ที่มา thaifreenews
โดย แม่ปังคุง
ปราบดา หยุ่น: แสงไฟที่เราต้องรักษาไว้ด้วยกัน
Tue, 2011-12-27 23:59
ปราบดา หยุ่น
แสงไฟที่เราต้องรักษาไว้ด้วยกัน
ความสำคัญของเสรีภาพทางความคิดเห็นและการแสดงออกในสังคมไทย
และเหตุใดเราจึงมิอาจนิ่งเฉยอยู่กับที่เมื่อเสรีภาพดังกล่าวสั่นคลอน
ปราบดา หยุ่น
0 0 0
“...อย่า หลงเชื่อไปว่าเราได้หลุดพ้นจากรอยบาป (ของการเข่นฆ่าผู้คิดต่าง)  แม้กระทั่งของการข่มเหงโดยกฎหมาย การลงทัณฑ์ความคิดเห็น  หรืออย่างน้อยก็การแสดงความคิดเห็น ยังคงมีอยู่ในทางนิตินัย;  และการบังคับใช้ของมัน แม้กระทั่งในยุคสมัยนี้  ก็มิได้เกิดขึ้นน้อยครั้งเสียจนจะสามารถตายใจว่าสักวันหนึ่งการลงทัณฑ์เช่น นั้นจะไม่ถูกนำมาใช้อย่างหนักหน่วงสุดขั้วอีกครั้ง” จอห์น สจ๊วร์ต มิลล์,  On Liberty, 1859
             ในโลกมนุษย์ยุคต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด  ดูเหมือนจะมีสังคมเพียงสองประเภทที่สมาชิกในสังคมสามารถถูกกฎหมายตัดสินจำ ขังเป็นเวลานานสองถึงยี่สิบปี  ด้วยข้อหาส่งข้อความสั้นจากโทรศัพท์มือถือของคนคนหนึ่งไปยังโทรศัพท์มือถือ ของคนอีกคนหนึ่ง  ด้วยข้อหาแปลความบางบทบางตอนจากหนังสือภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งเพื่อเผย แพร่ในพื้นที่ออนไลน์ส่วนตัว  และด้วยข้อหาแสดงความเห็นทางการเมืองของตนบนเวทีสาธารณะ
             สังคมสองประเภทที่ว่าคือ สังคมเผด็จการกับสังคมลัทธิ (cult)  ที่คลั่งคลุ้มในความเชื่อเบ็ดเสร็จสำเร็จรูปโดยปราศจากการตั้งคำถาม  และโดยมิแยแสต่อเหตุผล สิทธิมนุษยชน และความจริง
             สังคมเผด็จการกับสังคมลัทธิ  อาจดูเหมือนมีความคล้ายคลึงคล้องเกี่ยวกันอยู่ไม่น้อย  ทว่าจุดแข็งทางอำนาจของสังคมสองประเภทนั้นแตกต่างโดยสิ้นเชิง สังคมเผด็จการ  คือสังคมที่ปกครองโดยกำลัง โดยการบังคับข่มขู่ หรืออาจกล่าวรวมได้หลวมๆ  ว่าเป็นการปกครองด้วย “ความกลัว” โดยคนกลุ่มเล็กๆ  กลุ่มหนึ่งที่เห็นคนอื่นที่เหลือเป็นเพียงฝูงสัตว์  สมาชิกในสังคมเผด็จการอาจเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ  และไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ  ที่คุ้มค่ากับการต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำทรราชย์กับสมุนถือ อาวุธ ทว่าไม่มีทางเลือก ต้องดำรงอยู่ในกรอบขังนั้นด้วยความจำทน
             สังคมลัทธิมีคุณสมบัติแทบตรงกันข้าม  สมาชิกส่วนใหญ่ในสังคมลัทธิต่างค่อนข้างสุขีปรีดา  ซึ้งซาบในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและความมั่นคงกลมเกลียวของความเป็นสาวก ภายใต้การปกครองของผู้นำ ซึ่งมักได้รับการยกชูอยู่สูงจนมีสถานะเหนือมนุษย์  หรือมีภาพลักษณ์เป็นวีรชนไร้ผู้เทียมทาน  และตราบใดที่สถานการณ์ในสังคมลัทธิดำเนินราบรื่นตามสูตรสำเร็จ  ที่ถูกสถาปนาขึ้นด้วยการอ้างอิงความเห็นชอบของผู้นำ  หรืออุปโลกน์ว่าเป็นการทำเพื่อผู้นำ  สมาชิกส่วนใหญ่ต่างอิ่มเอมภาคภูมิกับการได้เกิดมารับใช้และปกป้องลัทธิของตน โดยถ้วนหน้า
