
เมื่อวันที่ 21 กันยายน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ และสำนักข่าวประชาธรรม ร่วมกันจัดงานเสวนา "5 ปี รัฐประหาร และการปฏิรูปการเมืองรอบใหม่" ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารปฏิบัติการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มติชนออนไลน์ขออนุญาตนำเนื้อหาบางส่วนจากงานเสวนาดังกล่าว ที่เรียบเรียงโดยเว็บไซต์ประชาธรรม มาเผยแพร่ดังนี้ 
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  กล่าวว่า ผลสรุปของ 5 ปี รัฐประหาร  อยากชวนมองให้เป็นกระบวนการ   เกิดอะไรขึ้นในบ้านเรา   ในวันนี้สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการต่อสู้เพื่อเคลื่อนเข้าสู่สังคมประชาธิปไตย   ในการต่อสู้ที่ผ่านๆ มามันมีปัญหาอยู่ตรงไหนที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรม   คนส่วนมากจะมองไปที่มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์  แต่ในฐานะนักประวัติศาสตร์   ถ้ามองอะไรที่ยาวไกลมากไปอาจจะทำให้ไม่เข้าใจปัจจุบัน   ฉะนั้นการมองไปที่ระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นไกลไป  แน่นอนว่านักประวัติศาสตร์ไม่สามารถมองข้ามประเด็นนี้ได้  แต่คิดว่ามรดกที่ตกทอดที่ใกล้กว่านั้นและทำให้เป็นปัญหาจนถึงทุกวันนี้ คือ การจัดความสัมพันธ์ใหม่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์  
เพราะสภาวะหลังปี 2516  ระบบอำนาจเด็ดขาดมันอยู่ไม่ได้   จึงเกิดประชาธิปไตยแบบครึ่งใบขึ้นมา มีระบบการเลือกตั้งขึ้นมา  แต่อำนาจสูงสุดยังอยู่ในมือของพล.อ.เปรม  (ภาคราชการ)    อำนาจในสมัยรัฐบาลเปรมเปิดโอกาสให้ภาคประชาชนเข้ามาแบบครึ่งๆ   การเมืองประชาธิปไตยครึ่งใบของรัฐบาลเปรมถือว่ายังมีความชอบธรรมไม่มากนัก   จึงใช้วิธีการเดียวกับรัฐบาลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ คือ เข้าไปแอบอิงกับสถาบัน   ดังนั้นกระบวนนี้น่าสนใจคือ เกิดการสถาปนาอำนาจแบบใหม่ขึ้นมา   มีการรักษาระบบราชการกึ่งเลือกตั้ง  โดยใช้อำนาจนอกระบบเป็นครั้งคราว   สิ่งนี้เป็นผลตกทอดจากสมัยพล.อ.เปรม มาจนถึงปัจจุบัน     
การเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยในสมัยพลเอกเปรม  เป็นผลมาจากการปรับตัวของชนชั้นนำระหว่างปี 2516-2519   เป็นการปรับตัวที่ชนชั้นนำรู้ว่าทำแบบเดิมนั้นไปไม่รอด   เป็นการปรับตัวที่ใช้ระบบราชการแช่แข็งนโยบายของนักการเมืองอีกปีกหนึ่ง  เพื่อรักษาสถานภาพเดิมทางเศรษฐกิจของกลุ่มทุน   และเริ่มมีการเริ่มต้นประชานิยม  เมื่อ นายบุญชู โรจนเสถียร  สร้างนโยบายประชานิยม   พลเอกเปรมก็ดึงกลับไปเป็นของรัฐเพื่อไม่ปล่อยให้นักการเมืองใช้ประชานิยมได้ อย่างเสรี  กลุ่มทุนเก่าก็ร่ำรวยขึ้น  ซึ่งระบบ 8  ปีนี้น่าสนใจและยังไม่มีใครศึกษาการสร้างเครือข่าย  ทุกคนโดดไปด่าสถาบันอื่นโดยลืมดูโครงสร้างอันนี้
