ที่มา ประชาไท
Tue, 2012-07-24 17:08
ในที่สุดปัญหาที่ยืดเยื้อมานานเกี่ยวกับปัญหาความกำกวมของประมวลกฎหมาย
อาญามาตรา 112 ก็คลี่คลายลงนิดหน่อย แม้จะไม่ใช่การคลี่คลายในชั้นศาล
แต่ก็ถือว่าทำให้คดีระงับลงได้ และมีความน่าสนใจที่ควรกล่าวถึง
มูลเหตุของเรื่องเกิดขึ้นร่วมห้าปีแล้ว นานจนเกือบจำไม่ได้
เหลือเพียงม๊อตโตที่เกือบๆกลายเป็นวาทกรรมว่า “ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร
คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม” โดยเรื่องนี้เริ่มต้นมาจาก การที่ ก
(ผู้ถูกกล่าวหาไม่ประสงค์เป็นข่าว จึงขอใช้ชื่อสมมติทั้งหมด)
และเพื่อนอีกคนหนึ่ง ได้เข้าไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์แห่งหนึ่ง
เมื่อถึงเพลงสรรเสริญบรรเลง ก และเพื่อนก็ไม่ได้ยืน
แต่ก็นั่งด้วยความสงบซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติที่ ก
และเพื่อนปฏิบัติเช่นนี้มานานแล้ว ปรากฏว่า ก ถูกชายคนหนึ่ง
ที่ต่อไปนี้จะเรียกว่า ข “ตักเตือน”
ให้ลุกขึ้นยืนถวายความเคารพต่อเพลงดังกล่าว
ด้วยการตักเตือนด้วยการส่งเสียงดัง ปาด้วยกระดาษ ปัดแก้วน้ำอัดลมจนตกแตก
กระชากกล่องป๊อปคอร์นออกสาดใส่ ก และเพื่อน
ท่ามกลางการเชียร์ของผู้ชมคนอื่นๆ ในโรงด้วยการปรบมือ
สุดท้ายเรื่องจบด้วยการที่ตำรวจจากสถานีตำรวจที่รับผิดชอบมาระงับเหตุ โดย ข
ขู่ ก ว่า ถ้าประสงค์จะดำเนินคดีต่อตน ก็จะแจ้งความ ก
ด้วยข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ด้วย
ก และเพื่อนก็ได้เข้าแจ้งความด้วยข้อหาต่างๆ ต่อ ข ประกอบด้วย
ดูหมิ่นซึ่งหน้า (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393)
ทำร้ายร่างกายไม่เป็นอันตรายแก่กาย (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391)
ทำให้เสียทรัพย์ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358)
ร่วมกันบังคับข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
309) และความผิดฐานทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณะ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
372) ส่วน ข ก็เข้าแจ้งความต่อตำรวจให้ดำเนินคดีกับ ก ด้วยข้อหาเดียวคือ
“ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์” (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112) จากนั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เป็นพนักงานสอบสวนก็เสนอความเห็นต่อไปยังอัยการเพื่อ
พิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่
ฝ่ายอัยการพิจารณาสำนวนเรื่อง ก แจ้งความดำเนินคดีต่อ ข ในข้อหาต่างๆ
เสร็จก่อน โดยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551 สั่งไม่ฟ้อง ข
โดยให้เหตุผลในแต่ละข้อหาดังต่อไปนี้
...การที่ผู้ต้องหาเพียงแต่ใช้กล่องข้าวโพดคั่วและม้วนกระดาษขว้างใส่ผู้
เสียหายทั้งสอง ผู้เสียหายที่ 1 แพทย์ลงความเห็นว่าไม่พบบาดแผล
แต่รู้สึกเจ็บที่ข้อมือเล็กน้อย ส่วนผู้เสียหายที่ 2
แพทย์ลงความเห็นไม่พบบาดแผล ไม่ต้องรักษา
พยานหลักฐานที่ปรากฏจึงรับฟังได้ว่าผู้เสียหายทั้งสอง
