วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นายหน้า"ไทย(ใคร)เข้มแข็ง"

ที่มา มติชน

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่ 12

โดย ทวี มีเงิน



นายกฯอภิสิทธิ์ประกาศเมื่อรัฐบาลทำงานครบ 1 ปี จะตรวจสมุดพกดูผลงานของรัฐมนตรี จะดูว่าคนไหนสอบผ่าน ใครสอบไม่ผ่าน ใครได้คะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ถือว่าสอบตก อาจพิจารณาปรับออกจากตำแหน่ง ฟังนายกฯแล้วรู้สึกดูดีถ้าทำจริง แต่ก็ต้องบอกว่า ลำพังแค่ดูผลงานอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรวจดูพฤติกรรมด้วยว่ามีคุณธรรม จริยธรรม ทำงานด้วยความโปร่งใสหรือไม่

ตรงนี้สำคัญไม่แพ้กัน

เท่าที่ดูรัฐมนตรีที่น่าจะสอบผ่านไม่น่าจะเกินสามถึงสี่คน ที่เหลือล้วนต่ำกว่ามาตรฐาน นอกจากไม่มีผลงานแล้ว หลายคนยังมีแต่ข่าวฉาวโฉ่เรื่องความไม่ชอบมาพากลออกมาเป็นระยะๆ ตั้งแต่การทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง จนถึงวันนี้จับได้แค่ปลาซิวปลาสร้อย สาวไม่ถึงตัวการใหญ่ที่มีนักการเมืองอยู่ข้างหลัง รวมถึงการจัดซื้อครุภัณฑ์ในโครงการไทยเข้มแข็งของกระทรวงสาธารณสุขค่อนข้างชัดเจนว่ามีนักการเมืองเกี่ยวข้อง สุดท้ายก็อีหรอบเดิม คงเอาผิดได้แค่ข้าราชการตัวเล็กๆ ตามเคย ยิ่งทำให้นักการเมืองไม่รู้สึกรู้สา เพราะยังไงก็สาวไม่ถึงตัว

ยิ่งทำให้เหิมเกริมถึงขั้นมีความพยายามจะรื้อโครงการไทยเข้มแข็งใหม่ จะได้ทำมาหากินกันสะดวก โดยมีใบสั่งจากผู้มีอำนาจในวงการเมืองสั่งให้รื้อระบบการจัดทำแผนในโครงการไทยเข้มแข็งใหม่ทั้งหมด จากเดิมจะใช้วิธีให้หน่วยงานข้างล่างคือ อบต. อบจ.เสนอแผนขึ้นมายังข้างบนตามขั้นตอน เพื่อจัดทำโครงการเสนอของบประมาณ แต่แบบใหม่จะกลับหัวกลับหาง ผู้รับผิดชอบที่อยู่ข้างบนจัดการให้ทุกอย่างแบบสำเร็จรูปตั้งแต่ทำโครงการไปจนถึงจัดงบประมาณ เอาไปยัดใส่มือหน่วยงานที่อยู่ข้างล่างอย่าง อบจ. อบต.

วิธีนี้ดูเผินๆ เหมือนดี โครงการจะได้เร็วขึ้น จะส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วขึ้น แต่เบื้องหลังการถ่ายทำเป็นการหาช่องในการทุจริตได้ง่ายแต่จับผิดยาก

พรรคพวกที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นเล่าให้ฟัง เพราะเขาเจอกับตัวเอง ว่ามีนักบางคนวิ่งกันฝุ่นตลบ เอาโครงการไทยเข้มแข็งแพคใส่กระเป๋าเร่ขายโครงการให้องค์กรท้องถิ่นถึงที่ โดยขอค่านายหน้าหรือค่าหัวคิว หากเป็นโครงการขุดคลอง ค่าคอมมิสชั่น 60% แต่ถ้าเป็นถนน 50:50 เหลือผ่านองค์กรท้องถิ่นแค่ 40-50% เท่านั้น องค์กรท้องถิ่นไม่ต้องทำอะไร อยู่เฉยๆ มีคนจัดการให้ทั้งหมด มีบริษัทมารับงาน เอกสารทุกอย่างจัดการให้เสร็จสรรพ รับประกันไม่มีปัญหาตามมา

ตอนนี้พื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กลายเป็นทำเลทองของ "นายหน้าไทยเข้มแข็ง" เพราะหากินง่าย กฎหมายเปิดช่องให้จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษได้เลย ไม่ต้องมีกระบวนการอะไรมากมาย

เรื่องอย่างนี้ไม่รู้ว่านายกฯอภิสิทธิ์เคยระแคะระคายบ้างไหม หากไม่เคยก็ลองสอบถามบรรดาปลัดกระทรวงเศรษฐกิจที่ต้องเกี่ยวข้องดู หลายคนกำลังอึดอัดกับใบสั่งให้รื้อโครงการ แต่ถ้าจะให้ดีควรสอบถามไปถึงบรรดานายก อบจ.จะได้รู้ว่าโครงการไทยเข้มแข็งนั้นเขามีวิธีหากินพิสดารเพียงใด จะได้รู้ว่างานนี้ไทยหรือใครเข้มแข็งกันแน่ เผลอๆ นายกฯอาจจะตกใจเพราะคาดไม่ถึงจริงๆ

ฉะนั้น แค่ตรวจการบ้านรัฐมนตรีอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรวจดูความประพฤติ ทำอะไรแบบตรงไปตรงมาหรือไม่ และควรตรวจไม่เฉพาะรัฐมนตรีเท่านั้น ต้องตรวจให้ทั่วถึง ทั้ง ส.ส.ในซีกรัฐบาล เลขาฯรัฐมนตรี และที่ปรึกษาทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

ว่าไปแล้วเป็นตราบาปรัฐบาลนี้ ตั้งแต่ออกมาเป็นพระราชกำหนดกู้เงินมาใช้ในโครงการไทยเข้มแข็งโดยไม่ผ่านสภา ไม่ยอมตรวจสอบรายละเอียด อ้างว่า "โครงการเร่งด่วน" แต่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็น "โครงการแดกด่วน" เป็นบุฟเฟ่ต์คาบิเนตที่คนในรัฐบาลแย่งกันตักใส่ปาก จะเหลือหกเรี่ยราดถึงชาวบ้านก็แค่เศษๆ

นายกฯอภิสิทธิ์ที่ฝันหวานว่า เม็ดเงินลงทุน 1.4 ล้านล้านบาท หรือปีละ 3 แสนกว่าล้านบาท จิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจประเทศ ยิ่งโดนนักการเมืองรุมทึ้งไม่บันยะบันยัง เม็ดเงินเหลือลงทุนจริงๆ ย่อมไม่พอกระตุ้นให้เศรษฐกิจฟื้นได้แน่นอน

ระวังจะเป็น "รัฐบาลอิเหนา" ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง สมัยรัฐบาลทักษิณมาเหนือเมฆ กินอากาศ กินคำโตๆ คนก็มองไม่เห็น ไม่รู้สึก แต่รัฐบาลนี้ กำลังกินหิน กินทราย กินดิน แค่หยิบใส่ปากคนก็มองเห็นกันแบบจะจะ...สรุปว่าสัญชาตินักการเมืองเหมือนกันทั้งนั้น