ผมพูดในรายการ “ปอกเปลือกข่าว” (ทางสปริงนิวส์ ศุกร์ที่ 23 กันยายน ที่ผ่านมา) ว่า “ถ้ายกเลิกระบบสมณศักดิ์ได้จะดีที่สุด เพราะระบบสมณศักดิ์เป็นระบบศักดินาพระที่เป็นมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์” แต่เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลาทำให้อธิบายเหตุผลไม่ละเอียดพอ จึงอยากนำมาเขียนเพื่อแลกเปลี่ยนถกเถียงกันต่อไป
สังเกตไหมครับ  เวลาที่พระหรือนักวิชาการชาวพุทธพูดถึงแนวคิดทางสังคมการเมืองของพุทธศาสนา  มักจะยกตัวอย่างว่า  พระพุทธเจ้าสร้างสังคมสงฆ์ขึ้นมาเพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างจาก สังคมระบบชนชั้นแบบกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ของศาสนาพราหมณ์  ระบบสังคมสงฆ์เป็นระบบสังคมในอุดมคติที่มีเสรีภาพ และความเสมอภาค  เป็นแบบอย่างของสังคมที่มีความเป็นประชาธิปไตย 
 แต่คำถามคือ ข้ออ้างดังกล่าวจะมีความหมายอะไร ในเมื่อความเป็นจริงคือ  สังคมสงฆ์ปัจจุบันมีระบบสมณศักดิ์หรือระบบศักดินาพระอันเป็นมรดกสมบูรณาญา สิทธิราชย์  และโครงสร้างการปกครองของสงฆ์ปัจจุบันก็เป็นโครงสร้างตามกฎหมายเผด็จการคือ  พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 ที่ตราขึ้นในสมัยเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ 
 ฉะนั้น ระบบของสังคมสงฆ์ปัจจุบัน  จึงเป็นมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์บวกระบบเผด็จการที่เป็นมรดกยุคสฤษดิ์  ซึ่งระบบเช่นนี้ขัดแย้งโดยพื้นฐานกับโครงสร้างสังคมสงฆ์ที่พระพุทธเจ้ากำหนด ขึ้นตามพระธรรมวินัย
 โครงสร้างของสังคมสงฆ์ตามพระธรรมวินัยนั้น  พระสงฆ์เสมอภาคกันภายใต้พระธรรมวินัย หมายความว่า  พระทุกรูปได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ตามพระธรรมวินัย  และเมื่อประพฤติผิดพระธรรมวินัยก็ได้รับการปฏิบัติอย่างเสมอภาคภายใต้ มาตรฐานเดียวกัน  ได้รับพุทธานุอนุญาตให้ครอบครองไตรจีวรและอัฐบริขารเท่าที่จำเป็นเสมอกัน  หากได้รับบริจาคส่วนเกิน เช่นรับบริจาคจีวรเกินกว่าที่มีสิทธิ์ครอบครอง  ก็ต้องมอบส่วนเกินนั้นให้เป็นของสงฆ์หรือของส่วนรวม  ประชาคมสงฆ์สามารถพิจารณาให้สมาชิกของสงฆ์รูปอื่นซึ่งขาดแคลนนำของส่วนรวม นั้นไปใช้ประโยชน์ได้ ภายใต้เงื่อนไขที่ยุติธรรมแก่พระทุกรูปอย่างเท่าเทียม
 สังคมสงฆ์แบบพุทธกาลไม่มีฐานันดร  (จะว่าไปพระพุทธเจ้าคือผู้สละฐานันดรมาเป็นสามัญชน แต่พระสงฆ์ปัจจุบัน  มีพื้นเพมาจากชนชั้นล่าง แต่พยายามไต่เต้าขึ้นไปสู่ความมีฐานันดร)  การแสดงความเคารพต่อกันถืออาวุโสทางพรรษา (บวชก่อน-หลัง)  แต่การยกย่องให้มีบทบาทสำคัญ เช่น เป็นพระอัครสาวก เป็นเอตทัคคะ (เป็นเลิศ)  ในด้านต่างๆ พิจารณาจากความสามารถ ไม่ได้พิจารณาจากลำดับอาวุโส เช่น  พระสารีบุตร กับพระโมคคัลลานะ บวชทีหลังพระปัญจวัคคีย์  แต่ได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวกซ้าย-ขวา ตามความสามารถของท่านทั้งสอง  เป็นต้น