             และด้วยเชื่อมั่นว่าคำสอนของลัทธิคือสัจธรรมแห่งชีวิต  สมาชิกทั้งหลายจึงมั่นใจว่า สิ่งที่ลัทธิสอนสั่งให้ตนเป็นและปฏิบัติคือ  “ความถูกต้อง” คือ “ความดี” คือความ “มีศีลธรรม”  กระทั่งถึงขั้นให้คุณสืบสานข้ามรุ่นไปยังชาติภพอื่น เมื่อมีสมาชิกหัวแข็ง  ริอ่านแตกแถว คิดต่าง ตั้งคำถามสงสัย  และหาญกล้าแสดงทีท่าผิดแผกไปจากข้อบังคับหรือความเชื่อของลัทธิ  ทั้งในทางรุนแรงและนุ่มนวล ทั้งโดยตั้งใจและโดยไร้เดียงสา  สาวกข้างมากมักเกิดอาการใจสั่น  หวั่นหวาดว่าฐานความเชื่อของพวกตนจะถูกลบหลู่ดูแคลน กังวลวิตกว่าสมาชิก  “กบฏ” ส่วนน้อยนั้นจะสร้างรอยร้าวและส่งผลให้เสาหลักของลัทธิล้มครืนลง
              ข้อกล่าวหาที่ดีที่สุดเท่าที่สาวกลัทธิจะนำมาใส่ร้ายข่มขู่ผู้คิดต่าง  มักมีเพียงข้อกล่าวหาไร้น้ำหนักและปราศจากเหตุผล อาทิ  ผู้คิดต่างเป็นคนเลวทรามเพราะตั้งคำถามกับผู้นำหรือกับความศรัทธาในตัวผู้นำ ผู้ประเสริฐ  ผู้คิดต่างต้องการทำร้ายผู้นำหรือทำลายลัทธิเพราะคนหวังดีที่ไหนจะเสือกคิด ต่าง  การคิดต่างแปลว่าผู้คิดต่างเนรคุณต่อลัทธิซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของผู้คิด ต่าง ดังนั้นผู้คิดต่างจึงควรออกไปจากบ้านหรือปลดตัวเองออกจากลัทธิเสีย  สาวกลัทธิผู้มีจิตใจเหี้ยมโหดมักมีความเห็นถึงขั้นที่ว่าผู้คิดต่างทั้งหลาย สมควรถูกฆ่าล้างโคตร นอกจากนั้นยังมีการกีดกั้นขัดขวาง  ประณามความเห็นหรือความช่วยเหลือจากคนนอก  โดยประกาศว่าคนนอกไม่เข้าใจในพื้นฐานวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง  (ซึ่งไม่ต้องการตรรกะ) ของลัทธิตน
            ทั้งหมดนั้นล้วนมิใช่  “เหตุผล” ที่เกิดจากการคิด (ตามความหมายของการ “ใช้เหตุผล”)  หากแต่เป็นเหตุผลที่เกิดจากการบังคับไม่ให้คิด  ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแม้แต่น้อย  เนื่องเพราะกฎข้อที่หนึ่งของการเป็นสมาชิกลัทธิคือ  “ถอดสมองส่วนที่ใช้ตรรกะและเหตุผลทิ้งไปเสียก่อน” ตามด้วยกฎข้อที่สอง  “กฎระเบียบและคำสอนของลัทธิย่อมถูกต้องหมดจด”  และแม้ว่าสาวกลัทธิจะนิยมใช้ถ้อยคำขับไล่ไสส่งผู้คิดต่างให้ออกห่างไปจาก ลัทธิ ทว่าในทางปฏิบัติพวกเขาพอใจกับการคุมขัง ทำร้าย  หรือบังคับข่มขู่ให้ผู้คิดต่างต้องถอนคำพูด กลับใจ  หรือปิดปากไว้ด้วยความกลัวเสียมากกว่า  เป็นที่รู้กันดีในหมู่ผู้มีประสบการณ์เข้าร่วมลัทธิ  ว่าการสมัครเข้าเป็นสมาชิกเป็นเรื่องง่ายดาย  ทว่าการลาออกหรือการปลดปล่อยตนเองจากสถานะของความเป็นสาวกนั้นเป็นเรื่องที่ แทบต้องเอาชีวิต (ทั้งของตนเองและคนใกล้ชิด) เข้าแลก  สังคมลัทธิทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ผู้คิดต่างลอยนวล
             ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสังคมเผด็จการกับสังคมลัทธิ  จึงอยู่ที่สถานภาพทางจิตใจของสมาชิกในสังคม  สมาชิกในสังคมเผด็จการส่วนมากมีชีวิตอยู่อย่างจำยอม  รอคอยการเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบการปกครองที่เสรีกว่าอย่างลำบากยากไร้และไม่ เห็นอนาคต  ในขณะที่สมาชิกของสังคมลัทธิมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะถูกครอบงำ  มิหนำซ้ำยังพากันเสนอตัวเป็นผู้ตรวจตราความเรียบร้อยในลัทธิอย่างบ้าคลั่ง เสียเอง โดยมิต้องรับคำสั่งจากเบื้องบน
            นั่นหมายความว่า  ปัญหาส่วนใหญ่ของสังคมเผด็จการอยู่ที่ตัวผู้นำ  ในขณะที่ปัญหาสำคัญของสังคมลัทธิอยู่ที่ตัวสมาชิกเอง ทั้งสมาชิก “วงใน”  ที่ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการบริหารลัทธิ  และบรรดาสาวกคลั่งจัดที่หลับหูหลับตาศรัทธาลัทธิและพร้อมจะทำการกำจัดผู้ เป็นกบฏ (หรือผู้ที่ถูกพวกเขากล่าวหาว่าเป็นกบฏ) ให้ราบคาบ  ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ความเกลียดชัง ความรุนแรง  และความอัปรีย์ที่เกิดขึ้นในสังคมลัทธิจึงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการเห็น ชอบหรือจากความประสงค์โดยตรงของผู้นำ  บ่อยครั้งมันเกิดจากสาวกผู้เสนอหน้าแสดงความรัก ความภักดี  และใช้ข้ออ้างอันปราศจากเหตุผลทั้งหลาย  สร้างความชอบธรรมให้กับพฤติกรรมล่าแม่มดและการข่มขู่ผู้คิดต่างอย่างปลอด ซึ่งจริยธรรมหรือความยุติธรรมใดๆ
            ในยุคสมัยนี้  สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี หรือเกาหลีเหนือ  อาจเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดของสังคมที่มีส่วนผสมของทั้งสังคมเผด็จการและ สังคมลัทธิ (บูชาประธานาธิบดี คิม อิล ซุง ผู้มีสถานะเป็นประธานาธิบดี  “ตลอดกาล” แม้ว่าเขาได้ตายไปตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537)  ทว่าจากสภาวะที่ปรากฏชัดในสังคมไทยปัจจุบัน นอกจากกรณีการกล่าวหา ใส่ร้าย  ข่มเหง ฟ้องร้อง และลงโทษผู้คิดต่างอย่างเกินเลยหนักหน่วง  (ยังไม่นับว่าในบางกรณีผู้ถูกลงโทษอาจเป็นผู้บริสุทธิ์)  ยังมีกรณีการเกิดรัฐประหารที่ขัดขวางการก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยแท้ จริงมาหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.  2475 และยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ  จะมีก็เพียงผู้นิยมหลอกลวงตนเองอย่างล้ำลึก หรือสาวกคลั่งจัดในลัทธิ  (ซึ่งในแง่หนึ่งก็คือคนประเภทเดียวกัน)  เท่านั้นที่จะไม่สรุปว่าสังคมไทยก็มีคุณสมบัติที่มิเพียงละม้ายสังคมเผด็จ การ มิเพียงคล้ายสังคมลัทธิ  หากแต่ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของสังคมทั้งสองประเภทอยู่อย่างกลมกลืนเช่นกัน
             อย่างไรก็ตาม คงเกินเลยความจริงและไม่เป็นธรรมนัก  หากจะวางสังคมไทยไว้บนแท่นฐานเดียวกันกับเกาหลีเหนือ  อย่างน้อยจากภาพบนเปลือกภายนอก สังคมไทยยังคงเป็นสังคมเปิด  ให้เสรีภาพในการใช้ชีวิตกับสมาชิกในสังคม  มีการถ่ายเทและสานต่อทางปัญญากับนานาประเทศ  โดยเฉพาะกับประเทศเสรีนิยมที่มีความมั่นคงทางประชาธิปไตยและสนับสนุนสิทธิ พื้นฐานทางความคิดและการแสดงออกของปัจเจกชนอย่างเข้มแข็งมาเป็นเวลาหลาย ทศวรรษ สังคมไทยยังขึ้นชื่อในสากลโลกว่าเป็นประเทศที่มี  “ความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่าง” (tolerance) มากที่สุดประเทศหนึ่ง  จึงมิอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่สมาชิกส่วนใหญ่ตกอยู่ในความหวาด กลัว ถูกปิดหูปิดตา  หรือถูกกีดกันกดข่มมิให้ได้สัมผัสการคิดต่างและแนวทางเสรี  สมาชิกในสังคมไทยส่วนใหญ่มีิอิสระในการเดินทางออกนอกประเทศ  มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ มีอิสระในการนับถือศาสนา  มีโอกาสปรนเปรอตนเองด้วยความบันเทิงนานาชนิด (ทั้งที่ถูกและผิดกฎหมาย)  ด้วยความสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย ได้ง่ายดายกว่าสมาชิกในสังคมอื่นหลายเท่า  แม้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้งโดยปัญญาชนร่วมชาติว่าสังคมไทยเป็นสังคม  “ปากว่า ตาขยิบ” หรือ “มือถือสาก ปากถือศีล”  และแม้ว่าจะเป็นคำวิจารณ์ที่น่ารับฟังอยู่มากในหลายบริบท (แต่จะว่าไป  สังคมไหนๆก็มีคุณสมบัติของความเสแสร้ง สร้างภาพ ตอแหล ผสมอยู่ทั้งนั้น)  ไม่ว่าจะด้วยปัจจัยใดก็ตาม  สังคมไทยยังถือว่าห่างไกลจากการตกอยู่ภายใต้สภาวะขั้นวิกฤตของความเป็นสังคม เผด็จการและความเป็นสังคมลัทธิสุดโต่งอย่างไม่ต้องสงสัย
             เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเมื่อมีการพูดถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์  เหตุใดเมื่อมีการตัดสินลงโทษผู้ถูกกล่าวหาว่าลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์  เหตุใดเมื่อสมาชิกบางคนมีพฤติกรรมขัดแย้งกับธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวเนื่อง กับสถาบันกษัตริย์ที่ “สังคม” เรียกร้องแกมบังคับให้ปฏิบัติ  (ทั้งที่บางธรรมเนียมมิได้เป็นกฎหมายหรือระเบียบกำหนดอย่างเป็นทางการ)  บรรยากาศและอารมณ์ของสังคมไทยจึงเคลื่อนเข้าใกล้เส้นขีดของความเป็นสังคม เผด็จการและสังคมลัทธิได้ทันทีอย่างน่าวิตก ความเป็นสังคม  “อดทนอดกลั้นต่อความแตกต่าง” ดังที่ชาวโลกเยินยอสรรเสริญไว้  เหือดหายในพริบตา ปัญญาชนผู้ชาญฉลาด  ได้รับการศึกษาขั้นสูงสุดจากประเทศโลกที่หนึ่ง  กลับกลายเป็นผู้สนับสนุนโฆษณาชวนเชื่อและพิธีกรรมไร้ตรรกะโดยปราศจากยางอาย  ศิลปินผู้ชื่นชม “การมองมุมกลับ” “การแหกคอก” “การคิดนอกกรอบ”  ต่างแปรร่างเป็นนักอนุรักษ์นิยมผู้ปกป้องทัศนคติสำเร็จรูปใส่ผงชูรส  นักสื่อสารมวลชนที่ดิ้นรนเรียกร้องเสรีภาพสื่อ ต่างเอาหูฟังไปนา  เอาตากล้องไปไร่  มิกล้าเปิดพื้นที่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกริดรอนเสรีภาพและผู้ถูกกลั่น แกล้งรังแก ครูบาอาจารย์ นายแพทย์  พระสงฆ์ผู้พร่ำเทศนาวิถีแห่งพุทธอันเปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา  ต่างกลายเป็นกระบอกเสียงให้กับสาวกวงในของลัทธิ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม  กระทั่งทนายและผู้พิพากษาซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายทางกฎหมายของประชาชน  ต่างตัดสินใจแทบเป็นเสียงเดียวกันว่าการปกป้องตรรกะผิดเพี้ยนสำคัญกว่าการ รักษาความยุติธรรม
            หากความ “เป็นคนไทย”  คือการอยู่ในศีลธรรมอันดี รักสามัคคี มีความโอบอ้อมอารี  ดังที่ป่าวประกาศกันอยู่ทุกเช้าค่ำ  เมื่อมีการพูดถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา  กลับดูเหมือนว่าประเทศนี้จะมี “คนไทย” อาศัยอยู่ไม่มากเท่าไรเลย
             เหตุใดความเป็น “สังคมอารมณ์ดี” เป็น “สังคมใจกว้าง” เป็น  “สังคมไม่เป็นไร” ของไทย จึงบอบบางและผันปรวนได้ง่ายดายเพียงนั้น
             หากคำตอบคือ “ความรัก”  ย่อมเป็นเรื่องวิปริตพิสดารไม่น้อยที่ความรักกลับบันดาลให้แผ่นดินไทยเจิ่ง นองไปด้วยอุทกภัยแห่ง “ความเกลียดชัง”  หลากล้นท่วมท้นหนทางแห่งเหตุผลจนไม่มีใครเอาอยู่เช่นนี้
              หากยังสามารถสันนิษฐานด้วยความหวังว่าสังคมไทยไม่สุดขั้วในความเป็นเผด็จการ และเป็นสังคมลัทธิเทียบเท่าเกาหลีเหนือ  เหตุผลที่มีความเป็นไปได้ที่สุดข้อหนึ่ง  คือสมาชิกในสังคมบางส่วนยังไม่เข้าใจความสำคัญและบทบาทของเสรีภาพทางความคิด และการแสดงออก (freedom of speech) ที่แท้จริงดีพอ  ยังไม่รู้ซึ้งว่าอิสรภาพในการเลือก ในการใช้ชีวิต  ในการดำรงสถานะของความเป็น “ปัจเจกชน” ในสังคม  เป็นอิสรภาพที่งอกเงยขึ้นจากรากแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกทั้งสิ้น
