ที่มา ประชาไท
Thu, 2012-08-02 20:59
ในสมัยกลางของยุโรป เมื่อคริสตศาสนายังคงเป็นความคิดอันครอบงำ
ชนชั้นปกครองและพระชั้นสูงในสมัยนั้น รักษาอำนาจโดยการอ้างอิงตนเองว่า
เป็นผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าอันแท้จริง และกล่าวหาคนที่คิดต่างว่า เป็นพวกแม่มด
ต้องถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น
ผลจากกรณีนี้ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ถูกสอบสวนและถูกลงโทษ
เมื่อเวลาผ่านไป มาตราการล่าแม่มดเช่นนี้
ถือว่าเป็นมาตราการป่าเถื่อนจึงถูกยกเลิก
เสรีภาพในด้านความคิดความเชื่อจึงเป็นที่ยอมรับ
และชาวยุโรปก็จะเลิกบังคับให้คนคิดและศรัทธาในแบบเดียวกัน
แต่ในกรณีของประเทศไทย การล่าแม่มดยังคงดำเนินการอยู่ กรณีล่าสุด
เริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา
ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ศาลเองไปทำการละเมิด
อำนาจนิติบัญญัติ
ด้วยการใช้คำสั่งให้รัฐสภายุติการพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา
291 ที่จะต้องมีการลงมติในวาระที่สาม ในวันนั้น
กลุ่มประชาชนฝ่ายขวาหลายกลุ่มที่ให้การสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญ
โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชน
ได้ไปชุมนุมกันที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ
ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยอ้างเหตุผลว่าจะปกป้องศาล ซึ่งในที่สุด
ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้เสนอข้อวินิจฉัยอันไร้สาระออกมาชุดหนึ่ง
แต่ปัญหาของเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ที่คำวินิจฉัย หากแต่อยู่เหตุการณ์หน้าศาล
ดังที่เอเอสทีวีรายงานว่า
“ในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชน
จะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพในพิธีอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัวฯ มาร่วมในการบันทึกภาพ
ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลัง
นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี
ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์
ก่อนที่จะกระทำการอันมิบังควรกับพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือได้ชูอยู่เหนือ
ศีรษะ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก”
เหตุการณ์นี้เองได้กลายเป็นที่มาของการล่าแม่มดครั้งใหม่
เพราะกลุ่มพลังฝ่ายขวาทั้งหลายได้ถือโอกาสนำมาเป็นเรื่องสร้างกระแสติดตาม
และสำแดงพลังคุกคาม
โดยส่วนหนึ่งก็ได้นำเรื่องนี้มาโจมตีกล่าวหาฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ
และโจมตีไปถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
กล่าวหาว่า ไม่สนใจติดตามตัวคุณฐิตินันท์มาดำเนินคดี
แม้ว่าจะมีรายงานข่าวว่า คุณฐิตินันท์เป็นบุคคลไม่ปกติ มีอาการทางประสาท
ทั้งเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่กลุ่มฝ่ายขวาก็ยังคงไม่ละเว้น
ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเล่นงานคุณฐิตินันท์ให้เป็นเหยื่อกรณี 112
อย่างปราศจากความเมตตา และยังโจมตีไปถึงสื่อกระแสหลัก เช่น ไทยรัฐ มติชน
และ โทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมไปถึงรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา
ว่ามิได้อนาทรร้อนใจต่อพฤติกรรมมิบังควรของหญิงชรารายนี้
เหตุผลในการติดตามไล่ล่าคุณฐิตินันท์ครั้งนี้
กลุ่มฝ่ายขวาก็กระทำเช่นเดิม คือโจมตีคุณฐิตินันท์ว่าเป็นคนชั่ว
หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ นำรูปมาขึ้นปกแล้วเปรียบเทียบว่าเป็น
“เห็บหมา”
พวกฝ่ายขวาพยายามอ้างตนเองเป็นผู้มีความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งยิ่งกว่าใคร
และได้แสดงความเห็นในทางที่ไม่เชื่อว่า คุณฐิตินันท์จะเป็นผู้มีอาการป่วย
แต่กล่าวหาไปว่า ทางการตำรวจใช้ข้ออ้างนี้ในทางที่จะไม่ดำเนินคดี
เช่นในการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม
กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายขวาได้นำหุ่นแทนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นำใส่โลงศพจำลอง
มายังบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนทำการฌาปนกิจ
ด้วยการฉีดสารเคมีแทนการเผาหุ่น
เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ไม่ดำเนิน
คดีกับกลุ่มคนที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในการติดตามไล่ล่าแม่มดครั้งนี้
ได้นำเอาประวัติของคุณฐิตินันท์มาเปิดเผยว่า เป็นชาวอำเภอพล ขอนแก่น
และเปิดร้านอาหารที่เมืองไครสเชิร์ส ประเทศนิวซีแลนด์
อ้างกันว่ามีเฟสบุคในโลกไซเบอร์ และมีการกดไลค์เพจของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
เป็นเพื่อนกับอดิศร เพียงเกษ และขวัญชัย ไพรพนา มีรายการดนตรีโปรดปรานคือ
วิสา คัญทัพด้วย และยังคลิกไลค์เพจ “รวมพลังสนับสนุนการทำงานของ
ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง”
ทั้งที่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นพฤติกรรมอันผิดกฎหมายแต่อย่างใด
กรณีที่คุกคามอย่างมาก คือเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม
กลุ่มฝ่ายขวาจำนวนหนึ่งได้ไปรวมกลุ่มกันถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
เมื่อมีข่าวว่า คุณฐิตินันท์จะเดินทางกลับนิวซีแลนด์
ผู้ชุมนุมฝ่ายขวาอ้างว่า ต้องการไปยุติการเดินทาง เพราะทราบมาว่า
คุณฐิตินันท์จะเดินทางด้วยเครื่องบินของการบินไทยในเวลา 18.40 น.
