วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หยุนฉางผู้ยอมหักไม่ยอมงอ

ที่มา thaifreenews

ถ้าเอ่ยชื่อว่า “หยุนฉาง” แล้วถามว่าคือใครในหนังสือสามก๊ก ก็คงจะน้อยคนนักที่จะรู้จัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อว่า “กวนอู” ทุกคนก็คงจะร้อง อ๋อ..และพยักหน้ารู้จักกันทุกคน กวนอู มีชื่อรองว่า “หยุนฉาง” บางทีก็เรียกชื่อว่า “กวน หยุงฉาง อู” ใครก็ตามที่ได้อ่านหนังสือสามก๊ก จะเห็นว่าในนั้นมีเรื่องราวที่เป็นอุทาหรณ์และเกร็ดประวัติที่น่านำมา พิจารณากันไม่น้อยทีเดียว.. ตัวละครที่ปรากฎอยู่ในนั้นล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง และสามารถนำมาเป็นบทเรียนได้อย่างดี......เฉกเช่นเดียวกันกับเรื่องราวของ กวน หยุนฉาง อู ผู้ยอมหักไม่ยอมงอผู้นี้......



กวน หยุนฉาง อู เป็นขุนพลคนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการก่อร่างสร้างตัวของ เล่าปี่ และยังเป็น “น้องรอง” ของ 3 พี่น้องแห่งสวนท้อ อีกด้วย.. กวนอูเป็นผู้ที่มีหลักการ, เป็นคนซื่อสัตย์ในสิ่งที่ตนเองศรัทธาอย่างไม่เปลี่ยนแปลง และที่สำคัญกวนอูเป็นคนกล้าหาญและหยิ่งในเกียรติของตนอย่างที่สุด...ครั้ง เมื่อถูกลกซุน บัญฑิตแห่งกังตั๋ง ล้อมจับโดยใช้อุบาย ทำให้ตกลงไปในหลุมและถูกจับได้ ตนเองก็ยังไม่ยอมแพ้ แต่ยอมให้ซุนกวนตัดหัวอย่างกล้าหาญ..สิ่งที่กวนอูได้กระทำเมื่อหลายพันปีที่ แล้วส่งผลให้ในทุกวันนี้ กวนอูได้รับการยกย่องประดุจเทพเจ้า..

มีคำกล่าวว่า “คนกล้าตายครั้งเดียว...ส่วนคนขลาดนั้นตายหลายครั้ง” ภายหลังการถึงอาสัญกรรมของท่านนายกสมัคร สุนทรเวช มีคนมากมายที่แสดงออกถึงการสดุดี... มีบทความมากมายที่เขียนถึงเรื่องราวของท่าน โดยเฉพาะพี่น้องผู้ที่เคารพยกย่องให้ท่านเป็นแม่ทัพใหญ่ท่านหนึ่งของการ ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประเทศนี้...

ผมเป็นเพียงชั้นลูกชั้นหลาน ของท่านแต่ก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในบุคคลิก และความเป็นคนตรงไปตรงมาของท่าน...สิ่งที่จดได้ไม่เคยลืมก็คือการที่ ท่านออกรายการ “ทำอาหารชิมไปบ่นไป” ลีลาการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ และเป็นเพียงท่านเดียวที่ตั้งแต่หนุ่มจนสูงวัยท่านก็ยังคงไปเดินจ่ายตลาด ด้วยตนเองสม่ำเสมอ... แม้ท่านจะถูกวางเอาไว้ว่าเป็นบุคคลที่อยู่ฝ่ายศักดินาเพราะบรรพบุรุษของท่าน สืบเชื้อสายมาดังนั้น แต่ดูเหมือนว่าท่านกลับรู้จักและเข้าใจพีน้องคนหาเช้ากินค่ำ และคนรากหญ้ามากเสียยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีบางท่านที่เที่ยวประกาศว่า “ตนเองเป็นลูกหลานคนจน” เสียด้วยซ้ำ...

หลัง จากที่ท่านนายกสมัครได้พ้นจากภาระงานทางการเมืองในฐานะสมาชิกวุฒิสภา...ที่ แม้จะไม่ได้มีโอกาสแสดงฝีมือเพราะถูกรัฐประหารไปเสียก่อน แต่ด้วยความที่ท่านเป็นบุคคลที่ไม่อยู่นิ่งเฉยท่านจึงไปดำเนินงานเป็นพิธีกร รับเชิญในรายการหลายรายการที่ท่านชื่นชอบ... ท่านนายกสมัครห่างหายไปจากบทบาทวงการเมืองระยะหนึ่ง แต่หลังจากที่เกิดการรัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549 การเมืองไทยเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เป็นการรัฐประหารเพียงเพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจเหมือนเดิมดังเช่นอดีตที่ ผ่านมา...แต่การรัฐประหารในคร้งนี้เป็นการทำลายประเทศกันเลยทีเดียว

ท่าน นายกสมัครเป็นบุคคลที่ปากกับใจตรงกัน พูดจาโผงผาง ไม่มีลับลวงพราง รักความถูกต้องยุติธรรม มั่นคงและจริงใจกับสิ่งที่ท่านเคารพเชื่อถือ และด้วยบุคคลิกเช่นนี้เองทำให้ท่านมีทั้งคนรัก และคนชังมากมาย กลุ่มหนึ่งที่มักจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับท่านเสมอ ๆ ก็คือ “สื่อมวลชน” หลายต่อหลายครั้งที่สื่อมวลชนติดตามทำข่าวท่านในหลายกรณี แล้วถูกท่านพูดจาตอบโต้อย่างคนไม่ยอมคน จนถึงกับต้องมาเขียนบทความเหน็บแนมท่านลับหลัง...