หลังสมัยพลเอกเปรม  สมัยรัฐบาลชาติชายมีความพยายามในการรุกคืบเข้าไปในอำนาจของระบบราชการ   ทำให้เกิดการโต้กลับของอำนาจ  เกิด รสช.  (คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ) ขึ้นมา  อย่างไรก็ตามหลังยุครสช.  มีความพยายามในการรักษาประชาธิปไตยครึ่งใบอยู่ตลอดมา    พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้อำนาจในช่วงหลังก็ไต่เส้นลวดประชาธิปไตยแบบครึ่งใบมา ตลอด  ซึ่งพยายามให้อำนาจราชการไว้ครึ่งหนึ่ง  ไม่ก้าวไปล่วงล้ำ  เพื่อรักษาอำนาจของตัวเอง  ประชาธิปัตย์พยายามรักษาดุลอำนาจนี้ไว้
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการร่าง รัฐธรรมนูญปี 2540  เป็นการปลดล็อคอำนาจประชาธิปไตยครึ่งใบ  เป็นจุดเริ่มต้นในการดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมือง  
การเมืองในสมัยทักษิณ ด้วยหลักการของรัฐธรรมนูญปี 2540  ซึ่งปลดล็อคอำนาจระบบราชการ    เกิดการจัดความสัมพันธ์อำนาจในระบบประชาธิปไตยใหม่   โดยลดทอนอำนาจระบบราชการในทุกส่วน  ปรับเปลี่ยนระบบราชการทุกระดับ  ทั้งการศึกษา โรงพยาบาล ฯลฯ   รวมทั้งทำให้ความชอบธรรมทั้งหมดมาจากการเลือกตั้ง  จึงทำให้อำนาจประชาธิปไตยครึ่งใบแบบเดิมสั่นคลอน ทั้งหมดนำไปสู่การรัฐประหาร 2549   
รัฐประหารที่เกิดขึ้นและการเมืองหลัง จากนั้น รวมถึงรัฐธรรมนูญปี 2550  ถือเป็นการสืบทอดอำนาจในสมัยพล.อ.เปรมอย่างชัดเจน   ซึ่งเป็นการพยายามรักษาประชาธิปไตยครึ่งใบไว้   พยายามเข้าไปแอบอิงสถาบันดั้งเดิม พยายามสร้างกฎเกณฑ์ที่ทำให้ราชการมีอำนาจ  เช่น การตั้งกฎโยกย้ายทหารต้องผ่านกรรมการทั้ง 7 คน เป็นต้น   ทำให้เกิดความขัดแย้งสูงมาก  
กระบวนการที่เกิดขึ้นใน 5 ปีหลัง  เป็นการยื้ออำนาจระหว่างระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบกับอำนาจที่อ้างความชอบธรรม จากการเลือกตั้ง (ระบบราชการกับภาคการเมือง)   ความรุนแรงปี 2552  และ   2553  จึงเป็นผลผลิตของการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจคู่นี้ที่ยังไม่ลงตัว 
นอกจากนี้ การยื้อแย่งทางการเมืองดังกล่าวยังสัมพันธ์กับความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจอีกด้วย  ซึ่งความเปลี่ยนแปลงอันนี้ทำให้ชนบทไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป  คนในชนบทในงานวิจัยของหลายท่านล้วนสะท้อนให้เห็นว่าคนชนบทไม่ใช่ชาวนา  ความสัมพันธ์ระหว่างเมืองกับชนบทได้เปลี่ยนไปแล้ว  อาจจะไม่มีชนบทเหลืออยู่ในความหมายเดิมอีกต่อไป 
ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจมันนำมาสู่ "การเมืองเรื่องความหวัง"   (Politic of Hope) ซึ่งเมื่อเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจนี้  แล้วคุณต้องมีความหวังว่าจะเดินไปข้างหน้าอย่างไร  จากบทสัมภาษณ์ของงานวิจัยเรื่องเสื้อแดง สิ่งที่ปรากฏชัด คือ  ประชาชนมีสำนึกทางพลเมือง  ความเปลี่ยนแปลง 2 ด้านนี้   จึงนำเข้ามาสู่การต่อสู้ทางการเมืองด้วย
