ที่มา ประชาไท
Tue, 2012-07-31 02:33
ใครมีความสุขในชีวิตมากกว่ากัน ชาวเสรีนิยมหรือชาวอนุรักษ์นิยม?
คำตอบอาจจะดูชัดเจนในตัวเอง เพราะที่ผ่านมา
มีการศึกษาทางวิชาการทางสังคมศาสตร์มากมายที่ชี้ให้เห็นว่าชาวอนุรักษ์นิยม
นั้นเป็นพวกอำนาจนิยมโดยธรรมชาติ หัวรั้น ไม่ชอบความคลุมเครือ
กลัวการข่มขู่และการสูญเสีย ความมั่นใจต่ำ
และไม่สะดวกใจกับแผนความคิดที่ซับซ้อน นอกจากนี้ ย้อนไปในปี 2551
ประธานาธิบดีโอบามาก็ได้แปะป้ายเหล่าคนงานคอปกน้ำเงินว่าเป็นคน "ขมขื่น"
เพราะ "ยึดติดกับปืนและศาสนา" ฉะนั้น ก็ชัดว่า
เหล่าเสรีนิยมก็น่าจะมีความสุขมากกว่า ใช่ไหมล่ะ?
ผิดแล้ว นักวิชาการจากทั้งฝั่งซ้ายและขวาได้ศึกษาคำถามนี้อย่างกว้างขวาง
และเห็นพ้องต้องกันว่า กลุ่มอนุรักษ์นิยมต่างหากที่มีความสุขมากกว่า
โดยมีข้อมูลหลายชุดที่แสดงให้เห็นข้อนี้ ตัวอย่างเช่น ศูนย์วิจัย Pew ในปี
2548 รายงานว่า ชาวรีพับลิกันที่เป็นอนุรักษ์นิยม
มีแนวโน้มที่จะบอกว่าตัวเอง "มีความสุขมาก"
สูงกว่าชาวเดโมแครตที่เป็นเสรีนิยมถึงร้อยละ 68
แบบแผนนี้ได้ธำรงอยู่มานานนับศตวรรษ แต่คำถาม
ไม่ได้อยู่ที่ว่านี่จริงหรือไม่ แต่ทำไมมากกว่า
กลุ่มอนุรักษ์นิยมบางส่วน
มักจะชอบคำอธิบายที่เน้นเรื่องความแตกต่างทางวิถีชีวิต เช่น
การแต่งงานและความศรัทธา พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่า
ชาวอนุรักษ์นิยมส่วนใหญ่จะแต่งงาน ในขณะที่ชาวเสรีนิยมไม่แต่ง
(คิดเป็นร้อยละ 53 ต่อร้อยละ 33 โดยใช้ข้อมูลจากผลสำรวจทางสังคมทั่วไปปี
2547 และตัดปัจจัยที่ว่าชาวเสรีนิยมมักจะอายุน้อยกว่าชาวอนุรักษ์นิยมออกไป)
การแต่งงานและความสุขมักจะไปด้วยกัน หากคนสองคน มีปัจจัยอื่นๆ คล้ายกัน
โดยคนหนึ่งแต่งงาน อีกคนไม่แต่ง คนที่แต่งงานแล้ว
มักจะบอกว่าตนเองมีความสุขมากกว่าคนที่ไม่แต่งงาน ร้อยละ 18
เช่นเดียวกับเรื่องของศาสนา โดยข้อมูลจากการสำรวจของ Social Capital
Community Benchmark เปิดเผยว่า ชาวอนุรักษ์นิยมที่นับถือศาสนา
มีมากกว่าชาวเสรีนิยมที่นับถือศาสนามากกว่า 4 ต่อ 1 เท่า และลองเดาซิว่า
มันเกี่ยวกับเรื่องของความสุขอย่างไร?
