่อกันได้ 4-5 ปี โดยค่อย ๆ ตั้งงบประมาณไปแต่ละปี เนื่องจากเป็นโครงการใหญ่และยังเป็นโครงการที่อนุมัติไปก่อนหน้ารัฐบาลนี้แล้ว“ที่ต้องรีบเสนอ ครม. เพราะจะต้องไปทำสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง งวดปีงบประมาณ 2552ที่กำลังจะหมดปีงบประมาณ ในวันที่30 ก.ย.นี้ จึงต้องรีบดำเนินการให้เรียบร้อยเพราะ ครม.มีมติไว้ว่า การทำสัญญาผูกพันหนี้ที่วงเงินเกิน 1,000 ล้านบาท ต้องขออนุมัติครม. และการทำสัญญาระหว่างรัฐต่อรัฐต้องนำเข้าสภาฯ ให้การรับรอง ซึ่งต้องใช้เวลานานมาก” นายสุเทพ กล่าวนั่งยันนอนยันกันเลยว่า เรื่องที่อนุมัติ

ถือเป็นความจำเป็น พร้อมยกตัวอย่างเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ แบบSEA HAWK ที่ยังไม่มี หรือมีแต่ไม่พอใช้ว่าเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง“เรามีผลประโยชน์ทางทะเลที่ต้องดูแลทั้งฝั่งอันดามัน และแปซิฟิก ขณะที่ประเทศรอบๆ เรา มีเรือดำน้ำใช้ ทางทหารจึงต้องไม่ประมาท แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปมีเรื่องกับใคร”เชื่อไม่เชื่อไม่รู้ แต่ข่าวลือไม่สงบลงง่ายๆทำให้แม้แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ยังต้องออกมาช่วยยืนยันอีกคนว่าที่ ครม.อนุมัติงบประมาณกว่าหมื่นล้านบาทให้กระทรวงกลาโหมจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ เป็นงบประมาณผูกพันของปีงบประมาณ 2552 ซึ่งได้ผ่านความเห็นชอบจากสภาฯ แล้วจริงๆแต่ที่ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี เนื่องจากแต่ละโครงการมีวงเงินเกินกว่า 1,000 ล้านบาท จึงจำเป็นต้องให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติอีกครั้งยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องใหม่เพียงแต่ต้องให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปีงบประมาณในเดือน ก.ย.นี้ไม่ใช่เป็นการอนุมัติงบในลักษณะต่างตอบแทนแถมยังบอกด้วยว่า กระทรวงกลาโหมเข้าใจดีว่าประเทศกำลังประสบภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ จึงไม่มีโครงการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ใหม่เลยในปีงบประมาณ 2553เรียกว่า แม้ว่าน้องชายจะถูกกระทำย่ำยีเพียงใดก็ตาม แต่ พล.อ.ประวิตรก็ยังผูกพันแน่นแฟ้นกับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์เหมือนเดิมถ้ามีปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับความมั่นคงก็พร้อมจะปกป้องรัฐบาลนี้ให้อยู่ในตำแหน่งได้ต่อไปอย่างเต็มที่เหมือนกับที่มีการยืนยันแล้วว่า จะดูแลงานการประชุมต่างๆ ไม่ต้องให้ล่มเหมือนกับที่ชลบุรีอีกอย่างแน่นอนฉะนั้น จึงไม่แปลกหากวันนี้ พลพรรคประชาธิปัตย์ และนายกฯ อภิสิทธิ์ จะมีความเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่า สามารถที่จะบริหารจัดการตำแหน่งในกองทัพต่างๆ อย่างไรก็ได้เชื่อมั่นจนอาจจะถึงขนาดที่เห็น“พยัคฆ์” เป็นแค่ “แมวเชื่องๆ” ไปแล้วก็ได้ใครจะรู้ในเมื่อแม้จะเป็นการอนุมัติงบตามปกติแต่ถ้าถามกันตรงๆ ว่า “ซื้อใจได้หรือไม่???”มีทหารใหญ่คนไหน กล้าบอกบ้างว่า“ซื้อใจไม่ได้”ไม่อย่างนั้นจะรักและผูกพันกันขนาดนี้หรือ!!! ■

“ประวิตร” ยืนยัน ดูแลประชุมผู้นำอาเซียน
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมยืนยันถึงความพร้อมในแผนดูแลรักษาความเรียบร้อยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนในเดือนตุลาคมนี้ว่า ได้ดำเนินการตามขั้นตอน ให้เจ้าหน้าที่ลงไปสำรวจพื้นที่ รวมทั้งการทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่และประชาชนทั่วประเทศ ว่าการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนครั้งนี้มีความสำคัญกับประเทศมาก เพราะหากผ่านพ้นไปได้ด้วยความเรียบร้อยจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยต่อสายตาของนานาประเทศและที่ว่าขณะนี้ภาคธุรกิจเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องประกาศใช้พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แล้วหรือไม่พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ได้ประกาศใช้มา2-3 ครั้งแล้ว เชื่อว่าทุกฝ่ายเข้าใจว่าพ.ร.บ.มั่นคงฯ เป็นกฎหมายที่ใช้ในการป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้น มากกว่าเป็นกฎหมายสำหรับใช้แก้ไขปัญหาหรือการปราบปราม ทั้งนี้ เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่ต้องสงสัยได้ ■