โดยคนที่โล่งอกสุดคงไม่มีใครเกิน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี โดยจับสังเกตได้อย่างชัดเจนจากคำกล่าวระหว่างแถลงปิดประชุม
"ผมขอถือโอกาสนี้ขอขอบคุณพี่น้องชาวหัวหิน ชะอำ เพราะทราบดีว่าช่วงที่ผ่านมามีความไม่สะดวกมากมาย ผมนั่งรถผ่านทุกครั้งก็เกรงใจเวลาเห็นรถติด"
"..การประชุมครั้งนี้ที่จบลงไปด้วยดีได้สร้างความมั่นใจให้กับผู้นำเอเชีย..ต่อประเทศไทย"
ในภาพรวมของงานก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย จากการอำนวยความสะดวกของทหารตำรวจนับหมื่นนายที่เดินกันขวักไขว่ทั่วเมืองหัวหิน แม้จะมีเสียงบ่นเล็กน้อยเรื่องความไม่ปลอดภัยจาก "อาเซียนเลน" ที่ทำให้รถซาเล้งขนไข่ถูกชนพังยับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรโดนลูกหลงบาดเจ็บไปหนึ่งนาย
ยังไม่รวมถึงชาวบ้านอีก 4-5 คน ที่ต้องได้เปลี่ยนบรรยากาศไปนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลแทน !!
ที่ทำให้ใจหายใจคว่ำ ก็คือ "คิวโดด" ของ สมเด็จอัครมหาบดีเดโช ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เมื่อเดินทางถึงโรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ได้แหวกบรรดาการ์ดรักษาความปลอดภัย เพื่อเดินไปให้ข่าวกับสื่อมวลชนประกาศให้อาเซียนและโลกได้รู้ถึง "ความรักเพื่อน" ขนาดไหน
คิวแทรกที่มาแรงของสมเด็จฯ ฮุน เซน ที่ได้ยืนยัน "อ้าแขนรับ" ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไทย ลี้ภัยในกัมพูชาโดยจะไม่ส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดนให้กับทางการไทยอย่างเด็ดขาด ก่อนยกย่อง "ทักษิณ" เทียบชั้น นางออง ซาน ซูจี ผู้เรียกร้องประชาธิปไตยในพม่า เจ้าของรางวัล โนเบลสาขาสันติภาพ
ทำให้เกิดวิวาทะระหว่างผู้นำกัมพูชา และไทย เกือบจะกลบไฮไลต์การประชุม สุดยอดผู้นำอาเซียนไปเลยก็ว่าได้
ในสายตาของผู้เฝ้ามองการประชุม อาจจะบอกว่าผลของการประชุมครั้งนี้ "ไม่สามารถจับต้องได้" แต่เชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นในการดึงความเชื่อมั่นของผู้คนให้กลับคืนมาสู่ประเทศไทยได้อีกครั้งไม่มากก็น้อย
และที่แน่นอนคือ จากนี้ไป "รัฐบาลอภิสิทธิ์" ก็คงใช้สื่อในมือโหมประโคม "ความสำเร็จ" เพื่อให้คนไทยเคลิบเคลิ้มและร่วมฝันไปด้วยว่า การแก้ไขปัญหาต่างๆ ของรัฐบาลในอนาคต จะเป็นไปด้วยความราบรื่น เช่นเดียวกับการจัดประชุมครั้งนี้..??
แต่ "ปรากฏการณ์ ฮุน เซน" ที่เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าผิดธรรมเนียมการทูต และพูดกันว่าเกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก ที่ผู้นำของชาติหนึ่งจะไปพูดการเมืองของอีกชาติหนึ่งในบ้านของคู่กรณี ด้วยความตั้งใจและมีวาระซ่อนเร้น ..เป็นสัญญาณว่าความฝันกับความจริงนั้นแตกต่างกันใช่หรือไม่
หากมองกว่า เป้าหมายของนายกฯกัมพูชา ต้องการช่วยเหลือ "หุ้นส่วนทางธุรกิจ" อย่างอดีตนายกฯไทย เพราะหวังจะต่อยอดความสัมพันธ์กับพรรคฝ่ายค้านที่เล็งแล้วว่าหลังการเลือกตั้งมีเปอร์เซ็นต์จะกลับมาเป็นฝ่ายบริหารสูง ก็ย่อมจะมองเช่นนั้นได้
เพราะในสมัยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน ที่ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศขณะนั้น คล้อยหลังจากภาพเข้าหารือกับรัฐบาลกัมพูชาเรื่องแหล่งพลังงานในทะเลไม่นาน ก็ปรากฏภาพ พ.ต.ท.ทักษิณออกรอบกอล์ฟกับสมเด็จฯ ฮุน เซน ??
แค่กรณีคู่แข่งที่อยู่เมืองนอกยังทำให้การเมืองภายในระส่ำ และถูกย่ำเกียรติผู้นำรัฐบาลในเวทีการประชุมนานาชาติ การที่รัฐบาลออกมาการันตีว่า สามารถควบคุม "สถานการณ์ภายใน" ได้อยู่หมัดแล้วคงไม่เป็นความจริง
เพราะแกนนำคนเสื้อแดงและพลพรรคฝ่ายค้านยังเดินหน้า "ล้มรัฐบาล" กันอย่างคึกคัก สหภาพรถไฟที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแกนนำคนเสื้อเหลืองบางคนก็ยังเคลื่อนไหวโดยไม่สนใจฟังคำสั่งฝ่ายบริหาร หรือความเดือดร้อนของประชาชน แถมยังมาตอกย้ำกับกรณี "บิ๊กจิ๋ว" พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ช่วยกัน "ชักศึกเข้าบ้าน" ซ้ำอีกดอก
แม้จะเห็นภาพเอกเขนก "นอนสัมภาษณ์" บนชายหาดของนายกฯอภิสิทธิ์ ในรายการ "เชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์" แต่แน่นอนว่าเมื่อเดินทางถึง กทม. นายกฯคงต้องนั่งเครียดกุมขมับกับสารพัดปัญหาที่รออยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะปมทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็ง รถไฟสายใต้ยังไม่วิ่ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่คืบ ฯลฯ
ความฝันลำดับที่ 86 ในหนังสือ "ร้อยฝันวันฟ้าใหม่" ของนายอภิสิทธิ์ ที่บอกไว้ว่า "จะต้องหยุดการแบ่งแยกประชาชนออกเป็นกลุ่มต่างๆ เพื่อไม่ให้เกิดสงคราม กลางเมือง" คงอีกนานกว่าจะเห็นเป็นจริง เพราะตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา ความแตกแยก และการปริแตกของผู้คนในสังคมนับวันยิ่งมีมากขึ้นๆ
หากเทียบกับการจัดประชุมผู้นำเอเปคเมื่อปี 2546 ของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่จัดได้อย่างยิ่งใหญ่ และ "ทักษิณ" ครองซีนสำคัญๆ ได้ทุกช็อตแล้ว ความสำเร็จงานอาเซียนซัมมิทของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ จึงเป็นเหมือนความฝันที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา
รัฐบาลประชาธิปัตย์ควรต้องรีบตื่นจากฝัน ลุกขึ้นมาทำผลงานที่จับต้องได้ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาปากท้องประชาชน ..จะดีกว่ากระมัง !!