และยังบางกระแสข่าวระบุว่า
กัปตันของการบินไทยที่ทำหน้าที่ในไฟลต์บินดังกล่าวได้ประกาศว่า
เขาและลูกเรือจะไม่ทำการบิน หากนางฐิตินันท์มีรายชื่อเป็นผู้โดยสาร
เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่
ได้บอกต่อประชาชนที่มาประท้วงว่า นางฐิตินันท์ ไม่ได้มาเช็กอิน
แต่อยู่โรงพยาบาล ซึ่งเมื่อแน่ใจว่า
นางฐิตินันท์ไม่ได้เดินทางกลับนิวซีแลนด์
ประชาชนที่ไปรวมตัวดักรอนางฐิตินันท์ จึงสลายตัวในเวลาต่อมา
ปรากฏว่า พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์
ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง ยืนยันว่า
ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ต่อคุณฐิตินันท์แล้ว พร้อมควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา
เนื่องจากมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว
ต่อมาได้นำตัวส่งสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์และอายัดตัวไว้เพื่อตรวจสอบสภาพ
จิต จึงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้
ประกอบกับพาสปอร์ตของคุณฐิตินันท์ยังอยู่กับพนักงานสอบสวน
ส่วนตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ นั้นเป็นการซื้อตั๋วแบบไป –
กลับ ราคาประหยัด หากไม่ได้เดินทาง ก็จะเป็นการยกเลิกไปโดยปริยาย
และมีการสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ไปแล้ว 3 ปาก รวมถึงสอบปากคำสามี
และบุตรชายของนางฐิตินันท์ ซึ่งระบุว่า ช่วงหลัง
นางฐิตินันท์ไม่ค่อยรับประทานยา พร้อมนำตัวอย่างยามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย
กรณีนี้จึงอธิบายได้ว่า
คุณฐิตินันท์ก็ตกเป็นเหยื่ออีกกรณีหนึ่งของกรณีมาตรา 112
ที่เริ่มต้นจากฝ่ายพันธมิตรประชาชนโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
ที่อ้างเอาสีเหลืองของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มของตน
เพื่ออ้างอิงผูกขาดความภักดี
และใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการ
เมืองและใส่ร้ายบุคคลที่มีความคิดต่าง และต่อมาในสมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะก็มีการขานรับการดำเนินการของฝ่ายเสื้อเหลือง
โดยกวาดจับประชาชนจำนวนมากในข้อหาความผิดตามมาตรา 112
พร้อมกันนั้น สื่อมวลชนของฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์
ก็ได้ใช้วิธีปลุกระดมประชาชนให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังผู้ที่มีความคิดต่าง
โดยดึงเอาสถาบันเบื้องสูงมาเป็นข้ออ้างตลอดเวลา
ในระยะที่ผ่านมาจึงมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก
ต้องตกเป็นเหยื่อตามข้อกล่าวหาในมาตารานี้ ตัวอย่างเช่น กรณีของ คุณดารณี
ชาญเชิงศิลปกุล คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข คุณสุรชัย ด่านวัฒนุสรณ์ และ
คนอื่นอีกหลายคน และยังมีผู้บริสุทธิ์ที่ถูกขังจนถึงแก่กรรมในคุกมาแล้ว
เช่น กรณีคุณอำพน ตั้งนพคุณ
ปัญหาคือ
การเคลื่อนไหวปลุกเร้าประชาชนลักษณะนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดพุทธิปัญญาแต่อย่าง
ใด และยิ่งไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
แต่กลับยิ่งทำให้เกิดความงมงายคับแคบ คิดและศรัทธาแบบเดียวตายตัว
เห็นคนที่คิดต่างเป็นศัตรูที่ต้องกวาดล้างทำลาย ย้อนกลับไปในเมื่อปี
พ.ศ.2519
กลุ่มฝ่ายขวาของสมัยนั้นก็ดำเนินการลักษณะเดียวกันในการปลุกปั่นให้เกิดความ
เข้าใจผิดและความเกลียดชังต่อขบวนการนักศึกษา
โดยกล่าวหาว่าเป็นพวกที่ไม่จงรักภักดี
และผลจากการเคลื่อนไหวปลุกกระแสเช่นนั้น
ก็นำมาสู่การฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิจำนวนมากในกรณี 6 ตุลาคม
ซึ่งเป็นรอยมลทินครั้งใหญ่ประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
คำถามก็คือ ถ้าคิดอย่างมีสติแล้ว สังคมไทยจะได้คุณประโยชน์อย่างใดหรือ
ถ้าจะต้องจับเอาผู้สูงอายุ เช่น คุณฐิตินันท์มาเป็นจำเลย
หรือต้องถูกจำคุกต่อแถวอีกคนหนึ่ง
ในจำนวนนักโทษการเมืองผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้