วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บันทึกอดีตสหายเดือนตุลา:ความลำบากนั่นคือมิตร ล้างอุปสรรค

ที่มา Thai E-News


โดย วันลา วันวิไล
ที่มา หนังสือตะวันตกที่ตะนาวศรี

3. คลองอีนง : สายน้ำที่ไม่มีวันเปลี่ยน


เหตุการณ์ทั้งหมดบนฝั่งคลองอีนง เป็นเรื่องเรียบๆ แต่ที่ต้องพูดถึงเพราะคลองอีนงเป็นฐานที่พักอันมั่นคง เนื่องจากอยู่ลึกไปจากเขตแดนตะนาวศรี พวกเราใช้ชีวิตอย่างแกร่งกล้าอดทนและสงบ..แต่สิ่งที่จะต่อกรด้วยจริงๆ คือจุดมุ่งหมายที่ใหญ่โตมาก ใหญ่โตจนมีคนกล่าวว่าเป็นการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน


เดือนสิงหาคมหน้าฝน ขณะเช้าที่หมอกบางยังกรุ่นเมื่อพักจากการดายหญ้าในไร่ข้าว ผมนั่งบนขอนไม้ใหญ่ในที่ซึ่งลาดสูงขึ้นจนเกือบถึงยอดเนิน มองลงมา เห็นแนวสีม่วงที่คดเคี้ยวสุดตา ช่างเป็นสีม่วงที่ชื่นใจจริงๆ นั่นคือดอกอินทนิลน้ำ ไม้สูงที่ครึ้มไปทั้งแนวห้วยคลองอีนง

คลองอีนงเป็นสายน้ำเส้นชีวิตของพวกเรา ไม่เคยได้ไถ่ถามประวัติและต้นตอเป็นมาของลำน้ำว่าเหตุใดมีชื่อเช่นนั้น ต้นน้ำมาจากไหน ไหลไปออกแม่น้ำหรืออ่าวทะเลใด เท่าที่เห็นคลองอีนงไหลมาจากทิศเหนือ ผ่านเขตบ้านชาวกะเหรี่ยง ผ่านหน้าค่ายบนหรือค่ายสาม ผ่านไร่นาริมเขาและไหลลงไปทางทิศใต้ มีห้วยไผ่ดำสายเล็กอ้อมลงมาสมทบ สายห้วยบางตอนตื้นแค่เข่า บางตอนเป็นแอ่งลึก มีต้นตะไคร่น้ำและไม้น้ำเล็กๆ อยู่ทั่วไป

ฝั่งห้วยทางทิศตะวันตกเป็นที่ราบกว้างขวางพอที่จะทำนาได้ ส่วนพื้นที่สูง

ขึ้นถัดไปก็ทำเป็นไร่ข้าวและข้าวโพดจนถึงบริเวณเขาชัน ผืนนาส่วนที่ติดกับ

ทางน้ำไหลก็เป็นแปลงผัก ที่ว่างบางส่วน นาก็ทำไม่ได้ไร่ก็ไม่ได้ทำจะปลูกพริก,ฟักเขียว,ฟักทอง อยู่ทั่วไปพอถึงหน้าฟักเขียวจะมีฟักเขียวเป็นอาหารทุกเมื้อ ถึงหน้าฟักทองก็เช่นเดียวกันจนผมเคยคำนวณคร่าวๆว่าผมน่าจะได้กินฟักทองวันละ 3 มื้อไม่ต่ำกว่า 300 วัน ใน 4 ปี

ยามหน้าน้ำหลากท่าอาบน้ำของเราก็สนุกสนานยิ่งขึ้น ขอนไม้ใหญ่ที่ล้มพาดเหนือสายน้ำก็จะเป็นที่กระโดดน้ำของเด็กหนุ่มทุกคน เมื่อน้ำป่ามาน้ำสีโคลนขุ่นไหลเชี่ยวแรง ฝนหนักตอนกลางดึกเคยทำให้บางคนต้องไปนั่งทนหนาวเฝ้าเขื่อนหินเนื่องจากกลัวน้ำจะเซาะพัง เขื่อนดังกล่าวกั้นน้ำเพื่อให้หมุนใบพัดไม้ในโรงสี โรงสีความจริงก็คือโรงตำข้าว ใบพัดไม้จะหมุนเพลาสำหรับกระเดื่องที่ยกขึ้นตำข้าวในครกไม้ซึ่งฝังเสมอพื้นดิน ยามน้ำน้อยกลางคืนต้องปิดเขื่อนกักน้ำให้สูงขึ้น เพื่อกลางวันจะได้ปล่อยน้ำมาตำข้าว แต่ยามน้ำมากกลางคืนต้องคอยระวังหูเขื่อนพัง

