ที่มา ประชาไท
Sun, 2012-07-29 22:52
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา กลุ่มนิติราษฎร์
ซึ่งอธิบายว่าเป็นกลุ่มนิติศาสตร์เพื่อราษฎร
ได้ออกแถลงการณ์ในหัวข้อเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
เพื่อยกเลิกศาลรัฐธรรมนูญแล้วให้มีการจัดตั้งคณะตุลาการพิทักษ์ระบอบรัฐ
ธรรมนูญขึ้นแทน
โดยมีหลักการสำคัญที่จะให้คณะตุลาการรัฐธรรมนูญชุดใหม่นี้มีการยึดโยงกับ
อำนาจของประชาชนมากยิ่งขึ้น
และเปลี่ยนหลักการจากการมุ่งพิทักษ์เฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550
มาเป็นการพิทักษ์หลักการของระบอบรัฐธรรมนูญแทน
คงจะต้องขออธิบายว่า ข้อเสนอและหลักการของคณะนิติราษฎร์เช่นนี้
มีความน่าสนใจอย่างมาก
โดยเฉพาะการเสนอในเรื่องข้อถกเถียงที่จะให้ศาลยึดโยงกับอำนาจของประชาชน
ซึ่งหลักการเช่นนี้เป็นเรื่องที่สมควรที่จะปรับใช้ในการปฏิรูปกระบวนการศาล
ยุติธรรมต่อไป แต่ปัญหาหลักเฉพาะหน้านี้คือ
การใช้อำนาจเกินขอบเขตของศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน
การแก้ปัญหาตามข้อเสนอของนิติราษฎร์ คือ
ให้มีการยุบศาลรัฐธรรมนูญจึงกลายเป็นความจำเป็นเฉพาะหน้า
ศาลรัฐธรรมนูญมีขึ้นครั้งแรกตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540
โดยระบุให้มีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญ
แต่ไม่มีอำนาจหน้าที่พิจารณาอรรถคดีทั่วไป ที่มาของศาลนั้น
รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภา ต่อมา
ในรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550
ก็ได้ระบุให้พระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งตามคำแนะนำของวุฒิสภาเช่นเดียวกัน
เพียงแต่วุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540
เป็นวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งและเป็นประชาธิปไตย
ส่วนวุฒิสภาตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เป็นพวกลากตั้งเสียครึ่งสภา
และไม่มีความเป็นประชาธิปไตย จึงทำให้คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบัน
ประกอบด้วยพวกผู้พิพากษาชราภาพ มีแนวคิดอนุรักษ์นิยม
และยังเป็นกลุ่มที่เคยทำงานรับใช้คณะรัฐประหารมาแล้ว
จึงมีปัญหาความชอบธรรมในการปฏิบัติงานมาแต่แรก
ต่อมา ในการปฏิบัติงานยังปรากฏว่า ในระยะ 5 ปีที่ผ่านมา
ศาลรัฐธรรมนูญชุดนี้ ใช้อำนาจมากเกินขอบเขตที่รัฐธรรมนูญได้ให้ไว้อยู่เสมอ
การวินิจฉัยอรรถคดีทั้งหลายก็ตั้งอยู่บนฐานของอคติ
และได้ใช้อำนาจเหนืออำนาจบริหารมาแล้ว
โดยใช้คำวินิจฉัยของศาลล้มรัฐบาลของประเทศไทย ปลดนายกรัฐมนตรี
ยุบพรรคการเมือง
ตัดสิทธิ์หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคการเมืองทั้งหลายที่มาจากเสียง
ส่วนใหญ่ของประเทศ โดยที่คนเหล่านั้นไม่ได้กระทำความผิด
และยังใช้อำนาจลงไปในรายละเอียดถึงขนาดเข้าแทรกแซงในเรื่องการดำเนินนโยบาย
ต่างประเทศ ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากมาแล้ว
และตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญคณะปัจจุบัน
ยังทำเรื่องร้ายแรงที่สุดอย่างไม่น่าเชื่อ
นั่นคือการดำเนินการละเมิดอำนาจนิติบัญญัติ
ด้วยการตีความข้อกฏหมายจนเกินขอบเขต รับคำร้องคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญตาม
มาตรา 68 และใช้คำสั่งให้รัฐสภาหยุดกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ซึ่งผ่านวาระสองมาแล้ว
และผลของการตีความก็ให้ประโยชน์ตามข้อเสนอของฝ่ายพันธมิตรและพรรคประชาธิปัต
ย์ ทำให้เกิดข้อกังขาในการเอียงข้าง จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก
จนประธานศาลรัฐธรรมนูญเองก็ต้องออกมาแถลงชนิดเอาสีข้างเข้าถู ประเภทที่ว่า
ศาลตีความรัฐธรรมนูญตามฉบับแปลภาษาอังกฤษ เป็นต้น ดังนั้น
แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะพยายามแก้เกี้ยว โดยการวินิจฉัยในวันที่ 13 กรกฎาคม
ที่ไม่รับคำร้อง
ก็ไม่ได้ช่วยให้ศาลรัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมในสายตาของประชาชนมากขึ้นแต่
อย่างใด
อันที่จริงการดำเนินการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเองถือว่ามีปัญหา
และอาจจะถูกตีความให้โมฆะได้ตลอดมา เพราะในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญมาตรา
300 วรรคที่ห้า ได้ระบุไว้ว่า