มิได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจแต่อย่างใด
อีกทั้งผู้ต้องหาได้กระทำในขณะลืมตัวโกรธจัดโต้เถียงกับผู้เสียหายทั้งสอง
ในเรื่องการแสดงความเคารพต่อองค์พระประมุขโดยได้กระทำเพียงเท่านี้
และมิได้แสดงกริยาจะใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย ทั้งสองอีก
จึงเชื่อได้ว่า มิได้เจตนาร่วมกันกระทำความผิด
การกระทำของผู้ต้องหาจึงไม่เป็นความผิดฐานนี้
ในความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ทรัพย์ที่เสียหายมีราคาเล็กน้อย
ผู้เสียหายทั้งสองซื้อมาในราคาเพียง 119 บาท
และเป็นทรัพย์ที่เหลือจากผู้เสียหายทั้งสองดื่มกินแล้ว
ขณะเกิดเหตุเป็นกรณีเกี่ยวพันที่ได้เกิดขึ้นติดต่อกันกับการกล่าวหาว่าทำ
ร้ายร่างกายผู้เสียหายทั้งสอง
ซึ่งเกิดจากผู้ต้องหาร้องขอให้ผู้เสียหายทั้งสองแสดงความเคารพต่อองค์พระ
ประมุขและสถาบันพระมหากษัตริย์
อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยสืบมา
จึงเชื่อว่าผู้ต้องหามิได้มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ดังกล่าว
การที่ผู้ต้องหาใช้กระดาษขว้างมาทางผู้เสียหายแล้วพูดว่า “ออกไป”
และการที่ผู้ชมคนอื่นอีกหลายคนโห่ร้องไล่ผู้เสียหายทั้งสองคนให้ออกจากโรง
ภาพยนตร์ไปนั้น เพราะไม่พอใจที่ผู้เสียหาย
ไม่ยืนแสดงความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ยังไม่เป็นการใช้คำพูดหรือกริยา
หรือการแสดงออกใดๆ
ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาใช้กำลังให้ผู้เสียหายทั้งสองกลัวว่าจะเกิด
อันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพของผู้เสียหาย
และไม่ได้มีการใช้กำลังประทุษร้าย
ขณะบอกให้ผู้เสียหายทั้งสองออกไปจากโรงภาพยนตร์ด้วย ดังนั้น
จึงไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ห้าคน ข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด
จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ
ของผู้ถูกข่มขืนใจ แต่อย่างใด
การที่ผู้ต้องหาพูดว่า “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ศาสนาไหนก็ตาม
ทำไมไม่รักในหลวง เป็นคนไทยซะ ปล่าว ฝรั่งต่างชาติยังรู้จักยืน”
ก็เป็นเรื่องที่ผู้ต้องหาเห็นผู้เสียหายทั้งสองไม่ยืนทำความเคารพเพลง
สรรเสริญพระบารมี จึงเกิดความไม่พอใจ
ซึ่งเป็นตามธรรมดาของคนไทยทุกคนที่พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว
และคำพูดดังกล่าวก็เป็นการพูดว่ากล่าวตักเตือน เตือนสติ
ให้ผู้เสียหายทั้งสองรู้สำนึกของการกระทำ มิได้เป็นถ้อยคำที่ด่าว่า
ดูถูกเหยียดหยาม หรือทำให้เสียชื่อเสียง
และมิได้ทำให้บุคคลที่รับฟังข้อความดังกล่าวรู้สึกเกลียดชังหรือดูหมิ่นผู้
เสียทั้งสองแต่อย่างใด และการที่ผู้เสียหายที่ 1
หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นพูดคุยและยืนขวางการชมภาพยนตร์ของผู้อื่น
แล้วผู้ต้องหาได้พูดว่า “คุณไม่มีมารยาท ใส่เสื้อบ้าอะไรก็ไม่รู้ ออกไปซะ”
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องกัน การกระทำของผู้เสียหายที่ 1