จะเห็นว่า ผู้ตอบแบบสอบถามที่เคร่งศาสนา
มีแนวโน้มบอกว่าพวกเขามีความสุขมากกว่าพวกที่ไม่นับถือศาสนามากกว่าเกือบ 2
เท่า ( ร้อยละ 43 ต่อ 23) ทั้งนี้ ความแตกต่างทางความสุข
ไม่เกี่ยวกับปัจจัยการศึกษา เชื้อชาติ เพศ หรืออายุ
และถึงแม้ว่าเราเอาเรื่องรายได้เข้ามาพิจารณาด้วย
ความแตกต่างนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี
เรื่องที่ว่า ศาสนาและการแต่งงาน
ควรจะทำให้ผู้คนรู้สึกมีความสุขมากขึ้นหรือไม่ เป็นคำถามที่คุณต้องตอบเอง
อย่างไรก็ตาม ลองคำนึงถึงสถิตินี้ดู ร้อยละ 52 ของกลุ่มคนอนุรักษ์นิยม
เคร่งศาสนาที่แต่งงาน (และมีลูกแล้ว) บอกว่าตนเองมีความสุขมาก
เมื่อเทียบกับเพียงร้อยละ 14 ของกลุ่มคนเสรีนิยม
ไม่นับถือศาสนาที่โสดและไม่มีลูก ที่บอกแบบเดียวกัน
คำอธิบายเรื่องนี้ที่ฟังดูรื่นหูมากกว่าสำหรับพวกเสรีนิยมก็คือว่า
ชาวอนุรักษ์นิยมมักจะไม่ใส่ใจในความทุกข์ยากของผู้อื่น
และหากเขารับรู้ถึงความอยุติธรรมในโลกนี้
เขาก็คงไม่มานั่งมีความสุขอย่างที่เป็นอยู่ หรือในคำอธิบายของเจม นาเปียร์
และจอห์น จอสท์ นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ที่กล่าวว่า
"ชาวเสรีนิยมอาจจะมีความสุขน้อยกว่าพวกอนุรักษ์นิยม
เพราะในทางอุดมการณ์แล้ว
พวกเขามักจะยินยอมให้ความชอบธรรมกับความอยุติธรรมในสังคมยากกว่า"
จากข้อมูลแสดงให้เห็นว่า ที่จริงแล้ว
พวกอนุรักษ์นิยมมองระบอบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมในแง่ดีมากกว่าพวกเสรีนิยม
โดยเชื่อในความสามารถของอเมริกันชนในการดิ้นรนได้ด้วยตนเอง
ในขณะที่ชาวเสรีนิยมมีแนวโน้มจะมองคนในฐานะที่เป็นเหยื่อของการกดขี่ในระบบ
และตั้งคำถามกับการดิ้นรนของปัจเจกหากไม่มีความช่วยเหลือของรัฐบาล
ข้อมูลของผู้เขียนที่ได้ค้นคว้าไว้ ซึ่งใช้ข้อมูลปี 2548
ของมหาวิทยาลัยเซอราคิวส์ ชี้ว่า ราวร้อยละ 90
ของชาวอนุรักษ์นิยมเห็นด้วยว่า
"ในขณะที่คนเราอาจเริ่มต้นด้วยโอกาสที่แตกต่างกัน
แต่ความมุมานะและความอดทนจะทำให้เราก้าวอุปสรรคนั้นไปได้" ซึ่งชาวเสรีนิยม
เห็นด้วยกับข้อความดังกล่าวเพียง 1 ใน 3
ของชาวอนุรักษ์นิยมที่มองแบบเดียวกัน
ฉะนั้น เราสามารถสรุปได้หรือไม่ว่าชาวอนุรักษ์นิยมนั้นเป็นคนเขลา
เพราะความไม่รู้ก็คือความสุขอย่างหนึ่งนั่นเอง แต่ช้าก่อน
เพราะงานวิจัยของนักจิตวิทยากลุ่มหนึ่งจากมหาวิทยาลัยฟลอริดาและมหาวิทยาลัย
โตรอนโต ชี้ให้เห็นว่า
ในขณะที่ชาวเสรีนิยมนิยามความเป็นธรรมในสังคมผ่านความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ
และประณามชาวอนุรักษ์นิยมว่าไม่สนใจต่อปัญหาดังกล่าว แต่ผลวิจัยชี้ว่า
ชาวอนุรักษ์นิยมก็มองปัญหานี้ไม่ต่างกันเท่าใดนัก
โดยหากมองในทางตรงข้ามกัน ถ้าให้ชาวเสรีนิยมมีความสุข
ชาวอนุรักษ์นิยมก็มีความทุกข์ เนื่องจากมองว่า
ระบอบเศรษฐกิจแบบเสรีนิยมถูกแทรกแซงโดยรัฐสวัสดิการขนาดใหญ่
ซึ่งส่งผลเสียต่อเสรีภาพทางเศรษฐกิจ และแน่นอนว่า
ชาวเสรีนิยมคงจะมองข้อโต้แย้งนี้ว่าช่างไร้สาระเสียไม่มี
ทั้งนี้ มีช่องว่างเรื่องความสุขทางการเมืองอีกมุมหนึ่ง
ซึ่งไม่ค่อยได้รับความสนใจจากนักวิชาการมากนัก นั่นคือ
การศึกษาระหว่างพวกทางสายกลาง กับพวกสุดโต่งทางการเมือง
ผู้เขียนมองว่า พวกนิยมทางสายกลาง
น่าจะต้องมีความสุขมากกว่าพวกที่สุดโต่งทางการเมือง ดูง่ายๆ
จากพวกสุดขั้วทางการเมืองที่ชอบโพนทนาความโกรธแค้นของพวกเขาต่อชาวโลก
ผ่านทางสติ๊กเกอร์อย่างเช่น "ถ้าคุณไม่รู้สึกโมโห
แสดงว่าคุณยังไม่ใส่ใจเพียงพอ!"
แต่ความเป็นจริงไม่ตรงตามนั้นสักเท่าไหร่
ปรากฎว่าพวกสุดโต่งทางการเมืองนั้นมีความสุขมากกว่าพวกนิยมสายกลาง
โดยหากควบคุมปัจจัยทางรายได้ การศึกษา อายุ เชื้อชาติ
ครอบครัวและศาสนาแล้วพบว่า
ชาวอเมริกันที่มีความสุขที่สุดเป็นกลุ่มที่บอกว่าตนเองเป็น
"อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว" (ร้อยละ 48) และพวก "เสรีนิยมสุดขั้ว" (ร้อยละ 35)
ส่วนคนอื่นๆ นั้น มีความสุขน้อยกว่า โดยเฉพาะพวกทางสายกลาง
ซึ่งมีความสุขน้อยที่สุด
ความเป็นไปได้ของคำอธิบายแบบแผนแปลกๆ นี้คือว่า
พวกสุดโต่งทางการเมืองมองโลกแบบขาวดำ ซึ่งแยกแยะสิ่งต่างๆ ไปตามแบบแผน
พวกเขามีความมั่นใจในแง่ที่ว่า ใครเป็นคนผิด และต้องสู้กับใคร
อาจจะกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็นเหล่านักรบที่มีความสุขกลุ่มหนึ่ง
ไม่ว่าคำอธิบายจะชี้ว่าอย่างไร แต่นัยสำคัญของเรื่องนี้ก็น่าสนใจมาก
โดยกลุ่มคนที่ประท้วงใน 'ออคคิวพาย วอลล์ สตรีท'
อาจจะดูเหมือนผู้คนที่สิ้นไร้ไม้ตอก แต่ความเป็นจริง
พวกเขาอาจจะมีความสุขมากกว่าพวกดำเนินสายกลางทางการเมืองซึ่งเยาะเย้ยพวกนี้
อยู่ในออฟฟิศก็เป็นได้ และจะเห็นว่า ไม่มีใครเลย ที่มีความสุขมากกว่าพวก
'ที ปาร์ตี้' ซึ่งยึดมั่นในอาวุธปืนและศาสนาด้วยความหนักแน่น
และอาจจะทำให้ผู้อ่านนสพ.
นิวยอร์กไทมส์หัวเสรีนิยมเกิดความหดหู่ขึ้นมาก็เป็นได้
เกี่ยวกับผู้เขียน: อาร์เธอร์ ซี บรุ๊ก
เป็นประธานของสถาบันแห่งผู้ประกอบการอเมริกัน และผู้เขียนหนังสือ "The Road
to Freedom" และ "Gross National Happiness"
ที่มา: แปลจาก
Why Conservatives Are Happier Than Liberals
http://www.nytimes.com/2012/07/08/opinion/sunday/conservatives-are-happier-and-extremists-are-happiest-of-all.html?_r=3&hp