              คุณสมบัติที่น่ายินดีที่สุดของมนุษยชาติไม่ใช่การสามารถก้าวขึ้นสู่สถานะของ สัตว์ผู้ครองโลก  แต่คือการสามารถก้าวขึ้นสู่สถานะของสัตว์ผู้รู้จักเรียนรู้จนมีเหตุผลเพียง พอที่จะหาหนทางอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างทางความคิดอย่างเป็นธรรมและ สันติ ประเทศที่ขึ้นชื่อว่า “เจริญแล้ว”  มิได้เจริญเพราะก้าวหน้าทางวัตถุเท่านั้น ตรงกันข้าม การใช้เหตุผล  การยอมรับในตรรกะ การให้ความสำคัญกับการมองโลกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์  การเข้าใจว่าความแตกต่างหลากหลายคือธรรมชาติของโลกและสังคมมนุษย์  (ประชาธิปไตยจึงเป็นระบอบที่เปิดโอกาสให้มนุษย์แสดงออกตาม “ธรรมชาติ”  ของตนได้มากที่สุดโดยไม่ต้องรบราฆ่าฟันกัน) คือความ “เจริญ” ทางปัญญา  ที่เอื้อให้เกิดความเจริญทางวัตถุและการพัฒนาด้านอื่นๆตามมาอีกมากมาย  ในขณะที่การปิดปาก การเซ็นเซอร์ การบังคับข่มขู่ให้อยู่ในกรอบกำหนดกักขัง  คือต้นเหตุสำคัญของความหยุดนิ่ง ความล้าหลัง ความแร้นแค้น  จนอาจเลยเถิดถึงการล่มสลายของสังคม
             แสงสว่างจากไฟฟ้าจะไม่สามารถเกิดขึ้น  ไม่สามารถได้รับการแพร่กระจายแจกจ่ายความสะดวกสบายกับมนุษย์ไปทั่วทุกมุมโลก   หากผู้คิดประดิษฐ์มันไม่ได้รับการคุ้มครองจากแสงสว่างทางปัญญาที่มาพร้อมกับ เสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก  แสงไฟแห่งเหตุผลจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ยิ่งกว่าแสงไฟสังเคราะห์  แสงไฟแห่งปัญญาจึงเป็นแสงไฟดวงสำคัญที่เราจำเป็นต้องยึดมั่นหมั่นดูแลรักษา มิให้มอดดับ หากเรายังต้องการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างสงบและเสรี
              กลียุคจะเกิดขึ้นจริงก็ต่อเมื่อเสรีภาพของการไม่เชื่อในกลียุคถูกริดรอนไป เท่านั้น ตราบใดที่แสงไฟแห่งเหตุผลยังคงมีช่องทางส่องสว่าง  ความหวังที่สังคมจะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนานาไปได้ย่อมยังเรืองรองอยู่เสมอ
             สมาชิกในสังคมผู้สามารถถือตนเป็น “ปัจเจกชน” อยู่ได้ทุกวันนี้  ล้วนเป็นหนี้บุญคุณบรรพบุรุษที่ต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่ง เสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก นับตั้งแต่การต่อสู้กับทรราชย์  กับอำนาจปกครองของศาสนา กับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กับเผด็จการทหาร  กับทรราชย์ในคราบสังคมนิยม พวกเขาคือสถาปนิก วิศวกร  และช่างก่อสร้างตัวจริงของ “บ้าน” เสรี  หลังที่เราใช้พำนักพักพิงโดยไม่ต้องสำนึกว่าความเป็นปัจเจกคือความหรูหรา