“ในระหว่างที่ยังมิได้มีการตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธี
พิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจออกข้อกำหนดเกี่ยวกับวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย
ได้
แต่ทั้งนี้ต้องตราพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญดังกล่าวให้แล้วเสร็จภายใน
หนึ่งปี นับแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้”
จากข้อความนี้ หมายถึงว่า
ต้องมีพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีการพิจารณาความและการทำคำ
วินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ภายในปี พ.ศ.2551 แต่ปรากฏว่า มาถึงขณะนี้ ปี
พ.ศ.2555 ก็ยังไม่มีพระราชบัญญัติในลักษณะนี้ ซึ่งทำให้ตีความได้ว่า
การพิจารณาความและการทำคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ พ.ศ.2552
เป็นต้นมา เป็นโมฆะทั้งหมด ใช่หรือไม่
ไม่ว่าจะเป็นมิติไหน เมื่อมาถึงขณะนี้
รัฐสภาไทยก็สามารถที่จะเดินหน้าผ่างเป็นวาระสาม
และแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยตามเป้าหมาย
โดยไม่ต้องสนใจคำวินิจฉัยนั้นเลย
ยิ่งข้อแนะนำของศาลธรรมนูญให้มีการลงประชามติก่อนแก้ไข
ยิ่งเป็นเรื่องเหลวไหล เพราะเป็นข้อเสนอที่ไม่ผูกมัด
และไม่ได้วางอยู่บนหลักเหตุผลอันสมควร
การดำเนินการอันน่าตลกขบขันของศาลรัฐธรรมนูญและกลุ่มฝ่ายขวาทั้งหลาย
รวมทั้งฝ่ายพันธมิตรและพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ
การแสดงถึงเจตจำนงที่จะปกป้องเฉพาะรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550
โดยไม่ให้ฝ่ายพรรคเพื่อไทยแก้ไข เช่น ล่าสุด รายการ”ผ่าประเด็นร้อน”
ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในวันที่ 16 กรกฎาคมนี้ ก็อ้างว่า
การแก้รัฐธรรมนูญทั้งประเภทรายมาตรา
หรือร่างใหม่ทั้งฉบับไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ควรไปแก้ปัญหาปากท้องเสียก่อน
เพราะแก้รัฐธรรมนูญไปชาวบ้านก็ไม่ได้รับประโยชน์
มีแต่ทำให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้ง
ข้ออ้างเช่นนี้ทำราวกับว่าในปีที่ผ่านมา
รัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ทำงานเรื่องอื่น ทำแต่เรื่องแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว
ความจริงเป็นไปในทางตรงข้าม รัฐบาลชุดนี้ทำงานบริหารเรื่องอื่นมากเกินไป
ดำเนินการเรื่องแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยช้าเกินไป
และมีลักษณะลังเลมากเกินไปตลอดมา
ถึงได้ผ่อนปรนให้ศาลรัฐธรรมนูญได้แผลงฤทธิ์มากอย่างนี้
การพิทักษ์รัฐธรรมนูญเฉพาะฉบับ พ.ศ.2550
ดำเนินไปโดยกลบเกลื่อนความจริงที่ว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นฉบับอัปลักษณ์
มีที่มาอันไม่ชอบธรรม เพราะมาจากการรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2540
และเป็นมรดกของรัฐธรรมนูญฉบับชั่ว พ.ศ.2549
ความพยายามเหนี่ยวรั้งการแก้ไขได้เห็นมาแล้วตั้งแต่บทบาทของพรรคประชา
ธิปัตย์ในรัฐสภา ที่เตะถ่วงการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระที่สอง
และการกำหนดให้ไม่มีการแก้ไขในหมวดที่หนึ่งและหมวดที่สองก็เป็นการไม่ถูก
ต้อง กระบวนการทั้งหมดนี้
ก็ความพยายามในการรักษาอำนาจของกลุ่มอิทธิพลตามรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะ
องคมนตรี และศาล การดำเนินการปกป้องรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2550 เช่นนี้
กลับสวนทางกับการปกป้องหลักการของระบอบรัฐธรรมนูญ นั่นคือ
การมีรัฐธรรมนูญที่รักษาอำนาจอธิปไตยของประชาชน และปกป้องสิทธิมนุษยชน
จึงเป็นการถูกต้อง
ที่พรรคเพื่อไทยจะออกคำแถลงปฏิเสธอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ
และยืนยันในนโยบายที่จะแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
โดยยึดมั่นในนิติรัฐ และ นิติธรรม และเมื่อพรรคเพื่อไทยได้ตัดสินใจ
ผลักดันกระบวนแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยจัดให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง
ก็ควรจะเดินหน้าต่อไปในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่น่าจะเสียเวลามากนัก
ถ้าจะเสนอการแก้ไขรัฐธรรมนูญเฉพาะหมวดศาล
ให้มีการยุบศาลรัฐธรรมนูญเสียเป็นขั้นต้น