วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์: เจ้านิยมแบบพอเพียง (Sufficiency Royalism)

ที่มา ประชาไท

หลักปรัญชาเศรษฐกิจแบบพอเพียง (Sufficiency Economy) ได้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางในทางปฏิบัติ บ้างนำมาใช้เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศให้อยู่รอดในยุคบริโภคนิยม บ้างนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างศัตรูฝ่ายทุนนิยม (เช่น คุณทักษิณฯ) บ้างนำมาใช้เป็นแนวทางในการเสริมสร้างคลังปัญญาของสถาบันกษัตริย์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางการเมืองในขณะนี้ โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นของคดีที่สืบเนื่องมาจากกฏหมายหมิ่นฯ ชี้ให้เห็นว่า มาตรา 112 ถูกนำมาใช้อย่างพร่ำเพรื่อ และกลายมาเป็นเครื่องมือทางการเมือง มาตรา 112 กลายมาเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประชาธิปไตย ต่อการคงไว้ซึ่งสิทธิในการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง และต่อการคงอยู่ร่วมกับประชาคมโลกในฐานะอารยประเทศ

กลุ่มคลั่งเจ้าได้ใช้มาตรา 112 ในการทำร้ายผู้ที่มีความคิดเห็นต่างกัน ดังที่ผมได้กล่าวย้ำไว้หลายครั้ง กลุ่มคลั่งเจ้า หรือที่อาจเรียกว่าเป็นกลุ่ม hyper-royalists นั่นเองแหละที่เป็นผู้ทำให้ความรักและศรัทธาที่หลายๆ คนมีต่อสถาบันต้องลดน้อยลง กลุ่มคลั่งเจ้านี่แหละเป็นกลุ่มที่ทำร้ายสถาบันกษัตริย์

ผมขอนำเสนอปรัชญาใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่ง หรืออาจจะเป็นทางเลือกเดียวในการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์ เพื่อจะยังคงได้รับการเคารพจากประชาชนทั่วไป เพื่อให้สถาบันกษัตริย์อยู่คู่ไปกับการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศ โดยไม่กลายมาเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการพัฒนาทางการเมือง ผมขอเรียกว่า หลักปรัญชา “เจ้านิยมแบบพอเพียง”

กลุ่มรักเจ้าต้องหันกลับมาทบทวนบทบาทและจุดยืนของตนเองต่อสถาบัน กษัตริย์ ที่ผ่านมา กลุ่มรักเจ้า/คลั่งเจ้า ได้ทำตัวเกินหน้าที่ ผมขอย้ำ ทำตัวเกินเจ้า ยิ่งกว่าเจ้า ความคิดเช่นนี้ส่งผลถึงพฤติกรรมแบบ over the top ในการปกป้องสถาบันกษัตริย์ รวมถึงการบีบบังคับให้หลายๆ คนที่อาจไม่เคยมีความเห็นเรื่องสถาบันมาก่อน กลับต้องการกลายมาเป็นกลุ่มต่อต้านสถาบันโดยปริยาย

พฤติกรรมของกลุ่มคลั่งเจ้าแบบเกินงาม เกินความพอดี เกิดความพอเพียง อาทิ

1. การใส่ร้ายป้ายสีผู้ต้องการเห็นการปฏิรูปมาตรา 112 ว่าเป็นพวกต้องการล้มเจ้า ไม่คำนึงว่า มาตรา 112 ในตัวเองนั้นมีปัญหาอยู่มากและเป็นเครื่องกีดขวางความก้าวหน้าด้าน ประชาธิปไตยของไทย

2. การโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์แบบเลยเถิด อยู่นอกเหนือจากความเป็นจริง/กฏธรรมชาติ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการสร้างตำนานหลายอย่างเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และหากใครปฏิเสธตำนานที่กลุ่มคลั่งเจ้าเหล่านี้ได้สร้างขึ้น ก็มักจะถูกลงโทษตามมาตรา 112 (อย่างรุนแรง-ป่าเถื่อนในระยะหลัง)

3. การปิดช่องว่างของการแสดงออกซึ่งความรู้สึกในสังคม อาทิ การบังคับให้ทุกคนชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เชื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหมือนกัน ผมได้เคยกล่าวไว้ว่า “ใครจะบังคับใจใครให้รักใครได้อย่างไร” ศิษย์อาจจะไม่ได้รักอาจารย์ ลูกบางคนอาจไม่ได้รักพ่อแม่ พนักงานบางคนอาจไม่รักนายจ้าง เราบังคับใจกันได้หรือ? ทำไมไม่เปิดโอกาสให้มีการถกเถียงกันว่า “ความไม่รัก” มันเกิดขึ้นได้อย่างไร และยอมเปิดใจกว้างกับความไม่รักนี้

4. เลิกมองไทยว่าเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล มีความเป็นเอกลักษณ์/อัตลักษณ์สูง เกินกว่าความเข้าใจของต่างประเทศ ทำให้ต่างประเทศต้องยอมรับในความแปลก ความเป็นเอกลักษณ์/อัตลักษณ์นี้ โดยเฉพาะในประเด็นการวิพากษ์วิจารณ์ของต่างชาติ/องค์กรระหว่างประเทศ เกี่ยวกับสภาพด้านสิทธิมนุษยชนของไทย เลิกพูดเสียทีว่าต่างชาติไม่มีวันเข้าใจไทย/ความเป็นไทย ตราบใดที่กลุ่มคลั่งเจ้ายังมีพฤติกรรมเช่นนี้อยู่ อย่าว่าแต่ต่างชาติเลย คนไทยหลายๆ คนก็ไม่เข้าใจในสิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่ ถ้าต้องการอยู่อย่างเอกเทศ ไม่ต้องการคำวิจารณ์จากต่างชาติ ขอเสนอะแนะให้ไทยขุดคลอง/สร้างป้อมปราการรอบประเทศ สร้างประเทศให้เป็นเกาะ และยุติการติดต่อกับต่างประเทศ (ก็เอากันให้มันสุดๆ ไปเลย)

เลิกเถอะครับ ความคิดคลั่งเจ้าเช่นนี้ หันมายึดหลักรักเจ้าแต่พอเพียง พอเพียงแบบเปิดพื้นที่ให้คนไม่เห็นด้วยได้แสดงความคิด/ใช้ชีวิตอยู่โดยไม่ ถูกการลงโทษ และสังคมจะอยู่กันได้ เลิกทำตัวดราม่า (ดังที่ได้ประนามผู้อื่นว่าทำตัวดราม่าไว้) แล้วชี้หน้าด่าคนไทยด้วยกันว่าไม่มีความเป็นไทย ถ้าความเป็นไทยแบบนี้คือการคลั่งเจ้าแบบไม่ลืมหูลืมตา เอามาตรา 112 มาห่ำหั่นกัน ผมขอไม่มีความเป็นไทยนี้จะดีกว่า

เจ้านิยมแบบพอเพียงจะเป็นหลักที่ทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่รอดในทุกยุคทุก สมัย ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร อย่าผลักดันหรือโดดเดี่ยวเพื่อนร่วมชาติโดยการใช้ความรักเจ้าแบบไร้ขอบเขต นี้ คำเตือนสุดท้าย หากท่านยังไม่เปลี่ยนความคิด ความรักเจ้าแบบล้นทะลักนั่นเองที่จะเป็นตัวทำลายสถาบันในที่สุด.....