ที่มา สยามรัฐ
วิทยา ตัณฑสุทธิ์29/12/2552
การเมืองไทยอลเวงปั่นป่วนขัดแย้งกันไม่จบสิ้นมานานหลายปี   มีคนตั้งคำถามว่า  ปีพ.ศ.2553 พรรคการเมืองจะมีสภาพเป็นอย่างไร  จะมีพรรคไหนอยู่  พรรคไหนพัง  
คำถามนี้ทำให้ต้องทบทวนเพื่อให้มองเห็นภาพที่ชัดเจน  ซึ่งจับประเด็นได้ดังนี้
1.ถ้ารัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ  ยังมุ่งมั่นยึดกุมอำนาจไปให้นานที่สุด  การเมืองไทยจะต่อสู้กันอย่างรุนแรง   พรรคเพื่อไทยจะโหมรุกหนัก  เพื่อให้แตกหักกันไปข้างหนึ่ง  ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยเสียหายมากกว่าที่ผ่านมา              
            2.ถ้ารัฐบาลพังด้วยเหตุที่ขัดแย้งกับพรรคร่วม   และพรรคร่วมทั้งหมดสละเรือทิ้งพรรคประชาธิปัตย์ไปเข้าร่วมกับพรรคเพื่อไทย  แล้วนำรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาใช้  พรรคประชาธิปัตย์ก็จะกลายเป็นฝ่ายค้าน  และหมดโอกาสที่จะหวนกลับมายิ่งใหญ่อีกต่อไป
            3.ถ้าหากไม่เป็นไปตามที่ข้อ 1.และข้อ 2. โดยมีเหตุการณ์จลาจลทำให้สังคมตกอยู่ในสภาพวิกฤต   จนฝ่ายทหารต้องใช้กำลังเข้ามายุติปัญหา   สภาพเช่นนี้จะทำให้การเมืองไทยหวนกลับไปสู่ยุคเผด็จการ  หรือกึ่งเผด็จการเหมือนในอดีต     
            ในช่วงที่ฝ่ายทหารเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์  การเคลื่อนไหวทางการเมืองจะหยุดนิ่ง  จนกว่าจะมีการกำหนดกติกาขึ้นมาใหม่  และมีการเลือกตั้ง 
            จากประเด็นที่ตั้งไว้ข้างต้น   ทำให้มองเห็นว่าในรอบปีพ.ศ.2553  พรรคการเมืองก็คือ
ตัวกำหนดทิศทางของประเทศไทย  ว่าจะดำเนินไปในลักษณะไหน  
ถ้าคนในแต่ละพรรคมองเห็นตรงกันว่า  จะต้องช่วยรักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้  โดยต่อสู้กันภายในกรอบกติกาของรัฐธรรมนูญ   ยึดมั่นในหลัก”การเมือง  แก้ด้วยการเมือง”  มีสปิริตยอมรับในเรื่องการรู้แพ้รู้ชนะ   ทุกพรรคการเมืองก็จะอยู่รอดครบถ้วน   และมีโอกาสทำงานการเมืองกันต่อไป          
แต่ถ้านักการเมืองมองเห็นผิดเป็นชอบ  ไม่ยอมลดราวาศอกให้แก่กัน  ไม่เคารพกฎกติกา และยอมให้อำนาจนอกระบบหรือกระบวนการของกลุ่มอำนาจอิทธิพลใดๆเข้ามาแทรกแซง  เพื่อทำให้ฝ่ายตนได้ประโยชน์   โดยไม่คำนึงว่าประเทศชาติจะเสียหายมากแค่ไหน  
ระบอบประชาธิปไตยก็จะไปไม่รอด   และนั่นหมายถึงพรรคการเมืองก็จะไม่รอดไปด้วย
การเมืองในประเทศพัฒนาแล้วถือหลักว่า   นักการเมืองมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการปกป้องรักษาอำนาจอธิปไตยของประชาชน  โดยการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งรัฐธรรมนูญ  การทำตามกฎกติกาและกฎหมาย   และพร้อมที่จะต่อสู้กับสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม  ภาระหน้าที่นี้เป็นสิ่งที่จะพิทักษ์รักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ได้ 
บทเรียนที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่มีค่า  นักการเมืองจะต้องไม่ยอมให้กลุ่มอำนาจนอกระบบเข้ามามีอิทธิพลหรือมาบงการ   เพื่อแลกกับความมั่นคงของพรรคการเมือง  เพราะถ้าหากยอมอ่อนข้อให้กับกลุ่มเหล่านั้น  สังคมก็จะมีแต่ความขัดแย้งแตกแยก  บ้านเมืองไม่มีหลักเกณฑ์ให้ยึดถือ  มีการใช้กฎหมู่หักล้างทำลายกฎหมาย  รวมทั้งทำลายรัฐธรรมนูญอันเป็นกติกาสูงสุดด้วย
นักการเมืองที่มีอุดมการณ์อย่างแท้จริง  จะต้องต่อสู้แบบหัวชนฝา   ต้องยอมถึงขั้นเอาชีวิตเข้าแลก  โดยไม่ปล่อยให้อำนาจนอกระบบแทรกเข้ามาบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย  ถ้ามีใครทำตัวอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ   หรือยึดอำนาจด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร  นักการเมืองก็มีหน้าที่ต้องต่อสู้กับคนเหล่านั้น
มิใช่ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม  หรือไปขอความปกป้องคุ้มครองจากกลุ่มที่ทำผิดกฎกติกา
ดังนั้นจึงขอย้ำว่า   การปกครองในระบอบประชาธิปไตยจะดำรงคงอยู่ได้ยาวนานแค่ไหนเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับจิตสำนึก
และพฤติกรรมของนักการเมืองเป็นสำคัญ
ถ้านักการเมืองสามารถพัฒนาตนเองให้มีมาตรฐานสูงขึ้น  ไม่ยอมก้มหัวให้กับอำนาจอิทธพิลที่อยู่นอกระบบ  ในอนาคตประเทศไทยก็จะมีพรรคใหญ่ต่อสู้กันแค่ 2 พรรค เหมือนในประเทศพัฒนาแล้ว