พอหมดฝนและแล้งลึก ข้าวในนาออกรวงแล้ว บางวันผมไปผูกเปลนอนใกล้ฝั่งคลองอีนง เฝ้าไล่นกกระจอกฝูงใหญ่ที่จะมากินข้าว พูดว่านกฝูงใหญ่ก็อาจนึกไม่ออกว่าใหญ่แค่ไหน แต่พอเราตะโกนไล่นก มันจะบินขึ้นจากนาข้าวพร้อมๆกัน ดูแน่นเหมือนมีตาข่ายสีน้ำตาลผืนใหญ่คลุมฟ้า มันไม่ได้บินหนีไปไหน โผขึ้นจากฟากนี้ไปลงที่ฟากโน้นเท่านั้นเอง เราต้องตะโกนไล่ตลอดเวลาจนเสียงแหบแห้ง

ผมไม่ได้ไล่นกคนเดียว และไม่ได้มีเพียงตะโกนวิธีเดียว พวกเรา 3-4 คนทั้งตะโกน ทั้งตีกะละมัง ทั้งโบกผ้าขาวผ้าแดงสารพัด ธงแดงค้อนเคียวของพรรคฯผืนใหญ่ก็เคยเอามาโบก จนถูกวิจารณ์เสียป่นปี้ว่าไม่รู้จักที่เหมาะที่ควร สุดท้ายผมโมโหนกขึ้นมาก็เอา “อีแก่” ปืนไรเฟิลเก่าคร่ำคร่าของเพื่อนมายิงไปหลายนัด นกบินหนีพรึบ ผมสะใจ แต่ก็โดนวิจารณ์จนอ่วมไปเหมือนกัน

เหตุการณ์ทั้งหมดบนฝั่งคลองอีนง เป็นเรื่องเรียบๆ แต่ที่ต้องพูดถึงเพราะคลองอีนงเป็นฐานที่พักอันมั่นคง เนื่องจากอยู่ลึกไปจากเขตแดนตะนาวศรี พวกเราใช้ชีวิตอย่างแกร่งกล้าอดทนและสงบ แม้จะลำบากในการกินอยู่ โดยต้องทำการผลิตเอาเองแทบทั้งสิ้น เป็นการผลิตตามแบบธรรมชาติล้วนๆและเทคนิคพื้นๆเท่านั้น

ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือที่แทบไม่มีอะไรเลยความจริงผมไม่คิดว่าพวกเราจะต้องการต่อกรกับธรรมชาติเช่นนั้น นอกจากเพื่อให้ความเป็นอยู่สบายขึ้นบ้างสักเล็กน้อย แต่สิ่งที่จะต่อกรด้วยจริงๆ คือจุดมุ่งหมายที่ใหญ่โตมาก ใหญ่โตจนมีคนกล่าวว่าเป็นการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

ในประวัติศาสตร์ของบางประเทศบางชุมชน กว่าจะมาถึงสังคมที่น่าอยู่อาศัยมากขึ้นล้วนผ่านการต่อสู้เจ็บปวดมากมาย ประเทศเราก็ไม่อาจยกเว้น

ความพยายามในการปฏิวัติทางการเมือง แม้จะไม่เห็นทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน แต่มันย่อมกระทบความสัมพันธ์ในทุกปริมณฑล ทั้งทำลายและสร้างโครงสร้างทางสังคมขึ้นใหม่ ถูกต้องหรือไม่เราก็กล้าที่จะถกเถียงกัน แน่นอนสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ย่อมนำมาซึ่งความขัดแย้ง, เจ็บปวด และลำบากยากแสน

นิพนธ์บางตอนของเหมาเจ๋อตงเกี่ยวกับการเดินทัพทางไกลของกองทัพปลดแอกจีนในปี 1936 ทำให้ผมเตลิดไปว่า ถ้าหากพวกเราต้องเดินทัพและยากลำบากเช่นนั้นมันจะสู้ไหวไหมนะ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่การต่อสู้ในบ้านเราในอดีตที่ไม่ไกลนักไม่ได้วิกฤติและลำเค็ญยิ่งใหญ่เพียงนั้น มิน่าเล่าประเทศนี้จึงค่อนข้างขาดแคลนวีรบุรุษและวีรสตรี

แม้ว่าน้ำดื่มของพวกเราอยู่ที่ห้วยไผ่ดำ ห้วยเล็กที่น้ำใสสะอาดกว่าแต่คลองอีนงก็เป็นที่ดื่มกิน, อาบชำระ,ซักล้าง ของชาวกะเหรี่ยง รวมทั้งเป็นที่อาบ,ซักล้างของพวกเราเช่นกัน แม้ว่าจะฟังดูว่าน้ำในคลองอีนงอาจจะไม่บริสุทธิ์นัก แต่ทุกคนที่โผลงไปว่ายเล่นน้ำในคลองนี้ก็ดูชื่นอกชื่นใจทุกครั้ง

ถึงวันนี้แม้ริมฝั่งคลองไม่มีนักรบนักสู้อยู่อาศัย ผู้คนอื่นก็ยังอยู่ต่อสู้กับชีวิต และร่องรอยของจิตใจรักอิสระก็ยังหลงเหลือให้พบเห็นได้ แม้สายห้วยนี้ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก ผมก็ยังเชื่อว่าธรรมชาติได้สร้างมันมาถูกต้องแล้ว เช่นเดียวกับความหยิ่งผยองของคนเล็กๆในแผ่นดิน ไม่มีวันเหือดหายและเปลี่ยนแปลง

แน่นอน...ไม่มีวัน




4. ความยากลำบาก


อาจองสำหรับการเป็นนักรบ
ความพ่ายแพ้หรือสยบให้ดับสูญ
ทั้งมิต้องมีใครมาเทอดทูน
แสงสูรย์สิสามารถสาดมาเอง

ฝึกฝนก็เกลือกกายลงลำบาก
ผู้อ่อนแอต่างหากถูกข่มเหง
เมื่อประกาศจะแลกเลือดลงละเลง
นรกร้ายก็กริ่งเกรงเลิกลำพอง



ผมสรุปเลยว่าความยากลำบากทางร่างกาย 4 อย่างเป็นดรรชนีพิสูจุน์ความคงทนของจิตใจในการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เช่นนั้น คือ 1. ความเจ็บป่วย 2. งานหนัก 3. การขาดแคลนอาหาร 4. อันตราย

ทั้ง 4 อย่างนี้แต่ละคนจะประสบหนักเบาต่างกันรวมทั้งความสามารถของร่างกายในการทนทานหรือเอาตัวรอดด้วย

ในป่ามีโรคร้ายไม่มาก แต่ร้ายจริงนั้นคือมาลาเรีย เจ้าสัตว์เซลเดียวสปอโรซัว ที่มากับยุงป่า นักเทคนิคการแพทย์ของเราเคยส่องกล้องดูเลือดแล้วบอกว่าป่าทางตะวันตกมีอยู่ 2 พันธุ์ คือฟัลซิปารัมและไวแวกซ์ เราไม่รู้หรอกว่าเวลาเป็นไข้เจ้าพันธุ์ไหนมันมาอยู่ในเลือด รู้แต่ว่ามันฟักตัวอยู่ประมาณ 1 เดือน

พวกเราไปถึงตะนาวศรีได้ประมาณ 1 เดือนก็ล้มป่วยทีละคนสองคนจนครบทุกคน ผมทำงานในไร่ราวตอนเที่ยงแดดเปรี้ยง ทันใดก็รู้สึกเพลียๆ ตะครั่นตะครอจึงเดินกลับที่พัก พอล้มตัวนอนก็หนาวสั่นสะท้าน หนาวอยู่ในเนื้อในกระดูก จนห่มผ้าห่มเท่าไรก็ไม่พอ ตกเย็นคอจืด น้ำลายขม มึนหัวและคลื่นไส้อย่างแรง บางคนจะนอนครางฮือๆ ทีเดียว