ฟุ่มเฟือยของสังคมมนุษย์ยุคสมัยใหม่ที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากมิใช่เพราะการ เสียสละและการสังเวยตนของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษที่ว่านั้นไม่จำกัดเฉพาะ  “บรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ” หากคือบรรพบุรุษของโลก ต่างยุคต่างสมัย  ต่างภูมิประเทศ ต่างยุทธศาสตร์ในการต่อสู้ การออกแบบ และการก่อสร้าง  แสงไฟในบ้านหลังนี้จึงใช้เวลาไม่น้อย ใช้สมองไม่น้อย  ใช้ความกล้าบ้าบิ่นไม่น้อย และใช้เลือดใช้เนื้อไม่น้อย  กว่าที่มันจะทำงานส่องสว่างอย่างค่อนข้างเสถียร  ให้เราได้ประโยชน์จากมันอย่างเป็น “ปัจเจก” ในห้องเล็กๆส่วนตัวของเราเอง
             ท่ามกลางธรรมชาติดิบเปลือย  การเป็นปัจเจกอย่างปลอดภัยและสุขสบายมิอาจเกิดขึ้นได้ในสังคมมนุษย์  โดยเฉพาะในสังคมก่อนสมัยใหม่  ผู้ใดประสงค์จะอยู่อย่างเป็นปัจเจกถือเป็นสมาชิกนอกคอก นอกรีต ผิดเพี้ยน  และหากยืนยันจะอยู่อย่างปัจเจกจริง  ก็จำต้องพึ่งพาตัวเองให้ได้อย่างเรียบง่ายสมถะในสภาพแวดล้อมที่ไร้ความปราณี ต่อการอยู่อย่างสันโดษ กาลเวลาได้ดำเนินมาถึงช่วงกลับตาลปัตร  เมื่อการเป็นปัจเจกชนคือความปลอดภัย ความสงบ สบาย ไร้รอยด่าง  และการแสดงออกร่วมกันทางสังคมกลายเป็นกิจกรรมของนักเคลื่อนไหว น่ารำคาญ  ชวนตั้งข้อสงสัยว่ามีนัยยะแฝง เสี่ยงต่อการถูกใช้  “เป็นเครื่องมือทางการเมือง” ถูกกล่าวหาว่าเป็นกิจกรรมของคนสร้างภาพ  เรียกร้องความสนใจ อยากเท่ หรือกระทั่งจิตวิปลาส
             ถึงกระนั้น ความเป็นปัจเจกก็จะมิอาจดำรงอยู่อย่างถาวร  หากรากฐานของมันมีโอกาสถูกสั่นคลอนได้เสมอ  เสรีภาพในการใช้ชีวิตของปัจเจกชนจะมืดหม่น  หากแสงไฟแห่งเหตุผลถูกละเลยและได้รับการยินยอมให้ถูกกลบดับโดยอำนาจเผด็จการ และระบบลัทธิ สมาชิกในสังคมผู้ยังมีสติ ยังมีความหวัง  และยังเชื่อมั่นว่าสังคมของตนมิใช่เผด็จการ มิใช่ลัทธิ  จึงจำเป็นต้องสละความปลอดภัยและความสงบสบายในห้องส่วนตัวชั่วครู่  เพื่อแสดงเจตจำนงว่าจะปกปักรักษาแสงไฟแห่งปัญญา  แสงไฟแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกที่มีค่าทว่าเปราะบางดวงนี้ไว้ด้วย กัน
            หากสังคมจำเป็นต้องสร้างสะพานอย่างเป็นรูปธรรม  การกล่าวว่าเห็นด้วยกับการสร้างสะพาน  แต่ขอเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อสร้างสะพาน “ด้วยวิถีทางของตนเอง”  จึงเป็นการแสดงออกอย่างผิดเพี้ยนในเชิงตรรกะ  โดยสมาชิกผู้ไม่เข้าใจในความหมายของวาระสำนึกทางสังคม  ปัจเจกนิยมสร้างสะพานขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมไม่ได้  สะพานต้องถูกสร้างขึ้นด้วยการร่วมแรงร่วมใจ ลงไม้ร่วมมือ  ด้วยการพักวางเรื่องส่วนตัวและเว้นวรรคจากความขัดแย้งเล็กๆน้อยๆหรืออคติ ระหว่างกันชั่วขณะ จนกระทั่งสะพานเสร็จสำเร็จสมบูรณ์เสียก่อน  ปัจเจกนิยมจึงจะสามารถหวนคืนฟื้นฟู  และปัจเจกชนทั้งหลายจึงจะสามารถกลับคืนสู่ห้องหับของตนเพื่อเสพแสงไฟแห่ง เสรีภาพในมายาของความไม่เกี่ยวดองข้องกันทางสังคมและการเมืองได้ดังเดิม