ผลสรุป คือ การยื้อทางอำนาจไม่ก่อผลดีต่อสังคมไทยโดยรวม  ตนคิดว่าทางออกคือ  หนึ่ง  ปลดล็อคทางอำนาจ ด้วยการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่  เพื่อให้มีการจัดความสัมพันธ์ทางอำนาจให้ลงตัวมากขึ้น  (ถ้ายื้อแบบนี้โดยไม่ร่างกติกาก็จะทำให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นอีก)  การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยกลไกของปี 2540  จะทำให้สังคมไทยเคลื่อนไปสู่การตกลงกันได้ง่ายมากขึ้น 
ซึ่งหลังจากร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ลงประชามติเสร็จแล้ว  ควรยุบสภาเลือกตั้งใหม่   นี่คือสิ่งที่สำคัญเพราะจะทำให้เราเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่  เพื่อแก้ไขความขัดแย้งอันนี้ แต่มีข้อกังวลคือ  ถ้ารัฐบาลปัจจุบันมีความสุขกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้  การร่างรัฐธรรมนูญใหม่อาจจะไม่เกิด  เพราะเป็นการให้อำนาจกับระบบราชการอยู่  ถ้ารัฐบาลยังคงอยู่ได้ โดยสามารถเปลี่ยนอำนาจระบบราชการมาอยู่ในมือ  ประชาชนก็อาจต้องผลักดันมากขึ้น
สอง  เราจะสร้างแนวทางการแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นเฉพาะเรื่องมากขึ้น  ทั้งในรัฐสภาและในที่อื่นๆ โดยให้สังคมเป็นคนตัดสินได้อย่างไร  เพื่อไม่ให้มีการรัฐประหารอีก เช่น การโยกย้ายทหาร  ถ้ารัฐบาลต้องการโยกย้ายทหาร โดยผ่านคณะกรรมการทั้ง 7 คน แล้วมีเสียงครหา  สังคมเป็นคนตัดสิน อาจจะด้วยการโหวตหรืออะไรก็แล้วแต่  ทหารก็จะไม่กล้ารัฐประหาร 
กลุ่มที่สนับสนุนทางการเมืองต้องใจ เย็นๆ และมองการณ์ไกล ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตาม  ถ้าเกิดรัฐประหารครั้งต่อไปต้องมีจุดยืนให้ชัด  เพราะคิดว่ารัฐปนะหารครั้งต่อไปโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากทหารทั้งสองฝั่ง  ทั้งฝั่งเดิมที่พยายามรักษาประชาธิปไตยครึ่งใบ  กับทหารอีกฝั่งหนึ่งที่เราเรียกกันว่า "ทหารแตงโม"  เราต้องมีจุดยืนให้ชัดว่าเราต้านรัฐประหารจากทุกกลุ่ม  เพราะการรัฐประหารเป็นการลากสังคมไทยไปสู่จุดดับ
ภัควดี ไม่มีนามสกุล นักเขียน นักแปลอิสระ กล่าวว่า ตนอยากจะมองให้แคบลงมาในเรื่องของ กองทัพ  เพราะสถาบันกองทัพถือเป็นสถาบันที่ไม่ค่อยเปลี่ยนบทบาท  ในสังคมไทยถือเป็นสังคมของรัฐทหาร   แม้ในระบบเศรษฐกิจทหารก็เข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น กรณี  กสทช.ที่มีทหารเข้าไปเป็นกรรมการจำนวนมาก   ก็แสดงถึงความไร้เหตุผลของสังคมไทยอย่างมาก