ที่ว่ามาลาเรียร้ายนักก็เพราะว่าจับไข้เย็นนี้ พอรุ่งขึ้นอีกวันก็ไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นไปฉี่เสียแล้ว ผมค่อยๆ พยุงตัวเดินจับราวไม้ตัวสั่นขยับทีละก้าวอย่างลำบากเพื่อไปทำธุระโดยมีเพื่อนถือถุงน้ำเกลือให้ตามหลัง พอตอนเที่ยงพยุงตัวเองไม่ไหวต้องปล่อยลงกระบอกไม้ไผ่นั่นเอง ทั้งกินยา ฉีดยา และให้น้ำเกลือร่วมอาทิตย์จึงจะดีขึ้น แต่บางคนก็โชคร้ายมากเมื่อมีอาการอย่างอื่นแทรก

เพื่อนผู้หญิงของเราคนหนึ่งต้องสังเวยชีวิตให้กับไข้ป่านี้ไปด้วยเวลาเพียง 2 เดือนที่ไปถึงตะนาวศรี

ผมป่วยและหายป่วยก่อนที่เธอจะเป็นไข้ เมื่อพวกเราหายได้ ทุกคนก็ไม่มีใครคาดคิด จนกระทั่งเช้ามืดวันหนึ่งมีคนมากระซิบว่าเธอเสียชีวิตแล้ว ผมใจหายและชาไปทั้งตัว

แค่ 2 เดือนเรายังไม่ทันคิดว่าจะทำอะไรเลย เธอก็ด่วนจากไปแล้ว มันคล้ายกับเกิดอุบัติเหตุ เหมือนกับพวกเราเดินขึ้นภูเขาสูงที่ทางแคบชันอยู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งตกหายไปอย่างลี้ลับ เหล่าหมอและพยาบาลประชุมหาสาเหตุการตายอย่างเคร่งเครียดเพื่อหาคำอธิบายให้กับโศกนาฎกรรม

บ้างก็ว่าเธอเป็นตะคริวที่หลอดลมในขณะที่อาการเริ่มทุเลา แต่ผมไม่อยากฟังคำอธิบายใดๆ ไม่ใช่ไม่เชื่อแต่เป็นเพราะไม่มีประโยชน์ถ้าหากเงื่อนไขทางการแพทย์และเครื่องไม้เครื่องมือเป็นเช่นนั้น ในป่านั่น ทุกชีวิตมีสิทธิ์เท่าเทียมกันที่จะพ่ายแพ้ต่อโรคร้าย ยกเว้นแต่ธรรมชาติของร่างกายใครจะทนทานกว่ากัน

หลังจากป่วยครั้งแรกแล้วครั้งต่อไปอาการไม่ทรุดหนักเช่นนั้นอีก จนกระทั่งผมมองว่ามาลาเรียไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอีกต่อไป เมื่อได้เป็นพยาบาลคนหนึ่ง ใครที่เป็นมาลาเรียแล้วมาหา แค่ให้ยากินตามจำนวนที่คิดว่าเหมาะสมแล้วจะหายใน 3-4 วันทุกคน แม้กระทั่งชาวกะเหรี่ยงที่อยู่กับป่ามาตลอดก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครตายเพราะมาเลเรีย

ครั้งสุดท้ายที่ผมเป็นมาลาเรียคือประมาณต้นปี 2524 ตอนกลับมาอยู่บ้านในเมืองแล้ว ไม่ได้ไปหาหมอที่โรงพยาบาลด้วยกลัวว่าเขาจะซักประวัติแล้วรู้ว่าออกมาจากป่า จึงไปซื้อยาควินินและแฟนซีดาร์มากินเอง พอหายแล้วกินพาลูดรินอีก 1 เดือน แต่นั้นมาผมก็ไม่รู้จักมาลาเรียอีกเลย

คำว่างานหนัก บางครั้งก็ตัดสินไม่ได้จากปากของคนๆ หนึ่ง มันขึ้นกับความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจเขาด้วย ในสายตาผมงานที่เราไม่เคยทำไม่เคยชิน ไม่ถนัด ล้วนยากและหนักทั้งนั้น

แต่คนเรามักจะไม่โชคดีกับงานง่ายและเบา อย่าว่าแต่งานหนักและยากก็มักจะให้ผลตอบแทนทางใจที่สูงลิ่ว โดยสถานการณ์แล้วไม่มีใครปฏิเสธงานในป่าได้ ไม่ว่าเขาจะเรียกให้ทำอะไร ต้องขุดดินถางหญ้าจนเหนื่อยอ่อนตัวสั่นเมื่อตะวันตกดินก็เคยอยู่บ่อยครั้ง