การยอมเข้ามารับ ตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนในครั้งล่าสุดนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดว่าท่านนายกสมัคร รักประชาชนและศรัทธาความยุติธรรมเพียงไร ท่านเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองที่กำลังถูกโจมตีว่า “เป็นนอมินีของคนขายชาติ” แต่ท่านก็ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งดุจดังหินผา เหมือนดังต้นไม้ใหญ่ที่ยืนทนงต้านลมพายุรุนแรงให้กับนกกาเล็ก ๆ ได้เกาะอาศัยคุ้มภัย ในยามที่ภัยร้ายกำลังกล้ำกรายมาเยือน...


ไม่ มีใครปฏิเสธได้อย่างแน่นอนว่า ท่านนายกสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ก่อร่างให้การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของประเทศนี้ได้เกิดขึ้นได้ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง และยืนหยัดมั่นคงเติบใหญ่มาได้จนถึงขณะนี้...ถ้าในวันนั้นหัวหน้าพรรคพลัง ประชาชนไม่ใช่คนที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช วันนี้พลังของผู้ที่รักประชาธิปไตยและต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของประเทศนี้ อาจจะไม่สามารถเติบโตกล้าแข็งได้ถึงเพียงนี้

แม้ความตายจะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะมาถึงเมื่อใด..แต่สำหรับผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า “ถ้า ท่านนายกสมัคร ไม่เข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชนและขับเคลื่อนการต่อสู้เพื่อ ประชาธิปไตยในครั้งนั้นท่านจะยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกนาน” การจากไปของท่านนายกสมัครในครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความอำมหิตเฮียมโหดของเผด็จการอมาตย์ที่ได้พยายามทำลายความ เป็นประชาธิปไตย และจะไม่ยอมให้ประชาชนไทยได้มีโอกาสเงยหน้าอ้าปากทัดเทียมกับชาติ ประชาธิปไตยอื่นๆ ได้ เผด็จการอมาตย์จะทำทุกวิถีทางที่จะกดขี่ให้ทุก ๆ คนในชาติต้องตกอยู่ภายใต้อุ้งมืออำมหิตนี้และจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดพ้นไปได้ ...ถ้าใครขืนเข้ามาขวางทาง “การสูญเสียอย่างใหญ่หลวง” ก็จะเกิดขึ้นกับคน ๆ นั้น...

ท่านนายกสมัคร ได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคพลังประชาชน โดยให้เหตุผลว่า “ได้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคและรักษาระบอบประชาธิปไตยอย่างดีที่สุดแล้ว จึงขอยุติบทบาททางการเมือง”... คำพูดนี้แสดงถึงนัยยะที่ซ่อนเร้นอยู่ในจิตใจของท่านอย่างชัดเจน...แต่อย่างไรก็ตามด้วยความ “หยิ่งในเกียรติ” จึงไม่เคยมีคำพูดในด้านลบใด ๆ ต่อแรงกดดันนั้น ผ่านออกมาจากปากของท่าน จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของชีวิต...

ใคร จะรู้ได้ว่าภายใต้ชุดขาวเต็มยศที่ห่อหุ้มร่างที่นอนสงบนิ่งของท่านนายกสมัคร สุนทรเวช อยู่ที่ศาลาร้อยปี ณ วันเบญจมาบพิตรนั้น ร่าง ๆ นี้ได้ผ่านพบและเผชิญสิ่งใดมาบ้างในบั้นปลายชีวิตก่อนที่ท่านจะจากไป... ภายใต้ใบหน้าอันสงบเย็นนั้น ท่านได้เก็บงำความลับและความภักดีอันใดไว้บ้าง... ภายใต้ดวงตาที่ปิดสนิทนั้น..ท่านได้เคยหลั่งน้ำตาออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ เพราะถูกแรงบีบคั้นในยามที่อยู่ตามลำพังหรือไม่... ริมฝีปากที่ปิดสนิท ที่ได้เคยตอบโต้และแสดงความจงรักภักดีอย่างที่สุดนั้น ได้ปิดไปแล้วตลอดกาลแต่ทว่าภายใต้ริมฝีปากนั้นมีอะไรอีกมากมายหรือเปล่าที่ ท่านไม่อาจกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำได้....

กวนอูยอมถูกตัดศีรษะแต่ไม่ ยอมคุกเข่าให้กับ ซุนกวน แม้ตนเองจะพ่ายแพ้ในศึกฉันใด...ท่านนายกสมัคร สุนทรเวช ได้ยืนหยัดประกาศตนเองว่า “จะไม่ยอมให้ความยุติธรรมเข้ามาครอบงำประเทศนี้” แม้ตนเองจะต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อความยากลำบากและแรงกดดันรอบด้าน จนในที่สุดท่านก็ต้องเสียชีวิต เฉกเช่นเดียวกับ กวนอู ฉันนั้น....

ถ้า กวน หยุนฉาง อู ผู้หยิ่งในเกียรติได้รับการยกย่องว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์” ก็คงจะไม่แปลกถ้า ผมจะยกย่องท่านนายกสมัคร สุนทรเวช ผู้หยิ่งในเกียรติ์เช่นกันว่า เป็น “นายกสมัครผู้ยอมหักไม่ยอมงอ”

น้ำตาที่ไหลออกมาเมื่อรู้ว่าได้สูญเสียแม่ทัพประชาธิปไตยนั้นคงน้อยกว่าที่จะบอกเป็นถ้อยคำที่ว่า สิบนิ้วนี้ขอกราบคารวะที่หัวใจของแม่ทัพประชาธิปไตย ที่ชื่อสมัคร สุนทรเวช “ผู้ยอมหักไม่ยอมงอ”

ปูนนก