หลังปี 2535  เราพูดกันมากว่า ต้องการให้กองทัพไทยกลับสู่กรมกอง   แม้มีการผลักดันเข้ากรมกองจริง  แต่ยังไม่มีการปฏิรูปกองทัพอย่างจริงจัง   ดังนั้นจึงอยากยกตัวอย่างการปฏิรูปกองทัพในสองประเทศ  ประเทศแรกคืออาร์เจนตินา   ซึ่งเคยเป็นเผด็จการ  มีการกวาดล้างพลเมืองไปเป็นจำนวนมาก   แต่ก็สามารถเปลี่ยนผ่านไปสู่ประชาธิปไตย   และสามารถเอาผิดผู้นำประเทศที่เป็นทหารได้   หลังจากเปลี่ยนมาเป็นระบอบประชาธิปไตยรัฐบาลพลเรือนพยายามปฏิรูปกองทัพ  คือจำกัดความรับผิดชอบของทหารเฉพาะการป้องกันประเทศ   การรักษาความสงบเรียบร้อยเป็นหน้าที่ของตำรวจ  ซึ่งจะขึ้นอยู่กับแต่ละเมือง  หรือขึ้นอยู่กับผู้ว่าฯ   ไม่ได้ขึ้นอยู่กับส่วนกลางเหมือนประเทศไทย
ในบางประเทศ ฐานทัพทหารจะอยู่ในเขตชายแดน  ไม่เหมือนประเทศเราที่ค่ายทหารที่ใหญ่ๆ กลับอยู่ใกล้กรุงเทพฯ  แล้วตอนนี้พยายามมาสร้างกองพันทหารม้าที่เชียงใหม่  ซึ่งสะท้อนวิธีคิดของประเทศไทย   ที่เอาระบอบอาณานิคมแบบตะวันตกมาใช้ในระบอบการปกครอง  ซึ่งไม่ต่างจากสมัยรัชกาลที่ 5   โดยถือเอากรุงเทพฯเป็นศูนย์กลาง   และภูมิภาคเป็นอาณานิคม
เรื่องที่สองที่อาร์เจนตินาทำในการปฏิรูปกองทัพ คือ ย้ายหน่วยข่าวกรองและหน่วยปราบจลาจลให้ออกจากความรับผิดชอบของกองทัพ   
เรื่องที่สาม คือ ปรับระบบการศึกษาของกองทัพ   ถ้ากรณีของไทยการศึกษาของทหารแยกออกจากระบบการศึกษาโดยทั่วไป  ซึ่งวิธีการศึกษาแบบนี้มันทำให้ทหารถูกครอบงำทางอุดมการณ์ได้ง่าย  แต่ถ้ามีการปรับระบบการศึกษาให้ทหารมาเรียนกับพลเรือนอย่างที่อาร์เจนตินา หรือเวเนซูเอล่าทำ  จะทำให้ทหารได้เรียนรู้กับประชาชนทั่วไป  ผูกพันกับประชาชน รับรู้ข่าวสาร ไม่แปลกแยก   และทหารมีความคิดทางการเมืองที่ก้าวหน้าขึ้น
เรื่องที่สี่  กองทัพต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของพลเรือน  ประธานาธิบดีของเขาจะเป็นผู้นำเหล่าทัพ   เสนาธิการแต่ละเหล่าทัพก็เป็นพลเรือนด้วย  และห้ามนายทหารรับตำแหน่งทางการเมือง  และแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
เรื่องที่ห้า  ลดจำนวนตำแหน่งนายทหารระดับสูง   ส่วนใหญ่ประเทศที่ก้าวหน้ามากๆ อย่างสหรัฐฯ ระดับพลเอก  จะไม่เยอะเหมือนบ้านเรา การพิจารณาตำแหน่งก็พิจารณาที่ผลงาน  ไม่ใช่เส้นสายหรือนามสกุล
เรื่องที่หก  ลดงบประมาณป้องกันประเทศ ลดการใช้จ่ายของกองทัพ  ยกเลิกการจัดซื้ออาวุธด้วยวิธีพิเศษ การซื้ออาวุธต้องตรวจสอบได้
เรื่องที่เจ็ด  ลดการเกณฑ์ทหารลงเหลือ 1 ใน 3   ขณะที่ประเทศไทยนั้นถ้ายกเลิกการเกณฑ์ทหารได้ก็จะดี รวมถึงยกเลิกระบบศักดินาในกองทัพที่ทหารเกณฑ์ยังต้องไปเป็นคนรับใช้นายพลด้วย  
เรื่องที่แปด  ห้ามนายหารมีตำแหน่งในรัฐวิสาหกิจ กองทัพห้ามทำธุรกิจ  นายทหารที่เกษียณห้ามไปรับตำแหน่งทางองค์ธุรกิจด้วย 
เรื่องที่เก้า เขาระบุไว้ในรัฐธรรมนูญเลยว่า การรัฐประหารทุกรูปแบบเป็นกบฏของแผ่นดิน และยกเลิกกฎหมายนิรโทษกรรมคนที่ทำรัฐประหารทั้งหมดไป
อันนี้คือการปฏิรูปกองทัพในประเทศอาร์เจนตินาซึ่งผ่านระบอบเผด็จการทหารที่โหดร้าย