ดังกล่าวเป็นการขัดกับมารยาทในการชมภาพยนตร์ที่ห้ามให้พูดคุยโทรศัพท์มือถือ
หรือก่อให้เกิดการรบกวนผู้ชมคนอื่น
ข้อความดังกล่าวจึงเป็นเพียงข้อความที่แจ้งให้ผู้เสียหายที่ 1
ระงับการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมารยาททางสังคม
โดยที่ถ้อยคำดังกล่าวยังไม่เป็นการด่าว่า ดูหมิ่น
หรือทำให้เสียชื่อเสียงถูกลดคุณค่าแต่อย่างใด การพูดจาของผู้ต้องหาดังกล่าว
ทั้งสองข้อความจึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้า
การที่ผู้ต้องหากับผู้เสียหายทั้งสองโต้ตอบกันไปมา
เนื่องจากผู้ต้องหาต้องการให้ผู้เสียหายทั้งสองยืนแสดงความเคารพเพลง
สรรเสริญเพลงพระบารมี แต่มิได้อยู่ในลักษณะการโต้เถียงทะเลาะด่ากัน
จึงมีเพียงผู้ต้องหาที่พูดจาเพียงฝ่ายเดียวเพื่อให้ผู้เสียหายทั้งสองกระทำ
การดังกล่าวเป็นส่วนใหญ่
จึงถือไม่ได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดฐานทะเลาะกันอื้ออึงในที่สาธารณะหรือ
กระทำให้เสียความสงบเรียบร้อยในที่สาธารณสถานแต่อย่างใด
จากนั้น ในอีกประมาณเกือบ 4 ปี ต่อมา (เกือบ 5 ปี นับแต่วันเกิดเหตุ)
อัยการจึงมีคำสั่งในเรื่องที่ ข แจ้งความให้ดำเนินคดีต่อ ก
ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยมีคำสั่งเมื่อวันที่ 11เมษายน
2551 สั่งไม่ฟ้อง ก ในข้อหาตามประมวลกฎหมายมาตรา 112 โดยมีเหตุผลดังนี้
การที่ผู้ต้องหาไม่ลุกขึ้นเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี และมีการพูดว่า
“ทำไมต้องยืนด้วยไม่มีกฎหมายบังคับ” นั้น
เห็นว่าการกระทำดังกล่าวมิได้แสดงออกซึ่งวาจาหรือกิริยาอันจะเข้าลักษณะเป็น
การดูถูก เหยียดหยาม ทำให้อับอาย เสียหาย สบประมาท
ด่าว่าและการกล่าวหรือโต้เถียงเกิดขึ้นหลังจากเพลงจบแล้ว
แม้จะเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมและไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้อง
ปฏิบัติก็ตาม
แต่การกระทำของผู้ต้องหาทั้งยังไม่อาจชี้ชัดได้ว่ามีเจตนาดูหมิ่นพระมหา
กษัตริย์ อีกทั้งผู้ต้องหาให้การปฏิเสธตลอดมา พยานหลักฐานจึงไม่พอฟ้อง
โดยนายวิศิษฐ์ สุขยุคล อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4
ได้ให้ความเห็นว่า การกระทำของ ก กับพวกนั้น
เพียงแต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืนตรงขณะที่มีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรง
ภาพยนตร์ เพราะการแสดงความอาฆาตมาดร้ายจะต้องมีการกระทำแสดงให้เห็นด้วย
เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะมีลักษณะความผิด
ในฐานแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์
จึงถือว่าไม่เข้าข่ายตามความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
“พฤติการณ์ของนาย ก เป็นลักษณะของกิริยาที่ไม่เหมาะสม
หากจะมีกฎหมายที่ให้เป็นความผิด เป็นความผิดจารีตประเพณีที่เป็นกฎหมายเก่า
ปี 2485 และมีบทลงโทษให้จำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท
โดยคดีมีอายุ 1 ปี หากมีการดำเนินคดีดังกล่าวแล้ว