สำหรับอาหารการกิน เกลือและกะปิเป็นเครื่องปรุงรสเพียง 2 อย่างเท่านั้นสำหรับที่นั่น ประมาณสัก 3-4 เดือน จะยกขบวนไปขนเกลือกันทีหนึ่ง ผมก็เคยไปกับเขาอยู่ 2-3 ครั้ง เส้นทางไปขนเกลือเดินเลียบไปตามริมห้วยที่มีทากชุกชุมมาก ยังดีที่เส้นทางนี้มีผักหวานพม่า(พุ่มดกใบใหญ่กว่าผักหวานไทย)ให้เด็ดมาต้มน้ำแกงกินอร่อยได้ทุกมื้อ

ก่อนจะถึงจุดหมายที่เราจะขนเกลือกลับ ต้องนอนค้างที่บ้านอาจารย์ หมอผีอาวุโสชาวกะเหรี่ยงหนึ่งคืน เมื่อตื่นตอนเช้ามืดไปถ่ายหนักก็ต้องเอาเสียมไปขุดหลุมในไร่ร้าง ที่เรียกว่าไปทุ่งนั่นเอง เมื่อนั่งลงถ่ายทุกข์มันกลับยิ่งทุกข์หนักขึ้นไปอีก

ไร่ที่ชื้นน้ำค้างยามเช้าขมุกขมัวเต็มไปด้วยยุงและริ้น เจ้าแมลงกินเลือดที่ผมคิดว่าอยู่คู่โลกนี้เพื่อท้าทายมนุษย์ในทุ่งเขตร้อนอย่างแท้จริง ริ้นจะโจมตีด้านบนคือใบหน้าตามเปลือกตา รูหู ส่วนยุงจะโจมตีด้านล่างคือโคนขา และก้น ทั้งเจ็บทั้งคัน ถ่ายไปก็เกาไป ตบไป ขยี้ไป ไม่รู้จะพูดอย่างไรจึงจะสมกับความทุกข์ทรมาน พอดีผมปวดท้องเพราะท้องเสียด้วย เช้านั้นเหมือนตกนรกไปเลย

การเป้เกลือจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่งานหนักหนาอะไร สำหรับบางคนถือเป็นการพักผ่อนเพื่อหลุดจากความจำเจจากงานในไร่ด้วยซ้ำ ที่เรียกว่าหนักสำหรับผมมีอยู่ 2 ครั้ง ครั้งหนึ่งไปเป้ข้าวเปลือกจากค่ายหนึ่ง เพื่อจะนำมาทำข้าวพันธุ์ เนื่องจากทางไกลไปกลับตั้ง 2 วัน เมื่อจะเป้ทั้งทีก็ต้องแบกเอาให้คุ้ม คนอื่นๆ ล้วนแต่เป้ข้าว 3 ถัง ประมาณ 30 กิโลกรัม ทั้งนั้น ตัวผมจะน้อยกว่าผู้อื่นได้อย่างไร

สำหรับคนตัวไม่ค่อยสูง ข้าวเปลือกในเป้พอยกขึ้นหลังจะสูงท่วมหัวเดินเซไปเซมากว่าจะเข้าที่และก้าวเดินอย่างแข็งใจ เพียงชั่วโมงแรกผมก็ปวดเมื่อยหลัง ตะโพก และต้นขาไปหมดแล้ว พอถึงสันเขาฝนก็ตก ทางเดินลื่นยิ่งทำให้ต้องก้าวช้าๆ พอตกบ่ายต้องปล่อยให้ทุกคนเดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเองก็หยุดให้บ่อยขึ้น ตกเย็นฝนยังปรอยๆ คนที่เดินเป็นเพื่อนทนไม่ไหวก็เดินนำไปก่อนแล้ว ปล่อยให้ผมก้าวอย่างยากเย็นเพียงลำพัง เดินสัก 10 นาที แล้วหยุดพักสัก 7-8 นาที หอบตัวโยน ขาแทบจะไม่มีแรงพยุงตัวพร้อมข้าวเปลือกหนัก 30 กิโลกรัมอีกต่อไป แต่เวลานั้นจะเรียกให้ใครช่วยก็ไม่ได้ หรือจะล้มแผ่ลงนอนรอให้มืดค่ำเผื่อเพื่อนๆ เขาจะมาตามหา

