ที่มา ประชาไท
Sat, 2012-07-28 04:43
บทความนี้เขียนขึ้น หลังจากการประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญ
เพื่อให้มีการยกร่างใหม่ทั้งฉบับด้วยการตั้ง สสร.ผ่านวาระสองแล้วมีการเสนอ
ให้ศาลรัฐธรรมนูญ แล้วมีการถกเถียงว่าศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจไม่มีอำนาจ
การตัดสินควรไม่ควร เหมาะสมไม่เหมาะสม ซึ่งผู้เขียนมีความเห็นว่า
เป็นการกระทำเหมือนกับการถามพระพุทธเจ้าเรื่องผี
ซึ่งในพุทธศาสนาได้ให้แนวคิดว่า เป็นเรื่องที่สงสัยได้
แต่ไม่ควรเสียเวลาได้สืบค้น
รัฐธรรมนูญเป็นแก่นของประชาธิปไตย
ก่อนที่จะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้
ขออนุญาตแสดงความรู้สึกและความเข้าใจที่เป็นพื้นฐานของการแสดงความคิดเห็น
ดังนี้
ระบบประชาธิปไตยเป็นระบบที่มีสัญญาประชาคมเป็นหลักของทุกเรื่องในความ
สัมพันธ์ระหว่าง มนุษย์ต่อมนุษย์ มนุษย์ต่อชุมชน ชุมชนต่อชุมชน
ภายใต้สิทธิและหน้าที่ โดยมีการมอบอำนาจรัฐให้กับ รัฐบาล
สภานิติบัญญัติและศาลสถิตยุติธรรม ภายใต้ระบบแบ่งและคานอำนาจกัน
สัญญาประชาคมในระบบประชาธิปไตยมีได้ ดังนี้ คือ 1) รัฐธรรมนูญ 2)
จารีตและวัฒนธรรมประชาธิปไตย 3)
เจตนารมณ์ที่ผู้ได้รับมอบอำนาจที่ต้องทำและควรทำทั้งที่ประกาศเป็นการเฉพาะ
กิจและกำหนดไว้ในกฎหมายต่าง
รัฐธรรมนูญโดยนัยยะแล้วเป็นสัญญาประชาคมที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ที่ครอบคลุมทุกมิติและทุกคน ดังนั้น รัฐธรรมนูญในเชิงอุดมคติแล้ว ก็คือ
อุดมการณ์ของชาติหรือความเป็นชาติไทย
ซึ่งต้องหลอมรวมทุกความคิดทุกมิติให้คนในชาติจนทำให้ทุกคนรู้สึกเป็นเจ้าของ
มิใช่”ในโลกประชาธิปไตยที่ไหนจะทำตามเสียงข้างน้อย
การกระทำอะไรก็ต้องเป็นไปตามเสียงส่วนใหญ่”
ถ้าจะใช้หลักการนี้จริงๆรัฐธรรมนูญจะต้องอายุสั้นแน่นอน
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงเสียงข้างมาก อุทาหรณ์ในเรื่องนี้ คือ
ปัญหาเยาวชนเกือบครึ่งหนึ่งเกิดจากเสียงของขาใหญ่ที่เป็นพ่อแม่ที่ใช้เสียง
ส่วนใหญ่ดูแลลูกโดยไม่ให้ลูกมีส่วนร่วมที่มากพอ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคำตอยอยู่ที่คำถามที่ทุกคนตอบ
ได้ในใจว่า
การแก้ไขครั้งนี้เป็นสัญญาประชาคมที่มีลักษณ์อุดมการณ์ของชาติหรือไม่?
ข้อสรุปที่ผ่านวาระสองมีที่ยืนให้ทุกฝ่ายหรือไม่?
สัญญาประชาคมที่เป็นอุดมการณ์ของชาติมีพื้นฐานการมีส่วนร่วมของประชาชนแค่
ไหนเพียงไร?