 แต่โครงสร้างการปกครองสงฆ์ปัจจุบัน  การขึ้นสู่ตำแหน่งการปกครองสงฆ์ระดับสูง เช่น เป็นกรรมการมหาเถรสมาคม  หรือเป็นพระสังฆราช ต้องเป็นไปตามลำดับอาวุโสด้านสมณศักดิ์ ทำให้พระหนุ่มๆ  ที่มีความรู้ความสามารถไม่มีโอกาสเข้ามาบริหารงานคณะสงฆ์  อีกทั้งโครงสร้างของมหาเถรสมาคมก็เป็นโครงสร้างการบริหารแบบรวบอำนาจ  หรือเป็นเผด็จการตาม พ.ร.บ.ที่ออกในยุคสฤษดิ์ดังกล่าวแล้ว  นี่ยังไม่รวมถึงการวิ่งเต้นเรื่องสมณศักดิ์ที่มีการ “จ่ายเงินใต้โต๊ะ”  ดังที่เป็นข่าว (และไม่เป็นข่าว)  ซึ่งนับวันจะกลายเป็นเรื่องปกติธรรมดามากขึ้นในวงการสงฆ์ ทำให้เกิดปัญหาว่า   พระที่วิ่งเต้นใช้จ่ายเงินใต้โต๊ะเพื่อให้ถูกเสนอชื่อเลื่อนสมณศักดิ์นั้น ถือว่า “ต้องอาบัติปาราชิก” ขาดจากความเป็นพระหรือไม่  หากถือว่าต้องอาบัติปาราชิก  ชาวบ้านจะแน่ใจได้อย่างไรว่าพระที่มีสมณศักดิ์ที่กราบไหว้กันอยู่นั้น  ได้สมณศักดิ์นั้นๆ มาด้วยการจ่ายเงินใต้โต๊ะหรือไม่
 ที่จริงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475  ก็มีคณะสงฆ์ฝ่ายก้าวหน้าที่เรียกตัวเองว่า “คณะปฏิสังขรณ์”  พยายามเคลื่อนไหวให้มี  พ.ร.บ.ปกครองสงฆ์ที่เป็นประชาธิปไตยให้สอดคล้องกับทางบ้านเมือง มีการเข้าพบ  นายปรีดี  พนมยงค์  ที่บ้านป้อมเพ็ชร จนในที่สุดทำให้เกิด พ.ร.บ.การปกครองคณะสงฆ์ พ.ศ.2484  ที่มีโครงสร้างการปกครองสงฆ์แบบประชาธิปไตย คือมีสังฆสภา  และสังฆมนตรีคล้ายๆ กับคณะรัฐมนตรีทางบ้านเมือง แต่ต่อมา  พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวก็ถูกฉีกทิ้งในยุคสฤษดิ์
 ว่ากันว่าเหตุผลที่ต้องฉีก พ.ร.บ.ดังกล่าวทิ้ง  เนื่องจากวันหนึ่งจอมพลสฤษดิ์ได้ไปฟัง  (บ้างว่าแอบฟังอยู่หน้าประตูห้องประชุม) การประชุมสังฆสภา  เห็นบรรยากาศพระถกเถียงกันเหมือนบรรยากาศในสภาผู้แทนราษฎรแล้ว  เขาเห็นว่าไม่น่าเลื่อมใส จึงต้องฉีก พ.ร.บ.นั้นทิ้งไป  แต่นั่นเป็นวิธีคิดของเผด็จการที่อย่างไรก็รับไม่ได้กับบรรยากาศความเป็น ประชาธิปไตยอยู่แล้ว ที่สำคัญเขาต้องการคุมคณะสงฆ์ให้ได้ เช่น  ไม่อยากให้พระสอนธรรมะเรื่อง “สันโดษ” เพราะเห็นว่าขัดกับนโยบายพัฒนาประเทศ  พระก็ต้องไม่สอน เป็นต้น
 อย่างไรก็ตาม การกระทำของสฤษดิ์ไม่ใช่เรื่องแปลก  เพราะในเมื่อเขาเป็นเผด็จการ เขาก็ต้องทำของเขาแบบนั้นอยู่แล้ว  แต่การที่พระสงฆ์และชาวพุทธที่มักอ้างว่า  “พระพุทธเจ้าสร้างสังคมสงฆ์ให้เป็นสังคมที่มีเสรีภาพ  (วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบกันได้)  มีความเสมอภาคเป็นแบบอย่างของความเป็นประชาธิปไตย”  กลับยังยึดมั่นระบบสมณศักดิ์อย่างเหนียวแน่น  และยอมรับกฎหมายเผด็จการจวบปัจจุบันนี่ต่างหากที่เป็นเรื่องแปลกอย่างไม่อาจ อธิบายได้
 จริงๆ แล้ว หากย้อนไปถึงหลักการที่แท้จริงของพุทธศาสนา  ไม่ใช่แค่ระบบสมณศักดิ์และ พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฉบับเผด็จการเท่านั้น  ที่พระสงฆ์และชาวพุทธพึงปฏิเสธ แม้แต่ “คติทศพิธราชธรรม”  พระสงฆ์และชาวพุทธก็ควรยืนยันให้ชัดเจนตามหลักการที่แท้จริงของพุทธศาสนา ด้วย
 เพราะทศพิธราชธรรม  พระพุทธเจ้าตรัสสอนในบริบทของการปฏิเสธระบบชนชั้นแบบกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์  ศูทร ท่านยืนยันว่ากษัตริย์ไม่ได้ถูกพระเจ้าสร้างมา  หรือให้มีอำนาจแบบเทวสิทธิ์มาปกครองประชาชน  แต่กษัตริย์ถูกประชาชนสมมติหรือแต่งตั้งขึ้น  และการเป็นกษัตริย์ที่ดีต้องมีทศพิธราชธรรม  ซึ่งการมีทศพิธราชธรรมนั้นต้องวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบได้  เพราะหากวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้  จะรู้ได้อย่างไรว่ามีทศพิธราชธรรมอย่างบริบูรณ์ไม่บกพร่องอย่างที่สรรเสริญ กัน (อย่าลืมว่าในแง่ความบริสุทธิ์โปร่งใสตามพระธรรมวินัย  พระพุทธเจ้าก็เรียกร้องให้ชาวพุทธตรวจสอบพระองค์ได้ อย่างที่เปรียบเทียบว่า  “ทองแท้ไม่กลัวไฟ” หรือ  “มือที่ไม่มีบาดแผลจุ่มลงไปในหม้อยาพิษก็ไม่เป็นไร”)
 คำถามคือว่า  เวลาคณะสงฆ์หรือชาวพุทธพูดถึงความมั่นคงของพุทธศาสนาในบริบทโลกปัจจุบัน  คณะสงฆ์หรือชาวพุทธตั้งโจทย์กันอย่างไร?  ความมั่นคงของพุทธศาสนาหมายถึงความมั่นคงของระบบสมณศักดิ์ใช่ไหม  หมายถึงความมั่นคงของโครงสร้างการปกครองคณะสงฆ์ตาม พ.ร.บ.เผด็จการ 2505  ใช่ไหม ความมั่นคงของพุทธศาสนาต้องขึ้นต่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์  หรือขึ้นต่ออุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์เท่านั้นใช่หรือไม่
 หรือว่าความมั่นคงของพุทธศาสนาจำเป็นต้องสร้างสังคมสงฆ์ตามพระธรรม วินัยที่มีเสรีภาพและความเสมอภาคให้เป็นจริง  เป็นสังคมสงฆ์ที่เป็นอิสระจากอำนาจรัฐให้มากที่สุด  สามารถตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในเชิงจริยธรรมได้  เป็นสังคมสงฆ์ที่เป็นของประชาชน  มีความสามารถตอบสนองต่อการแก้ทุกข์ของปัจเจกบุคคลและสังคม  ปรับตัวเข้ากับยุคสมัยได้ดี มีความเป็นประชาธิปไตย  พระสงฆ์เปิดกว้างทางความคิด  รับฟังและเรียนรู้เท่าเท่าความคิดสมัยใหม่มากขึ้น ชาวบ้านเข้ามาตรวจสอบดูแล  อุปถัมภ์ค้ำชูด้วยศรัทธา หากเขาเห็นว่าการมีอยู่ของคณะสงฆ์  และพุทธศาสนาเป็นประโยชน์ต่อสังคม
 โดยข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์แล้ว  พุทธศาสนาอยู่มาได้เพราะสามารถปรับตัวและตอบสนองต่อปัญหาสังคมได้ในระดับที่ สังคมในยุคนั้นๆ ยอมรับ  ซึ่งหมายความว่าความมั่นของของพุทธศาสนาอยู่ที่พุทธศาสนาเกิดประโยชน์ต่อ สังคมอย่างสมสมัย ฉะนั้น  ความมั่นคงของพุทธศาสนาในปัจจุบันและอนาคตก็จำเป็นต้องตอบโจทย์ด้วยเช่นกัน ว่าพุทธศาสนาจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมปัจจุบันและอนาคตในแง่ไหน อย่างไร