ผมไม่รู้ว่าตัวเองกลัวจะเสียหน้า เสียเชิง หรือเสียความนับถือไปหรืออย่างไร แม้จะต้องพักนานขึ้น และยามเดินล้มลุกคลุกคลานอย่างน่าเวทนาตัวเอง ก็ไปถึงจุดหมายเมื่อทุกคนเริ่มจุดตะเกียงและกินข้าวกินปลาอิ่มกันแล้ว

อีกครั้งหนึ่งไปหามใบเลื่อยกลับเข้าค่ายในระยะทาง 4 วัน 4 คืน ใบเลื่อยเป็นแผ่นเหล็กกลม เส้นผ่าศูนย์กลางสัก 1.2 เมตร ฟังว่าพวกตัดไม้ได้ทิ้งเอาไว้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ขึ้นมาตรวจจับการลอบตัดไม้ ส่วนพวกเราจะเอาใบเลื่อยไปแปรรูปเป็นมีดสำหรับใช้งาน ใบเลื่อยหนักสัก 30 กิโลกรัมเศษ มีรูตรงกลาง เราเอาเชือกไนล่อนร้อยแล้วใช้ไม้คานหาม 2 คน ความหนักของการหามใบเลื่อยอยู่ที่ความทุลักทุเล ใบเลื่อยจะกระดกขึ้นลงทำให้คานหามกดบ่าจนปวดระบมไปหมดทั้งบ่าซ้ายบ่าขวา เดินผ่านทางขึ้นเขาลงห้วยมีเถาวัลย์รกชัฎ ที่ทางขึ้นถ้าเดินอยู่ข้างหน้าที่สูงกว่าต้องใช้มือปลดคานให้ลดระดับลง ถ้าเดินอยู่หลังต้องยกคานขึ้นสูงเหนือหัว ไม่ให้ใบเลื่อยรูดลงมาทับ คู่หามของผมแข็งแรงกว่า เมื่อไม่ทันใจเขาก็รีบเดินลากไปถูลู่ถูกัง ผมเดินเก้งก้าง บิดขาเอี้ยวตัวหลบตอไม้กิ่งไม้จนปวดระบมไปทั้งตัว 4 วันเต็มๆ เช่นเดียวกับงานหนักอื่นๆ ไม่อาจร้องให้ใครช่วย ที่มีอยู่คือทนให้ได้และไปให้ถึง

ที่จริงมีเพื่อนหลายคนทำงานหนักกว่าผมมากจนบางคนมีปัญหากับกระดูกสันหลังและกระดูกคออีกหลายปี คนบางคนทำงานหนักเพราะถูกคนอื่นบังคับให้ทำ บางคนทำเพราะถูกตัวเองบังคับตัวเอง แต่บางครั้งเหนือตัวเองและคนที่บังคับก็คือ “กฎ” อะไรสักอย่างที่บังคับให้เราทำ หรือแม้แต่มี “กฎ” ที่บังคับให้เราต้องทำให้ได้ดี ถ้าไม่ทำหรือทำไม่ได้จะต้องถูก “กฎ” ลงโทษโดยขึ้นต่ำที่สุดอาจจะถูกดูแคลน ที่หนักไปกว่านั้นอาจเสียหายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่นจนประมาณมิได้

ผมได้ยินมาว่ามีเพื่อนหญิงคนหนึ่งเปรยว่า เธอชอบผมต่อหน้าผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ผู้ใหญ่ท่านนั้นกลับเอ่ยตำหนิว่าไม่เหมาะสมเพราะผมฝึกฝนตนเองไม่ดี ผมไม่ได้กล่าวโทษใคร ในสังคมกสิกรรม พระเอกควรจะเป็นกสิกรที่เก่ง ในหมู่นักรบจะมีใครเล่าที่ได้รับการยอมรับเท่านักรบที่รบเก่งกล้า ผมเพียงแต่ผ่านเข้าไปในสถานการณ์ที่การใช้แรงงานเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเท่านั้น และผมก็ไม่ได้เป็นพระเอกด้วย