ต่อมาอยากจะยกตัวอย่างประเทศอินโดนีเซีย  ซึ่งอยู่ใกล้ๆ เราและมีประสบการณ์คล้ายๆ กับอาร์เจนตินา  แล้วเขาก็เปลี่ยนผ่านมาเป็นระบอบประชาธิปไตย และก็มีการปฏิรูปกองทัพพอสมควร   ซึ่งหลังผ่านยุคซูฮาร์โตที่เป็นเผด็จการทหารและกวาดล้างประชาชนไปมากมาแล้ว   ประชาธิปไตยของเขาค่อนข้างมีความมั่นคงกว่าประเทศไทย  หลายเรื่องที่เคยล้าหลังกว่าเรา ตอนนี้เริ่มล้ำหน้าเรา  ส่วนหนึ่งก็มีการปฏิรูปกองทัพมากพอสมควรแต่ทำสำเร็จน้อยกว่าอาร์เจนตินา 
ในช่วงต้นๆ หลังยุคซูฮาร์โต เขาสามารถปฏิรูปกองทัพได้ถึง 17 เรื่อง   ขอยกตัวอย่างบางเรื่อง เช่น ห้ามไม่ให้ทหารมาดำรงตำแหน่งของพลเรือน (อาทิ  ตำแหน่งรัฐมนตรี) มีรัฐมนตรีกลาโหมเป็นพลเรือน  มีการระบุภาระหน้าที่ของทหารอินโดนีเซียว่าจะต้องรักษาความมั่นคงระหว่าง ประเทศเท่านั้น ห้ามทหารไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับความมั่นคงภายในประเทศ   ให้ยกเลิกหน่วยงานด้านความมั่นคงภายในประเทศของกองทัพ  (เปรียบได้อย่างยกเลิก กอรมน.ในไทย) มีการตั้งศาลสิทธิมนุษยชนขึ้น  มีความพยายามทำให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยให้เลือกประธานาธิบดีโดย ตรงและให้เลือกตั้งส่วนท้องถิ่นมากขึ้น  สร้างระบบตรวจสอบงบประมาณกองทัพ  สิ่งที่น่าสนใจที่เขาสำเร็จ คือ การให้ศาลทหารอยู่ภายใต้ศาลสูงสุด  สร้างความโปร่งใสของศาลทหารให้มากขึ้น  
ทั้งนี้มีบทความหนึ่งซึ่งพูดถึงปัจจัยที่จะทำให้ของการปฏิรูปกองทัพยากหรือง่าย มีอยู่   5 ข้อ
ข้อแรก ความผูกพันของกองทัพกับชนชั้นนำเดิมในประเทศมีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากก็ปฎิรูปยาก ถ้ามีน้อยก็ปฏิรูปง่ายหน่อย
ข้อสอง ในประเทศนั้น  ประชาชนมีความเห็นพ้องต้องกันต่อระบอบประชาธิปไตยมากน้อยแค่ไหน  ยิ่งมีมากแค่ไหน  การปฏิรูปก็ง่ายขึ้น
ข้อที่สาม  คือปัจจัยระหว่างประเทศ เช่น ประเทศตุรกี  เขาปฏิรูปกองทัพได้ง่ายเพราะอยากเข้าเป็นสมาชิกของอียู   เขาก็ต้องปฏิรูปกองทัพ เพื่อให้เข้าเงื่อนไขอียู  แต่อาเซียนอยากให้แต่ละประเทศแก้ไขปัญหาภายในประเทศเอง  ปัจจัยนี้จึงไม่เอื้อให้ประเทศเรา
ข้อที่สี่ การปฏิรูปกองทัพทำให้เกิดความขัดแย้งของชนชั้นนำมากน้อยแค่ไหน
ข้อที่ห้า คือ วัฒนธรรมของกองทัพ  เช่น  วัฒนธรรมของกองทัพในการทำธุรกิจข้างนอก  กองทัพไทยก็มีวัฒนธรรมในการทำธุรกิจข้างนอกด้วยเช่นกัน
บทความนี้ยังมีข้อเสนอว่าด้วย เรื่องการปฏิรูปกองทัพในอนาคต  ซึ่งมีอยู่ 8 ข้อ คือ 
หนึ่ง กฎหมายสิทธิมนุษยชนควรมีความเข้มแข็งมากขึ้น ควรมีอำนาจในการบังคับใช้มากขึ้น
สอง ศาลควรได้รับการอบรมความรู้เกี่ยวกับเรื่องกฎหมายสิทธิมนุษยชนให้มากขึ้น
สาม กองทัพต้องอยู่ใต้อำนาจของกระทรวงกลาโหม
สี่ กองทัพควรมีวัฒนธรรมของพลเรือนมากขึ้น
ห้า ผู้ตรวจสอบการใช้งบประมาณของกองทัพ ควรมีอำนาจทำได้มากขึ้น
หก ผลประโยชน์ทางธุรกิจของกองทัพทั้งหมด ต้องโอนให้เป็นของรัฐ
เจ็ด สภาความมั่นคงแห่งชาติควรมีผู้นำพลเรือน  มีทหารเป็นส่วนประกอบ