              สมาชิกบางส่วนในสังคมไทยผู้จดจ้องจะกลบดับแสงไฟแห่งปัญญาและเสรีภาพทางความ คิดและการแสดงออก คือกลุ่มคนผู้หวังร้ายต่อสังคมและอนาคตของชาติที่แท้จริง  พวกเขาก่อตั้งขบวนการให้ร้ายหมายหัวสมาชิกผู้คิดต่าง  อ้างว่าความคิดต่างเห็นต่างคือความต้องการโค่นล้มสถาบันกษัตริย์และระบอบการ ปกครองของชาติ  นำพลังแห่งรักและศรัทธาของสมาชิกจำนวนมากในสังคมมาใช้เป็นเหตุผลและเครื่อง มือในการข่มเหงรังแกผู้คิดต่าง  บิดเบือนความจริงและข้อมูลหลักฐานทางประวัติศาสตร์ด้วยสื่อชวนเชื่อและวาท กรรมซ้ำซากที่พยายามฉุดลากความเห็นต่างให้ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของความเป็น ขบถ เป็นผู้เนรคุณ เป็นคนชั่วช้า เป็นขี้ข้านักการเมือง
             หากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคมเชื่อมั่นว่าสังคมไทยไม่ใช่สังคมเผด็จการ  ไม่ใช่สังคมลัทธิที่ิมืดบอดทางเหตุผล  ทว่าเป็นสังคมเสรีที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และหากความ “เป็นคนไทย”  จะเป็นสถานะที่น่าภาคภูมิใจในสากลโลกโดยแท้จริง  ถึงเวลาแล้วที่แสงไฟแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกที่มักถูกหรี่ดับลง  ต้องได้รับการกอบกู้ให้หลุดพ้นจากกำมือของกลุ่มคนผู้เป็นปรปักษ์ต่อปัญญาและ ความก้าวหน้าของสังคม
             สังคมที่ได้รับการปกครองโดยธรรมไม่มีความจำเป็นต้องหวาดกลัวความจริง  ไม่ต้องกักขังผู้เห็นต่าง ไม่ต้องใช้คำว่า “กบฏ” ปรักปรำสมาชิกด้วยกัน  การมอบเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกอย่างหมดจดให้กับสังคมคือบทพิสูจน์ที่ จะสะท้อนภาพได้แจ่มชัดที่สุดว่า ตัวตนที่แท้ของสังคมนี้เป็นเช่นไร  หากสมาชิกในสังคมกล้ายืนยันว่าสังคมไทยไม่ใช่สังคมเผด็จการ  ไม่ใช่สังคมลัทธิ วิธีพิสูจน์ที่จะปราศจากข้อกังขาโดยสิ้นเชิง  คือต้องปรับระดับแสงไฟแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกให้เจิดจำรัสถึง ขีดสุด
            ความถูกต้องที่แท้ย่อมกล้าปรากฏตัวในที่แจ้ง ความจริงที่แท้ย่อมกล้าสบตากับแสงไฟ
              หากสมาชิกในสังคมร่วมแรงร่วมใจรักษาแสงไฟแห่งเหตุผลและปัญญาดวงสำคัญดวงนั้น ไว้ด้วยกัน สังคมไทยก็ยังมีหวังที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
.
.
.
เป็นบทความที่อธิบายที่มาของความคลุ้มคลั่งของสลิ่มได้ดี