ได้ยินมาว่าป่าแถบอีสานหรือภาคเหนือยามถูกล้อมปราบจะอัตคัดในเรื่องอาหารการกินมาก แต่ทางตะวันตกของผมไม่เคยแห้งแล้ง ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำ และป่าเขียวทำให้สัตว์และคนดำรงชีวิตได้โดยไม่ขาดแคลนมากนัก

มีนักรบผู้กล้าหาญของเราคนหนึ่งบาดเจ็บจากการรบ ในคืนที่มืดมิดเขาพลัดหลงไปคนเดียวจนใครต่อใครคิดว่าเขาตายไปแล้ว แต่เมื่อ 1 เดือนผ่านไปเขากลับมาได้ ทั้งๆที่แผลถูกยิงที่โคนขาเน่าเปื่อยสาหัส เขากระเถิบลากขาอยู่คนเดียวกลางป่าใหญ่ ไม่มีอาหารและอาวุธติดตัว นอกจากเก็บใบไม้ที่กินได้มาห้อยไว้รอบคอเพื่อกินประทังหิว

สำหรับพวกเรา มื้อปกติคือข้าวปนมันสำปะหลัง บางครั้งปนลูกเดือยหรือข้าวโพด ส่วนกับข้าวจะเป็นผัก 1-2 ชนิด ทั้งต้มใส่เกลือ ใส่กะปิ, ใส่เครื่องแกงเผ็ดๆ ใส่ถั่วให้มันๆ ถึงรสชาติจะซ้ำซากน่าเบื่ออย่างไรก็มีกินอิ่มทุกมื้อ เมื่อผมไปทำงานใกล้ๆ บ้านชาวบ้านหาผักปลาไม่ได้เลย ก็เอาเครื่องแกงเผ็ดที่ผัดน้ำมันเก็บเอาไว้คลุกข้าว อยู่ได้เป็นเดือนๆ อย่างไรก็ตามมื้อที่แย่มากๆ เมื่อหาผักไม่ได้ หรือผักโตไม่ทันกินคือ ผัดยอดสับปะรด,ต้มต้นมะละกอ และต้มหัวกลัก

ผัก 3 อย่างนี้มีรสชาติเลวทรามลงตามลำดับ ยอดสับปะรดนั้นขมๆ เผื่อนๆ แต่กรอบ ต้นมะละกอนั้นจืดสนิทและขื่นมีกลิ่นยางมะละกอ ส่วนหัวกลักเป็นพืชประเภทบอนขึ้นอยู่ริมห้วยที่เป็นดินเลนน้ำนิ่ง รสชาติทั้งจืด,เผื่อน และแหยะๆ เมื่อได้กินหัวกลักแสดงว่าไม่มีอะไรกินเลยในเวลานั้น เมื่อท้องหิวเราก็ต้องกลืนมันลงคอไปบ้าง ทั้งๆ ที่ในใจคิดว่าอย่าว่าแต่เอามาให้คนกินเลย แม้แต่หมู่มันก็ไม่กิน อย่างไรก็ตามมื้อที่เป็นหัวกลักนั้นมีไม่มากนัก ไม่เกิน 20 มื้อใน 4 ปี

เมื่อเคยชินกับป่า ผมก็ไม่รู้สึกว่าในป่ามีอันตราย เราไม่เคยพบสัตว์ร้าย ไม่เคยกลัวอะไรแม้จะนอนอยู่กลางป่าเปลี่ยวคนเดียว ที่เคยพบมีคนถูกงูกะปะกัดครั้งเดียวเท่านั้น นอกนั้นก็โดนผึ้งต่อยแตนต่อต่อยเอา แค่เจ็บๆและบวมๆ

แต่อันตรายเกิดได้จากสถานการณ์ 2 อย่างคือ สงคราม และเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือไม่สบายยามอยู่ตามลำพัง สถานการณ์อย่างแรกเป็นสิ่งที่พวกเราเลือกกันเอง ไม่ว่าจะเลือกกันด้วยความคิดความเข้าใจเช่นไรก็ตาม แต่สถานการณ์อย่างหลังเป็นความเสี่ยงที่ไม่ค่อยน่าเสี่ยง