สุดท้าย  ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ผู้มีบทบาททางการเมือง เช่น พรรคการเมือง ฝ่าย  บริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ   ภาคประชาชนต้องเข้มแข็งในการผลักดันระบอบประชาธิปไตยด้วย   ทั้งหมดนี้จะทำให้ การปฏิรูปกองทัพประสบความสำเร็จ
สมชาย ปรีชาศิลปกุล  อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่  กล่าวว่า หลังจาก 5   ปีผ่านไป ตนถือว่ารัฐประหารนี้ประสบความล้มเหลวที่สุด   มีการรำลึกถึงรัฐประหารในเชิงต่อต้านกันมายาวนานมาก   จนบัดนี้ก็ยังระลึกถึงอยู่  ทุกฝ่ายที่พูดถึงรัฐประหารก็ไม่เห็นด้วย   แม้ในตอนเริ่มบางส่วนอาจจะเห็นด้วย  แต่ตอนนี้ก็ไม่อยากเป็นส่วนหนึ่งของการรัฐประหารนี้เลย  เช่น กรณีพล.อ.สนธิ  บุญยรัตกลิน ดังนั้นผมจึงคิดว่ารัฐประหาร 2549  นั้นล้มเหลว
อยากให้มอง  รัฐประหารเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ถ้าเทียบการเมืองหลัง  2520  กับการเมืองหลังปี 2550  นั้นจะเห็นว่าเหมือนกันคือการสร้างระบอบการเมืองกึ่งรัฐสภา   กึ่งอำมาตยาธิปไตย  คือยอมให้มีการเลือกตั้ง   แต่ก็มีการออกแบบรัฐธรรมนูญกำกับระบอบการเลือกตั้งอีกทีหนึ่ง  
ปัจจุบันเราจะเห็นอารมณ์ของสังคมไทย  ปีนี้มีการจัดงานวาระครบรอบ 5  ปี รัฐประหารอย่างกว้างขวาง  เราเห็นอารมณ์ร่วมของสังคมได้ คือ รัฐธรรมนญ  2550  เป็นปัญหา  มีคนเสนอแก้รัฐธรรมนูญ แต่ทั้งหมดนี้   เป็นเรื่องของการสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่เป็นหลักการของสังคมไทย  เท่าที่ผมจับประเด็นได้มีอยู่ 2 สองเรื่อง เรื่องแรก การต่อต้านรัฐประหาร และการพยายามล้มล้างผลของการรัฐประหาร  สอง มีความพยายามจะพูดถึงรากฐานของระบอบการปกครอง  มีความพยายามจะเสนอหลักการประชาธิปไตยอันใหม่ให้เกิดขึ้น
ข้อเสนอของนิติราษฎร์นั้นน่าสนใจ   ในอดีตมีการเขียนกฎหมายเพื่อป้องกันการรัฐประหาร (เช่นรัฐธรรมนูญปี 2517)   แต่ก็ถูกฉีกตลอด   ข้อเสนอใหม่มีความพยายามในการแก้รัฐธรรมนูญให้เพิกถอนผลของการรัฐประหาร      อันนี้จะสำเร็จหรือไม่  ไม่รู้  แต่คิดว่านี่เป็นอุดมการณ์ของสังคมไทยโดยรวมว่า การ รัฐประหารเป็นสิ่งที่แก้ไขอะไรไม่ได้  และรวมถึงการพยายามที่จะทำให้การรัฐประหาร  ไม่มีผลผูกพันกับสังคมอย่างมั่นคงยาวนานอย่างเช่นที่เคยเป็นมา 
ข้อเสนอเรื่องที่สอง   มีการพูดถึงความพยายามในการวางรากฐานการปกครองของระบอบประชาธิปไตย  มีเรื่องสำคัญที่กำลังถูกผลักดันอยู่ 5 เรื่องใหญ่ คือ หนึ่ง  อำนาจของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกับระบบราชการ (โดยเฉพาะทหาร)   โดยหลักการนั้นตามความคิดตนนั้น  รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งควรจะมีอำนาจเหนือราชการ โยกย้ายได้   ข้าราชการเป็นกลไกของรัฐบาล    
