ข้อถกเถียงประการสำคัญในกรณีของคุณจตุพร พรหมพันธุ์ ก็คือว่าสถานะของการเป็น ส.ส. จะสิ้นสุดหรือไม่ภายหลังที่คุณจตุพรไม่ได้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากอยู่ระหว่างถูกคุมขังอยู่ภายใต้คำสั่งของศาล
คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เสียงข้างมากมีความเห็นว่าสมาชิกภาพการเป็น ส.ส. ของคุณจตุพรควรจะต้องสิ้นสุด เพราะเมื่อไม่ได้ไปใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งก็ย่อมมีผลต่อเนื่อง ทำให้สถานะของการเป็นสมาชิกพรรคไทยรักไทยยุติลง เมื่อไม่ได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองก็ย่อมทำให้บุคคลดังกล่าวไม่มี คุณสมบัติในการลงสมัครรับเลือกตั้ง อันเป็นไปตาม พ.ร.บ. พรรคการเมืองและรัฐธรรมนูญ 2550
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับ กกต. มีความเห็นว่าการไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งของคุณจตุพรไม่ได้เกิดขึ้นจากเจตนา ของตนเอง หากเป็นเพราะต้องอยู่ภายใต้การคุมขังโดยหมายศาล ซึ่งคุณจตุพรก็ได้ขออนุญาตจากศาลเพื่อไปลงคะแนนเสียงในวันเลือกตั้งแล้วหาก แต่ไม่ได้รับอนุญาต จึงทำให้ไม่สามารถไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งจึงควรต้องนับว่าเป็นเหตุที่เกิด ขึ้นจากความจำเป็นอันไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งการไม่ไปลงคะแนนเสียงโดยมีเหตุจำเป็นนี้ทาง กกต. ก็ได้เคยยอมรับให้เป็นการกระทำที่ไม่นำไปสู่การเสียสิทธิทางการเมืองได้ใน หลายกรณี
อย่างไรก็ตาม บทความชิ้นนี้ไม่ได้ต้องการแสดงความเห็นต่อคำวินิจฉัยของ กกต. ในกรณีคุณจตุพรแต่อย่างใด แต่ต้องการตั้งคำถามถึง “หลักการ” หรือความชอบธรรมของกฎหมายในการลงโทษต่อคุณจตุพรว่าเป็นสิ่งที่สอดคล้องกับ หลักการพื้นฐานทางกฎหมายหรือไม่
หลักการทางกฎหมายที่สำคัญประการหนึ่งซึ่งเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปใน หมู่นักเรียนกฎหมายก็คือว่าบุคคลจะถูกลงโทษก็ต่อเมื่อได้กระทำในสิ่งที่ กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด และรวมทั้งการลงโทษบุคคลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อได้มีกระบวนการในวินิจฉัย โดยองค์กรตุลาการที่เป็นอิสระและเป็นธรรมเกิดขึ้น อันนำมาสู่หลักการทางกฎหมายว่าตราบเท่าที่ยังเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยก็ต้อง สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ไว้ก่อน
แนวความคิดดังกล่าวนี้วางอยู่บนหลักการแบบเสรีนิยม อันหมายความว่าอำนาจรัฐเป็นสิ่งที่ต้องถูกจำกัดไว้โดยกฎหมาย และเมื่อใดที่รัฐจะเข้ามาแทรกแซงหรือจำกัดชีวิตของผู้คนต้องปรากฏอย่าง ชัดเจนว่าบุคคลนั้นได้กระทำในสิ่งที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าเป็นความผิด โดยกระบวนการในการวินิจชี้ขาดความผิดต้องดำเนินไปอย่างโปร่งใส เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาสามารถโต้แย้งและหักล้างพยานหลักได้อย่างเต็มที่
เมื่อถูกสันนิษฐานว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์ การลงโทษใดๆ กับบุคคลผู้ตกอยู่ในสถานะของผู้ต้องหาหรือจำเลยจึงย่อมไม่อาจบังเกิดขึ้น มิฉะนั้น ย่อมถือว่าเป็นการลงโทษต่อบุคคลที่ยังมิได้กระทำความผิดอันใดเลย
เมื่อนำหลักการดังกล่าวมาพิจารณากรณีของคุณจตุพรก็จะพบว่าในคดีที่ได้ตก เป็นผู้ต้องหาและจำเลยในข้อหาต่างๆ นั้น ยังไม่มีคดีใดที่ได้ดำเนินการจนถึงที่สุด กล่าวคือยังไม่ได้มีคำพิพากษาอันเป็นที่ยุติแล้วว่าบุคคลดังกล่าวนี้กระทำ ความผิดตามที่ได้ถูกกล่าวหา เพราะฉะนั้น หากตามหลักการทางกฎหมายก็ย่อมต้องถือว่าคุณจตุพรยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ และไม่ควรได้รับโทษใดๆ อันเป็นผลมาจากการถูกกล่าวหาในคดีดังกล่าว