กลางปี 2521 ผมเดินทางกับหน่วยงานเล็กๆ โดนเห็บกัดตามคอและใบหู จนอักเสบและมีไข้ต่ำๆ บังเอิญนักรบยิงเนื้อได้ตัวหนึ่งก็ย้ายที่พักไปเพื่อจะแล่เนื้อตากแห้งแล้วบอกว่าให้ตามไปช่วย พอเดินไปได้สักครึ่งกิโลเมตร ผมรู้สึกสะท้านตามสะโพกและสันหลัง เห็นท้องฟ้าและสิ่งรอบตัวเป็นสีเหลืองไปหมด ทำท่าจะเป็นลม เลยขอตัวกลับไปนอนที่เดิมคนเดียว เย็นมากแล้วผูกเปลเสร็จก็เตรียมจะหุงข้าว รู้สึกหน้ามืดจึงล้มตัวนอนและหลับไปจนเช้ามืด ตื่นมาก็รู้สึกหิวเพราะไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เย็นวาน เตรียมจะหุงข้าวอีกก็หน้ามืดอีกครั้งจึงล้มตัวลงนอนและหลับไปอีก

พอตื่นก็เห็นดวงอาทิตย์เปรี้ยงอยู่ตรงหน้า รู้สึกตัวเองนอนกับพื้นดิน ตัวชาๆ และมึนงง มีคนกำลังให้น้ำเกลืออยู่ ถามได้ความว่าบังเอิญหน่วยเล็กอีกหน่วยหนึ่งมีพยาบาลสนามอยู่ด้วยรู้ว่าผมไม่สบายก็มาหาและพบขณะกำลังช็อคหมดสติ ตาเหลือกค้างอยู่พอดี เขาฉีดยาแอดเรนาลินให้จึงรอดตายมาได้ ต้องขอบคุณเพื่อนผมคนนั้นที่ตัดสินใจได้เหมาะเจาะทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด

ชีวิตของคนเรา ด้านหนึ่งก็เปราะบางมาก บ้างก็ตายด้วยสาเหตุง่ายๆ เพียงพริบตาเดียว อีกด้านหนึ่งก็แข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง บางทีความตายก็เอาชนะชีวิตมนุษย์ไม่ง่ายนัก ผมไม่รู้ว่าตัวเองแข็งแกร่งแค่ไหน และไม่รู้ว่าอะไรชักนำให้เฉียดใกล้สงครามอยู่หลายครั้ง แต่ไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ตะลุมบอนแม้แต่ครั้งเดียว เคยผ่านความยากลำบากช่วงสั้นๆ แต่ไม่เคยพบเห็นความลำบากสาหัสต่อเนื่องยาวนาน เช่นเหล่าเพื่อนพี่น้องที่ดิ้นรนในป่าเขาต่อไป หลังจากที่พวกเราออกมาแล้ว กระทั่งถูกทางการล้อมปราบจนต้องระหกระเหินสุดแสนเข็ญ หรือแม้กระทั้งความลำบากของผมคงเทียบไม่ได้กับชาวไร่ชาวนายากจนจำนวนมากในประเทศนี้ที่ตรากตรำกับความเจ็ดปวดรวดร้าวตลอดชีวิต ในขณะผมเฉียดใกล้สงคราม หลายคนต้องครวญครางอยู่ท่ามกลางสมรภูมิเลือด ในขณะที่ผมเหนื่อยหอบฮักๆ หลายคนต้องร้องห่มร้องไห้ทุกข์ทรมาน

ในใจผมเคารพทุกชีวิตที่ต่อสู้กับความลำบาก ต่อสู้กับความโหดร้ายทั้งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นและมนุษย์ยัดเยียดให้กันเอง เพียงแต่ผมจะเคารพยิ่งกว่ากับผู้ที่ต่อสู้ด้วยความมุ่งมั่นเข้าใจตัวเอง ไม่ใช่เป็นแค่ผู้สร้างวีรกรรมให้คนอีกชั้นหนึ่งในสังคมฉกฉวยเอาไปอวดอ้างในหน้าประวัติศาสตร์

ผมจะเคารพยิ่งกว่ากับผู้ที่ต่อสู้ความยากเข็ญด้วยจิตใจกล้าหาญไม่เพียงแต่นั่งโอดครวญร้องขอ
******
บทความชุดนี้ ตอนก่อนหน้านี้:


บันทึกอดีตสหายเดือนตุลา:ตะวันตกที่ตะนาวศรี