ถ้าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ พนักงานสอบสวนสามารถเปรียบเทียบปรับได้
แต่หากผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ ต้องทำสำนวนส่งให้อัยการตามขั้นตอนกฎหมาย
แต่เนื่องจากคดีนี้พนักงานสอบสวนไม่ได้ตั้งข้อหาดังกล่าวมาด้วย
คดีจึงหมดอายุความไปแล้ว
อย่างไรก็ตามข้อเท็จจริงคดีนี้ไม่สามารถนำไปเป็นบรรทัดฐานในคดีอื่นได้
เพราะแต่ละคดีมีพฤติการณ์
ข้อเท็จจริงที่ปรากฏและพยานหลักฐานแตกต่างกันออกไป”
การไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีในทศวรรษนี้
เป็นที่ถกเถียงกันมานานนับตั้งแต่เกิดคดีนี้ เป็นครั้งแรกๆ
มีการนำไปเทียบกับคำพิพากษาศาลฎีกากรณีใกล้เคียงนี้ที่เป็นกรณีที่เกิดขึ้น
ร่วมสมัยกับเหตุการณ์ 6 ตุลา 19 ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2521
โดยเนื้อหาของคำพิพากษานั้นมีดังนี้
“ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า
ในวันเวลาเกิดเหตุมีการอภิปรายที่ท้องสนามหลวงกลุ่มศูนย์นิสิตนักศึกษา
อภิปรายปัญหาเรื่องข้าวสารแพงอยู่ทางด้านทิศเหนือกลุ่มของนายผัน
วิสูตรอภิปรายเรื่องการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ทางด้านทิศใต้
ด้านวัดพระแก้ว จำเลยฟังกลุ่มนายผันอภิปราย
เมื่อนายผันปิดอภิปรายและเปิดแผ่นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี
ประชาชนที่ฟังการอภิปรายทุกคนได้ยืนตรง ขณะที่เพลงสรรเสริญพระบารมียังไม่จบ
จำเลยได้กล่าวถ้อยคำว่า “เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง”
และจำเลยมิได้ยืนตรง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า
เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงที่ใช้บรรเลงในการพระราชพิธีหรือพิธีการต่าง ๆ
เพื่อถวายพระเกียรติและถวายความเคารพแด่องค์พระมหากษัตริย์โดยเฉพาะคดีนี้
ประชาชนที่ไปฟังอภิปรายย่อมเข้าใจว่าเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดขึ้นเป็น
การถวายความเคารพแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระมหา
กษัตริย์ของไทยองค์ปัจจุบัน จึงได้ยืนตรงทุกคน
จำเลยเป็นนักเรียนครูวิทยาลัยครูสวนสุนันทายอมต้องรู้และเข้าใจดีกว่า
ประชาชนธรรมดาสามัญ
การที่จำเลยมิได้ยืนตรงเช่นประชาชนคนอื่นในขณะที่เพลงสรรเสริญพระบารมีเปิด
ขึ้น ทั้งยังบังอาจกล่าวถ้อยคำว่า “เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง”
เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าจำเลยมีเจตนาที่จะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ฯลฯ
จะเห็นว่า “เรื่อง” ในคำพิพากษานี้ แตกต่างจากกรณีปัญหานี้อย่างชัด คือ
ในฎีกา จำเลยนั้นนอกจากไม่ยืนแล้วยังกล่าวคำว่า
“เพลงอะไรโว้ยฟังไม่รู้เรื่อง” ด้วย แต่ในคดีนี้ ผู้ถูกกล่าวหาพูดเพียงว่า
“ทำไมต้องยืนด้วยไม่มีกฎหมายบังคับ” ซึ่ง “น้ำเสียง”
ของถ้อยคำนั้นแตกต่างกัน
ซึ่งการไม่ยืนแล้วสำแดงกริยาอื่นประกอบที่ศาลพิพากษาว่าเป็นความผิดก็มี
เช่น กรณีที่ทางเวบไซต์ iLaw รายงานคดีตัวอย่างอีกคดีว่า
มีกรณีที่จำเลยไม่ลุกขึ้นยืนเพื่อถวายความเคารพ