สอง  กระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระ  เป็นปัญหาอันหนึ่งที่สำคัญ   ถ้าเราสังเกตการล้มของรัฐบาลสมชายและสมัคร  จะล้มลงเพราะองค์กรอิสระ  ไม่ได้ล้มลงเพราะการเคลื่อนไหวของมวลชน  นี่ถือเป็นการกุมอำนาจของฝ่ายอำมาตยาธิปไตยผ่านองค์กรอิสระ   ทำให้เราตั้งคำถามกับองค์กรอิสระที่มีความสัมพันธ์กับประชาชน  จะมีการรับผิดอย่างไร เช่น กรณี  กกต.กับการยื่นฟ้องคดียุบพรรคประชาธิปัตย์ล่าช้า   ซึ่งเป็นทำหน้าที่บกพร่องจะรับผิดชอบกับประชาชนอย่างไร  นอกจากนี้เวลาเกิดความขัดแย้งทางการเมือง   องค์กรอิสระมีการชี้ถูกชี้ผิดที่ไร้มาตรฐาน  แต่ไม่มีการผิดชอบการกระทำของตนเอง (ในการที่ตนเองทำให้สังคมเสียหาย  หรือทำให้เกิดข้อกังขาในสังคม)
สาม  เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น  โดยทั่วไปรัฐธรรมนูญมีการเขียนระบุไว้   แต่มักจะมีกฎหมายพิเศษ   กับกฎหมายยกเว้น เช่น พ.ร.บ.คอมฯ   หรือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  ซึ่งกฎหมายยกเว้นนี้เป็นกฎหมายที่มีปัญหาที่สุด  สิ่งที่เป็นข้อยกเว้นกลับถูกใช้เป็นอย่างมาก  ในขณะที่หลักการรัฐธรรมนูญกลับไม่ค่อยใช้ ดังนั้นจึงเห็นว่า  ควรทำให้เรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องหลัก ทำให้กฎหมายพิเศษ หรือ  กฎหมายยกเว้นมันเล็กลงกว่ารัฐธรรมนูญ  เพราะมีคนจำนวนมากที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็นเพราะกฎหมายดังกล่าว  ทั้งนี้เพราะสังคมไทยยังมีเรื่องที่ยังเบลอ และไม่มีใครกล้าพูด
สี่  ทำอย่างไรให้กระบวนการบังคับใช้กฎหมายวางบนหลักการที่อยู่บนเหตุผลและความ ชอบธรรม ซึ่งที่ผ่านมาเราไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม เช่น  เรื่องข้อเรียกร้องเรื่องสองมาตรฐาน ดังนั้นจึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้ Rule  of laws (หลักนิติธรรม) ได้รับการยอมรับ
ห้า  เรื่องสถาบันจารีตและองคมนตรี  คงจะต้องมีการจัดวางสถานะให้พ้นจากการเมือง  เช่น องคมนตรีไม่ควรให้กำลังใจนักการเมืองหรือข้าราชการประจำ เป็นต้น 
สังคมไทยกำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยน แปลงใหม่ ไม่ใช่แค่การแก้รัฐธรรมนูญ   แต่จะเป็นการสถาปนารัฐธรรมนูญที่มีการวางหลักการพื้นฐานสำคัญ ในเรื่องต่างๆ  เหล่านี้ มันจะทำให้สังคมไทยหรือรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นมีอนาคต  กระบวนการนี้จะเกิดขึ้นได้  สิ่งที่เราควรจะต้องทำ คือ  เมื่อเราวิจารณ์เขาแล้ว  ถ้าเราจะจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่   เราไม่ควรทำเหมือนที่เขาทำมา  แต่เราควรทำให้รัฐธรรมนูญใหม่   เป็นของคนทุกคน  ไม่ใช่รัฐธรรมนูญของคนเสื้อแดง  หรือรัฐธรรมนูญที่ปิดปากอีกฝ่าย ทุกฝ่ายสามารถขัดแย้ง โต้เถียงกันได้   คนเสื้อแดงต้องแสดงให้เห็นว่าเรากำลังผลักสังคมไทยไปข้างหน้าด้วยความเสมอ ภาคและเท่าเทียมกันอย่างแท้จริง