ซึ่งก็เป็นที่ชัดเจนว่ายังไม่มีการลงโทษสถานใดเกิดขึ้นกับคุณจตุพรจากข้อ กล่าวหาที่ตนเองเผชิญอยู่ อย่างไรก็ตาม ถึงจะไม่ใช่การลงโทษโดยตรงจากข้อกล่าวหาที่ต้องเผชิญ แต่กลับกลายเป็นว่าด้วยการตกเป็นผู้ต้องหาในคดีและถูกคุมขังไว้โดยคำสั่งของ ศาลกลับทำให้คุณจตุพรอาจต้องเสียสิทธิในการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองรวมไปถึง สิทธิในการลงรับสมัครเลือกตั้ง ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าการเสียสิทธิเช่นนี้สืบเนื่องมาจากการตกเป็นผู้ต้องหา ซึ่งคดียังไม่ถึงที่สุด จึงย่อมถือเสมือนหนึ่งว่าเป็นการลงโทษจากการต้องตกเป็นผู้ต้องหาแม้จะยังไม่ ได้มีการตัดสินถูกผิดเกิดขึ้นก็ตาม
คำถามก็คือว่าบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ขัดกับหลักการทางกฎหมายอย่างสำคัญใช่หรือไม่
การพิจารณาถึงหลักการดังกล่าวนี้มีความสำคัญเพราะเป็นการวางมาตรฐานของ ระบบกฎหมายต่อชีวิตของผู้คนในสังคม หากบุคคลใดต้องเผชิญกับการกระทำในลักษณะดังกล่าวก็ควรที่จะต้องถูกโต้แย้งใน มาตรฐานเช่นเดียวกัน
สมมติว่าคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกกล่าวหาว่าขับรถชนคนตายในช่วงเวลาที่มีการเลือกตั้งแล้วถูกควบคุมตัวเอา ไว้โดยไม่ได้รับการประกันตัว รวมทั้งเมื่อขอออกไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งก็ไม่ได้รับอนุญาต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้คุณอภิสิทธิ์พ้นจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และเสียสิทธิ ในการลงรับสมัครลงเลือกตั้งในนามสมาชิกพรรคการเมือง ย่อมเห็นได้ชัดเจนว่าบทบัญญัติของกฎหมายในลักษณะเช่นนี้ไม่เป็นธรรมอย่าง ยิ่ง เพราะคุณอภิสิทธิ์ยังอยู่ในสถานะของผู้ถูกกล่าวหาเท่านั้น
หากต่อมาในภายหลังคุณอภิสิทธิ์พ้นไปจากข้อกล่าวหาไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ ตาม แม้จะได้รับความบริสุทธิ์กลับคืนมาแต่โทษจากการเสียสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง ที่เสียไปก็ไม่อาจหวนกลับคืนมาได้
การพิจารณาต่อกรณีของคุณจตุพรจึงไม่ควรเป็นเพียงแค่การให้ความสำคัญต่อบท บัญญัติของกฎหมายเพียงอย่างเดียว หลักการทางกฎหมาย (Legal Principle) มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากบทบัญญัติของกฎหมายใดขัดต่อหลักการพื้นฐานทางกฎหมายก็ควรที่จะต้องมีการ ปรับเปลี่ยนแก้ไข หรือหน่วยงานที่มีหน้าที่ตีความกฎหมายควรต้องทำให้เกิดความสอดคล้องกับสิ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันในนานาอารยประเทศ
แน่นอนว่าการยืนยันถึงหลักการในทางกฎหมายซึ่งอาจทำให้บุคคลบางสีบางฝ่าย ได้ประโยชน์หรือเสียประโยชน์ในห้วงเวลาเฉพาะหน้า และอาจเป็นผลให้หลายคนอาจรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะต้องยอมรับในหลักการดัง กล่าว แต่ต้องไม่ลืมว่าการจะก้าวให้พ้นความขัดแย้งที่ลงลึกในสังคมไทยหนทางหนึ่งก็ คือการสถาปนาระบบกฎหมายที่ชอบธรรมให้บังเกิดขึ้นและถูกบังคับใช้อย่างเสมอ ภาคเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะมีความแตกต่างของจุดยืนทางการเมืองหรือมีเป็นความเกลียดชังมากน้อย เพียงใดก็ตาม
หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในคอลัมน์กฎเมืองกฎหมาย หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 8 ธันวาคม 2554