และได้ยกเท้าทั้งสองข้างพาดเก้าอี้ไปทางจอภาพยนตร์
เมื่อเพลงสรรเสริญพระบารมีจบและได้ตะโกนคำหยาบคายออกมา ในคดีนี้
ศาลพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้จำคุก 3 ปี
จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ
เห็นควรลดให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 6 เดือน แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี
หรืออย่างในกรณีที่ อัยการอ้างถึง
“ความผิดจารีตประเพณีที่เป็นกฎหมายเก่า ปี 2485” นั้น ได้ศึกษาแล้วพบว่า
ความผิดตามอ้างเป็นไปตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2485
(ปัจจุบันยกเลิกแล้ว ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553) มาตรา 15
บัญญัติว่า “ผู้ใดฝ่าฝืนพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามความในมาตรา 6 มีความผิด
ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งร้อยบาท หรือจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน
หรือทั้งปรับทั้งจำ” ซึ่งจะไปประกอบกับ พระราชกฤษฎีกากำหนดวัฒนธรรมแห่งชาติ
พ.ศ. 2485 มาตรา 6
“บุคคลทุกคนจักต้องเคารพตามระเบียบเครื่องแบบหรือตามประเพณี คือ ... (3)
เคารพเพลงชาติ เพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงเคารพอื่นๆ
ซึ่งบรรเลงในงานตามทางราชการ ในงานสังคม หรือในโรงมหรสพ”อย่างไรก็ตาม
ความผิดดังกล่าวก็ได้ “ยกเลิก”
แล้วตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน
ไม่มีบทกำหนดโทษอาญาใดๆ ในกฎหมายนี้อีกต่อไป
จึงอาจสรุปได้ในขณะนี้ว่า
การไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดในโรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ
หรือล่าสุดได้ขยายเข้าไปถึงก่อนการแข่งขันกีฬาแล้ว หากเป็นการ
“ไม่ยืนโดยสงบ” นั้น ในปัจจุบันยังไม่เป็นความผิดตามกฎหมายลายลักษณ์อักษร
หรือ
ยังไม่พอฟังว่าเป็นความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา 112
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจาก “ถ้อยคำ”
ที่ปรากฏในคำสั่งของอัยการทั้งสองฉบับ
ก็จะเห็นร่องรอยบางประการที่อาจจะไม่ได้หมายความว่า ปัจจุบันการ “ไม่ยืน”
จะสามารถกระทำได้โดยเสรีเสียทีเดียว
โดยในคำสั่ง “ไม่ฟ้อง” กรณี ข กระทำการต่างๆ
ไม่ว่าจะปากระดาษหรือสาดป๊อบคอร์นใน ก นั้น ทางอัยการมองว่าเป็นการ
“ร้องขอให้ผู้เสียหายทั้งสองแสดงความเคารพต่อองค์พระประมุขและสถาบันพระมหา
กษัตริย์ อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยสืบมา” รวมทั้งการ
“โห่ร้องไล่ผู้เสียหายทั้งสองคนให้ออกจากโรงภาพยนตร์ไป” นั้นก็
“เพราะไม่พอใจที่ผู้เสียหาย ไม่ยืนแสดงความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี” ซึ่ง
“ยังไม่เป็นการใช้คำพูดหรือกริยา หรือการแสดงออกใดๆ
ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ต้องหาใช้กำลังให้ผู้เสียหายทั้งสองกลัวว่าจะเกิด
อันตราย” และดังนั้น การที่เห็นคนไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี
“จึงเกิดความไม่พอใจ
ซึ่งเป็นตามธรรมดาของคนไทยทุกคนที่พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว”
ดังนั้นด้วยเหตุดังกล่าว
จึงเป็นเหตุให้อัยการวินิจฉัยไม่ควรสั่งฟ้องในความผิดต่างๆ นั้นเอง
ส่วนในกรณีคำสั่งไม่ฟ้องกรณี “ไม่ยืน” ของ ก นั้น
แม้จะยังฟังไม่ได้ว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 112
แต่การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็น
“กิริยาที่ไม่เหมาะสมและไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้องปฏิบัติ”
ร่องรอยดังกล่าว แม้ไม่ชัดแจ้ง แต่ก็ทำให้เราเห็นได้ลางๆว่า การ
“ไม่ยืน” ไม่ใช่อาชญากรรมก็จริง แต่การไม่ยืนก็เป็น
“กริยาไม่เหมาะสมที่ประชาชนทั่วไปต้องปฏิบัติ” และการ “ตอบโต้”
การไม่ยืนนั้น
ก็เป็นสิ่งที่ผู้พบเห็นเหตุการณ์ชอบที่จะตอบโต้การไม่ยืนด้วยการ “ตักเตือน”
ตาม “ธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยสืบมา”
ที่แม้อาจจะมีพฤติกรรมอันรุนแรงไปบ้าง
แต่ถ้าไม่ได้รุนแรงต่อร่างกายจนเกินไป
หรือทรัพย์สินที่เสียหายเป็นทรัพย์ที่มีราคาน้อย
ก็เป็นความไม่พอใจที่เข้าใจได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของ
“คนไทยทุกคนที่พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว” ดังนั้นการไม่ยืน
และการตอบโต้คนไม่ยืนตามสมควรแก่กรณีหากไม่รุนแรงเกินไปนั้น –
กลไกกฎหมายอาญาของรัฐไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง
หรือสรุปสั้นกว่านั้นคือ – ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากรรม แต่ปากระดาษสาดข้าวโพดซ้ำ ก็ไม่ใช่อาชญากร
ในสถานการณ์ที่ฝ่ายผู้ที่ยึดมั่นในการปกป้องสถาบันอย่างล้นเกิน (Zealot)
ได้โหมบรรยากาศให้ฝ่ายตนเป็นผู้มีความชอบธรรม
ถึงขนาดยกพวกไปเตรียมล่าป้าคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการที่เป็นความผิด
ตามมาตรา 112 นี้ ถึงสนามบินไม่ให้ออกนอกประเทศ
แนวร่วมที่เป็นพนักงานสายการบินแห่งชาติก็ประกาศห้ามขึ้นเครื่อง
หรือการโหมให้ใช้มาตรการทางอาญาที่เข้มข้นต่อการกระทำความผิดตามมาตรา 112
“อย่างเข้มข้น” ว่า
ถ้าใครเห็นคนกระทำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วอยู่เฉยก็จะต้องมีความผิดด้วย
เพราะถือเป็นตัวการร่วม จึงต้องแสดงออกทันที
ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมหรือเป็นพยาน แล้ว การที่ใครสักคนจะ “ไม่ยืน”
ในโรงหนังแม้จะโดยสงบ
แต่ก็มีความเสี่ยงต่อการได้รับการตอบโต้ที่คาดเดาไม่ได้เพื่อรักษา
“ธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยสืบมาอันเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทยทุก
คนที่พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ก็ได้.
ลิงค์อ้างอิง :
อัยการสั่งไม่ฟ้องคู่กรณี “สองไม่ยืน”
อัยการสั่งเด็ดขาด ไม่ฟ้อง คดีไม่ยืนในโรงหนัง
กรณีไม่ยืนแต่เอาขาพาดเก้าอี้
อัยการแจงเหตุไม่ฟ้องไม่ยืนในโรงหนัง ไม่เข้าข่าย “อาฆาตมาดร้าย”
เครือข่ายต้านคอรัปชั่นเสนอ 112 เข้มข้น พบความผิดแล้วเฉยเท่ากับ ‘ตัวการร่วม’