ที่มา thaifreenews
โดย เสรีชน คนใต้
"ชีวิตใหม่ ไม่ได้อยู่ที่ว่ามีบ้านหลังใหม่ มีรถคันใหม่  หรือว่ามีคู่ครองคนใหม่ หรือที่ไม่เคยมี ก็มีสักคน  นั้นไม่ทำให้ชีวิตของเราใหม่อย่างแท้จริง จนกว่าเราจะมีใจที่ใหม่  และใจที่ใหม่ก็เกิดขึ้นได้จากการปลดเปลื้องอารมณ์เก่า ๆ  ที่หมักหมมในจิตใจออกไปเสีย" - พระไพศาล วิสาโล
ระยะหลังมานี้หลวง พี่ไพศาลมักจะเน้นเรื่อง “ธรรมะทำใจ” มากขึ้น  จะว่าไปการเน้นเช่นนี้ก็คือจารีตพุทธเถรวาทไทย แต่หลวงพี่ไพศาลเป็น  “พระนอกกระหลักอยู่” นะ หากมองจากประวัติที่ท่านเคยเป็นอดีตนักศึกษาช่วง 6  ตุลา 19 แม้จะออกบวชหลังจากนั้นท่านก็ทำกิจกรรมทางสังคมมาตลอด  นอกจากนี้ยังมีงานแปลที่สะท้อนความคิดก้าวหน้าทั้งด้านศาสนาและสังคมออกมา เรื่อยๆ
แต่ระยะหลังดูเหมือนท่านจะเน้นมากเป็นพิเศษเรื่อง  “ธรรมะทำใจ” หรือว่าจากประสบการณ์ที่เคยต่อสู้มา  ท่านอาจเห็นความผันแปรไม่แน่นอนของสังคมมากขึ้นๆ  ทำให้ท่านคิดเหมือนเสกสรรค์ ประเสริฐกุล (ประมาณ) ว่า  “สมัยหนุ่มเคยคิดฝันจะเปลี่ยนแปลงสังคมเปลี่ยนแปลงโลก แต่พออายุมากขึ้น  รู้จักโลกมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมาฝึกปฏิบัติทางพุทธศาสนา  ทำให้เข้าใจได้ว่าที่สังคมมันเป็นอย่างที่มันเป็น  ก็เพราะมันมีเหตุปัจจัยให้ต้องเป็นเช่นนั้น”
ความคิดเช่นนี้พอที่จะ เข้าใจได้ เพราะผมเองเคยอ่านความคิดของ “กูรูทางพุทธศาสนา” บางคนที่มองว่า  ปัญหาของโลก โดยเฉพาะปัญหาทางสังคมการเมืองนั้นเป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้น  แก้ปัญหาหนึ่งได้ ก็มีปัญหาใหม่เกิดขึ้นมาให้แก้อีกไม่จบสิ้น และ  “ชีวิตทางการเมือง”  หรือชีวิตแห่งการต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองก็เป็นชีวิตแห่งความขัด แย้ง ตึงเครียด สุมเสี่ยง อาจสูญเสียอิสรภาพ แม้กระทั่งชีวิต
แต่  “ชีวิตทางศาสนา” คือชีวิตที่ตระหนักว่าเรามีเวลาอยู่ในโลกนี้อย่างจำกัด  ในเวลาอันแสนสั้นของชีวิต สิ่งที่เราต้องหาคำตอบให้ได้คือ  ทำอย่างไรชีวิตจะพบความสุขสงบที่แท้จริง
หลวงพี่ไพศาล  คงเห็นความขัดแย้งในช่วง 5 ปี ที่ผ่านมาว่า มีความโกรธ ความเกลียดชัง  และความรุนแรงที่ต่างฝ่ายต่างสาดใส่กัน  ท่านจึงออกมาเรียกร้องให้ผู้คนละความโกรธ ความเกลียดชัง หันมาใช้เหตุใช้ผล  ใช้สันติวิธีในการแก้ปัญหา อีกอย่างท่านคงสัมผัสชีวิตของ  “ชนชั้นกลางวัฒนธรรม” มากเป็นพิเศษ และพบว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นเครียด  วิตกกังวล และโหยหาความสงบ
แต่อย่างไรก็ตาม แม้พุทธศาสนาจะเห็นว่า  “ธรรมะทำใจ” มีความสำคัญ แต่พุทธศาสนาก็สอนเรื่อง “อิทัปปัจจยตา” คือ  ความเป็นเหตุปัจจัย  หรือความที่ชีวิตเราต่างดำรงอยู่อย่างเกาะเกี่ยวสัมพันธ์ภายใต้โครงสร้างของ ระบบสังคมการเมือง และระบบความสัมพันธ์กับสรรพสิ่งในธรรมชาติ
ฉะนั้น   เมื่อเราพูดว่าสังคมเป็นอย่างที่มันเป็นก็เพราะมันมีเหตุปัจจัยให้ต้องเป็น เช่นนั้น (เหมือนทุกวันนี้คนไม่กล้าวิจารณ์กติกา โครงสร้าง  อุดมการณ์เกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ว่าเป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยและก่อให้ เกิด “สองมาตรฐาน” ในระบบยุติธรรมไทยอย่างไร ทั้งที่พวกเขามองเห็นปัญหานี้  หรือ “ตาสว่างแล้ว” แต่ยังต้อง “หุบปาก” ก็เพราะระบบโครงสร้างของสังคมที่มี  ม.8 และ ม.112 ทำให้พวกเขาต้องเป็นเช่นนั้น)...แต่ก็ต้องคิดต่อด้วยว่า  เราจะแก้เหตุปัจจัยที่ทำให้สังคมเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร
พูดตรงๆ คือ  เมื่อมองเห็นว่าที่สังคมเป็นเช่นนั้นเพราะมีเหตุปัจจัยให้ต้องเป็น  ก็ควรจะมองเห็นต่อไปด้วยว่า เราจะแก้เหตุปัจจัยนั้นๆ อย่างไร  จึงจะทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปสู่สภาวะที่ควรจะเป็น หากคิดในมุมนี้  “ธรรมะทำใจ” คงไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้คนมี “ชีวิตใหม่” ภายใต้  “โครงสร้างที่เก่าแก่” ได้!
จากเฟสบุคสุรพศ ทวีศักดิ์