จารีตและวัฒนธรรมประชาธิปไตย
จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ตลอดขบวนการที่เกิดขึ้นในรัฐสภาและศาลรัฐธรรมนูญ
แม้ว่าจะมีความขรุขระไม่ราบรื่น เกิดข้อขัดแย้ง การวิวาทะในทุกระดับก็ตาม
แต่ก็มีวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่มีความชัดเจนและถูกนำมาใช้
ซึ่งเป็นหลักและเป็นรากฐานในอนาคตได้ ดังนี้
1. การรับฟังกันมากขึ้น ที่เกิดขึ้นในรัฐสภา
แม้ว่าการยอมรับข้อคิดเห็นหรือข้อเสนอแนะจะน้อมมากก็ตาม
แต่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
ซึ่งถ้าขบวนการอย่างนี้กลายเป็นวัฒนธรรมที่ต้องรับฟังแล้ว
ขบวนการที่จะหลอมความเห็นที่แตกต่างจนทำให้ทุกฝ่ายมีที่ยืนในแต่ละเรื่อง
“วันเสียงปืนแตกที่นครพนม”
ก็จะเป็นอดีตที่ตายแล้งไม่มีวันฟื้นกลับมาในสังคมไทยอีก
2. ขบวนการคานอำนาจได้ทำงานในระบบแล้ว
แม้ว่าการทำงานครั้งนี้จะสร้างความความคลางแคลงใจ ข้อสงสัย ความงุนงงก็ตาม
แต่สิ่งที่ควรดีใจก็ คือ
ระบบการคานอำนาจในระบบประชาธิปไตยได้เริ่มขึ้นแล้ว
ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรให้กำลังใจเหมือนกับเด็กที่ตั้งไข่
ความเชื่อโดยบริสุทธิใจ (ไม่ใช่เห็นด้วยกับสาระของการตัดสินใจ)
ถ้าวัฒนธรรมการคานอำนาจนี้แข็งแรงขึ้นเหมือนกับความเชื่อของทหารปืนใหญ่
ที่เชื่อว่าการยิงปืนใหญ่นัดต่อไปผลจะดีขึ้นเรื่อยๆหรือเข้าเป้า
จากการประสานงานกับทหารที่ตรวจการณ์หน้า
ประเด็นพื้นฐานที่ต้องยอมรับกันในเบื้องต้น คือ
การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่สัญญาประชาคมที่มีลักษณ์อุดมการณ์ชาติ
จากปรากฏการณ์ที่มีอีกฝ่ายที่ยอมไม่ได้
โดยใช้ทุกวิธีที่จะยับยั้งหรือชลอขบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดังนั้นการมีศาลรัฐธรรมนูญมาทำหน้าที่คนกลาง
จึงเป็นระบบที่น่าจะเหมาะสมและดีที่สุด
แต่การจะทำหน้าที่ดีที่สุดหรือไม่เป็นเรื่องที่สังคม
ทั้งสังคมจะเพาะบ่มทั้งคนที่จะมาทำหน้าที่และสร้างระบบในเชิงวัฒนธรรมขึ้นมา
แต่อย่างไรก็ตามทุกอย่างในโลกก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความอนิจจัง
ที่อาจจะมีบางช่วงเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญรุ่งเรืองแล้วตกต่ำ
อย่างไรก็ตามการทำหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้ง
นี้ ตุลาการได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ในระดับปุถุชนพึงกระทำ ทำให้เกิด
“อันนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ไม่ชอกช้ำเหมือนเอามีดมากรีดหิน
แม้องค์ปฏิมายั้งราคิน มนุษย์เดินดินหรือจะพ้นคนนินทา”
ประชาธิปไตยของไทยผ่านการเวลามา 80 ปี มีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 18 ฉบับ
ยังคงมีความต้องการรัฐธรรมนูญใหม่อีกเนืองๆ ในบางมุมอาจจะต้องถามตัวเองว่า
มีบางคนที่ต้องการใช้รัฐธรรมนูญเป็นอนุสาวรีย์หรือเปล่า?
หรือเราต้องการรัฐธรรมนูญที่เป็นสัญญาประชาคมอย่างแท้จริง?
ผลที่เกิดทุกวันนี้เป็นไปดั่ง “ปลูกถั่วได้ถั่ว ปลูกงาได้งา”
ท้ายที่สุดต้นประชาธิปไตยตรงไหนมีปัญหาก็แก้ปัญหาตรงนั้น
การเปลี่ยนต้นประชาธิปไตยบ่อยครั้ง
วงปีของต้นประชาธิปไตยจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร?